พยายามศึกษาธรรมะเอาไว้ ดูพระไตรปิฎกได้ก็ดู ดูฉบับเต็มไม่ได้ดูฉบับย่อก็ได้ พระไตรปิฎกสำหรับประชาชนของ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นเบื้องต้น สนใจรายละเอียดตรงไหนก็ไปอ่านฉบับเต็มเอา
ก่อนหลวงพ่อจะเจอหลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อพยายามแสวงหาหนทางปฏิบัติ ตั้งแต่เด็กๆ ทำแต่สมาธิ ทำอานาปานสติสงบเฉยๆ คิดว่าศาสนาพุทธมีอะไรมากกว่าความสงบ ก็พยายามช่วยตัวเอง ตอนนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ ยังทำงานอยู่ อ่านพระไตรปิฎก อ่านหลายรอบ ได้เห็นธรรมะดีๆ มากมายในพระไตรปิฎก แต่ว่าเราไม่รู้จะตั้งต้นอย่างไร หลักของการปฏิบัติมีมากมายเหลือเกินที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
เคล็ดคำว่า “เห็นตามความเป็นจริง”
จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้หลวงพ่ออ่านจิตตัวเอง พื้นฐานเราเคยอ่านตำรับตำรา มา หลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า “อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” ท่านทราบว่าอ่านมามาก แล้วท่านก็แนะนำให้อ่านจิตตนเอง ก็พยายามมาอ่านจิตตัวเองมาเรื่อยๆ ทีแรกอ่านไม่เป็นก็ไปแทรกแซงจิต ไปฝึกจิตให้ว่างๆ ยังติดคำว่าว่างอยู่ อ่านหนังสือท่านอาจารย์พุทธทาสมีคำว่า ว่างๆ เยอะ อ่านหนังสือเซนก็มีแต่คำว่าว่างเยอะแยะเลย เลยไปทำจิตว่างๆ
ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ ทำอยู่ 3 เดือนแล้วขึ้นไปกราบท่านอีกที ท่านบอกทำผิดแล้วล่ะ ให้ไปอ่านจิตไม่ได้ให้ไปแต่งจิต ให้มันนิ่งๆ ว่างๆ นี้เป็นการปรุงแต่งเอาเอง ให้อ่านเอาท่านบอกอย่างนี้ หลวงพ่อก็มาเริ่มอ่าน เวลาเราอ่านหนังสือ คิดถึงการอ่านหนังสือ เราไม่ใช่นักประพันธ์เราไม่ใช่คนแต่งหนังสือ เราเป็นแค่คนอ่าน เราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่คนอ่าน เพราะฉะนั้นเวลาจะอ่านจิตตัวเอง ก็อ่านเหมือนเราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หรือดูเหมือนดูละคร เวลาเราดูละครเราไม่ใช่คนแต่งบทละคร เราไม่ใช่ผู้กำกับ เราไม่ใช่นักวิจารณ์ เราเป็นแค่คนดู
กว่าจะจับเคล็ดคำว่า “ดู” ได้ คำว่า “เห็นตามความเป็นจริง” ได้ ใช้เวลาเหมือนกัน ทำผิดอยู่ 3 เดือน พยายามไปปรุงแต่งจิตเป็นนักประพันธ์แต่งให้จิตมันดี เวลามันไม่ดีเราก็เป็นนักวิจารณ์บอกตอนนี้มันไม่ดี ไม่ใช่นักดู ไม่ใช่นักอ่าน พอมาอ่านทำอย่างไร ก็ดูไป จิตใจของเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกัน บางวันจิตใจเรามีความสุข บางวันจิตใจเรามีความทุกข์ บางวันจิตเราเป็นกุศลเยอะ บางวันเป็นอกุศลเยอะ บางวันสงบ บางวันฟุ้งซ่าน
ภาวนาแล้วเห็นแต่ละวันจิตเราไม่เคยเหมือนกันเลย เราก็ภาวนาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมเหมือนกันทุกวัน แต่จิตเราไม่เหมือนกัน เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน อย่างหลวงพ่อเวลาอยู่ที่บ้าน จะไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ ไม่ได้เดิน เพราะบ้านเป็นบ้านโบราณบ้านไม้ เวลาเดินแล้วมันร้องเอี๊ยดๆ หนวกหูคนอื่นเขา แต่เวลาออกมาจากบ้าน ทุกก้าวที่เดินรู้สึกไปเรื่อยๆ ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ พอมาอ่านเราก็จะเห็นเลย แต่ละวันจิตเราไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่ภาวนาเหมือนกัน
ต่อมาดูได้ละเอียดมากขึ้น ไม่ได้ดูเป็นวันๆ หรอกดูเป็นช่วงเวลา ตอนเช้าตอนตื่นนอนจิตใจเราเป็นแบบนี้ ตอนสายๆ หน่อยเป็นอย่างนี้ ตอนเที่ยงจิตใจเราเป็นอย่างนี้ ตอนบ่ายจิตใจเป็นอย่างนี้ ตอนเย็นๆ จิตใจเป็นอย่างนี้ ตอนค่ำๆ ตอนดึกๆ จิตใจไม่เหมือนกันสักที ทั้งๆ ที่เป็นวันเดียวกัน ก่อนจะมาเห็นตรงนี้ได้ก็เห็นแต่ละวันไม่เหมือนกัน พอภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่าแต่ละห้วงเวลาไม่เหมือนกัน อย่างตอนเช้าตื่นมาแล้วเช้าแต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก
อย่างเช้าวันจันทร์ตอนนั้นรับราชการ เช้าวันจันทร์เบื่อ ขี้เกียจ เช้าวันอังคารก็เบื่อมาก เช้าวันพุธชักจะอุเบกขาแล้ว เฉยๆ แล้ว เช้าวันพฤหัสเริ่มสดชื่น พอเช้าวันศุกร์นี้กระดี๊กระด๊า แต่ละวันไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เป็นห้วงเวลาเดียวกัน แต่ละวันก็ยังไม่เหมือนกันอีก ตอนสายๆ แต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน ตอนเที่ยงก็ไม่เหมือนกัน สังเกตไป
ตอนเย็นๆ หลวงพ่อสังเกตตัวเอง จิตหลวงพ่อจะมีกำลังมาก ตอนเป็นโยมจิตจะมีกำลังมากตอนสัก 4 โมงเย็นไปแล้ว คล้ายๆ ทำงานใกล้จะเลิกงานแล้ว จิตใจเริ่มสดชื่น ตอนทำงานก็เครียดไม่ใช่ไม่เครียดเพราะงานที่ทำนี้ งานที่เครียดมากๆ เลย งานอยู่สภาความมั่นคง วันๆ ก็เป็นเรื่องหาข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล หาทางออกในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง เรื่องปวดหัวทั้งนั้นล่ะ พอได้เวลาจะเลิกงานใจเริ่มผ่อนคลาย
ฉะนั้นเวลาสังเกตตัวเอง ตอนเย็นๆ ตอนเลิกงานจิตจะมีกำลัง จิตจะสดชื่นเกิดสมาธิโดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิ ฉะนั้นตรงนี้เป็นนาทีทองสำหรับหลวงพ่อ พวกเราก็ต้องไปดูตัวเอง เวลาช่วงไหนในแต่ละวันเป็นช่วงที่สติของเราดีสมาธิของเราดี ช่วงเวลานั้นเป็นเวลานาทีทองของวันนั้น เราควรจะสงวนควรจะรักษาช่วงเวลานี้เอาไว้ภาวนา
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อพอเลิกงานแล้วไม่ทำอะไรหรอก กลับบ้าน ไม่เอานาทีทองตัวนี้ไปทำลายทิ้ง ไปเที่ยว คนเขาก็ชวนไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์อะไรอย่างนี้ ไม่ไป บอกไม่ชอบ แล้วจริงๆ ก็คือไม่ชอบไม่ได้โกหก เคยหลุดเข้าไปในบาร์หรือในผับอะไรทีหนึ่ง นี่มันนรกชัดๆ เลย เสียงก็ดัง ไฟก็วูบๆ วาบๆ คนก็หลง แล้วก็ดื่มน้ำทองแดงกัน เข้าไปเห็นครั้งเดียวเข็ดเลย หนีตลอด ไม่ยอม ใครชวนอย่างไรก็ไม่ไป เรื่องอะไรอยู่ดีๆ เป็นมนุษย์ดีๆ ไปตกนรกเล่น
ฉะนั้นพอเลิกงานตกเย็นตกค่ำหลวงพ่อภาวนา ขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ภาวนา ตอนเช้าขึ้นรถเมล์ไปทำงานก็ภาวนา ตอนจะกินข้าวก็ภาวนา ภาวนาไม่ใช่ไปนั่งพุทโธๆ อะไรหรอก มีสติอ่านจิตใจตัวเองไปไม่หยุด จิตใจเรามีความสุขก็รู้ จิตใจเราทุกข์ก็รู้ จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ ฝึกไปเรื่อยๆ ต่อมาสติแข็งแรงมากขึ้นๆ สมาธิดีขึ้น คราวนี้ไม่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิตตามห้วงเวลาแล้ว ถ้าอ่อนที่สุดก็เห็นว่าแต่ละวันไม่เหมือนกัน ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้วเห็นว่าแต่ละเวลาไม่เหมือนกัน
ภาวนาละเอียดเข้าๆ
เราจะเห็นจิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น
พอสติเราเร็วจริงๆ สมาธิเราดีจริงๆ เราจะเห็นว่าแต่ละขณะไม่เหมือนกัน อย่างตอนเช้านี้จิตเราเปลี่ยนไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว แค่ช่วงเช้าแป๊บเดียวนั้น ค่อยๆ สังเกตเอา อย่างออกจากบ้านหรืออยู่ในบ้าน ตอนเช้าจะไปทำงานพยายามจะขับถ่ายกลัวไปปวดท้องกลางทาง วันนี้ขับถ่ายสะดวก จิตใจสบายรู้สึกผ่อนคลาย วันนี้ท้องผูกไม่ยอมถ่ายกลุ้มใจ ไม่ได้รู้แค่ว่าถ่ายได้ไม่ได้ รู้เข้ามาถึงจิตถึงใจเลย จิตใจยินดีพอใจหรือจิตใจกลุ้มใจ นี่คือการปฏิบัติ
ถ้าปฏิบัติเก่งเฉพาะตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมถือว่ายังอ่อนหัดมากเลย ต้องฝึกให้ได้ มีสติอยู่ทุกขณะ คำว่า “ทุกขณะ” ไม่ถึงขณะตามตำราอภิธรรม ตำราอภิธรรมบอกว่าลัดนิ้วมือหนึ่งจิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ ลัดนิ้วมือ ดีดนิ้วทีหนึ่งจิตเกิดดับแสนโกฏิขณะ อันนั้นตำรา ทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามันมีช่วงเวลากว่าที่จิตจะขึ้นมารับอารมณ์แต่ละครั้ง แล้วรู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร ใช้เวลา แต่ไม่ถึงวินาทีผุดความรู้สึกขึ้นมาแล้ว เราก็ดูจากความเป็นจริงที่เราเห็น ไม่ได้ดูจากตำรา ตำราก็อาจจะถูกก็ได้ แต่สติเราไม่ละเอียดพอที่จะเห็น ต้องตีความอย่างนี้ไว้ก่อน ไม่ใช่ทำได้ไม่เหมือนตำราบอกตำราผิด อันนั้นเซลฟ์จัดเกินไปแล้ว เราดูเท่าที่เราดูได้
หลวงพ่อเห็นว่าจิตมันเปลี่ยนอยู่ทุกขณะ ขณะอะไรไม่ใช่ขณะจิตหรอก ขณะที่ตาเห็นรูปก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต ขณะที่หูได้ยินเสียงก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต ขณะที่จมูกได้กลิ่นลิ้นกระทบรสกายกระทบสัมผัสก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต ขณะที่จิตมันคิด จิตมันคิดนึกปรุงแต่งก็เกิดความเปลี่ยนแปลง คิดเรื่องนี้เกิดสุข คิดเรื่องนี้เกิดทุกข์ คิดเรื่องนี้เกิดราคะ คิดเรื่องนี้เกิดโทสะ อยู่เฉยๆ จะมีโทสะได้ไหม ไม่ได้หรอก ต้องตามหลังความคิดเรียกพยาบาทวิตกมาก่อน
อยู่ๆ จะเกิดราคารุนแรงอะไรได้ไหม ไม่ได้ ต้องมีกามวิตกมาก่อน แล้วทั้งหมดต้องหลง ทีแรกเราไม่เห็นขนาดนั้น เราภาวนาเราเห็นว่าจิตเราเปลี่ยนทุกขณะ ขณะที่กระทบอารมณ์นั่นล่ะ ไม่ใช่ขณะจิตหรอก ตาเห็นรูป ทีแรกบอกเห็นรูปใจก็โกรธขึ้นมาอะไรอย่างนี้ ดูละเอียดลงไปอีก ไม่ต้องตั้งใจดู แต่เราฝึกสติของเราไปเรื่อยๆ ฝึกสมาธิของเราไปเรื่อยๆ มันจะเห็นได้ละเอียดๆๆ เข้าไปอีก
ขณะที่ตาเห็นรูป จิตไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ จิตเฉยๆ ขณะที่ตามองเห็น จะเกิดสุขเกิดทุกข์เกิดกุศลอกุศลมาเกิดทีหลัง พอตาเห็นรูปปุ๊บมันจะมีการแปล เราจะเห็นการแปลความหมายของรูป รูปนี้คืออะไร แล้วอนุสัยความคุ้นเคยมันก็ให้ค่าออกมา พอใจรูปนี้สวยงาม เห็นดอกไม้สวย ตรงที่ตาเห็นดอกไม้สวยไม่มีคำว่าสวยหรอก ตาเห็นรูปเฉยๆ ตาไม่เห็นของสวยหรอก ตาเห็นแล้วก็จิตมันแปลว่านี่ดอกไม้นี่ดอกกุหลาบ สวยเชียว ดอกก็โตสวย พอมีการให้ค่าขึ้นมา ใจก็ยินดีพอใจ ราคะก็เกิดตามหลังความคิดมา ความคิดที่เป็นกามวิตก
กระบวนการมันจะค่อยยิ่งภาวนามันยิ่งละเอียดๆๆ เข้าไป เราจะรู้เลยว่าขณะที่ตามองเห็นไม่มีกิเลส แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา ขณะหูได้ยินเสียงก็ไม่มีกิเลส ขณะที่จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสก็ยังไม่มีกิเลส ตรงที่ใจมันกระทบความคิดแล้วความคิดมันนำไป กิเลสมันก็ทำงานขึ้นมาได้ คอยรู้คอยดูค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็เข้าใจหรอก สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ ไม่มีสิ่งใดที่เกิดแล้วสิ่งนั้นไม่ดับ ไม่มีเลย เราภาวนาเรื่อยๆ เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด
ละเอียดกว่าที่จะรู้จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น เกิดที่ร่างกายดับที่กาย จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียว หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียวแล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6 คิดว่าจิตมีดวงเดียว ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมาเข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้ายเดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา
พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็นจิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น เกิดดับไปด้วยกัน มันถี่ยิบขึ้นมา จะเห็น ทีแรกเรายังไม่เห็นหรอก เราต้องฝึกให้มีจิตที่เป็นผู้รู้ก่อน จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเป็นมหากุศลจิตประกอบด้วยปัญญา เกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ ต้องเป็นจิตชนิดนี้ถึงจะมีกำลังมากพอที่จะเดินปัญญาได้จริง ไม่อย่างนั้นยังเป็นปัญญาพื้นๆ คิดๆ เอา แต่ถ้าจะขึ้นวิปัสสนาปัญญาจิตต้องตั้งมั่นอัตโนมัติมีกำลัง ของฟรีไม่มีก็ต้องฝึก
วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่นทำอะไรดี ทำได้ 2 วิธี หนึ่ง ฝึกเข้าฌานที่ประกอบด้วยสติ อันที่สอง อาศัยสัมมาสติหรือสติระลึกรู้รูปนามกายใจ พอสติเราระลึกรู้รูปธรรมนามธรรมถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จิตที่ตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้นเอง เพราะฉะนั้นเจริญสัมมาสติให้มากแล้วสัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วย เกิดด้วยกันกับสัมมาสติ ขาดสตินี่ สัมมาสัมมาทั้งหลายหายหมดเลยไม่เหลือเลย ฉะนั้นต้องฝึกสติให้ดี
วิธีฝึกสติอยู่ในหลักสูตรชื่อการเจริญสติปัฏฐาน มี 4 อย่าง กาย เวทนา จิต ธรรม ถนัดอันไหนเอาอันนั้น แล้วได้ทุกอัน สุดท้ายได้ทั้งหมดล่ะ อย่างเราหัดรู้สึกร่างกาย ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึกไปเรื่อยๆ ต่อมาจิตเราหลงไป ร่างกายเราขยับปุ๊บเรารู้เลยว่าจิตหลงไปแล้ว มันก็เข้ามารู้จิตได้ สติปัฏฐาน 4 มันก็เหมือนโต๊ะตัวเดียวกันนี้ล่ะ แต่มันมี 4 มุม แข็งแรงหน่อยก็ยกมุมใดมุมหนึ่งมันก็ขึ้นมาหมดแล้ว ได้หมดล่ะ ไม่ยาก ชาวพุทธเราอย่าทิ้งการเจริญสติปัฏฐาน ตราบใดที่ยังมีการเจริญสติปัฏฐานอยู่ การบรรลุมรรคผลนิพพานยังมีความเป็นไปได้ ไม่เจริญสติปัฏฐานไม่มีทางบรรลุมรรคผลอะไรหรอก วิชาสติปัฏฐานเป็นวิชาที่ดี
เดรัจฉานวิชา
ส่วนวิชาที่จะอยู่กับโลกเขาเรียก เดรัจฉานวิชา พระพุทธเจ้าไม่ได้ด่าเดรัจฉานวิชา อย่าเข้าใจผิด ตัวอย่างเดรัจฉานวิชาคืออะไร แพทยศาสตร์นี้เดรัจฉานวิชา รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ นิเทศศาสตร์ เดรัจฉานวิชาทั้งนั้นเลย วิชาหมอนวดก็เดรัจฉานวิชา คำว่าเดรัจฉานวิชาไม่ได้แปลว่า วิชาของสัตว์เดรัจฉาน
ดิรัจฉาน ตัวนี้แบบไปทางขวางไปทางนี้ ขวาง สัตว์เดรัจฉาน สังเกตไหม กระดูกสันหลังมักจะขวาง คือขนานกับโลก เดรัจฉานวิชาคือวิชาที่จะอยู่กับโลก จำเป็นต้องมีไหม จำเป็น ถ้าขืนไม่มีเดรัจฉานวิชาทำมาหากินไม่เป็น รู้วิธีเลี้ยงเด็กก็เดรัจฉานวิชา รู้วิธีเลี้ยงเสือ ตอนนี้หมูเด้งจืดแล้ว ตอนนี้มีเสือชื่ออะไร น้องเอวา คนเลี้ยงเสือได้เขาก็มีวิชาของเขา ให้เราไปเลี้ยง เสือเอาไปกิน ฉะนั้นเดรัจฉานวิชาไม่ใช่วิชาต่ำต้อย เป็นวิชาที่ต้องเอาไว้อยู่กับโลก สิ่งที่ตรงข้ามกับเดรัจฉานวิชาคือวิชาทางตั้ง แนวตั้ง เดรัจฉานวิชามันแนวขนาน ขนานไปกับโลก
แนวตั้งคือการปฏิบัติธรรมนั่นล่ะ พัฒนาไตรสิกขาศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา แล้วลงท้ายไปเจริญสติปัฏฐานให้ได้ ในที่สุดก็จะพ้นโลก เหมือนยิงจรวด ยิงจรวดขึ้นไปอย่างนี้ ถ้าเครื่องบินมันขนานกับโลกมันก็ไปอย่างนี้ ไปจากที่หนึ่งของโลกไปอีกที่หนึ่งของโลก ถ้าเป็นทางจิตใจก็คือจากภพนี้ก็ย้ายไปอีกภพหนึ่ง ก็เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ แต่วิชาโลกุตตระ วิชาแนวตั้ง เหมือนจรวดลอยขึ้นไปพ้นจากโลก อยู่เหนือโลกก็คือคำว่า โลกุตตระ
คนยุคนี้ไม่เรียนธรรมะ ก็ชอบวิจารณ์ตัดสินพระบ้าง ตัดสินฆราวาสบ้างว่าทำไม่ถูกอะไร อย่างนี้ อย่างวิชาหมอดูเป็นเดรัจฉานวิชา พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่ท่านห้ามมีอันเดียว ห้ามพระประกอบอาชีพทางเดรัจฉานวิชา ท่านห้ามตัวนี้ต่างหากล่ะ ท่านไม่ได้ห้ามฆราวาส อย่ามั่ว ถ้าพระไปรักษาโรค พระสมัยโบราณจะรักษาโรค คนไม่สบายไม่รู้จะไปไหน โรงพยาบาลไม่มี หามกันไปหาพระ กระดูกหักให้พระต่อให้ พระทำเดรัจฉานวิชาไหม ทำ อาบัติไหมไม่อาบัติ เพราะไม่ได้เอาไว้ทำมาหากิน ทำเพื่อสงเคราะห์โลก
ไม่มีความละเอียดรอบคอบไม่เข้าใจเรื่องธรรมวินัยแล้วชอบตัดสิน พระทำอย่างนี้ไม่ถูก อันนี้ก็ไม่ถูก นั่นก็ไม่ถูก พระดีๆ ก็คือพระพุทธรูป ห้ามกระดุกกระดิกทำอะไรไม่ได้เลย พอไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาแล้วก็ชอบมั่วชอบตีความชอบตัดสิน มั่วมาก ทำให้พระธรรมวินัยศาสนาอยู่ยาก อยู่ลำบาก ธรรมะจริงๆ สูญหายไป สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นมาแทนที่ บางทีพูดแล้วโก้เก๋ดี พูดแล้วแหมดูดีจังเลย
คนที่พูดแล้วดูดีที่มีชื่อเสียงที่สุดเลยคือเทวทัต เทวทัตเป็นคนเสนอพระพุทธเจ้า บอกต่อไปนี้พระต้องมักน้อยสันโดษ ต้องดำรงชีวิตด้วยอาหารบิณฑบาตเท่านั้น ต้องใช้ผ้าบังสุกุลจีวรเท่านั้น ต้องไม่มีกุฏิไม่มีอะไร ไม่สร้างวัดสร้างวาอะไร อยู่ตามธรรมชาติธรรมดา ต้องกินมังสวิรัติ ฟังแล้วดี พวกคนไม่ฉลาดก็เคลิ้ม เทวทัตเคร่งครัดกว่าพระพุทธเจ้าอีก ส่วนหนึ่งพวกพระก็ยังตามไปเลย ตามเทวทัตไปเป็นร้อยๆ เลย
แล้วต่อมาพระโมคคัลลานะ สารีบุตร ท่านไปอธิบายธรรมะให้ฟัง ตอนที่ท่านเข้าไปสำนักของเทวทัต เทวทัตกำลังเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟังอยู่ พอเห็นพระโมคคัลลานะ สารีบุตรเข้าไปก็ดีใจ นึกว่าแปรพักตร์จากพระพุทธเจ้ามาเป็นสาวกของเทวทัตแล้ว เทวทัตก็บอกว่าช่วยเทศน์แทนหน่อยเมื่อยแล้วจะไปนอน พอตื่นมาลูกศิษย์หายไปหมดแล้ว มาฟังเทศน์พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร รู้ผิดชอบชั่วดีถอยออกมาเลย เหลือที่ไม่ถอยออกมาไม่มาก พวกที่ถอยออกมาก็มาภาวนา จำไม่ได้ว่าออกมาแล้วภาวนาแล้วผลเป็นอย่างไร
แต่มีเรื่องเล่าอันหนึ่ง อันนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง สำนวนนี้เคยคุ้นๆ ไหม ต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยรู้จักพระองค์หนึ่งตอนหลวงพ่อยังไม่บวช ท่านพิการมือนิ้วท่านติดกันอย่างนี้ ติดกันหมดเลย แล้วท่านบอกท่านพิการมาแต่เด็กเลย สงสัยบาปกรรมอะไรทำให้พิการอย่างนี้ ท่านก็ระลึกๆ ไป จริงหรือเปล่าไม่รู้ อันนี้ท่านเล่าพิสูจน์ไม่ได้ ท่านบอกท่านเคยเป็นลูกศิษย์เทวทัตแต่กลับใจแล้ว กลับใจแล้ว ตอนเป็นลูกศิษย์เทวทัตก็ประกาศว่าต่อไปนี้จะไม่ไหว้พระพุทธเจ้าแล้ว แล้วต่อมาก็เปลี่ยนใจกลับเข้ามา บอกว่าอกุศลนี่ นิ้วของท่านเป็นแบบนี้แยกออกจากกันไม่ได้ ทำได้แค่นี้ จริงหรือเปล่าไม่รู้ อันนี้เรื่องของกรรมเป็นเรื่องอจินไตย แต่การกระทำทั้งหลายทั้งปวงย่อมมีผลแน่นอน ลูกศิษย์เทวทัตปรามาสพระพุทธเจ้า ปรามาสพระสาวกก็ต้องรับวิบาก เทวทัตก็ต้องรับวิบาก
เพราะฉะนั้นเวลาเราได้ยินใครเขาเสนอวาทะคมคายดูดีเหลือเกินเลย ต้องทบทวนว่ามันตรงกับพระไตรปิฎกหรือเปล่า บางทีการเสนออะไรที่เข้มมากๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่เอา ท่านบอกเดี๋ยวศาสนาจะอยู่ยาก ศาสนาจะอันตรธานเร็ว อย่างเป็นพระบอกต้องฉันเจอย่างเดียว ชาวบ้านเขาไม่ได้กินเจ ใครเขาจะมาหาอาหารเจให้ทุกวันๆ สุดท้ายพระอาหารไม่พอแล้วก็อยู่ไม่ได้ ศาสนาก็หายไป พระหายไปไม่มีใครสืบทอด ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจะไม่สุดโต่งๆ ศาสนาถึงได้ยืนยาวมาถึงทุกวันนี้
ก่อนที่เราจะมาเจริญสติปัฏฐานได้
รวมความก็คือต้องเจริญสติปัฏฐาน หลวงพ่อสอนอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เรื่องนี้ล่ะ แต่ก่อนที่เราจะมาเจริญสติปัฏฐานได้ บทเรียนของเราต้องครบ ไตรสิกขา ศีลต้องรักษา ตั้งใจไว้ก่อนจะรักษาศีล 5 ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรื่องรักษาศีลก็เคยมีคนถามหลวงปู่เทสก์กระมัง บอกว่า ถ้าท่านเดินไปแล้วเห็นผู้หญิงตกน้ำ พระจะกระโดดลงไปช่วย อาบัติไหมไปจับตัวผู้หญิง ไม่ช่วยจิตจะเศร้าหมองไหม ถ้าจิตเศร้าหมองแสดงว่าตรงนั้นเราต้องทำชั่วอะไรสักอย่างแล้ว อย่างเราเห็นผู้หญิงตกน้ำ แล้วเราก็อุเบกขา จริงๆ แล้วจิตจะไม่ดีเลย จิตจะกระด้าง เห็นสัตว์ลำบากแล้วเฉยเมย คิดว่าความเฉยเมยคืออุเบกขา ไม่ใช่ เป็นความใจไม้ไส้ระกำ ท่านบอกว่าท่านก็ใช้วิธีนี้สิ ท่านกระโดดลงไปในน้ำไปอยู่ใกล้ๆ เขา เดี๋ยวเขาก็เกาะท่านท่านก็ว่ายเข้าฝั่ง ท่านว่าอย่างนี้ แต่หลวงพ่อคงไม่เอา ขืนมาเกาะเราก็พากันจมแน่เลย หาไม้หาอะไรโยนให้ ให้เกาะ ก็ต้องช่วย จำเป็นจริงๆ ก็ลงไปลากขึ้นมาแล้วมาปลงอาบัติเอา
บางทีก็ต้องคิดต้องพิจารณา ถือศีลเคร่งๆ ไปเลยแบบงมงายก็ใช้ไม่ได้ ศีลรักษาไปเพื่อให้จิตใจเป็นปกติ เพื่อให้หมู่สงฆ์สงบสุข เพื่อให้คนที่ยังไม่เลื่อมใสเกิดเลื่อมใส เพื่อให้คนที่เลื่อมใสแล้วมีความมั่นคงในพระศาสนา เลื่อมใสมั่นคง ศีลไม่ได้ถือเอาไว้ทรมานตัวเอง ศีลไม่ได้ถือไว้ใจร้ายกับคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักอะไรควรอะไรไม่ควร เห็นมีพระมีข่าวเรื่อยเลย ดูแลแม่ เช็ดอึเช็ดฉี่อาบน้ำให้อะไรให้ ถามว่าถูก ไม่ถูก ก็ไม่ถูก ถ้าไม่มีใครทำให้ก็ต้องทำ อาบัติร้ายแรงไหม อาบัติไม่ร้ายแรง
อาบัติที่ร้ายแรงคือภิกษุมีความกำหนัดจับต้องกายหญิง ไม่ได้มีความกำหนัดมีแต่ความเมตตา ดีกรีมันมี ว่ามันผิดร้ายแรงแค่ไหน ไม่ใช่เห็นอะไรก็บอกจับสึกๆ ทุกวันนี้ง่ายเหลือเกินเจอพระไม่ชอบใจ บอกจับสึก เพราะฉะนั้นต้องเรียน ขอแนะนำ อ่านพระไตรปิฎกดีที่สุดเลยหัดอ่านไป พระวินัย พระสูตรพวกนี้ อ่าน อภิธรรมอ่านไม่รู้เรื่องต้องไปเรียนอภิธัมมัตถสังคหะอะไรพวกนั้นก่อน
ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึก ทุกวันแบ่งเวลาไว้เลย ถึงเวลาจะต้องปฏิบัติในรูปแบบ ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คำว่าถึงเวลาให้ไปนั่งสมาธิให้ไปเดินจงกรม เพราะว่าแต่ละคนรูปแบบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนกวาดพื้นอยู่เป็นเครื่องอยู่ นั่นคือการทำในรูปแบบของเขา ตอนหลวงพ่อบวชครั้งแรกที่วัดชลประทาน หลวงพ่อปัญญาเป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระผู้เฒ่าองค์หนึ่งกุฏิอยู่ติดๆ กัน ท่านกวาดวัด ฉันข้าวเสร็จตอนเช้าก็กวาดวัดไป กวาดจากหน้าวัดไปท้ายวัด ท้ายวัดกวาดมาหน้าวัด กวาดอยู่อย่างนั้นทั้งวัน หลวงพ่อตอนนั้นโง่ ก็ไปบอกท่านบอกหลวงพ่อทำไมไม่นั่งสมาธิไม่เดินจงกรม ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมช่วยกวาด เราไปนั่งสมาธิกันดีกว่า
ท่านก็ยิ้มหวานหลวงพ่อยังจำรอยยิ้มของท่านได้ ท่านบอกคุณบวชสั้นๆ คุณไปนั่งสมาธิเดินจงกรม เดี๋ยวผมกวาดเอง นี่ความโง่ของเรา ที่จริงท่านภาวนาทั้งวันเลย ร่างกายท่านเคลื่อนไหวท่านกวาดใบไม้กวาดถนนกวาดใบไม้กวาดไปเรื่อยๆ ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ เราภาวนาเป็นแล้วเราถึงนึกถึงท่านได้ โอ๊ยตายแล้ว เราไปบอกท่านด้วยความโง่ของเราแท้ๆ แต่ประกอบด้วยเมตตา ความโง่นั้นไม่ได้ประกอบด้วยดูถูกว่าท่านไม่ยอมไปนั่งภาวนา เรามีความเมตตาอยากให้ท่านได้ภาวนาบ้างมีเวลาบ้าง
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจะใช้คำว่าทำในรูปแบบ รูปแบบแต่ละคนไม่เหมือนกัน แค่กวาดวัดก็เป็นการปฏิบัติในรูปแบบแล้ว ได้เห็นรูปเคลื่อนไหวใจเป็นคนรู้ อย่างบางคนหลวงพ่อไปที่บ้านจิตสบายเห็นมีคนหนึ่งส่งการบ้าน หลวงพ่อดูแล้วคนนี้ไม่เคยช่วยเมียทำงานบ้านเลย เมียก็ชักโมโห บอกไปช่วยเมียทำงาน ช่วยเมียซักผ้า ถูบ้าน เขาเชื่อเขาไปทำ แล้วจิตใจเขาก็สบาย สบายเพราะอะไร เพราะเมียไม่ด่า เมียไม่บ่นแล้วสบายใจ ก็รู้เนื้อรู้ตัว ทำงานไปรู้เนื้อรู้ตัวไป ในครอบครัวก็ดีจิตใจตัวเองก็ดี นี่ทำในรูปแบบ ไม่ใช่ทำในรูปแบบต้องนั่งสมาธิท่านี้ต้องเดินท่านี้ บางทีเดินจงกรมต้องกำหนดโน้นกำหนดนี้ มีเท่านั้นจังหวะเท่านี้จังหวะ ทำแล้วเครียด
ทำแล้วเครียดไม่ใช่การปฏิบัติหรอก ทำอกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด ทำอกุศลที่เกิดแล้วให้แรงขึ้น อย่างทำแบบเครียดๆ ไปเรื่อยๆ อกุศลอะไรจะแรง กูเก่ง กูดีกว่าคนอื่น อกุศลพวกนี้จะเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นถึงเวลาไปทำในรูปแบบ ถนัดกรรมฐานอะไรเอานั้นล่ะ มีต้นไม้เยอะก็ไปรดต้นไม้ อย่างที่นี่ตกเย็นพระต้องไปรดต้นไม้ ต้นไม้มี 2 ส่วน ต้นไม้รอบๆ กุฏิอันนี้เช้าๆ เขาก็รดกันแล้ว ทางเดินก็แบ่งกันกวาดทั่ววัด แต่ฤดูนี้พอกวาดเสร็จคล้อยหลังลมพัดทีเดียวใบไม้ลงมาเต็มเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องกวาดซ้ำแล้ว เพราะถ้ากวาดก็คือไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้ว อย่างน้อยก็รักษาข้อวัตร กวาดแล้ว ตั้งใจกวาด
ตอนเช้าก็รดต้นไม้รอบๆ กุฏิ ตอนเย็นไปรดต้นไม้ฝั่งโน้น ไปปลูกป่ากันไว้ร่วมร้อยไร่ แบกน้ำตักน้ำใส่ถังเอาไปรดต้นไม้ รดทีละต้นทีละต้น ฝั่งโน้นไม่รู้ต้นไม้กี่พันต้น ฝั่งโน้น ถามว่าเสียเวลาภาวนาไหม ไม่เสีย เวลาตักน้ำรู้สึกตัวหิ้วน้ำไปรู้สึกตัว ถ้าไม่รู้สึกทำอะไร ไม่รู้สึกตัวก็ทำน้ำหกหรือเดินตกหลุมตกบ่อแข้งขาเคล็ด บางองค์ขาเส้นเอ็นพลิกเดินเผลอไปหน่อย นี่คือการปฏิบัติ ไปรดต้นไม้ ทุกวันทำอย่างนี้ล่ะ
มรรคผลไม่ไกลถ้าทำ 3 อย่างนี้ได้
เห็นไหมต้องมีรักษาศีล ต้องทำในรูปแบบทุกวันๆ แล้วก็ต้องเจริญสติในชีวิตประจำวัน ถ้าทำได้อย่างที่บอก 3 อย่างนี้มรรคผลไม่ไกลหรอก การเจริญสติในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ก็คือการเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ อย่างเรามีสติเห็นร่างกายหายใจออกมีสติเห็นร่างกายหายใจเข้า แล้ววันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่าน เราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้าสักพักหนึ่ง จิตมันจะรวมลงไป จะพักผ่อนหายฟุ้งซ่าน วันไหนจิตเรามีกำลังอยู่แล้วหายใจออกรู้สึกหายใจเข้ารู้สึก เราก็จะเห็นว่าร่างกายที่หายใจเป็นคนละอันกับจิต ร่างกายกับจิตแยกออกจากกัน ขึ้นเจริญปัญญาแล้ว
ฉะนั้นแค่เราหายใจมันมีทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา อย่างเวลาจะทำสมาธิเราก็หายใจไป แล้วถ้าจิตมันต้องการพักผ่อนมันจะรวมสงบลงไป รวมเองไม่ต้องสั่งให้รวมเลย ยกเว้นมีวสีชำนาญแล้ว นึกอยากรวมเมื่อไรก็รวมได้ทันที แต่ถ้ายังรวมไม่ได้ก็อย่าไปตกใจ ถึงเวลาเราก็ทำกรรมฐานไป แล้วถ้าจิตมันต้องการพัก มันรวมเองมันเข้าเอง ตอนที่เกิดอริยมรรคอริยผลจิตก็รวมเอง ถ้าตั้งใจรวมไม่ค่อยได้เรื่องหรอก ยังเจือโลภเจตนาอยู่
อย่างเราหายใจไป หายใจไป วันนี้จิตเรามีกำลังแล้ว มันไม่รวม ไม่เคลิ้ม ตั้งมั่นทรงตัวขึ้นมา สติระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์ของกาย ใครเป็นคนรู้กาย จิตเป็นคนรู้กายแล้วก็เห็นไตรลักษณ์ของจิต เวทนาเกิดขึ้นในกายเรา ก็เห็นว่าเวทนาในกายกับกายก็คนละอันกัน แล้วเป็นคนละอันกับจิต เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตที่รู้เวทนาทางกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เราเห็นสังขาร จิตสังขาร จิตที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง ทีแรกเราก็เห็นว่าจิตเราโลภจิตเราโกรธ พอเราภาวนามากเข้าๆ เราเห็นว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงกับจิตเป็นคนละอันกัน ความโลภกับจิตคนละอันกัน ความโกรธกับจิตเป็นคนละอันกัน เป็นองค์ธรรมคนละชนิดกัน ตัวโลภตัวโกรธตัวหลงเป็นสังขาร เรียกว่าสังขารขันธ์ อยู่ในสังขารขันธ์ จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่งอยู่ในวิญญาณขันธ์ เป็นคนละอันกัน
คนทั่วไปบอกเราโกรธ อันนี้โง่ที่สุดแต่ไม่โง่มากไม่ถึงที่สุด โง่ที่สุดคือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ ไปอาละวาดใส่คนอื่นแล้ว ดีขึ้นมาหน่อยเห็นว่าเรากำลังโกรธ ดีกว่านั้นก็คือเห็นว่าความโกรธกับจิตคนละอันกัน มันแยกออกจากกัน แล้วดีกว่านั้นก็คือเห็นว่าความโกรธก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็เดินปัญญาละเอียดๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เข้ามาที่จิตก็เห็นจิตนั้นเกิดดับ จิตเกิดที่ไหนจิตก็ดับที่นั้น
ตอนที่หลวงพ่อเห็นตรงนี้ทีแรก จิตเกิดที่ตาแล้วก็ดับที่หูแล้วก็ดับ เลยเกิดสงสัยแล้วเราจะเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนดี ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน คิดว่ามันตั้งอยู่กลางอก คิดว่ามันอยู่ตรงนี้ แล้วมันเกิดที่ตา ตัวนี้หายไป เกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ แล้วเข้ามาตรงนี้ เห็นตัวนี้มันไหวๆๆ อยู่ ก็เลยนึกว่าจิตมันอยู่ตรงนี้กระมัง แต่ไหนๆ เจอหลวงปู่แล้วถามหลวงปู่สักหน่อย หลวงปู่ครับจิตมันอยู่ที่ไหน จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน หลวงปู่บอกจิตไม่มีที่ตั้ง บอกแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว เราไม่ต้องเอาจิตไปตั้งไว้ที่ไหนหรอก จิตตั้งอยู่กับอารมณ์ เกิดพร้อมกับอารมณ์ ดับพร้อมกับอารมณ์ จิตเกิดที่ไหน เกิดออกไปรู้อารมณ์ทางตาแล้วก็ดับพร้อมกับการรู้อารมณ์ทางตา ออกไปฟังเสียงแล้วก็ดับพร้อมกับเสียง พร้อมกับการฟังเสียง นี่มันเกิดดับ
ภาวนาพอละเอียดๆ มันเข้ามาที่จิตนี่ล่ะ แล้วเห็นจิตมันสร้างภพสร้างชาติตลอดเวลาเลย แล้วภาวนาถ้าเราเข้าใจธรรมะประณีตขึ้น ประณีตขึ้น การปฏิบัติมันบีบวงมาที่จิต บางทีเราก็เห็นจิต บางทีเราก็ไม่เห็นจิต จิตตัวนี้คือจิตผู้รู้ อะไรทำให้เรามองจิตผู้รู้ไม่ออก อาสวกิเลสทั้ง 4 อาสวกิเลสเกิดเมื่อไร หาจิตผู้รู้ไม่เจอแล้ว อาสวะที่ดูง่ายๆ อย่างตัวภพดูง่าย จิตสร้างภพเมื่อไรจิตก็หลุดเข้าไปอยู่ไปเกิดในภพนั้น ถ้ารู้ทันปุ๊บจิตหลุดออกจากภพ ภพดับ จิตผู้รู้ก็เด่นดวงขึ้นมา มันจะเข้ามารู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ พอรู้ที่ตัวจิตผู้รู้ได้ สิ่งที่ปิดกั้นทำให้เรารู้จิตผู้รู้ไม่ได้ก็คืออาสวกิเลสทั้ง 4 ตัวนั่นล่ะ
กามาสวะเข้ามามาดึงจิตเราไป ดึงดูดจิตเราไปหากามคุณอารมณ์ ภวาสวะจิตไปสร้างภพแล้วหลงอยู่ในภพอันนั้น อวิชชาสวะมันไม่รู้แจ้งอริยสัจ ทิฏฐาสวะ เวลาเราติดในความคิดความเห็น ถูกความคิดความเห็นย้อมเมื่อไรตัวจิตผู้รู้เราก็สูญหายไป พอไม่ถูกอาสวะทั้ง 4 ย้อม สติสมาธิเราดี อาสวะเข้ามาย้อมไม่ได้ จิตผู้รู้เด่นดวงขึ้นมา
แล้ววันหนึ่งเราก็จะเห็นจิตผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตผู้รู้นั่นล่ะก็คือตัวทุกข์ แล้วคือหัวโจกของตัวทุกข์ ดูยากที่สุดเลยว่าคือตัวทุกข์ เพราะว่าถ้าเราภาวนาเรามีจิตผู้รู้ เรารู้สึกตัวนี้บรมสุข ถ้าเมื่อไรไม่ถูกอาสวะย้อม เห็นมันบ่อยๆ เนืองๆ รู้แจ้งแทงตลอด จิตผู้รู้นั่นล่ะคือตัวบรมทุกข์ ทุกข์ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลย พอรู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็หมดความรักใคร่ยินดี หมดความอยาก หมดความยึดถือ เพราะฉะนั้นพอรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยคือตัณหาอุปาทานอะไรพวกนี้ก็ถูกทำลายทันที ดับอัตโนมัติ เราไม่ต้องดับตัณหา รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไรตัณหาดับเอง ดับอัตโนมัติ สิ้นตัณหาเมื่อไร นิโรธคือนิพพานปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา นิโรธคือสภาวะที่สิ้นตัณหา
หลวงพ่อเคยภาวนาผิด กำหนดจิตลงไปแล้วว่างลงไป คิดว่าฝึกเข้านิโรธไปแล้ว หลวงปู่บุญจันทร์ท่านมาเจอ ท่านด่าเอา นิพพานอะไรมีเข้ามีออก เลยรู้เลยไม่ใช่แล้ว ถ้ายังกำหนดจิตอย่างโน้นกำหนดจิตอย่างนี้ไม่ใช่ของจริงแล้ว ของจริงก็คือต้องรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งว่ามันคือตัวทุกข์ จิตก็หมดความอยากหมดความยึดถือในตัวจิต สิ้นอยากเมื่อไรก็คือนิพพาน นิพพานคือสภาวะที่สิ้นตัณหา แล้วขณะนั้นอริยมรรคเกิดขึ้น นี่เส้นทาง เราทำไป เดินไปเรื่อยๆ มาตรงนี้ได้ด้วยการรักษาศีล ฝึกในรูปแบบให้จิตมีสมาธิขึ้นมา แล้วก็เอาจิตที่ตั้งมั่นมีสมาธิแล้วมาเดินปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์แยกรูปแยกนามไป ทำสติปัฏฐาน 4 นั่นล่ะ ฝึกเรื่อยๆ สติปัฏฐานนั้นเป็นของวิเศษอีกอย่าง ในเบื้องต้นที่เราฝึกทำให้สติเราดีขึ้น ในเบื้องปลายทำให้เกิดปัญญา
วัดสวนสันติธรรม
30 พฤศจิกายน 2567