กตัญญูกับพระพุทธเจ้า

เดี๋ยวนี้พวกเรามาเยอะทุกวัน หลวงพ่อเดินดูทีละคนไม่ไหว พอดีวันนี้วันปิยมหาราช วันปิยมหาราชนี้เป็นวันที่ระลึกถึงรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 5 เป็นกษัตริย์ที่นำประเทศไทยเปลี่ยนจากยุคโบราณ มาสู่ยุคพัฒนาปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ร่วมสมัยกับจักรพรรดิเมจิของญี่ปุ่นรุ่นเดียวกัน เมื่อก่อนวันปิยะ หลวงพ่อเป็นนิสิตจุฬาฯ วันปิยะก็มีงานถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า เด็กๆ รุ่นหลวงพ่อยังแยกแยะระหว่างประชาธิปไตยกับสถาบัน สามารถแยกแยะได้ ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยจะต้องไม่มีสถาบัน คนละเรื่อง ประชาธิปไตยมีกษัตริย์เป็นประมุขก็ได้ มีประธานาธิบดีก็ได้

เมืองไทยที่ผ่านมา เมืองไทยเป็นประเทศเล็กๆ ถูกรุกรานจากตะวันตกเหมือนเมืองจีน ขนาดเมืองจีนเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในย่านนี้ ก็ยังโดนรุกราน เมืองจีนเอาตัวรอดมาได้เพราะว่าประเทศใหญ่มาก ไม่มีใครยึดได้ เมืองไทยเล็กนิดเดียวรอดมาได้ ผู้นำต้องใช้ความอดทนมากเลย ใช้ศิลปะทางการทูต ไม่ได้ใช้การทหาร ถ้าใช้การทหารไม่มีทางสู้ เราก็ใช้การทูตเอาตัวรอดมาได้ รักษาบ้านรักษาเมืองมาได้เป็นประเทศเดียวในย่านนี้ ที่ไม่เสียเอกราชให้พวกฝรั่ง คุณงามความดีของรัชกาลที่ 5 กับคนยุคโน้นทำไว้เป็นคุณกับแผ่นดินมากเลย ตกเป็นเมืองขึ้นเขา ดูประเทศที่เป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ทุกวันนี้ยังลำบากยากเย็น

เราเป็นคนเราต้องรู้จักคำว่ากตัญญู บรรพบุรุษมีบุญคุณ คนไม่กตัญญูใช้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี เราอยากดูว่าคนไหนดีไม่ดี ดูว่าเขากตัญญูไหม ความกตัญญูกว้างขวาง กตัญญูต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ใหญ่โตขึ้นมาก็คือกว้างขึ้นมาก็คือ กตัญญูกับชาติบ้านเมือง แล้วเราเป็นชาวพุทธเราก็ต้องกตัญญูกับพระพุทธเจ้าด้วย

วิธีกตัญญูในครอบครัวเราคือรับผิดชอบครอบครัวให้ดี อย่าพาครอบครัวตกต่ำด้วยการทำชั่ว มีลูกสอนลูกสอนหลานให้เป็นคนดี เมื่อก่อนมีคนหนึ่งรุ่นบุกเบิกที่นี่ เขามีลูกชาย หลวงพ่อบอกว่าให้สอนลูกให้ดี เราดูแล้วเด็กโตขึ้นอาจจะมีปัญหา เด็กบ้านแตก บอกสอนลูกให้มีศีล เขาบอกเขาไม่สอน สอนศีลธรรมไม่ใช่เรื่องจะทำให้ร่ำรวย ก็ถูก ศีลธรรมไม่ร่ำรวย แต่ไม่เป็นหนี้ใคร เป็นหนี้บาปนะร้ายแรงมากเลย เพราะฉะนั้นเราดูแลครอบครัวเราให้ดี ทำหน้าที่ต่อสังคมประเทศชาติเราก็อย่าชั่ว อย่าบ่อนทำลาย อย่างทำธุรกิจหลอกลวงผู้คนเสียหาย เป็นพันล้านหมื่นล้าน พวกนี้เนรคุณแผ่นดิน เอาตัวสบายคนอื่นลำบากไม่เป็นไร

ทีนี้จะกตัญญูกับพระพุทธเจ้าทำอย่างไร วันนี้ในฐานะพวกเรามาวัด การจะกตัญญูกับพระพุทธเจ้า คือเราต้องเป็นลูกที่เชื่อฟังท่าน อะไรที่ท่านห้ามอย่าทำ อะไรที่ท่านบอกว่าควรทำต้องทำ สิ่งที่ท่านห้ามเราก็คืออย่าทำชั่ว ตั้งอกตั้งใจรักษาศีลให้ดี ถ้าเป็นฆราวาสทั่วไปๆ ก็ตั้งใจรักษาศีล 5 เอาไว้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีศีล อย่างบางคนเอาศาสนาพุทธไปหากินแต่ตัวเองไม่มีศีล อันนั้นเหลวไหลมาก ถือว่าอกตัญญู คือคล้ายๆ เอาสมบัติของพ่อ เอาชื่อเสียงของพ่อไปหลอกลวงคนอื่น ใช้ไม่ได้

อะไรที่ท่านให้เราทำ อันแรกท่านบอกอย่าทำชั่ว เราก็ต้องไม่ทำชั่ว อะไรที่ท่านให้เราทำ ให้เรามีศีล ให้เราฝึกจิต ให้เราเจริญปัญญา ศีลเบื้องต้นก็ตั้งใจรักษา 5 ข้อไว้ สำคัญที่สุดเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยบริภาษลูกศิษย์ของท่าน เป็นพระนะ บอกว่ามัวแต่นับว่าตัวเองมีศีล 227 ข้อ เหนือกว่าชาวบ้านเหนือกว่าฆราวาส ท่านบอกว่ามัวแต่นับว่ามีศีลเยอะแยะ แต่ลืมศีล 5 ไม่มีศีล 5 อย่างเป็นพระแล้วหลอกลวงเขา ทำอะไรที่หลอกชาวบ้าน ไสยศาสตร์เรื่องอะไรต่ออะไร เพราะฉะนั้นศีล 5 ต้องรักษา

แล้วก็การฝึกจิตทำได้ 2 อย่าง ฝึกจิตให้สงบแล้วก็มีกำลังนี้อันหนึ่ง ฝึกจิตให้ตั้งมั่นพร้อมที่จะเจริญปัญญานี้อีกอันหนึ่ง ฝึกจิตให้สงบแล้วก็มีกำลังคือให้เราอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราถนัดสักอย่างหนึ่ง ที่เราอยู่แล้วสบายใจแล้วอยู่กับกรรมฐานนั้น ทำไปเรื่อยๆ จิตจะสงบ พอสงบต่อเนื่องไป ไม่วิ่งไปวิ่งมาจะมีกำลัง ฉะนั้นถ้าจิตวิ่งไปตลอดเวลา จิตไม่มีแรง คนฟุ้งซ่านจิตไม่มีพลัง หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่พูดเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ท่านพูดแต่เรื่องพลังของจิต พลังของจิตก็เกิดจากการทำสมาธิ ฝึกให้จิตสงบได้พักผ่อนอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่องไป จิตจะมีพลังตั้งมั่นมีกำลังขึ้นมา

อีกอันหนึ่งฝึกจิตให้ตั้งมั่นก็คือทำกรรมฐานแล้วคอยสังเกตจิตใจตัวเอง จิตใจหนีไปรู้ทัน จิตใจถลำลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐานรู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา ถ้ามีทั้งกำลัง มีทั้งความตั้งมั่น เราพร้อมแล้วที่จะเจริญปัญญา แต่จิตที่ไม่มีพลังไม่มีกำลัง ตั้งมั่นไม่ได้เหมือนกัน จิตที่มีกำลังสงบก็สำคัญ ถ้าจิตไม่มีความสงบไม่มีแรง ตั้งมั่นไม่ได้

ไม่รู้เมืองจีนเคยเห็นลูกข่างไหม ที่เด็กๆ เล่น ที่มีแกนอันหนึ่งมีไหมในเมืองจีน ที่โยนแล้วหมุนๆๆ ถ้าโยนเบาๆ ก็ล้มไปเลย ถ้าโยนแรงๆ มันจะหมุนตั้งอยู่ได้นาน เราอยากให้จิตตั้งมั่นจิตก็ต้องมีแรง จิตมีแรงก็คือพาจิตให้พักผ่อนในอารมณ์อันเดียว ไม่วอกแวก แล้วคอยรู้เท่าทันพฤติกรรมของจิต จิตหนีไปคิดรู้ทัน พอเรามีกำลังแล้วเราเห็นจิตหนีไปคิดเรารู้ทัน เราก็จะตั้งมั่นขึ้นมา หรือจิตถลำลงไปเพ่ง รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่น

เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วก็ถึงขั้นที่สาม เป็นงานที่พระพุทธเจ้าบอกให้เราทำคือการเจริญปัญญา เรียนรู้ความจริงของร่างกายของจิตใจไป จนวันหนึ่งเราเห็นความจริง ร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตก็หมดความยึดถือในร่างกาย จิตก็ไม่ทุกข์เพราะร่างกาย เราเจริญปัญญาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของจิตใจ วันหนึ่งเห็นแจ่มแจ้ง จิตก็ปล่อยวางจิต ไม่ยึดถือจิตเราก็จะไม่ทุกข์อีกแล้ว ร่างกายยังทุกข์อยู่แต่จิตไม่ทุกข์เพราะร่างกาย ส่วนจิตใจนั้นไม่ทุกข์เพราะไม่มีกิเลส ต้องฝึกเอา 3 อย่าง สิ่งที่ท่านให้ทำศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิต้องฝึกจิตเอา ฝึกจิตให้สงบจะมีกำลัง ฝึกจิตให้ตั้งมั่นจะเดินปัญญาได้ วันนี้หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังย่อๆ

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
23 ตุลาคม 2567