จิตที่พ้นจากอุปาทานขันธ์

พวกเราเห็นคลิปที่คนไปปรามาสล่วงเกินพระผู้เฒ่าไหม เห็นแล้วสังเวชมากเลย คนที่บอกว่าอยากคุ้มครองพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมจริงๆ คิดว่าคุ้มครอง อาจจะทำลายก็ได้ อย่างถ้าพระทำความผิด มันผิดได้ 2 ลักษณะ อันหนึ่งผิดพระธรรมวินัย อีกอันหนึ่งผิดกฎหมาย เพราะพระก็ในฐานะพลเมืองก็อยู่ใต้กฎหมาย ทำผิดพระธรรมวินัยก็จะมีคณะสงฆ์ เรียกคณะวินยาธิการ พิจารณา คล้ายๆ ศาลพระพิจารณาความผิดตามพระวินัย แล้วชี้ว่าองค์นี้ผิดองค์นี้ไม่ผิดได้ ถ้าทำความผิดกฎหมายก็มีศาล ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา 3 ศาล มาตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด คนอื่นไม่มีสิทธิ ไม่มีหน้าที่จะไปชี้ว่าใครผิดหรือไม่ผิด ชี้มูลความผิดได้แต่ตัดสินว่าเขาผิดไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่อำนาจ

ชี้มูลความผิด อย่างพวกเราเป็นโยม เรารู้ว่าพระองค์นี้ไม่ดี เราก็ชี้มูลความผิดแจ้งสำนักพุทธฯ หรือแจ้งพระสังฆาธิการ พระลูกวัดไม่ดีก็แจ้งเจ้าอาวาส แจ้งเจ้าคณะมีตั้งหลายระดับ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นการช่วยกันรักษาพระศาสนา ทุกคนมีหน้าที่ก็ทำหน้าที่ ที่พอเหมาะพอควรกับตัวเอง อย่างพระวินัยก็ต้องให้พระสอบกันเองว่าผิดวินัยไหม อย่างเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าว มีคลิปออกมาพระกินเหล้า จับสึก เอาม็อบไปจับสึก พระกินเหล้ามันอาบัติอะไร มันอาบัติปาจิตตีย์ ไม่ใช่พระไปทำอะไรนิดหนึ่ง ไม่พอใจก็จับสึกๆ มันไม่ยุติธรรม ผู้จะรักษาศาสนาได้ใจต้องยุติธรรม ไม่ใช่มีอะไรแอบแฝงอยู่ อย่างเข้าไปจัดฉาก น่าจะร่วมมือกันหลายฝ่าย จัดฉาก ดูครูบาอาจารย์ เราเห็นเราก็รู้ว่าท่านไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแล้ว สมองท่านเสื่อม ใครเข้าไปใกล้ท่านก็นึกว่าจะมาให้จับหัว เป่าหัว ก็ลูบหัวทุกคนล่ะ ถ้าอยู่ห่างๆ ท่านก็มีไม้อันหนึ่งไว้เคาะ แบบหลวงพ่อคูณก็เคาะๆ นี่ก็จัดฉากให้เข้าไปใกล้ๆ ให้ลูบหน่อย ให้อย่างโน้นหน่อย ใจท่านๆ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ผู้หญิงผู้ชายอะไรท่านไม่ได้แยกอย่างนั้น

ในทางพระวินัยท่านไม่ได้มีความผิดเลย ถ้าเกิดโจทย์อธิกรณ์ขึ้นมา มันมีอยู่เรียกว่าสมถะมี 7 อย่าง วิธีแก้อธิกรณ์ ข้อหนึ่งคืออมูฬหวินัย พระสติไม่สมประกอบแล้ว ทำแล้วไม่ผิดหรอก อันนี้หลักกฎหมายทั่วๆ ไปก็เหมือนกัน คนบ้าไปฆ่าเขาตายก็ไม่ผิด มันก็คือหลักสากลนั่นล่ะ หลวงพ่อดู เห็นแล้วอนาถใจมากเลย คนที่บอกว่าจะช่วยรักษาศาสนา ทำเกินหน้าที่ คนจะชี้มูลความผิด ก็ให้คนที่เขาเกี่ยวข้องมีอำนาจหน้าที่จริงๆ จัดการ เหตุที่เกิดขึ้นดูแล้วมันผิดกันแทบทั้งนั้นเลย เหลือถูกอยู่คนเดียว คือหลวงปู่ถูกไม่ผิดอะไรเลย กฎหมายก็ไม่ผิด พระวินัยก็ไม่ผิด นอกนั้นไม่ถูกทั้งนั้นล่ะ

 

ถ้ามุสาวาทได้ ไม่มีความชั่วอะไรที่ทำไม่ได้

ลูกศิษย์หลายวัด ครูบาอาจารย์พอแก่อย่างนี้ ลูกศิษย์เห็นท่านเป็นบ่อเงินบ่อทองเอาไว้หากิน ท่านก็ไม่รู้เรื่องอะไร มีมาตลอดแบบนี้ อยากไปอเมริกาก็บอกหลวงปู่อยากไป อยากกินอะไรก็บอกหลวงปู่อยากกิน หลวงปู่จะอยากกินอะไร สเต๊กอะไรอย่างนี้ท่านเคี้ยวไม่ไหวแล้ว อ้างอย่างนั้นเรื่อยๆ มันมีผลประโยชน์แฝง หรือบางที่ก็มีเงินมีทอง วัดที่มีเงินเยอะๆ คนก็เข้าไปแวดล้อมหาประโยชน์กัน เล่นงานครูบาอาจารย์ก็มี ครูบาอาจารย์ไม่ยอมให้แสวงหาผลประโยชน์ในวัด เล่นงานเลยก็มี หลวงพ่อเคยเจอ พวกโยมพวกพระนั้นมีความผิดมาก ไม่ดูแลครูบาอาจารย์ให้ดี สำนักพุทธฯ ก็ไปกับเขาด้วย สำนักพุทธฯ ก็รู้ว่ามีปัญหาทำไมไม่จัดการ ปล่อยให้เรื่องบานปลาย ไปนั่งดูเขาย่ำยีพระ มันไม่ถูก นักข่าวยิ่งไปกันใหญ่ หยาบคาย ทั้งนักข่าวทั้งผู้หญิงนั้นหยาบคายมาก พูดหยาบคาย ส่อเสียด เหยียดหยาม มันคือมุสาวาท

คนเราถ้ามุสาวาทได้ พระพุทธเจ้าท่านบอก ไม่มีความชั่วอะไรที่ทำไม่ได้แล้ว ถ้าทำมุสาวาทได้ คือถ้าจะรักษาศาสนาจริง รู้ว่าพระไม่ดี เข้าระบบ ระบบของเขามี ถ้าพระผิดกฎหมายแจ้งความดำเนินคดี แจ้งความ ตำรวจมาจัดการ อัยการส่งฟ้องศาลตัดสิน ถ้าผิดพระวินัยบอกสำนักพุทธฯ ก็ต้องไปเดินเรื่องต่อ ถ้าไม่เดินเรื่องให้ สมมติเราไปบอกสำนักพุทธฯ แล้วเมินเฉยไม่ทำงาน ฟ้องศาลปกครองได้ มันทำได้ระบบมันมีอยู่ อย่างเข้าไปนั่นผิดกฎหมายชัดๆ เลย อันแรกวัดเป็นศาสนสถาน ไม่ใช่ที่จะไปก่อความวุ่นวาย จะอ้างว่าวัดเป็นที่สาธารณะใครก็เข้าได้ มันก็เหมือนโรงพยาบาลใครเจ็บป่วยก็เข้าได้ เข้าไปรักษาได้แต่ไม่ใช่เข้าไปอาละวาด เข้ามาในวัดใครก็มาได้ มาไหว้พระสวดมนต์ มาทำบุญ มาหัดเรียนกรรมฐาน มาทำกิจกรรมทางศาสนา ทำได้

ถ้ามาทำความวุ่นวายในวัด เจ้าอาวาสมีอำนาจไล่ ไม่ออกไปมีความผิด ผิดกฎหมาย นี้ก็เข้าไปจัดฉากกัน พูดจาหยาบคาย ส่อเสียด มันก็หมิ่นประมาท เข้าไปล้อมไว้บังคับจะให้ท่านพูด อันนั้นก็เข้าข่ายเหมือนกัน ติดตารางได้เลย ทำให้เสียอิสรภาพ คุกคาม ทำให้เสียอิสรภาพ มาล้อม มาตะโกนใส่ ถ้าไปทำกับเอกชน ทำกับประชาชน ติดตารางไปพวกนี้ พระท่านไม่อยากเอาเรื่อง ท่านก็ถือว่าเป็นกรรมของท่าน อยากด่าก็ด่าไป สังเกตไหมหลวงปู่สบายใจ คนโว้กว้ากๆ ท่านเฉยสบายใจยิ้มไปยิ้มมา แล้วท่านก็นึกว่ามันจะมาขอพระเครื่อง ดูสิแจกใหญ่เลย เอาแจกๆ แจกแล้วไปได้แล้ว ๆ พอมันไม่ไปท่านก็บ่น ไอ้ผีบ้าพวกนี้มันจะทำอะไร เรียกไอ้ผีบ้า

พวกเราต้องดู อย่างตอนนี้ก็พยายามตะแบงแล้ว ไม่ได้ไปเล่นงานหลวงปู่ จะไปเล่นงานพระที่ดูแลหลวงปู่ ก็คลิปมันออกมามันเล่นงานหลวงปู่ มันไม่ได้เห็นไปยุ่งอะไรกับพระเลย พระผิดอยู่แล้ว บางที่หลวงพ่อไม่บอกว่าที่ไหน ไม่บอกว่าที่นี่ด้วย เอาครูบาอาจารย์ไปเรี่ยไร หลวงปู่อยากได้นั่น หลวงปู่อยากได้นี่ หลวงปู่จะไปรู้เรื่องอะไร นั้นก็ผิดเต็มๆ คนดูแล พวกที่เข้าไปก็ผิด ผิดกฎหมายตั้งหลายข้อ แล้วก็ผิดหน้าที่ด้วย ควรจะชี้มูลความผิดไม่ใช่ตัดสิน พวกนักข่าวก็ผิดจรรยาบรรณ มันผิดกันไปหมดเลย หน่วยราชการก็ไปนั่งดูให้เขาด่าพระ คือมันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ถ้าทุกคนทิ้งหน้าที่ของตัวเอง เอะอะก็เอาสื่อเอาม็อบเข้าไปตัดสินคนโน้นคนนี้ มันจะอยู่กันได้อย่างไร บ้านเมืองก็อยู่ไม่ได้ ศาสนาก็อยู่ยาก

หลวงพ่อพูดให้เราฟัง ให้แยกแยะผิดชอบชั่วดี เขาจะบอกว่าสิ่งที่เขาทำมีประโยชน์กับพระศาสนา จับพระไม่ดีสึก เอาพระไม่ดีออกไป ดีแล้ว แต่กรรมวิธีมันต้องถูกต้องด้วย บอกเจตนาดีแต่กรรมวิธีไม่ถูก ไม่ใช่ ใช้ไม่ได้ พูดถึงพระ บางคนก็มองพระภาวนาดีทำไมสมองเสื่อม สมองเสื่อมขาดสติ มองไปเลยไม่ใช่พระแท้ สมองเสื่อมได้ ขาดสติได้ พวกนี้ไม่แยกแยะ สมองมันเป็นตัวรูปอยู่ในรูปธรรม รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง สัญญาเที่ยงไหม จำไม่ได้ สัญญาไม่เที่ยง สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว สังเกตไหมว่าคนไปโวยวายใส่ท่าน ท่านยังไม่ปรุงชั่วเลย ไม่ได้เป็นอะไรเลย พระพุทธเจ้าท่านแก่ไหม ท่านเจ็บไหม ท่านตายไหม นั่นพระพุทธเจ้านะ ท่านก็แก่ ท่านก็เจ็บ ก็ตาย มันเรื่องของขันธ์ ถ้าแยกไม่ออกว่าจิตที่มันพ้นขันธ์ไปแล้ว กับขันธ์มันคนละเรื่องกัน

 

จิตที่พ้นทุกข์กับขันธ์ เป็นคนละอันกัน

อย่างบางทีครูบาอาจารย์ ท่านเล่าประสบการณ์การปฏิบัติของท่าน หลวงพ่อเคยเห็น 2 องค์ องค์หนึ่งหลวงตามหาบัวที่ท่านเล่าว่าใจท่านถึงธรรมะ แล้วท่านก็น้ำตาไหลเลย แล้วชี้บอกดูๆ นี่ขันธ์มันทำงาน อีกองค์หนึ่งหลวงพ่อเคยไปกราบท่าน คือหลวงปู่เหรียญ ยังมีรูปอยู่นี่ หลวงปู่เหรียญท่านอาพาธหนักแล้ว หลวงพ่อเข้าไปกราบท่าน ตอนนั้นหลวงพ่อเพิ่งได้ 4 พรรษา เราไปเราก็รู้ไม่ถูก เราเป็นนวกะ เราจะไปหาครูบาอาจารย์ เดินทางตามลำพังไม่ถูกพระธรรมวินัย แต่ถ้าเราไม่ไปตอนนั้น หลวงพ่อสุจินต์ท่านก็ไม่ได้อยู่ ก็ไปอยู่ที่อื่น หลวงพ่ออยู่ลำพังนั้น ครูบาอาจารย์มอบหมายให้มาอยู่ ไม่ใช่หนีไปอยู่ ตั้งแต่อุปัชฌาย์ให้มาอยู่ หลวงพ่อจะรอ 5 พรรษา เราพิจารณาแล้วไม่ทัน หลวงปู่เหรียญจะสิ้นแล้ว ก็ยอมตัดใจขึ้นรถตู้ไป ขึ้นไปศรีเชียงใหม่ไปวัดอรัญบรรพต ท่านอยู่ในเจดีย์ นอนเตียงแบบเตียงโรงพยาบาลอย่างนั้น

พอเข้าไปถึงหลวงพ่อก่อนจะถึงท่าน หลวงพ่อก็อธิษฐานในใจ “หลวงปู่ครับ เดี๋ยวเจอหลวงปู่ หลวงปู่คุยธรรมะกับผมนะ ถามธรรมะได้คุยกัน อย่าถามพรรษานะครับ” บอกท่านอย่างนี้ เพราะถ้าท่านถามพรรษา เราถูกด่า เราบอกท่าน ตอนนั้นหลวงพ่อได้ 4 พรรษา บอกท่าน พอเข้าไปกราบปุ๊บ ท่านยกเตียงขึ้นมา ตั้งขึ้นมาท่านก็นั่ง กราบเสร็จชี้หน้าเลย “กี่พรรษา” เล่นทันทีเลย เรา โอ๊ย หลวงปู่ไม่ยอมเลย คุณขอมาไม่ยอมเลย เล่นเลย “กี่พรรษา” บอก “สี่ครับ” “ทำไม่ถูก เป็นนวกะจะไปไหนมาไหนต้องไปกับครูบาอาจารย์” เสร็จแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านดุ ท่านบอกว่า “เราต้องดุตามพระธรรมวินัย เอ้า ว่ามาเรื่องธรรมะ” คุยธรรมะ ท่านดุตามพระวินัยก่อน เล่าถวายท่าน ท่านก็เล่าของท่านบ้าง แล้วท่านก็เอามือลูบจีวรท่าน น้ำตาท่านคลอเลย ท่านมีธรรมปีติ มีปีติน้ำตาคลอ ท่านบอกว่า “เราสู้มาด้วยความลำบาก กว่าเราจะพ้นทุกข์พ้นร้อนมาถึงตรงนี้ เราจะตายในผ้าเหลืองนี้ล่ะ เอาให้ได้อย่างเรา ต้องตายในผ้าเหลืองนะ” บอก “ครับ”

เห็นท่านน้ำตาคลอ ถ้าพวกไม่รู้จักเรื่องของจิตใจ เอ๊ะ พระร้องไห้แสดงว่ามีโทมนัส ได้ธรรมะก็ไม่มากเท่าไร ได้ธรรมะนิดหน่อย อย่างหลวงตาร้องไห้ เขาแยกไม่ออกระหว่างธรรมปีติ ธรรมปีติไม่ได้เป็นการน้ำตาไหลเพราะความเศร้าโศก แยกไม่ออกก็โวยวาย อย่างหลวงปู่แสง บอกเป็นพระสติสมบูรณ์แล้วทำไมไม่รู้เรื่องอะไร สิ่งที่สมบูรณ์คือท่านภาวนา สมมติว่าท่านจบ ท่านรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ จิตท่านไม่เข้าไปยึดไปถืออะไรอีกแล้ว โดยไม่ต้องระวังไม่ต้องรักษา สติอะไรพวกนี้มันอัตโนมัติ แต่มันไม่ใช่สติ ไม่ใช่ความจำสัญญาอย่างโลกๆ นั่นเป็นเรื่องของขันธ์ สังเกตไหมคนโวยวายตั้งเยอะแยะ มาล้อมหน้าล้อมหลังจะมาเล่นงานท่าน ยืนค้ำศีรษะท่านตวาดแว้ดๆ ด่าหยาบคาย ท่านเฉยท่านไม่ต้องรักษาจิตของท่าน ธรรมะมันรักษาจิตของท่านเอาไว้เอง ส่วนเรื่องความจำเรื่องอะไรอันนี้ผู้หญิงผู้ชาย บางทีแก่มากๆ ก็จำไม่ได้ สมองมันเสื่อม

เมื่อก่อนบวชหลวงพ่อชอบไปที่ศาลาลุงชิน ไปฟังหลวงปู่เหรียญเทศน์ ก่อนท่านจะเทศน์เขาก็ถวายอาหารกัน มีผู้หญิงคนหนึ่งเขาประเภทคงเป็นทอม แต่งตัวแบบผู้ชายเลย ตัดผมเกรียนๆ ด้วย ก็ถือน้ำปานะจะไปถวายท่าน ท่านก็ยื่นมือจะรับ ท่านแยกไม่ออกผู้หญิงผู้ชาย อย่าว่าแต่ท่านเลย หลวงพ่อตอนนี้มองหน้าพวกเรา บางทีไม่รู้มันผู้หญิงผู้ชาย สังเกตจิตใจก็สังเกตไม่ออก ผู้ชายก็เหมือนผู้หญิง ผู้หญิงก็เหมือนผู้ชาย ดูยากที่สุดเลย นี้หลวงปู่เหรียญท่านจะยื่นมือรับ ผู้หญิงคนนั้นเขาหดมือกลับ ท่าน เอ้า ไม่ให้เหรอ ไม่ให้ท่านก็เอามือลง เขาก็ยื่นครั้งที่ 2 ท่านก็ยื่นอีก เขาก็เอากลับ เขาทำถูกนะ พอ 2 ครั้งเขาก็บอกท่าน “หนูเป็นผู้หญิงค่ะ” เอ้า หลวงปู่บอก “ผู้หญิงหรือ” เอาผ้ารับ บางทีแยกไม่ออกเหมือนกัน ไม่รู้หรอกผู้หญิงผู้ชาย ผู้เฒ่าอายุเยอะๆ มันเป็นเรื่องของขันธ์ สัญญาเที่ยงไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง หมายรู้ไม่ถูกแล้วว่าผู้หญิงผู้ชาย จิตต่างหากที่ไม่ทุกข์

ฉะนั้นถ้าพวกเราภาวนาเรื่อยๆ เราจะพบว่ามันค่อยๆ แยกกัน เบื้องต้นเราแยกขันธ์กับจิตผู้รู้ออกจากกันได้ ขันธ์ส่วนขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตผู้รู้ จิตผู้รู้จริงๆ ก็คือจิตชนิดหนึ่ง วิญญาณก็เป็นจิตอีก 6 ชนิด มันคนละอันกัน อย่างที่หลวงพ่อสอนพวกเราเรื่อยๆ จิตเราต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู เป็นผู้เห็น พอจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้เห็นแล้ว คราวนี้เราเห็นธาตุเห็นขันธ์มันทำงาน เห็นรูปมันทำงาน เช่น รูปมันหายใจออก รูปมันหายใจเข้า จิตเป็นแค่คนรู้คนดู เราเห็นรูปหายใจออกหายใจเข้า มันจะรู้สึกขึ้นมาเลย ตัวที่หายใจอยู่ไม่ใช่เราหรอก มันจะเห็นเลยไม่ใช่เราหรอก แต่ถ้าเราไม่มีจิตผู้รู้มีแต่จิตผู้คิด สติระลึกอะไรมันก็เป็นเรา หรือเป็นของเรา ไม่ตัวเราก็เป็นของเราไป หรือไม่ก็เป็นคนอื่นเป็นของคนอื่น มีเรามีเขาขึ้นมา แต่ถ้าจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ สติระลึกรู้รูปมันก็เห็นรูปไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เวทนาความรู้สึกสุขทุกข์ ก็จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่เรา สติระลึกรู้สัญญาก็จะเห็นสัญญาไม่ใช่เรา

อย่างเราภาวนา หรือเราไม่ภาวนาก็ได้ อยู่ๆ เราเห็นหน้าคนหนึ่ง บางทีเราก็นึกชื่อออก บางทีเราก็นึกไม่ออก นึกไม่ออกบาปไหม ชั่วไหม ไม่ชั่วอะไรเลยมันเรื่องธรรมชาติ บางทีก็นึกออก บางทีก็นึกไม่ออก เรื่องธรรมดา เพราะสัญญาไม่เที่ยง รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง รูปก็เป็นอนัตตา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนัตตา อย่างสังขารเป็นอนัตตา จิตจะเกิดธรรมปีติห้ามได้ไหม ห้ามไม่ได้แล้วก็ไม่มีใครเขาห้าม เพราะมันเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นท่านจะน้ำตาร่วงน้ำตาไหล ท่านมีธรรมปีติไม่ใช่โสกะ ไม่ใช่ความเศร้าโศก คนละเรื่องกัน ฉะนั้นจะสั่งจิตจงอย่ามีปีติ สั่งได้ไหม ไม่ได้หรอก จิตเป็นอนัตตา ถ้าเราภาวนาเราจะรู้เลย ขันธ์ก็ส่วนขันธ์ ขันธ์พออายุเยอะขึ้นก็แก่คร่ำคร่า ชำรุดทรุดโทรม

พระพุทธเจ้าท่านยังบอกพระอานนท์เลย ตอนท้ายๆ ท่านบอกว่า ตอนนี้ร่างกายของท่านไม่ไหวแล้ว เทียบเหมือนเกวียน เกวียนที่เก่ามากเลย ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนจะซ่อมไม่ไหวอยู่แล้ว ใกล้จะพังแล้ว ท่านก็บอก ฉะนั้นไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีอะไรเสื่อมสักอย่าง สังขารก็เสื่อม สังขารหมายถึงสังขารขันธ์ สังขารร่างกายเป็นตัวรูปขันธ์มันก็เสื่อม อันนั้นมันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้ แต่ภาวนาเรื่อยๆ เราจะรู้เลยจิตที่มันพ้นทุกข์ กับขันธ์มันคนละอันกัน ขันธ์ที่มันมีอยู่มันเป็นอุปาทานขันธ์ เป็นขันธ์ที่ตั้งแห่งความยึดมั่น จิตอันนั้นมันพ้นจากความเป็นอุปาทานขันธ์ไปแล้ว จิตของท่านที่ท่านภาวนาดี

 

“ธรรมะรักษาไม่ได้หรอกถ้าเราไม่ได้ลงมือประพฤติธรรม
ประพฤติธรรมก็คือรักษาศีล
ถ้าเราไม่รักษาศีลก็ใช้ไม่ได้ ถือว่าทำลายธรรมะแล้ว
เราไม่ฝึกจิตของเราให้สงบ ให้จิตตั้งมั่น ไม่ฝึกสมาธิก็ใช้ไม่ได้
เพราะจะไม่สามารถเจริญปัญญาได้
เราไม่เจริญปัญญา เราก็จะไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง”

 

 

หลวงพ่ออยากให้พวกเราภาวนา ตั้งใจไว้ หลวงพ่อพูดอยู่เรื่อยๆ ว่า เราไม่รู้ว่าศาสนาพุทธจะอยู่ได้นานแค่ไหน อาจจะพังไปเพราะผู้หวังดีทั้งหลายนี่ล่ะ หวังดีจริงหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลย เราไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่เรารู้อย่างหนึ่ง พระพุทธศาสนาไม่เคยอยู่ได้นานหรอก กี่พระพุทธเจ้ามาแล้วก็อยู่ได้ชั่วคราว ช่วงเวลาที่มืดบอด มันมากกว่าหลายเท่า เทียบกันไม่ได้เลย เมื่อ 91 กัปก่อนมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เมื่อ 31 กัปก่อนมีพระพุทธเจ้าอีก 2 องค์ 60 กัปไม่มีพระพุทธเจ้า มาถึงกัปเรามีพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธอยู่ก็ไม่ค่อยนาน อย่างศาสนาพุทธเราตอนนี้ อยู่มาสองพันกว่าปีแล้วก็ง่อนแง่นๆ คนมันรักษาธรรมะไว้ไม่ได้ ธรรมะรักษาไม่ได้หรอกถ้าเราไม่ได้ลงมือประพฤติธรรม ประพฤติธรรมก็คือรักษาศีล ถ้าเราไม่รักษาศีลก็ใช้ไม่ได้ ถือว่าทำลายธรรมะแล้ว เราไม่ฝึกจิตของเราให้สงบ ให้จิตตั้งมั่น ไม่ฝึกสมาธิก็ใช้ไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถเจริญปัญญาได้ เราไม่เจริญปัญญา เราก็จะไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง

ศาสนาพุทธรู้ไม่ได้ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง ด้วยการคิด จะรู้จักศาสนาพุทธได้ต้องลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติศีล ปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติปัญญา ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยกำลังของเราพอ เราเข้าใจธรรมะขึ้นมา น้ำตาตกนะ น้ำตาร่วงเลยว่า โอ๊ย กว่าจะรอดมาได้ไม่น่าเชื่อเลย อย่าว่าแต่พวกเราเลย ตอนเจ้าชายสิทธัตถะบรรลุพระอรหันต์ ท่านยังถอดใจเลย มันยากเหลือเกิน ยากที่คนอื่นจะรู้ตามได้ ธรรมะที่บริสุทธิ์หลุดพ้นขนาดนี้ ถ้าบอกให้ทำบุญทำทาน ให้ไหว้ต้นไม้ ไหว้หมา ไหว้แมวยังง่ายกว่า ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางนี่ยากเหลือเกิน ไม่มีใครอยากทำ

ท่านตรัสรู้แรกๆ ท่านถอดใจว่าธรรมะนี้ประณีตเกินไป สอนไม่ไหวเหนื่อยเปล่า ใจท่านก็น้อมไปทางที่จะไม่สอน ในตำราเขาพูดถึงท้าวสหัมบดีพรหม มานิมนต์ให้ท่านแสดงธรรม จริงก็อาจจะเป็นความเมตตากรุณาในใจของท่านเองก็ได้ แต่สร้างเป็นเรียกบุคลาธิษฐาน สร้างสิ่งที่เป็นนามธรรมให้มันเป็นรูปธรรม บอกเป็นพรหมมานิมนต์ ความจริงก็คือจิตที่บริสุทธิ์แล้ว มันเป็นพรหมโดยอัตโนมัติ มันมีความเมตตากรุณาเต็มเปี่ยมอัตโนมัติเลย ท่านก็พิจารณาว่า บางคนมันอินทรีย์อ่อนก็สอนไม่ได้ บางคนมันอินทรีย์แก่กล้าก็สอนได้ ท่านมองอย่างนี้แล้วท่านถึงออกมาสอน ยอมลำบากอยู่ 45 ปี แทนที่จะเสวยวิมุตติสุขอยู่ 45 ปี ถ้าเสวยวิมุตติสุขคงอยู่นานกว่านั้นอีก ไม่ลำบากขันธ์ แต่นี้ท่านยอมลงทุนออกมาสอน ใช้เวลาสอนอยู่ 45 ปี เหนื่อย ตอนท้ายท่านก็บอกว่าท่านไม่ไหวแล้ว ธาตุขันธ์ท่านเหมือนเกวียนที่ใกล้พังแล้ว

 

เห็นตามความเป็นจริง เราก็คลายความยึดถือ แล้วก็ใจก็หลุดพ้น

พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรมไว้ ถือศีล 5 ศีล 5 ข้อก็พอ ไปยืนด่าพระนั่นไม่มีศีล อย่าว่าแต่ด่าพระเลย ด่าหมายังไม่มีศีลเลย ฉะนั้นรักษาศีล 5 ให้ดี ทุกวันแบ่งเวลาไว้ปฏิบัติในรูปแบบ ถ้าเราไม่ทำในรูปแบบเลย จิตเราจะไม่มีกำลัง จิตจะไม่สงบแล้วก็ไม่ตั้งมั่น ถ้าจิตเราไม่มีกำลัง ไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น เราจะเจริญปัญญาไม่ได้ เพราะการเจริญปัญญานั้นเราจะต้องเห็นเอา เห็นกายอย่างที่กายเป็น เห็นเวทนาอย่างที่เวทนาเป็น เห็นสังขารอย่างที่สังขารเป็น เห็นจิตอย่างที่จิตเป็น มันจะเห็นอย่างที่เป็นได้มันต้องไม่มีอคติ จิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้องเป็นจิตที่ปราศจากอคติ ไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะเกลียด ไม่ลำเอียงเพราะกลัว ไม่ลำเอียงเพราะหลง เป็นกลาง ที่หลวงพ่อสอน “ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” เป็นกลางคือปราศจากอคติ

เราต้องพัฒนาจนเราได้จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง พอสติระลึกรู้กายจิตเราตั้งมั่นและเป็นกลาง ปัญญาจะเกิด มันจะเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา จิตตั้งมั่นและเป็นกลาง สติระลึกรู้เวทนา มันก็จะเห็นว่าเวทนาไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ระลึกรู้สัญญา ระลึกรู้สังขาร ระลึกรู้วิญญาณ ก็จะเห็นอย่างนั้นไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่สภาวะ รูปธรรมบ้าง นามธรรมบ้าง สภาวะทั้งหลายมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตา มันจะเห็นพอเห็นอย่างนี้ ใจมันค่อยคลายออกๆ เพราะรู้ตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความกำหนัด คือคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น ทำไมเราไม่หลุดพ้นก็เพราะเรายึดถือ อย่างนี้หลวงพ่อจับไมโครโฟนแล้วไม่ยอมปล่อย เมื่อไรไมโครโฟนมันจะหายไปเสียที มันจะไปไหนล่ะก็จับมันเอาไว้ ยังยึดอยู่มันก็รู้สึกมีจริงมีจัง นี่ของเราใครอย่ามาเอา ไมโครโฟนตัวนี้ของเรา ถ้าภาวนาเรื่อยๆ มันก็เห็นนี่ก็ของโลก เดี๋ยววันหนึ่งถึงไม่มีใครมาขโมย วันหนึ่งมันก็พัง ไม่มีอะไรถาวร เห็นอย่างนี้แล้ววันหนึ่งไมโครโฟนนี้พังไป ไม่เสียใจ ไม่เสียใจเพราะเรารู้อยู่แล้ว มันของไม่ยั่งยืน มันของไม่เที่ยง

เมื่อก่อนมีพระองค์หนึ่ง คนถวายแจกันอย่างดีให้ท่าน สวยงามมากราคาแพงมากเลย ท่านก็ห่วงแจกันนี้มากเลย จะไปไหนมาไหนก็สั่งพวกเณร เวลาปัดกวาดระวังให้ดีอย่าให้มันตกแตก วันหนึ่งเณรไปปัดฝุ่นแล้วมันทำแจกันนี้ตกแตกจริงๆ ใจหายใจคว่ำ เดี๋ยวกลับมาต้องถูกเฆี่ยนแน่ๆ เลย ปรากฏพอท่านเข้ามาเห็นเณรหน้าซีด ถาม “เป็นอะไร” เณรอึกๆ อักๆ แล้วก็สารภาพ “ทำแจกันแตก” ท่านถอนใจ เฮ้อ หมดทุกข์หมดร้อนเสียที คือคนเอาของมาถวาย แล้วพระไม่ดูแลอะไรก็ดูไม่ดี กลายเป็นภาระให้ท่านต้องดูแล พอมันแตกแล้วมันสุดวิสัยท่านแล้ว ท่านดูแลเต็มที่แล้วมันแตก ท่านรู้สึก แหม โล่งเลย สบาย อันนี้ เพราะท่านมีปัญญา รู้แจกันนี้มันก็ของไม่เที่ยง มันแตกก็ไม่เสียดาย

ฉะนั้นที่เรายึดถือมันก็ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริง เราก็คลายความยึดถือ แล้วก็ใจก็หลุดพ้น หลุดพ้นก็คืออย่างนี้ ยึดเอาไว้ก็ไม่พ้น ปล่อยเสียก็พ้นแล้ว ปล่อยไมโครโฟนมันก็พ้นไมโครโฟนล่ะ ปล่อยกายมันก็พ้นกาย ปล่อยเวทนามันก็พ้นเวทนา ปล่อยจิตมันก็พ้นจากจิต พอพ้นจากจิต มันจะกลายเป็นธาตุชนิดหนึ่งเป็นธาตุรู้ แล้วธาตุรู้นี้มันไม่เสื่อม มันไม่เสื่อมมันพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ส่วนขันธ์นั้นมันแก่ มันเจ็บ มันตาย ภาวนานะ โอกาสที่เราจะได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า มีไม่มากหรอก จะหมดไปเมื่อไรก็ไม่รู้ หลวงพ่อแค่ตั้งใจว่า อย่าให้มันหมดในรุ่นของเราก็แล้วกัน สืบทอดไปได้สักรุ่นหนึ่งก็ยังดี.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
14 พฤษภาคม 2565