บวชใจให้ได้

มีผู้หญิงเขาถามมา เขาจะบวช คือเขาบวชแล้วเป็นภิกษุณี ทางเถรวาทเรามันไม่มีภิกษุณีแล้ว ทางมหายานเขามีอยู่ ที่จริงการบวชมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนา เมื่อก่อนก็มี เป็นแม่ชีอยู่ภาคเหนือ ไปบวชเป็นภิกษุณี ภาวนาไม่ขึ้น ตอนหลังสึกออกมา ภาวนาก็ดีขึ้น คือไม่ใช่ว่าไปบวชไม่ดี แต่ว่าพอไปบวช ยิ่ง ผู้หญิงไปบวชแล้ว ยิ่งสำคัญมั่นหมาย เราเป็นนักบวช เป็นภิกษุณี เป็นโน้นเป็นนี้ ดีกว่าแม่ชีอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วพอไปอยู่รวมกันเยอะๆ ก็ไม่ค่อยถูกกัน ไม่ชอบหน้ากัน วันๆ ก็คิดแต่ว่าทำอย่างไรสังคมจะยอมรับ หรือทำอย่างไรจะจัดการกับพวกที่บวชอยู่ด้วยกันได้ คือถ้าวันๆ คิดแต่เรื่องอย่างนี้ มันภาวนาไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่มีโอกาสบวชทางร่างกาย เราก็มาบวชทางใจของเรา ตั้งใจรักษาศีลให้ดี เราภาวนาของเราไป เดินคนเดียวก็ได้ ภาวนาอยู่บ้านเรา ภาวนาไป ไม่ต้องไปสู้รบกับใคร รักษาสถานะ หรือจะให้สังคมยอมรับสถานะ เหนื่อย

ที่จริงการบวชมันยาก ตอนนี้มันชักจะยากขึ้นทุกทีๆ แล้ว ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายล่ะ อย่างในชลบุรี แต่ก่อนพระที่จะบวชมาอยู่ที่วัดหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ แล้วก็วัดยังไม่มีโบสถ์ ใครอยากบวชก็ต้องไปบวชที่อื่นมา ในชลบุรีเราก็ได้อาศัยอยู่ 3 วัดหลักๆ วัดเขาบางทราย วัดอรัญญิกาวาส และก็วัดศรีมหาราชา 3 องค์นี้ท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านใจดี ไปบวชท่านก็ช่วยดูแล ช่วยบวชให้ ตอนนี้ของวัดอรัญญิกาวาส ท่านมรณภาพไป วัดเขาบางทราย กับวัดศรีมหาราชา ท่านอาพาธ ฉะนั้นใครจะมาบวชตอนนี้ก็ต้องไปหาที่บวชเอา ที่ไหนเขาจะบวชให้ก็เอา บางที่เขาก็ไม่อยากบวชให้ เขาไม่ไว้ใจ ไม่รู้ใครมาจากไหน บางที่เขาบวชให้แต่เงื่อนไขเขาเยอะ ค่าใช้จ่ายเยอะ ต้องซื้อบาตรซื้อจีวรของวัดเขา บางที่บวชเสร็จต้องเลี้ยงอาหาร เลี้ยงโต๊ะจีน เลี้ยงอะไร ค่าใช้จ่ายเยอะ ก็ไม่รู้จะช่วยพวกเราอย่างไรที่อยากมาบวช ก็ไปหาที่บวชเอา

ตอนนี้ผู้ร้ายมันมาบวชก็เยอะ คณะสงฆ์ก็จำเป็น เขาก็ออกระเบียบมา ต้องสอบประวัติอาชญกรรมก่อน ถึงจะบวชได้ คือเงื่อนไขมันเยอะขึ้นๆ การตั้งอุปัชฌาย์ก็ตั้งยาก มีเงื่อนไขหลายอย่าง เลยหาอุปัชฌาย์ยาก พออุปัชฌาย์มีน้อย ท่านก็บวชๆ ท่านก็ไม่รู้จักคนที่บวชกับท่าน ดูแลกันยาก หลายเรื่อง พวกเราองค์ไหนบวชมาแล้ว ก็รักษาตัวให้ดี กว่าจะห่มผ้าเหลืองได้ไม่ใช่ง่าย ลำบากเยอะแยะเลย แต่ตอนผ้าเหลืองหลุดออกจากตัวง่าย พูดประโยคเดียวก็สึกได้เรียบร้อยแล้ว ท่านจำไว้ว่าข้าพเจ้าเป็นคฤหัสถ์อะไรอย่างนี้ ไปบอกกับมนุษย์ ไปบอกกับต้นไม้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็บ้าๆ ไปสึกกับต้นไม้อะไรอย่างนี้ ฉะนั้นกว่าจะบวชได้ไม่ใช่ง่าย

 

กรรมฐานเป็นงานทางใจ

ถ้าเราไม่มีโอกาสจะบวช อาจจะเพราะว่าไม่พร้อมที่จะบวช มีภารกิจทางโลก ยังบวชไม่ได้ หรือไม่มีภารกิจ แต่ยังหาที่บวชด้วยความเต็มใจไม่ได้ ไม่สบายใจที่จะบวช หาไม่ได้ทำอย่างไร อย่างผู้หญิงจะไปบวชภิกษุณี มันก็ไม่มีจริง ไปบวชชีแต่ละวัด เขาก็ขยาด หาที่อยู่ยาก มันมีเงื่อนไขที่เราบวชไม่ได้ เราฝึกตัวเอง บวชใจเราให้ได้ ตั้งใจรักษาศีล เอากี่ข้อ ก็เอาเท่าที่ทำได้ ขั้นต่ำมีศีล 5 ก็ โอเคแล้ว สูงขึ้นไปหน่อยก็ถือศีล 8 เป็นฆราวาสถือศีล 10 ไม่ไหวหรอก ศีล 8 กับศีล 10 มันต่างกันนิดเดียวล่ะ คือศีล 10 ควบคุมเรื่องการใช้เงินใช้ทอง เป็นฆราวาสมันต้องใช้เงินอยู่แล้ว ฉะนั้นได้ศีล 8 มากที่สุด

ฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจถือศีล 5 ศีล 8 ถือเข้าไปเถอะ เท่าที่ทำได้ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่างบางคนสุขภาพไม่อำนวย ถือศีล 8 อดข้าวเย็น แล้วยังทำงานหนัก ทำงานหนักทั้งวันเลย ตกเย็นไม่กินข้าวอีก ไม่นานโรคกระเพาะก็ถามหา ฉะนั้นดูสภาพเราที่ทำได้จริงๆ ทำแล้วไม่เข้าข่ายอัตกิลมถาลิกานุโยค ทรมานตัวเอง แต่ไม่ใช่ปรนเปรอตัวเองตามใจชอบ มีวินัยในตัวเอง อยู่บ้านก็ภาวนาของเราไป ฆราวาสก็ทำมรรคผลได้ แต่จะทำให้ถึงพระอนาคามีอะไรอย่างนี้ สมัยพุทธกาลก็มี สมัยเราคงยากหน่อย สิ่งยั่วยุมันเยอะเหลือเกิน แต่จะถึงพระอรหันต์ สมัยพุทธกาล ฆราวาสบรรลุพระอรหันต์ก็มี มีตั้งหลายองค์ ฉะนั้นอยู่ที่ท่านฝึกของท่าน ตั้งใจจริง รักษาศีล ภาวนาจริงจัง ส่วนใหญ่ฆราวาสยังเสียดายในกาม เสียดายกามสุขอยู่ เสียดายเรื่องโลกๆ ฉะนั้นจะภาวนาให้จบยากมาก แต่ทำได้

ส่วนใหญ่ในสมัยพุทธกาล ฆราวาสที่ท่านเป็นพระอรหันต์ มักจะเป็นสมสีสี คือเป็นพระอรหันต์ตอนกำลังจะตายแล้ว ทำไมต้องไปเป็นตอนกำลังจะตาย ตอนแข็งแรงไม่ค่อยเป็น แข็งแรงยังยุ่งกับโลกอยู่ พอจะตายแล้ว ใจมันวาง ยอมปล่อย ปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิต บรรลุพระอรหันต์ มีหลายองค์ พระเจ้าสุทโธทนะก็เป็น สันตติมหาอำมาตย์อำมาตย์ก็เป็น บรรลุพระอรหันต์แล้วก็ตายวันนั้นเลย หลังๆ เราก็เลยสรุปกันว่า ถ้าบรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ได้บวชในวันนั้นก็จะตายเลย ในคัมภีร์ก็จะมีเรื่องอย่างนี้อยู่ แต่คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วไม่กลัวตายหรอก ถ้าบอกไม่กล้าเป็นพระอรหันต์ เพราะกลัวจะตาย ไม่มีทางเป็น

มีครั้งหนึ่งอยู่กับหลวงปู่ หลวงปู่ดูลย์ มีคนไปถามท่านว่า บรรลุพระอรหันต์แล้ว ไม่ได้บวช จะตายจริงไหม ท่านตอบดี ท่านบอกในคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ท่านไม่ได้บอก คัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วท่านก็หันมาถามหลวงพ่อว่า “ถ้าบรรลุพระอรหันต์ ไม่ได้บวชแล้วตาย เอาไหม” บอกเอา ความตายมันจะน่ากลัวอะไร เรามีกิเลส เดี๋ยวเราก็เกิดอีก เราก็ตายอีก แต่ถ้าวางความยึดถือในธาตุในขันธ์ ในกายในใจได้ พ้นทุกข์ไปเลย มันจะตายก็ตายไปเถอะ ใครมันตาย ขันธ์มันตาย มันไม่ใช่เราตายอีกต่อไปแล้ว

ฉะนั้นถ้าเรายังบวชไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเงื่อนไขอะไร ยังมีหน้าที่ต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ลูกยังเรียนหนังสืออยู่ ไม่มีใครส่ง เราก็ต้องส่งอะไรอย่างนี้ ทำหน้าที่ของเราไป งานกรรมฐานเป็นงานทางใจ ตั้งอกตั้งใจภาวนาของเราให้ดี ถือศีล 5 ไว้ ศีล 8 ถือเป็นบางครั้งบางคราว คนโบราณเขาถือศีล 8 วันพระกัน ไปถือศีล 8 ก็ไปอยู่วัด ไม่ทำงานอะไรมาก อยู่วัดกัน ถือศีล 8 ทุกวันนี้มันไปอย่างนั้นไม่ได้ วันพระก็ต้องทำงาน เหนื่อย ถ้าไม่ได้กินข้าวเย็นอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวโรคกระเพาะก็ถามหา อยู่ไม่ไหว พอธาตุขันธ์เราทรุดโทรม การภาวนายาก คนจะภาวนาได้ดี ร่างกายต้องแข็งแรงพอสมควร ไม่ถึงขนาดต้องเป็นนักกล้ามอะไรหรอก แต่ว่าต้องแข็งแรง ประเภทหายใจโรยรินแล้วจะภาวนา มันไม่ไหว ฉะนั้นภาวนาตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่

ไม่มีโอกาสบวชเพราะเหตุผลใดๆ ก็ตาม ก็อยู่บ้าน ภาวนาให้ดี รักษาศีล ทำสมาธิทุกวัน ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตตัวเองไว้ สมาธิมันจะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าไม่ใส่ใจจิต ไปฝึกสมาธิ สงบยาก ตั้งมั่นยาก ถ้าเรารู้ทันจิตของตัวเอง เราทำสมาธิไป สงบง่าย ตั้งมั่นง่าย ไม่ยาก เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วเราก็รู้ทันไป ร่างกายมันหายใจ จิตมันเป็นคนดู หายใจไปสักพักหนึ่ง จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว รู้ทัน ตรงที่เรารู้ทันว่าจิตมันหนีไป จิตที่หนีไปคือจิตที่ฟุ้งซ่านจะดับ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่านจะเกิดขึ้นมาแทน มันจะสงบขึ้นมา แล้วมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา

 

สมาธิเป็นเรื่องสำคัญ

ฉะนั้นทุกวันต้องฝึกสมาธิ ทิ้งไม่ได้ หลวงพ่อเคยพลาดมาแล้ว เสียเวลาไปช่วงหนึ่ง ทำสมาธิตั้งแต่เด็กจนกระทั่งประมาทในสมาธิ เห็นว่าทำแทบตาย ไม่เห็นมันจะได้อะไรเลย ได้แต่สงบ อีกช่วงหนึ่งก็ฟุ้งอีกแล้ว แล้วก็สงบอีก แล้วก็ฟุ้งอีก ก็มีอยู่แค่นี้เอง มันเดินปัญญาไม่เป็น แล้วก็เลยไปดูถูกสมาธิ พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ดูจิตดูใจ จิตใจมันก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเลย เป็นฆราวาส ภาวนาเข้าไป จิตใจก้าวกระโดดได้ เสร็จแล้วเลยดูถูกสมาธิ ทำมาตั้งนานไม่ได้อะไร เจริญวิปัสสนา ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจในเวลาไม่มาก เลยทิ้งสมาธิไป ไปเจริญปัญญา เห็นจิตเกิดดับไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งกำลังสมาธิไม่พอ

พอกำลังสมาธิไม่พอ ขณะที่เจริญวิปัสสนาอยู่ มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลสแทรกเข้ามา มี 10 อย่าง วิปัสสนูปกิเลส สำหรับนักดูจิต วิปัสสนูปกิเลสตัวที่เด่นเลย มีแทบทุกคนเลย คือตัวโอภาส โอภาสเป็นแสงสว่าง จิตไปอยู่กับความสว่าง ความว่าง แหม มีความสุขเหลือเกิน คล้ายๆ นั่งทับอุจจาระอยู่ ไม่รู้เรื่องเลย นั่งทับของสกปรกอยู่ จิตเราสกปรกอยู่ เราไม่เห็นเลย เราเห็นแต่มันว่าง มันสว่าง มันสบาย เพราะว่าสมาธิไม่พอ หรือเวลาเรานั่งสมาธิ สมาธิเรายังไม่พอ แล้วใจมันฟุ้งขึ้นมา มันทำงานขึ้นมา มันจะเกิดนิมิต

เวลาเราทำสมถะ สิ่งที่มาหลอกลวงเราคือนิมิตทั้งหลาย เวลาเราทำวิปัสสนา สิ่งที่มาหลอกลวงเราคือพวกวิปัสสนูปกิเลสทั้งหลาย นี่เป็นสิ่งที่เป็นกับดัก อย่างถ้าเราทำสมาธิ หายใจไปเรื่อยๆๆ ตอนที่ใจมันรวมเคลิ้มลงไป มันยังเข้าไม่ถึงฌาน จิตมันก็สร้างนิมิตขึ้นมาได้ นิมิตไม่ใช่แค่ว่าเห็นโน่นเห็นนี่ นิมิตเป็นรูปก็มี นิมิตเป็นเสียงก็มี นั่งอยู่แล้วได้ยินเสียงเทวดา เสียงผีอะไรอย่างนี้ นิมิตเป็นกลิ่นก็มี บางทีได้กลิ่นหอม ได้กลิ่นเหม็นลอยมา อาบน้ำอยู่ ทั้งๆ ที่อาบน้ำอยู่ เปิดฝักบัวอยู่ น้ำที่พุ่งออกมาจากฝักบัว หอมตลบไปหมดเลย นี่ก็นิมิต นิมิตกลิ่น นิมิตรสก็มี กินข้าวเปล่าๆ บางที โห อร่อยจัง มีรสชาติเอร็ดอร่อย นี่ใจที่มีสมาธิ แต่ว่าไม่ถึงฌาน มันจะปรุงสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเยอะแยะเลย ทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งสัมผัสก็มี นิมิตเป็นสัมผัส

อย่างเรานั่งสมาธิเยอะๆ มันปวด มันเมื่อย เห็นนิมิตเหมือนมีคนมานวดให้อย่างนี้ ลืมตามาดู เห็นขาบุ๋มลงไปอย่างนี้ เป็นรอยนิ้วเลย นี่นิมิตทั้งนั้น นิมิตเป็นธรรมารมณ์ก็มี จิตรวมลงไป แล้วกิเลสหลอก ระลึกชาติ ระลึกชาติมีทั้งระลึกจริง ระลึกปลอม ถ้าจิตไม่ถึงอัปปนาสมาธิ แล้วบอกระลึก นี่ระลึกเก๊ เป็นนิมิตหลอกเอา เคยเกิดเป็นนั่นเคยเกิดเป็นนี่ ล้วนแต่เกิดใหญ่ๆ ทั้งนั้น เพราะว่ามันสนองกิเลส หรือบางทีภาวนา เฮ้ย คนนี้ชาติก่อนเป็นเมียเรา ชาตินี้ไม่ได้เป็นเมียเรา เพราะฉะนั้นต้องเอาคืนอะไรอย่างนี้ นี่นิมิตทางใจมันหลอก หลอนว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ หรือบางคนนั่งสมาธิภาวนาอยู่ที่บ้าน นิมิตหลอกว่าหลวงพ่อไปเรียกมา ไปตามตัวมา บอกว่าถึงเวลาแล้วให้มาหาหลวงพ่อ กิเลสมันหลอกเอา จิตมันหลอน บางคนถึงขนาดบอกว่า หลวงพ่อไปเรียกให้เอารถยนต์มาถวาย เอามาจริงๆ ใจเด็ด หลวงพ่อก็บอก เออ รับไว้ แต่เอาคืนไปเลย ไม่ต้องมาให้เรา เพราะว่าตัวเองโดนกิเลสหลอกมา เพราะฉะนั้นนิมิตบางทีมันทั้งหลอกทั้งหลอน อย่าไปเชื่อสิ่งที่หลอกหลอนทั้งหลาย

ทำอย่างไรจะข้ามนิมิตได้ ทำสมาธิเข้ามาให้จิตตั้งมั่นจริงๆ นิมิตทั้งหมดจะดับอัตโนมัติเลย แล้วเวลาทำวิปัสสนาอยู่ เห็นเกิดดับๆ อยู่ ถ้าสมาธิไม่พอ มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส ทำอย่างไรจะแก้ วิปัสสนูปกิเลสได้ ทำสมาธิให้จิตตั้งมั่นถึงฐานจริงๆ วิปัสสนูปกิเลส 10 อย่างอยู่ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นการทำสมาธิไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญ สำคัญ ถ้าสมาธิเราไม่พอ ไปทำสมถะ มันก็โดนนิมิตหลอก สมาธิเราไม่พอ ไปทำวิปัสสนา จะถูกวิปัสสนูปกิเลสหลอก นึกว่าบรรลุพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นเรื่องของสมาธิจำเป็นต้องฝึก ต้องทำทุกวัน

 

ถ้าจิตตั้งมั่น การเจริญปัญญาจะเกิดขึ้น

วิธีฝึก เอากรรมฐานที่เราถนัดนี่ล่ะ จะหายใจเข้าพุทออกโธ หรือจะเดินจงกรม หรือจะดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อย่างในวัดหลวงพ่อ หลวงพ่อให้พระองค์หนึ่งดูกระดูกอยู่ กระดูกอย่างเดียวเลย ไม่ต้องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ท่านก็ดูกระดูกไปเรื่อยๆ ดูจนกระดูกมันใส แล้วใจสงบ พอใจมันเคลื่อนไป ไปทำงานอะไรอย่างนี้ มันทิ้งกระดูกไป สติก็ระลึกได้ว่าจิตไปปรุงแต่งแล้ว ทำกรรมฐาน ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็รู้ทันจิตตนเองไป จิตมันจะค่อยๆ มีกำลัง ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

สมาธิ อย่าไปแปลมักง่ายว่าสงบ สมาธิไม่ได้แปลว่าสงบ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น ฉะนั้นถ้าจิตไม่ตั้งมั่น จิตก็ไหลไป หรือไม่จิตก็เข้าไปตั้งแช่ เช่น เราดูท้องพองยุบอย่างนี้ จิตไปแช่อยู่ที่ท้อง นั่นไม่ใช่สมาธิตั้งมั่นแล้ว จิตจมลงไปอยู่ในอารมณ์กรรมฐาน รู้ลมหายใจ จิตไปจมอยู่กับลมอย่างนี้ อันนี้ไม่ตั้งมั่น ถ้าตั้งมั่นจะเห็นอะไร อย่างเรารู้การหายใจอยู่ มันจะเห็นว่าร่างกายมันหายใจ จิตเป็นคนรู้คนดูอยู่ กายกับจิตนั้นคนละอันกัน ขันธ์มันแยกออกจากกัน ถ้าจิตตั้งมั่นปุ๊บ การเจริญปัญญามันจะเกิดขึ้น

ปัญญาขั้นที่หนึ่งคือแยกขันธ์ได้ อย่างเราเห็นร่างกายหายใจอยู่ แต่จิตมันตั้งมั่นขึ้นมา มันก็เห็นร่างกายมันหายใจ จิตเป็นคนรู้คนดูอยู่ มันแยกได้แล้ว กายกับใจมันแยกออกจากกัน นี่เป็นการที่พอมีสมาธิ ก็เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ปัญญาขั้นแรก ก็คือการแยกรูปแยกนาม แล้วต่อไปก็ค่อยเห็นประณีตขึ้นจนเห็นรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นามทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนี้เป็นตัวการเจริญวิปัสสนาปัญญา

ปัญญามีหลายอย่าง ปัญญาขั้นต้นยังเจือด้วยการคิดอยู่ ก็ยังดีเหมือนกัน อย่างคิดเรื่องไตรลักษณ์ คิดอะไรอย่างนี้ ปัญญาอย่างกลางๆ ก็เป็นวิปัสสนาปัญญา ปัญญาขั้นสูงก็เป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาเห็นอริยสัจ วิปัสสนาปัญญาก็เห็นธาตุขันธ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แตกต่างกัน ส่วนปัญญาพื้นๆ เจือการคิดอยู่อาจจะคิดว่าร่างกายเป็นไตรลักษณ์อะไรอย่างนี้ บางคนยังขึ้นวิปัสสนาไม่ได้ คิดไปก่อนก็ได้ แล้วถ้าจิตตั้งมั่น ปัญญาในขั้นวิปัสสนาจะเกิด ถ้าทำปัญญาในขั้นวิปัสสนา จะเห็นสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าสมาธิไม่พอ ตรงที่เห็นเกิดดับๆ ตรงนี้วิปัสสนูปกิเลสจะแทรก พอรู้ทัน ทำความสงบเข้ามาให้ถึงฐานจริงๆ ให้ตั้งมั่นจริงๆ วิปัสสนูปกิเลสจะดับ เราก็จะเห็นสภาวธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เห็นต่อไปอีก เห็นไปช่วงหนึ่ง ใจมันจะเบื่อ ใจมันจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เลยโลกนี้ รูปธรรมนามธรรมล้วนแต่ของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือว่ามันน่าเบื่อ มันน่ากลัว ชีวิตนี้เปราะบางเหลือเกิน รูปทั้งหลายเปราะบางเหลือเกิน นามทั้งหลายเปราะบางเหลือเกิน จะเห็นอย่างนี้

ค่อยภาวนาไปอีก ในที่สุดจิตมันจะเข้าไปสู่ความเป็นกลางได้ รูปจะดี หรือรูปจะเลว มันก็มีคุณสมบัติอันเดียวกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นามธรรมทั้งหลายจะดีหรือเลว ก็มีคุณสมบัติอันเดียวกันคือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเหมือนๆ กัน ฉะนั้นจิตจะเข้าสู่ความเป็น กลาง แล้วถัดจากนั้นจิตจะก้าวเข้าสู่กระบวนการของการบรรลุมรรคผล จิตจะเข้าอัปปนาสมาธิโดยเราไม่ได้เจตนา รวมปึ๊บเลย

 

ภาวนาตลอดเวลาเท่าที่ทำได้

เคยได้ยินมา ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง บางทีท่านนั่งเทศน์อยู่ มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นี่ล่ะ แสดงไปๆ จิตท่านก็พิจารณาธรรม แล้วก็ถ่ายทอดไปเรื่อยๆ จิตมันพิจารณาธรรมะแล้วถ่ายทอดออกทางคำพูดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง สติ สมาธิ ปัญญา มันพอ ท่านบอกจิตมันรวมปึ๊บลงไป แล้วมันก็ละกิเลสตรงนั้นเลย แล้วพอจิตถอนออกจากสมาธิ ท่านก็รีบนึกเมื่อกี้เทศน์ถึงเมื่อไร เทศน์ถึงเรื่องอะไร เวลามันชั่ววินาทีเดียวเอง กระบวนการสั้นนิดเดียวที่จะล้างกิเลส

ฉะนั้นเราไม่รู้ว่าจิตมันจะล้างกิเลสตอนไหน หน้าที่เราคือภาวนาตลอดเวลาเท่าที่ทำได้ ตอนไหนที่อินทรีย์แก่กล้า ศีล สมาธิ ปัญญาเพียงพอ อริยมรรค อริยผล ก็จะเกิดขึ้น ไม่มีใครทำให้เกิดได้ มันเกิดเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์ นี่ล่ะไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นโยม ถ้าเดินอยู่ในเส้นทางนี้ ต่อไปเราจะเป็นพระโดยไม่ต้องบวช คือร่างกายเราก็ยังนุ่งกางเกง นุ่งกระโปรงอยู่อย่างนี้ล่ะ แต่ใจเราเป็นพระได้ พระแปลว่าประเสริฐ คำว่าพระ แปลว่าประเสริฐ ใจที่ประเสริฐคือใจที่มันไม่โง่ ใจที่มันฉลาด มันไม่โง่ มันไม่อ่อนแอ แพ้กิเลส

เพราะฉะนั้นเราฝึกใจของเราให้ประเสริฐได้ รักษาศีล ทุกวันทำในรูปแบบ ทำสมาธิไปด้วยจิตที่เป็นคนรู้คนดู รู้ทันจิตไว้ จิตหนีแล้วรู้ๆ กรรมฐานอะไรก็ใช้หลักนี้ เดี๋ยวจิตสงบเอง จิตตั้งมั่นเอง ถัดจากนั้นก็เจริญปัญญา พอจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันจะแยก มันจะมีของแถมตามมาเลย เพราะว่าสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา

ปัญญาตัวแรกก็คือการแยกขันธ์ มันแยกเองล่ะ ถ้าสมาธิเราพอ มันจะเห็น อย่างเราเดินอยู่ เห็นร่างกายเดิน ตรงที่ขันธ์มันแยก มันเห็นร่างกายเดิน เป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นคนรู้คนดู คนละอันกัน นี่แยกขันธ์แล้ว บางคนแปรงฟันอยู่ดีๆ จิตรวมปึ๊บลงมา เห็นท่อนอะไรไม่ใช่เรา บางทีมองกระจก ไม่รู้ใคร ใครไม่รู้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาเลย จิตมันเป็นเองล่ะ มันจะแยกรูปแยกนาม

แยกรูปแยกนามได้แล้วต่อไปก็เห็นรูปแต่ละรูปเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นามแต่ละนาม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนั้นล่ะวิปัสสนา ค่อยฝึกเรื่อยๆ เรื่อยๆ สุดท้ายมรรคผลมันก็เกิด ไม่ใช่เรื่องยาก ฆราวาสก็ทำได้ ฆราวาสทำที่สุดแห่งทุกข์ยังได้เลย ที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ มีตั้งหลายองค์ เป็นฆราวาสบรรลุพระอรหันต์ ฉะนั้นถ้ายังไม่มีโอกาสบวช ไม่ต้องดิ้นรนมาก ถึงเวลาสมควร กรรมมันจัดสรรให้เองล่ะ มันยังไม่สมควรก็อย่าไปเร่าร้อน ภาวนาไป

หลวงพ่ออยู่กับหลวงปู่ดูลย์ภาวนาไม่นาน หลวงปู่บอกว่าช่วยตัวเองได้แล้วล่ะ แวบหนึ่ง ใจมันก็อยากบวช ตั้งแต่ปี 2525 ใจมันก็อยากบวช แต่เรามีภาระมีครอบครัวที่ต้องดูแล มีพ่อมีแม่ต้องเลี้ยงอะไรอย่างนี้ ยังบวชไม่ได้ บวชไม่ได้หลวงพ่อก็ภาวนาของหลวงพ่อ ไม่มาคร่ำครวญ วางใจไว้เลยว่าถึงเวลาที่มันสมควรบวช กรรมมันก็จัดสรรให้เองล่ะ ไม่ต้องดิ้นรนมาก แต่ภาวนาให้มากเอาไว้ ฉะนั้นไม่ต้องนั่งคิด อย่างผู้หญิงไม่ต้องไปนั่งคิดหรอก จะไปบวช ทำอย่างไรจะได้เป็นภิกษุณีอะไรอย่างนี้ คิดอย่างนั้นไม่มีทางบรรลุมรรคผลหรอก ใจมันวุ่นวาย คิดแต่จะเอาโน่น คิดแต่จะเป็นนี่ เป็นนี่ไม่ใช่เป็นหนี้ อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่อะไรอย่างนี้ ไม่ถูกเรื่อง ใจฟุ้ง เสียเวลา แทนที่จะให้ใจมันฟุ้ง ก็ภาวนาไปอย่างที่ว่านั่นล่ะ ถือศีล ทำสมาธิ เจริญปัญญาไป

 

สติปัฏฐาน 4 เนื่องกันทั้งหมด

เจริญปัญญา แต่ละคนก็มีลีลาของตัวเองอีก บางคนก็สงสัยอีก หลวงพ่อก็พูดเรื่อยๆ เลย สติปัฏฐาน 4 เหมือนประตู 4 ด้าน เข้าอันไหนก็ได้ แต่พอเขาภาวนา จะเห็นมันมีประตู 4 ชั้น ประตูเริ่มจากกาย จากดูกาย แล้วมันก็ไปเห็นเวทนาในกาย แล้วมันไปเห็นเวทนาในใจ ขึ้นจากกายมาเวทนา พอมีเวทนาเกิดขึ้น จิตก็ทำงานแล้วเข้าไปสู่จิตตานุปัสสนาแล้ว มีความสุขจิตก็เกิดราคะ มีความทุกข์ จิตก็เกิดโทสะ เขาบอก เอ๊ะ ทำไมมันไม่เป็น 4 ทิศ มันมีตั้ง 4 ชั้น 4 ชั้นจะได้ไหม ได้ ไม่ได้ผิดหรอก แต่ตอนเริ่มต้น เริ่มอันใดอันหนึ่งก่อน ไม่ใช่เริ่มเช้าดูกาย สายดูเวทนา บ่ายดูจิต กลางคืนดูธรรม ตั้งนาฬิกาไว้ดู ไม่ได้กินหรอก ฟุ้งซ่าน

ฉะนั้นจะเริ่มต้นอันใดอันหนึ่งก่อนก็ได้ แล้วสติปัฏฐาน 4 มันเนื่องกันหมดล่ะ มันเหมือนโต๊ะนี้ โต๊ะเล็กๆ มี 4 มุม เราลากมุมไหนขึ้นมา โต๊ะมันก็ขึ้นมาทั้งหมดล่ะ บางคนเห็น ถนัดกาย ถนัดดูกาย ใครเป็นคนดูกาย จิตเป็นคนดูกาย ก็มีกายกับจิต บางคนถนัดดูเวทนา ใครเป็นคนดูเวทนา จิตเป็นคนดูเวทนา ก็มีเวทนากับจิต นี่แยกขันธ์ได้ มีเวทนากับจิต บางคนชอบดูจิตตานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา มันไม่ใช่ดูตัวจิตตรงๆ หรอก มันดูจิตที่เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง จิตมีราคะ จิตไม่มีราคะ มันก็จะเห็นราคะ โทสะ โมหะ สงบ ฟุ้งซ่านอะไรทั้งหลาย มันก็ของถูกรู้ถูกดู ใครเป็นคนรู้คนดู จิตเป็นคนรู้คนดู

แต่เดิมไม่มีจิตที่เป็นคนรู้คนดู ก็มีแต่จิตที่ถูกราคะ โทสะ โมหะสงบ ฟุ้งซ่าน หดหู่อะไรพวกนี้ครอบงำอยู่ แต่พอดู ทำจิตตานุปัสสนาเป็น มีจิตเป็นคนดู แล้วเห็นสังขารทั้งหลาย ทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่เป็นอกุศล เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หรือเจริญธัมมานุปัสสนา ใครเป็นผู้เจริญธัมมานุปัสสนา ก็จิตนั่นล่ะ เป็นผู้เจริญธัมมานุปัสสนา เห็นนิวรณ์ เห็นโพชฌงค์ เห็นธาตุ เห็นขันธ์ เห็นอายตนะทำงาน เห็นปฏิจจสมุปบาทอะไรอย่างนี้ ใครเป็นคนเห็น จิตเป็นคนเห็น

เห็นไหมในสติปัฏฐาน 4 มันมีพระเอกอยู่ตัวหนึ่ง ที่อยู่ในทุกอันเลย คือจิต ดูกายให้แจ่มแจ้งแล้วจะรู้จิต ดูเวทนาแจ่มแจ้งจะรู้จิต ดูจิตตานุปัสสนาที่เป็นกุศลอกุศลแจ่มแจ้งก็จะรู้จิต เจริญธัมมานุปัสสนาไป ต่อไปก็จะเห็นจิตรู้จิต ลงมาที่จิตทั้งหมด เพราะฉะนั้นเวลาล้างกิเลสล้างลงที่จิต ตัดลงที่จิตนั่นล่ะ จิตไม่ยึดแล้วใครจะยึด จิตไม่ทุกข์ ใครจะทุกข์ แล้วค่อยภาวนา ค่อยๆ พัฒนาไป ยังมีกรรมฐานบางอย่าง อย่างอานาปานสติ 16 ขั้น ถ้าเราไปศึกษา อานาปานสติ 16 ขั้น 4 ขั้นแรกคือกายานุปัสสนา 4 ขั้นที่สองคือ เวทนานุปัสสนา 4 ขั้นที่สามคือจิตตานุปัสสนา 4 ขั้นสุดท้ายคือ ธัมมานุปัสสนา นี่เป็นลีลา สติปัฏฐานเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ของคนทั่วไป มันเป็นกรรมฐานระดับพระพุทธเจ้าเล่น พวกเราทำยาก แค่ 4 ขั้นแรกมันก็ไม่ผ่านแล้ว ทำยาก ฉะนั้นเอาที่ทำได้

ค่อยๆ ดู ธรรมะ เห็นไหมว่าหลากหลาย มีความพิสดาร กว้างขวางมากเห็นไหม ถ้าคนทั่วๆ ไป ก็บอกเป็นประตู 4 ทิศ ดูกายก็เห็นจิต ดูเวทนาก็เห็นจิต ดูจิตตานุปัสสนาก็เห็นจิต ดูธัมมานุปัสสนา สุดท้ายก็เห็นจิต ลงมาที่จิต รู้ลงที่จิต ละลงที่จิตนี่เอง มันก็ได้เหมือนกัน บางคนอย่างนี้ไม่พอใจ ตื้นเกินไป ดูตั้งแต่กายเลย แล้วต่อเข้าเวทนา ต่อเข้าจิตตานุปัสสนา ต่อเข้าธัมมานุปัสสนา อันนั้นเขาเล่นของเขาได้ ก็ให้เขาเล่นไป ถ้าเราเล่นไม่ได้ เราก็เล่นง่ายๆ ประตูด้านใดด้านหนึ่ง ก็เข้าไปถึงจิตได้ สามารถไปปลดปล่อยจิตได้

มันคล้ายๆ เมือง เทียบแบบประตูเมืองโบราณ 4 ทิศ ตัวหัวหน้า ตัวคิง ตัวกษัตริย์ อยู่ในเมือง อยู่ในปราสาท แต่ถูกกบฏมันจับไว้ ถูกผู้ร้ายมันเข้าไปยึดไว้ อันนี้ก็คือจิตของพวกเรานี้ล่ะ เป็นพระราชา จิตเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า แต่จิตมันไม่ใหญ่จริง มันถูกอาสวกิเลส ถูกอวิชชาเข้าไปควบคุมอยู่ เราเข้าประตูเมืองด้านใดด้านหนึ่ง เข้าไปถึงตัวปราสาท เข้าไปถึงตัวกษัตริย์ แล้วก็ทำลายกิเลสออกไป ก็เกิดอิสรภาพขึ้น เข้าอย่างไรก็ได้ กรรมฐานหลากหลายพิสดารออก ยิ่งเรียนยิ่งรู้ว่าโง่ ไม่ใช่ยิ่งเรียนแล้วรู้สึกกูเก่ง ยิ่งเรียน รู้สึกปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอัศจรรย์จริงๆ เราได้เสี้ยวหนึ่ง ยังไม่ค่อยจะได้เลย ท่านอัศจรรย์ ความรู้ของท่าน

 

รถ 7 ผลัด

ความรู้ของพระพุทธเจ้าสูงสุด อันนั้นใช่ แต่ความรู้ของสาวกดีๆ ก็เยอะ ในพระไตรปิฎกมีคำสอนของพระสาวกยอดๆ เยอะแยะเลย เคยได้ยินชื่อ รถวินีตสูตรไหม พระสูตร รถวินีตสูตรเป็นบทสนทนาระหว่างพระสารีบุตรกับพระปุณณมันตานีบุตร พระปุณณมันตานีบุตรเป็นคนเกิดในชาติภูมิ คือเกิดในกบิลพัสดุ์ แล้วก็ภาวนาบรรลุพระอรหันต์เร็ว ท่านเป็นคนสอนพระอานนท์ให้พระอานนท์บรรลุโสดาบัน ท่านไม่ธรรมดา ท่านเก่ง แล้วท่านสอนลูกศิษย์ท่าน ตัวท่านเองทำด้วย สอนลูกศิษย์ด้วยในกถาวัตถุ 10 ข้อ หลวงพ่อเทศน์เมื่ออาทิตย์ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานั้น คือกถาวัตถุ 10 ข้อ เราต้องมักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงบวิเวก ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร เจริญศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ 10 ข้อ บอกพระปุณณมันตานีบุตร ท่านภาวนา ท่านปฏิบัติอยู่ในองค์ธรรม 10 ข้อนี้ แล้วท่านก็สอนลูกศิษย์ท่านในองค์ธรรม 10 ข้อนี้

วันหนึ่งมีพระมาจากกบิลพัสดุ์ มาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ในกบิลพัสดุ์ยังมีใครสอนกถาวัตถุ 10 บ้าง ตัวเองก็ทำด้วย แล้วก็สอนด้วย พระก็บอกประสานเสียงเลยว่า พระปุณณมันตานีบุตร ท่านเป็นคนสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ชมเชยว่าเป็นบัณฑิต องค์นี้ดีใช้ได้ ตอนที่พระพุทธเจ้าชมพระปุณณมันตานีบุตร พระสารีบุตรท่านนั่งฟังอยู่ด้วย ท่านก็อยากเจอพระปุณณมันตานีบุตร ท่านก็สั่งลูกศิษย์ท่านไว้ว่าถ้าเมื่อไรพระปุณณมันตานีบุตรมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ให้รีบมาบอก ท่านจะมาสนทนาธรรมด้วย นี้ก็อยู่มาช่วงหนึ่ง ท่านพระปุณณมันตานีบุตรมาจริงๆ เฝ้าพระพุทธเจ้า

สนทนาธรรมกันไม่นาน ท่านก็ออกจากพระพุทธเจ้า เดินเข้าไปชายป่า ไปหาที่พักกลางวัน เมืองแขกมันร้อน กลางวันก็ค่อยไปอยู่ใต้ต้นไม้ มันก็เย็นหน่อย จะไปนั่งสมาธิ ถือเสื่อไป บอกเอาเสื่อวางบนศีรษะ ทำไมไปวางบนศีรษะ กันแดดได้ ไม่ต้องมาทำเรียบร้อย ถือไปแล้วหัวตากแดด ไม่มารยามาก พาดหัว พาดไหล่ไป ลูกศิษย์พระสารีบุตรมาบอก พระสารีบุตรดีใจ คว้าอาสนะพาดไปบ้าง ตามไป เห็นพระปุณณมันตานีบุตรยังพักอยู่ท่านก็ไม่เข้าไปยุ่ง ท่านก็ไปพักที่ต้นไม้ใกล้ๆ กัน

พอตกเย็นเห็นพระปุณณมันตานีบุตรออกจากสมาธิมาแล้ว ท่านก็เข้าไปหา ท่านก็ถามว่า ที่ท่านมาบวช มาปฏิบัติ ท่านต้องการความบริสุทธิ์ของศีลหรือ พระปุณณมันตานีบุตรบอกไม่ใช่ พระสารีบุตรก็ถามต่อว่า ต้องการความบริสุทธิ์ของความเห็นหรือ ของทิฏฐิ ท่านบอกไม่ใช่ ต้องการความบริสุทธิ์ที่ข้ามความสงสัยหรือ ก็บอกไม่ใช่ นี่ชื่อกังขาวิตรณวิสุทธิ ชื่อมันเรียกยาก เรียกไปแล้วยังต้องแปลอีก อันที่สามแล้ว อันที่สี่ ท่านต้องการข้ามความสงสัยว่า อันนี้เป็นทางอันนี้ไม่ใช่ทางหรือ บอกไม่ใช่ แล้วท่านมีปฏิปทาต้องการที่จะปฏิบัติ เจริญศีล สมาธิ ปัญญา เรียกปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ต้องการอันนี้หรือ ไม่ใช่ ท่านต้องการญาณทัสสนวิสุทธิหรือ หรือต้องการมรรคผลหรือ ไม่ใช่ ต้องการวิมุตติญาณทัสสนะหรือ การรู้แจ้งแทงตลอดในจิตตนเองว่ามีกิเลส ไม่มีกิเลส อะไรอย่างนี้ ท่านบอกไม่ใช่

พระสารีบุตรก็บอก เอ๊ะ อันนี้ก็ไม่ใช่ๆ นี่ก็ไม่ใช่ หรือท่านภาวนาเพื่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ยังมีทางปฏิบัติอะไรมากกว่านี้อีกไหม ท่านบอกไม่มี บอกถ้าอย่างนั้น นี่ก็ไม่ใช่ๆ มากกว่านี้ก็ไม่ใช่ แล้วต้องการอะไรแน่ ท่านบอกท่านต้องการอนุปาทิเสส นิพพาน นิพพานที่ไม่มีขันธ์เหลือ คือปรินิพพานนั่นเอง แล้วพระสารีบุตรถามสุดท้าย ต้องย่อๆ แล้ว หมดเวลา พระปุณณมันตานีบุตร บอกว่าวิสุทธิ 7 ตัว เหมือนรถ 7 คันที่จอดเรียงกัน บอกพระเจ้า ปเสนทิโกศลจากสาวัตถีจะไปเมืองสาเกต เป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งในอาณาเขตของท่าน ตรงนี้ถ้านั่งรถม้าคันเดียวใช้เวลานาน ม้ามันวิ่งไม่ได้หรอก ท่านก็มีสถานีกลางทาง มีอยู่ 7 สถานี ขึ้นจากสถานีที่หนึ่ง ขึ้นรถคันที่หนึ่ง พอม้าเหนื่อยก็ลง เปลี่ยนรถ เปลี่ยนม้า เป็นสถานีที่สองไปสถานีที่สาม บอกถึง 7 ครั้ง

เพราะฉะนั้นท่านไปถึงเมืองสาเกตได้ ไม่ใช่เพราะรถคันที่หนึ่ง ไม่ใช่เพราะรถคันที่สอง ไม่ใช่เพราะรถคันที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ไม่ใช่เพราะวิธีการอื่น แต่ไปเพราะรถ 7 ผลัด ธรรมะที่ท่านพูด วิสุทธิ 7 เหมือนรถ 7 ผลัด ก็ส่งทอดไปจนถึงปลายทาง คือพระนิพพาน พระสารีบุตรฟัง โห องค์นี้เก่งจริง ก็ถามว่าท่านชื่ออะไร รู้อยู่แล้ว แต่ขอถามเสียหน่อย พระปุณณมันตานีบุตร บอกชื่อ ปุณณมันตานีบุตร พระสารีบุตรก็สรรเสริญว่าท่านสุดยอดเลย เพื่อนสหธรรมิกได้รับประโยชน์จากท่านมาก ท่านดีจริงๆ ยอดเยี่ยมจริงๆ

พระปุณณมันตานีบุตรไม่รู้จักพระสารีบุตร ถามกลับว่าแล้วท่านชื่ออะไร ตั้งคำถามเก่ง ไม่มีใครสู้เลย พระปุณณมันตานีบุตร ตอบเก่งไม่มีใครสู้ แต่พระสารีบุตรถามเก่ง ไม่มีใครสู้เหมือนกัน ท่านยกย่องซึ่งกันและกัน แล้วพระสารีบุตรบอก ผมชื่อสารีบุตร พระปุณณมันตานีบุตรอาจจะค้อนเล็กๆ บอก โหย ถ้ารู้ว่าเป็นพระ สารีบุตรไม่คุยด้วยหรอก เสียเวลา เพราะรู้อยู่ทุกเรื่อง รู้อยู่ทุกอย่างแล้ว สูตรอย่างนี้ โหย อ่านแล้วสะใจมากเลย มันส์จริงๆ นี่เป็นธรรมะที่สาวกแสดงมีเยอะ มีดีๆ เยอะเลย บางเรื่องดีหลายเรื่องหลายสูตร ฉะนั้นเราอย่าดูถูกว่าจะเรียนเฉพาะสูตรของพระพุทธเจ้า สาวกก็แสดงธรรมะที่อัศจรรย์ได้มากมาย เป็นที่ยกย่อง

วันนี้เทศน์เท่านี้ล่ะ หมดเวลาแล้ว สรุปก็คือภาวนาเอา ไม่ต้องเร่าร้อนที่จะไปบวชภิกษุณีอะไรหรอก ภาวนาอยู่บ้านนั่นล่ะ ถ้าบวชแล้วก็วุ่นวาย จะให้สังคมยอมรับ แล้วก็ไปทะเลาะกันเองอยู่ข้างในอะไรอย่างนี้ เสียเวลา สู้อยู่บ้าน ล้างกิเลสของตัวเอง ทำหน้าที่ของเราเองให้ดีที่สุดนั่นล่ะ.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
8 พฤษภาคม 2565