หัดสังเกตใจตัวเอง

วันพฤหัสที่จะถึงนี้ 23 มกราคม ที่วัดจะจัดงานสวดถอน ภาษาบาลียาว สวดถอนติจีวราวิปปวาส สมานสังวาสสีมา ท่องตั้งหลายวันกว่าจะจำได้ 2 งาน 2 งานต่อกัน สวดถอน 2 อย่างต่อกัน เป็นเรื่องของสงฆ์ เวลาจะสร้างโบสถ์ จะกำหนดเขตเรียกเขตสีมา ก่อนจะกำหนดก็ต้องมีพิธีสวดถอนก่อน เพราะเราไม่รู้ว่า ในอดีตพื้นที่ตรงนี้เคยมีสงฆ์ มาทำพิธีกำหนดเขตสีมาไว้หรือยัง เราจะไปกำหนดซ้ำซ้อนกับเขาตรงๆ ไม่ได้ ก็ต้องมีมติสงฆ์ถอนพื้นที่นี้ คล้ายๆ เคลียร์พื้นที่นี้ก่อน

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากหน่อย เป็นงานของสงฆ์จริงๆ เลย ต้องนิมนต์พระมาเยอะแยะ เกือบๆ 300 องค์ ทีแรกว่าจะนิมนต์ 400 เขาบอกไม่จำเป็น เอาแค่นี้ก็พอ ก็พระจะมาทำพิธี ต้องยืนเต็มพื้นที่เลย ในเขตที่จะสวดถอน จะโตกว่าตัวโบสถ์ ลงมาถึงลานรอบๆ นิดหน่อย พระต้องยืนให้เต็มพื้นที่แล้วก็สวดถอนไป พอสวดถอนพื้นที่ตรงนี้เสร็จก็เคลื่อน เคลื่อนขบวนพระไป ไปสวดถอนต่อๆ ไป จนกระทั่งเต็มพื้นที่ งานนี้จริงๆ แล้วเป็นงานของสงฆ์ ตามพระวินัยจริงๆ ฆราวาสก็อนุโมทนาเอา

ที่นี่ตั้งมาตั้งแต่ปี 2549 ทีแรกก็เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมก่อน ยังไม่ได้เป็นวัด แล้วก็เก็บข้อมูลเตรียมพร้อม พอมาถึงปี 2553 ก็ไปยื่นเรื่องขอตั้งเป็นวัด จะตั้งเป็นวัดได้ ขออนุญาตสร้างวัดก่อน ขั้นตอนมันเยอะ ขั้นตอนแรกไปขออนุญาตสร้างวัดก่อน ก็ใช้เวลานาน หลายเดือน กว่าจะได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดได้ที่นี่ พอสร้างเป็นวัดแล้วก็ต้องมีเสนาสนะ กุฏิ มีอาคาร อย่างอาคารนี้เป็นศาลาการเปรียญ สร้างไว้ก่อน พอสามารถ พระสามารถมาอยู่เพื่อทำกิจของสงฆ์ได้ ก็เลยพร้อมแล้ว ก็ขออนุญาตตั้งวัด

เห็นไหมขั้นตอนเยอะ ทีแรกขอสร้างก่อน พอสร้างเสร็จแล้ว ก็ไปขอ ไปแจ้ง บอกสร้างเสร็จแล้ว พระอยู่ได้แล้ว ก็มาตั้งวัด ตั้งปี 2554-2555 กว่าจะตั้งได้ แล้วจากนั้นก็ลงมือสร้างโบสถ์ นี้โบสถ์เราเสร็จแล้ว ใช้เวลา 10 กว่าปี ค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ กว่าจะสร้างได้ก็ลำบาก มันเป็นงาน ทีแรกจะทำแบบง่ายๆ ทำแบบเป็นอาคารอันหนึ่ง ก็ทำพิธีของสงฆ์ได้แล้ว ทำสังฆกรรมได้ ทำไปทำมา อาจารย์ที่ลาดกระบังท่านหนึ่ง ท่านมาเห็นแบบ ท่านรู้สึกน่าเกลียด เลยออกแบบให้ใหม่ ออกมาเป็นอย่างนี้ เลยใช้เวลานาน แล้วก็ต้นทุนสูง

วันพฤหัสนี้ เป็นงาน เขาเรียกพูดง่ายๆ ภาษาชาวบ้านเรียกงานถอนสีมา ไม่ใช่งานฝังลูกนิมิต แล้วก็ไม่ใช่งานฉลองวัดด้วย ฉลองวัด ฉลองไปนานแล้ว เพราะตั้งมานานแล้ว พวกเราจะมาก็ได้ แต่ว่าไม่ค่อยสะดวกหรอก ไม่ได้ห้าม ห้ามไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ถ้ามากันเยอะๆ ไม่สะดวก แค่ห้องน้ำก็ลำบากแล้ว ไม่มีข้าว ไม่มีข้าวเลี้ยง แล้วก็ไม่ได้มีเทศน์ หลวงพ่อไม่ได้เทศน์หรอก แค่ยุ่งกับพระ ก็ไม่มีเวลาเหลือจะมองโยมแล้ว ก็มีการถ่ายวิดีโอไว้ ทีมงานก็จะทำวิดีโอไว้ ใครไม่ได้มาก็ดูวิดีโอเอา ก็สะดวก

 

สร้างความเคยชินใหม่ที่จะรู้สึกตัว

เมื่อกี้ตอนหลวงพ่อมานั่งใหม่ๆ นั่งจิบน้ำร้อน ไม่ได้เสพสุขหรอก ก็เสียงมันไม่มี ได้จิบน้ำอุ่นอะไร เสียงมันก็ค่อยมีหน่อย ระหว่างนั้นก็เห็นพวกเรา จิตใจล่องลอยกันเป็นส่วนมาก เราเคยชินที่จะหลง ต้องสร้างความเคยชินใหม่ เคยชินที่จะรู้สึกตัว ไม่ใช่เคยชินที่จะหลง หัดไปเรื่อยๆ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเอง จิตใจเราหลงไป รู้ทัน ไม่ห้าม ถ้าพยายามจะไม่หลง มันจะเป็นการเพ่ง ถ้าเพ่งอยู่ ร่างกายก็เคร่งเครียด จิตใจก็เคร่งเครียด เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทำตัวเองให้ลำบาก

วิธีฝึก สอนทุกวี่ทุกวันล่ะ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง เริ่มต้นก็ฝึกกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้ที่เราถนัด จะบริกรรมก็ได้ พุทโธๆ สัมมาอะระหัง นะมะพะทะ หรือสวดมนต์ เมตตัง คุณณัง อะระหัง เมตตา อะไรก็ได้ หรือจะรู้ลมหายใจออกหายใจเข้า หรือจะรู้อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน หรือจะรู้ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง อะไรก็ได้ หางานสักอย่างหนึ่งมาให้จิตมันทำ เอากรรมฐานเป็นเหยื่อล่อ เป็นเครื่องผูกจิตให้มันมาอยู่ในอารมณ์เดียว

พอจิตมันมาอยู่ในอารมณ์อันเดียว สิ่งที่มันจะได้ มันได้ความสงบ ได้ความสุข แล้วถัดจากนั้น ถ้าจิตเราหนีไปจากอารมณ์อันนั้น ให้เรารู้ทัน อย่างเราพุทโธๆ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้ทันว่ามันลืมพุทโธ แต่ถ้าเราไม่มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ เวลาหลงมันจะหลงยาว หลงเป็นวันๆ เหมือนคนทั่วๆ ไป ที่เขาไม่เคยเรียนกรรมฐาน เขาหลงวันละครั้ง แต่เขาหลงตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตื่นมากับความหลง แล้วก็หลับไปพร้อมๆ กับความหลง วันละครั้งเท่านั้น คือหลงอย่างเดียวเลย

เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาฝึกตัวเอง เปลี่ยนจากความเคยชินที่จะหลง มาเป็นความเคยชินที่จะรู้สึกตัว ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัดสักอย่างหนึ่ง แล้วจิตเราหลงไปจากอารมณ์กรรมฐานอันนั้น มันจะรู้ได้เร็ว อย่างถ้าเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไปเรื่อยๆ พอจิตมันลืมการหายใจ ลืมพุทโธ สักพักหนึ่งมันจะนึกขึ้นได้ อ้าว นี่หลงไปแล้ว

หลวงพ่อเคยเข้าไปกราบหลวงพ่อเทียนที่วัดสนามใน ไปดูว่าท่านปฏิบัติอย่างไร เพราะตอนนั้นท่านมีชื่อเสียงอยู่ ลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะ ก็เลยเข้าไปดูท่าน เห็นท่านสอนขยับมือทำจังหวะ หลวงพ่อดูแล้วก็ อ๋อ ใช้วิธีนี้เอง เคลื่อนไหวร่างกายแล้วรู้สึก คนส่วนใหญ่ถึงไปเรียน มันก็ทำไม่ถูก ไปขยับ มันไปเพ่งมือ ใจมันไปจดจ่ออยู่ที่มือบ้าง ใจไปคิดเรื่องมือบ้าง ว่าท่านี้แล้วต่อไปจะท่าไหน ในขณะที่หลวงพ่อเทียนขยับแล้วรู้สึก ขยับแล้วรู้สึกตัว ไม่ใช่ขยับแล้วเพ่งมือ ไม่ใช่ขยับแล้วก็คิดเรื่องมือ แต่ขยับแล้วรู้สึกตัว มีสติ

หลวงพ่อเห็นปุ๊บ เข้าใจ วิธีของท่านก็ดี ใช้ได้ รู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ได้เข้าไปนั่งรวมกลุ่มเรียนอยู่ ที่ท่านกำลังสอน เห็นปั๊บแล้วเข้าใจแล้ว ไปนั่งใต้ต้นไม้ ขยับบ้าง ขยับอย่างที่ท่านสอน มาขยับ ขยับ 14 จังหวะ ขยับไปๆ รำคาญ เพราะเป็นคนขี้โมโห อะไรที่พะรุงพะรัง ไม่ชอบ หลวงพ่อก็เลยลดลงเหลือแค่นี้ ขยับเหลือแค่นี้เอง แต่ขยับด้วยความรู้สึกตัว มันคือแก่นสารอันเดียวกัน กับที่หลวงพ่อเทียนสอน คนส่วนใหญ่จะไปหลงที่รูปแบบ ว่าต้องขยับอย่างนี้ถึงจะถูก ขยับอย่างอื่นผิด

หลวงพ่อเจอครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง คือหลวงพ่อคำเขียน หลวงพ่อคำเขียนเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของหลวงพ่อเทียน ภาวนาเก่ง ท่านเล่าบอกว่า แต่แรกๆ หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนเรื่อง 14 จังหวะ ท่านสอนให้มีสติ เน้นแต่เรื่องสติ นี้คนส่วนใหญ่มันไม่รู้จะทำอย่างไรให้เกิดสติ ท่านก็เลยไปกำหนด 14 จังหวะนี้ขึ้นมา เพื่อจะช่วยให้มีสติ พอทำจังหวะ พอใจลอยก็ลืม พอลืมไปสักพักก็จะรู้สึก อ้าว นี่หลงไปแล้ว อะไรอย่างนี้

แต่ส่วนใหญ่ไม่อย่างนั้นหรอก ขยับจนชำนาญแล้วมันเพลิน ก็ขยับไป หลงไป เพลินๆ ไป อันนั้นก็ไม่ถูกวัตถุประสงค์ที่ท่านสอนหรอก ท่านต้องการสอนให้มีสติ นี้หลวงพ่อไปเล่นอยู่ในวัดท่าน นั่งขยับ ขยับอย่างนี้นานๆ เมื่อย ขยับแค่นี้เอง แล้วเวลาเดินจงกรม กลับมาเดินจงกรม เดินจงกรมเมื่อย หลวงพ่อก็ขยับๆ แต่พวกเราคงทำไม่ได้หรอก ขยับเดี๋ยวก็หลง ของหลวงพ่อเดินจงกรมด้วยนิ้วอย่างนี้ ขอให้มีสติ ทำได้หมด นี้เล่นขยับร่างกายแล้วรู้สึก ขยับร่างกายแล้วรู้สึก

หลวงพ่อไม่เคยทำมาก่อน ตั้งแต่เรียนกับหลวงปู่ดูลย์ ดูจิตเอา จิตหลงแล้วรู้ จิตหลงแล้วรู้เอา เจอแบบหลวงพ่อเทียน มาลองทำดู ขยับแล้วรู้สึก วันหนึ่งเห็นเพื่อนเดินอยู่คนละฝั่งถนน เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมัธยม เห็นแล้วดีใจ จะไปคุยกับเพื่อน ขยับตัวจะก้าวข้ามถนน หันซ้ายหันขวาไม่มีรถ ตอนนั้นยังขาดสติอยู่ ขยับเท้าจะเคลื่อน สติเกิดเอง เฮ้ย พอขยับปุ๊บสติเกิดเลย ทำไมขยับตัวแล้วสติเกิด เพราะเราเคยฝึกขยับแล้วรู้สึก ขยับแล้วรู้สึก เพราะฉะนั้นพอขยับเท้านิดเดียว รู้สึกตัว นี่หลงแล้ว พอหลงแล้วก็ถอยมาตั้งหลักใหม่ หันซ้ายหันขวาใหม่ ค่อยเดินไปด้วยความรู้สึกตัว ก็ไปคุยกับเขา

 

แก่นสารสาระที่พระพุทธเจ้าสอน

เพราะฉะนั้นกรรมฐานอะไร ไม่สำคัญเท่าไรหรอก สำคัญที่ว่าจิตของเรา ที่ไปทำกรรมฐานนั้นมันถูกหรือเปล่า ถ้าทำกรรมฐานแล้วก็มุ่งไปที่ความสุข ความสงบ ความเพลิดเพลิน เคลิบเคลิ้ม อันนั้นก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าฟุ้งซ่าน แต่ว่ายังไม่ดีมาก ยังไม่ใช่แก่นสารสาระที่พระพุทธเจ้าสอนหรอก ลำพังการทำสมาธิให้จิตสงบ ให้จิตมีความสุข ฤๅษีชีไพรทำมาก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายพันปี เขาทำมาตั้งนานแล้ว

เจ้าชายสิทธัตถะออกมาบวช ก็ไปเรียนกับฤๅษี ก็ไปเรียนหัดเข้าฌานนั่นล่ะ คอนเซ็ปต์ท่านก็ไม่ได้ต่างกับที่พวกเราเป็น พวกเราส่วนใหญ่พอคิดถึงการปฏิบัติ ก็จะนึกถึงการนั่งสมาธิเลย คิดว่าการนั่งสมาธิ ก็คือการปฏิบัติที่ดี เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็คิดมาก่อนพวกเราหลายพันปี ท่านก็คิดมาก่อน เห็นไหมมนุษย์เรา นานเท่าไรๆ ก็คล้ายๆ กัน คล้ายๆ กัน ต้องฝึกตัวเองขึ้นมา เริ่มต้นท่านก็ไปนั่งสมาธิกับฤๅษี ได้ฌานที่ 7 จากอาฬารดาบส ได้ฌานที่ 8 จากอุทกดาบส

เสร็จแล้วฤๅษี 2 องค์นี้ ก็บอกว่าเรียนจบหลักสูตรแล้ว ใช้เวลาไม่มาก ท่านจบหลักสูตร ฤๅษีก็เชิญท่านบอกให้มาเป็นอาจารย์ มาช่วยสอน ฤๅษีแก่แล้ว เดี๋ยวก็ตายแล้ว ท่านจะได้สืบทอดสำนัก ท่านบอกว่า มันยังไม่แล้วใจท่าน เพราะว่าท่านทำสมาธิสงบลงไป พอออกจากสมาธิ ท่านก็ยังทุกข์เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นการนั่งสมาธิให้สงบ ไม่ตอบโจทย์ ท่านถึงออกแสวงหาทางของท่านเอง ในยุคที่ท่านออกแสวงหาด้วยตัวของท่านเอง เป็นยุคที่พวกเชน พวกชินะ พวกเชน เฟื่องฟูขึ้นมา

พวกเชนเขาจะสอนเรื่องทรมานกาย เขาบอกตัณหา ความอยากเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้นเราต้องดัดสันดานมันให้หายทุกข์ ทรมานร่างกายไป แล้วเขาเชื่อว่า ชีวิตเรามีความทุกข์ มีอะไรขึ้นมาเพราะกรรมเก่า การไปทรมานร่างกาย เป็นการชดใช้กรรม ใช้ไปเรื่อยๆ กรรมจะได้หมด แล้วจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พ้นจากกิเลสตัณหา ทรมานร่างกาย เป็นการฝึกร่างกาย แล้วพอร่างกายมันทุกข์ทรมาน เป็นการฝึกใจให้เอาชนะ ไม่เกรงกลัวความทุกข์ ความลำบาก คิดว่าการทรมานร่างกาย มันเป็นการใช้กรรมของเราด้วย

คอนเซ็ปต์อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ การทรมานกาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่านบอกว่าทรมานตัวเอง ทำตัวเองให้ลำบาก ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน ทางที่จะเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่การทรมานตัวเอง ที่ท่านตอบอันนี้ได้ชัดเจน เพราะท่านทรมานตัวเองมาก่อน อดข้าวจนสลบแล้วสลบอีก ก็อดทนทำ จนกระทั่งรู้ว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่ทาง

แล้วอย่างทฤษฎีใช้กรรม ชาวพุทธเราไม่ได้เกิดมาใช้กรรม ทฤษฎียอมจำนนกับกรรมเก่า เป็นทฤษฎีของพวกนิครนถ์ พวกเชนอะไรพวกนั้น ชาวพุทธเราเกิดมาเพื่อทำกรรมใหม่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ลดละกิเลส เจริญกุศลไป อันนี้ทำกรรมใหม่ที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนศีล สมาธิ ปัญญามันบริบูรณ์ ท่านเคยถามพวกที่ทรมานร่างกาย ถามว่า “ทำไปเพื่ออะไร”
บอก “เพื่อใช้กรรม เดี๋ยวกรรมหมดแล้ว ก็จะได้บรรลุแล้ว”
ท่านถามว่า “ทำมานานหรือยัง”
บอก “นานแล้ว”
“ใช้กรรมไปได้กี่เปอร์เซนต์แล้ว เหลือกี่เปอร์เซนต์”
“ไม่รู้”
ใช้มาตั้งนาน แต่ใช้ไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เหลืออีกเท่าไรก็ไม่รู้ ท่านบอกไม่ได้เรื่องเลย อย่างนี้ มันประเภทงมงาย

พวกเรา พวกทฤษฎีกรรมเก่า ใช้กรรมเก่า ตามหาเจ้ากรรมนายเวร ตระเวนไปขอขมา ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก ทฤษฎีนี้เพี้ยนอย่างแรงๆ เลย ชาวพุทธเราทำกรรมใหม่ที่ดี กรรมใหม่ที่ดีเป็นอย่างไร ก็พัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาของตัวเองขึ้นมา บาปอกุศลละเสีย ความชั่วทั้งหลายอย่าทำ อย่าไปผิดศีล 5 แล้วก็สร้างคุณงามความดี มีสติ ฝึกสติให้ดี แล้วศีล สมาธิ ปัญญา มันจะพัฒนาขึ้นมา สติสำคัญ ขาดสติก็ขาดศีล ขาดสติก็ขาดสมาธิ ขาดสติก็ขาดปัญญา

ฉะนั้นการฝึกสติ ที่เรียกการเจริญสติปัฏฐาน ถึงเป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียว เพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ถ้าเราฝึกสติปัฏฐาน มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะค่อยๆ บริบูรณ์ขึ้นมา พอศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์ อริยมรรคก็เกิด อริยผลก็เกิดทันทีตามมา แล้วก็กิเลสถูกทำลายล้างไป แล้วไม่กลับคืนมาอีก ไม่หวนกลับมาอีก ฆ่ากิเลสครั้งเดียว กิเลสที่ถูกฆ่าตัวนั้น จะไม่ฟื้นคืนมาอีก

 

ศรัทธาที่แท้จริงต้องประกอบด้วยสติ ด้วยปัญญา

อย่างถ้าเราทรมานร่างกาย มันไม่ได้ล้างกิเลสอะไร อันแรกเลยมันสะสมโมหะ ความหลงผิด ไม่รู้ว่าอะไรคือทาง อะไรไม่ใช่ทาง ต่อไปก็คือมันทำด้วยศรัทธาที่งมงาย ชาวพุทธเราไม่เรียกศรัทธางมงายว่าเป็นศรัทธาหรอก ศรัทธาต้องประกอบด้วยสติ ต้องประกอบด้วยปัญญา ถึงจะเป็นศรัทธาที่แท้จริง ศรัทธางมงายก็คิดว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะดี ทำอย่างนี้แล้วจะรวย ทำอย่างนี้แล้วจะเฮง พวกเราทำไหม

ชาวพุทธนี้ล่ะตัวดีเลย ลองไปดูตามวัดต่างๆ แต่ละวัดเขาจะสร้างรูปปั้นอะไรต่างๆ ขึ้นมา บางวัดไม่มีรูปปั้น แล้วไปขุดตอไม้มาตั้งไว้ให้เราไหว้ ไปกราบไหว้ ไปขอพร เอาผ้าไปผูกอะไรอย่างนี้ แล้วคิดว่าชีวิตเราจะดี จะร่ำรวย จะมีความสุข ลืมไปว่าทุกอย่างอยู่ใต้กฎแห่งกรรม อยากรวย กรรมเก่าเคยมีไหมที่จะทำให้รวย เคยทำทานมาไหม ถ้ากรรมเก่าเคยทำมาดีแล้ว กรรมใหม่ที่จะทำให้รวยมีไหม

บางคนมีกรรมเก่าดี เกิดมารวย ที่จริงไม่ได้เกิดมารวยหรอก แต่เกิดมาพ่อแม่รวย ตัวเองไม่ได้รวย ตัวเองมามือเปล่าๆ เกิดมาแล้วพ่อแม่รวย นี่มีกรรมเก่าดี แต่ทำกรรมใหม่ชั่ว คบเพื่อนชั่ว พากันไป เขาเรียกอะไร ไปตามชายแดน จังหวัดชายแดน ไปเล่น เขาเรียกอะไร ไปเล่น ไปเล่นคาสิโน ให้มันรวยแค่ไหน ไม่นานมันก็เจ๊ง นี่ทำกรรมใหม่ชั่ว กรรมเก่าดีแต่กรรมใหม่ชั่ว ผลมันก็ชั่ว ถ้ากรรมเก่าชั่ว กรรมเก่ามาไม่ดี เกิดมายากจน แต่ทำกรรมใหม่ที่ดี ก็สามารถพออยู่พอกินได้

รวยหรือไม่รวย อยู่ที่พอหรือไม่พอ มี 10,000 ล้านแล้วยังไม่พอ ใจมันก็ยังจน ใจมันยังเป็นเปรตอยู่ มีอยู่มีกิน ไม่รวยเหมือนคนอื่นเขา มีเสื้อผ้าใส่ หนาวๆ ก็ยังมีผ้าใส่ ไม่หรูหรา ไม่ต้องมี แบรนด์ ใจเราพอ ถ้าใจพอ ใจมันก็ไม่หิว คนที่ใจไม่หิวนั่นล่ะ คนนั้นมันรวยแล้ว พวกที่ยังจนอยู่ ใจมันหิว มี 10,000 ล้านมันยังจนอยู่เลย เพราะว่ามันหิวไม่เลิก พวกนี้มันสวมวิญญาณเปรต เปรต เท่าไรมันก็ไม่อิ่ม คนโบราณวาดภาพเปรตมีปากเล็กๆ ตัวโตๆ ปากเล็กนิดเดียว กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม นั่นก็เป็น Symbolic เป็นสัญลักษณ์ของคนโลภมาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ไม่เต็ม ไม่พอใจ

แต่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่แปลว่าเปรตจริงๆ ไม่มี มี แล้วเปรตมีนานาชนิดเลย เคยมีอุบาสกคนหนึ่ง ที่ไปหาครูบาอาจารย์ทางเชียงราย แล้วตอนเช้ามืด นั่งรถผ่านไปในป่า ทางเหนือสมัยก่อนป่ามันเยอะ ยังไม่ถึงเชียงราย ยังไม่สว่างดี นั่งภาวนาไป จิตมันสว่างออกไป ไปเห็นพระองค์หนึ่ง เห็นพระ ตัวสูงเท่าภูเขาเลย แล้วกำลังเดินหาทางออกจากป่าอยู่ หลงป่า ที่จริงตัวใหญ่ขนาดนั้น ก้าว 2-3 ก้าวมันก็พ้นแล้ว แต่ว่ามองไม่เห็น เห็นทุกหนทุกแห่งมีแต่ป่า ก็เดินแสวงหาทางออกจากป่า หิว หิวโหย

อุบาสกนั้นเขานึก เอ๊ะ เปรตตนนี้เป็นพระ แล้วก็ผ่องใสมากเลย จิตใจสว่างไสว ผ่องใส เป็นเปรตที่งดงาม ทำไมเป็นเปรต พิจารณาก็ โอ้ ท่านก็เป็นพระดี ไปภาวนา ธุดงค์อยู่ในป่าในเขา ตั้งนานมาแล้ว แล้วเสร็จแล้วหลงป่า ตอนหลงป่าก็หิว พอหิวจิตใจทุรนทุราย เที่ยวเดินหาทางจะออกจากป่า หรือจะไปเจอหมู่บ้านอะไรอย่างนี้ แล้วตายไปในขณะที่จิตมีโลภะ ท่านก็ไปเป็นเปรตทันที แต่การที่ท่านถือศีลมาดี ท่านก็เป็นเปรตที่งดงาม กรรมเวลาให้ผล มันให้ผลประณีตมาก

ฉะนั้นอย่างพวกเราภาวนา ต้องหัดสังเกตจิตใจตัวเองให้ดี ภาวนาแล้วใจเราเป็นตัวอะไรแน่ เราภาวนาแล้ว เราเป็นเปรตหรือเปล่า อย่างคนภาวนาไม่เป็น ไปตามวัด ไปบางทีก็สะสมความเป็นเปรต ไปเจอตอไม้ก็ไหว้ตอไม้ขอให้รวย เห็นรูปปั้น มีรูปยักษ์ รูปอะไรก็ไหว้ ขอพรขอให้รวย เจออะไรขอหมดเลย ขอโน่นขอนี่ ไม่ขออย่างเดียว ขอให้ตัวเองมีความเพียร ไม่ขอ คนฉลาดเขาขออะไร ขอให้ได้พบพระที่แท้จริง ขอให้ได้เข้าใกล้ ขอให้ได้ฟังธรรม ขอให้ตั้งใจฟังธรรม ขอให้เข้าใจธรรมที่ท่านแสดง คนฉลาดเขาขออย่างนี้ เวลาทำบุญทำทาน เขาขอแบบนี้ ไม่ใช่ขอให้รวย ให้สวย รวย เก่ง อะไรอย่างนี้

เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยรู้จัก พวกฆราวาสสอนธรรมะ เขาจะเลือกคน คนเขาจัดเป็น 2 พวก พวกหนึ่งคนมีคุณภาพ พวกหนึ่งคนไม่มีคุณภาพ คนมีคุณภาพคือคนสวย รวย เก่ง สวย รวย เก่ง เป็นดอกเตอร์อะไรนี้เข้าสเป็ก สวยด้วย รวยด้วย นี่สมบูรณ์แบบ อย่างนี้ มันไม่สะอาด ไม่สะอาด กระทั่งสอนกรรมฐาน บางทียังแทรกกิเลสเข้าไปแล้วไม่เห็นเลย สอนกรรมฐาน

เมื่อก่อนหลวงพ่อก็เห็น ไม่ได้ว่าคนอื่นหรอก เวลาสอนแล้วใช้วิธีด่า ด่าๆ ไม่ได้ว่าคนดังนั่น ไม่ใช่ นี่เป็นเคสที่เกิดก่อน บอก เฮ้ย ดูให้ดี ตอนที่เราด่าๆ กิเลสเราฟู กูเก่ง กูเหนือกว่าเขา บอกไปดูให้ดี เขาก็ไปดู เขาก็แก้ไขตัวเองได้ น่ายกย่อง คนนึกว่าทำอย่างนี้ดี แล้วต่อมาครูบาอาจารย์บอกว่าอย่างนี้ ไปสังเกตตรงนี้ยังมีกิเลสแทรก เอาไปสังเกต ไปปรับปรุง ไปเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ก็งดงาม เปลี่ยนแปลงตัวเอง

 

ตรวจสอบตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วการภาวนาจะราบรื่น

ฉะนั้นเวลาเราจะทำอะไร สังเกตใจตัวเองให้ออกเถอะ อะไรอยู่เบื้องหลัง ทำไมเราทำอย่างนี้ เพราะเราคิดว่าทำอย่างนี้แล้วดี อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดอีกทีหนึ่ง โลภ โกรธ หลงหรือเปล่า หรือเป็นความเมตตา กรุณา หรือว่ามีปัญญาไตร่ตรองว่าทำอย่างนี้สมควร สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำอย่างนี้ไม่สมควร พิจารณาตัวเอง ตรวจสอบตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วการภาวนามันจะราบรื่น

ถ้าหลับหูหลับตาภาวนาไปเรื่อย อันนี้ไม่ได้ว่า หลับหูหลับตาไม่ใช่ว่า คนนั่งหลับตาภาวนาไม่ดี “หลับหูหลับตา” หมายถึงทำไปแบบไม่รู้เหตุรู้ผล ไม่ใช่เกี่ยวกับท่านั่งหรอก บางท่าน ท่านนั่งหลับตาแล้ว ท่านภาวนาดีถมเถไป ที่หลวงพ่อบอกหลับหูหลับตาภาวนา หมายถึงไม่มีความไตร่ตรองเลยว่าที่ทำนี้ มันทำเพราะอะไร แล้วที่ทำอยู่นี้ มันเป็นการทำเหตุที่สมควรแก่ผลหรือเปล่า อย่างทรมานกายแล้วหวังว่าจะพ้นทุกข์ หวังว่าเป็นการใช้กรรมอะไรอย่างนี้ ไม่มีเหตุมีผลอะไร งมงาย

เพราะฉะนั้นต้องสำรวจใจของเราเองบ่อยๆ ถ้าเราอ่านใจตัวเองออก สังเกตบ่อยๆ แล้วสติ สมาธิ ปัญญาของเราจะดีขึ้น หัดอ่านใจตัวเองไว้ ใจเราขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ต้องสนใจที่อื่นหรอก สนใจใจของเราเอง ถ้าเราคอยสังเกตใจของเรา ใจเป็นอกุศลก็รู้ ใจเป็นกุศลก็รู้ สังเกตไปเรื่อยๆ มันโลภขึ้นมาก็รู้ มันโกรธขึ้นมาก็รู้ มันหลงขึ้นมาก็รู้ รับรองว่าพัฒนาแน่นอน ถ้าสังเกตอย่างนี้

เพราะการที่เราคอยสังเกตจิตใจของเราเองว่ามีอกุศลไหม เป็นกุศลหรือยัง คอยสังเกตไป มันคือการเจริญสัมมาวายามะ ถ้าสัมมาวายามะเราทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ สัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะทำให้การเจริญปัญญาสมบูรณ์ขึ้นมา มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุตติ เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา

เพราะฉะนั้นเวลาเราจะภาวนา สังเกตใจตัวเองไปเรื่อยๆ เลย ที่เราทำอยู่นี้ เราทำเพราะกุศลหรืออกุศล ที่เราพูดอยู่นี้ พูดด้วยกุศลหรืออกุศล ที่เราคิดอยู่นี้ คิดด้วยกุศลหรืออกุศล หัดสังเกตมันไปเรื่อยๆ รู้บ้างไม่รู้บ้างไม่เป็นไร แต่ดูบ่อยๆ หัดสังเกตบ่อยๆ ถ้าทำตรงนี้ได้ แล้วต่อไปกิเลสแทรกเข้ามาในจิตปั๊บนี่เห็นเลย นั่นล่ะสัมมาสติมันเจริญแล้ว สัมมาสติเป็นตัวว่องไวคล้ายๆ เป็นยาม เป็นยาม อะไรแปลกปลอมเข้ามาปุ๊บรู้ปั๊บเลย ไม่ได้หลับยาม

ถ้าพวกไม่มีสติก็พวกหลับยาม กิเลสมาแล้วมองไม่เห็น เห็นแต่กิเลสคนอื่น กิเลสตัวเองไม่เห็น เพราะฉะนั้นต้องฝึก หัดสังเกตจิตใจตัวเองบ่อยๆ ที่เราทำอยู่นี้ อะไรอยู่เบื้องหลัง ที่เราทำนี้กุศลหรืออกุศลอยู่เบื้องหลัง อย่างเราไปปิดทองพระ เราปิดทองพระ อะไรอยู่เบื้องหลัง ปิดทองเพื่อให้พระสวยงามก็แบบหนึ่ง ปิดทองถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า ก็ไปอีกแบบหนึ่ง ปิดทองแก้บนก็ไปอีกแบบหนึ่ง ดีไหมปิดทองแก้บน ดี เพราะบนแล้วไม่แก้บน ก็เสียสัจจะ ฉะนั้นบนแล้วต้องแก้บน

มีเรื่องเล่า มีบุรุษผู้หนึ่งอยู่แถวนี้ล่ะ ตอนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พรรคพวกเขาก็ไปบนหลวงพ่อโสธร บนปิดทอง คนนี้ได้ยินก็บนบ้าง ว่าถ้าสอบได้จะปิดทองหลวงพ่อโสธร 100 แผ่น บนกันหลายคน คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีไปบน ไม่ต้องแก้บน เพราะสอบไม่ได้ มัวแต่ตระเวนบนที่โน่นบนที่นี่ หวังว่าจะสอบ หนังสือไม่ดู คนนี้บนตามเพื่อน แล้วก็ดูหนังสือไป สอบได้ ก็ไปแก้บน เอาทองไป 100 แผ่น แปะ แปะเสียเหนื่อย

พอเหนื่อยแล้วทำอย่างไรดี โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อย คนอื่นเขาก็รอแปะอยู่เยอะเลย หลวงพ่อโสธรท่าน ท่านดัง คนมาแก้บนเยอะ เลยเอาทองที่เหลือปึกหนึ่งวางที่ตักท่าน ขอถวาย หลวงพ่อปิดเอาเองก็แล้วกัน นี่เขาก็แก้บน เพราะฉะนั้นอย่าไปปิดทองแก้บนอะไรเลย มีข้อดีตรงไหน ข้อดีก็คือรักษาคำพูดของเรา ดีตรงนี้ ส่วนความสำเร็จนั้น อยู่ที่ความพยายามของตัวเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นมนุษย์ สิ่งสำคัญคือความพยายามของตัวเอง

 

สัมมาสังกัปปะ มีความคิดชอบ

สังเกตไปเรื่อย เห็นไหม หรือเราไปปล่อยวัวปล่อยควาย เราปล่อยวัวปล่อยควายเพราะอะไร สังเกตตัวเองไป เพราะใจมีกรุณา เขาจะเอามันไปฆ่าแล้ว ใจเกิดความกรุณา อย่างนี้ก็ได้บุญเยอะหน่อย ไปปล่อยแล้วหวังว่า เราจะแข็งแรงเหมือนวัวเหมือนควาย ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไร อันนั้นเจือกิเลสลงไปแล้ว เจือความอยากส่วนตัวลงไปแล้ว ไม่ใช่กรุณาแล้ว แต่ทำเพราะโลภ ใช่ไหม โลภแล้วนึกว่าใจบุญเสียอีก สังเกตให้ออก บางทีจิตเป็นอกุศล นึกว่าไปทำกุศลอยู่

หัดสังเกตใจตัวเองไปเรื่อยๆ นี่ล่ะสุดยอดของการปฏิบัติเลย ถ้าสังเกตใจตัวเองออก เราจะรู้เลยว่า อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำของเรา ความคิดมันบงการคำพูดและการกระทำ อะไรบงการความคิด กุศลบงการก็ได้ อกุศลบงการก็ได้ ฉะนั้นสังเกตตัวนี้ให้ดีเถอะ ถ้าเราสังเกตตัวนี้เรื่อยๆ เราก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาสังกัปปะ มีความคิดชอบ ไม่ใช่คิดเพราะกิเลส ไม่ได้คิดเพราะโลภ โกรธ หลง แต่คิดเพราะกุศล

อย่างคิดเพราะหลง คิดแบบไม่รู้เหตุรู้ผล ถ้าคิดแล้วรู้หลัก สอดคล้องกับคำสอนในพระพุทธศาสนาอะไรอย่างนี้ มีเหตุมีผล อันนี้ก็ไม่ได้คิดด้วยโมหะ ถ้าคิดด้วยโมหะ อย่างเช่นทรมานกายแล้วจะละกิเลสได้ นี่คิดด้วยโมหะ แล้วเบียดเบียนตัวเองด้วยโมหะ อย่างบางคนทรมานตัวเอง อดข้าวนานๆ คิดว่าอดแล้วจะบรรลุ หรือเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ หรือนั่งไม่กระดุกกระดิกทีหนึ่งข้ามวันข้ามคืน ไม่นอน คิดว่าทำแล้วจะบรรลุ อันนี้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค

แต่บางท่าน ท่านอดข้าวแล้วสติท่านไว อันนี้ท่านอดข้าวแล้วมีสติดี ท่านสังเกตเห็นอันนี้ อันนี้ไม่ใช่อัตตกิลมถานุโยค อันนี้เป็นทางสายกลาง ฉะนั้นทางสายกลางแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนต้องกินข้าวให้อิ่มแล้วภาวนาดี ต้องนอนให้พอแล้วภาวนาดี บางคนต้องอดกิน อดนอน ผ่อนอาหารแล้วภาวนาดี ฉะนั้นจุดประสงค์ก็คือมีสติไหม ถ้าทำไปแล้วมีสติ อันนั้นมีเหตุมีผล ไม่ใช่งมงาย

ฉะนั้นสังเกต สังเกตใจตัวเองเรื่อยๆ เลย สิ่งที่เรากระทำนี้ อันนี้หยาบๆ สิ่งที่เราทำนี้อะไรอยู่เบื้องหลัง กุศลหรืออกุศลอยู่เบื้องหลัง สิ่งที่เราพูดนี้ กุศลหรืออกุศลอยู่เบื้องหลัง บางทีแทรก มันมีแทรกๆ อย่างเราเห็นคนไม่มีความรู้ เราก็พูดให้ความรู้เขา สอนเขา บางทีก็ถ่ายทอด ไม่เจอตัวก็คีย์เอา คีย์เอาถ่ายทอด อันนี้ก็คือเหมือนคำพูดนั่นล่ะ ใช้แทนคำพูด อยากให้เขารู้ถูกเข้าใจถูก แต่ลึกลงไป มันมีอยากให้เขารู้สึก ให้เขารู้ถูก ในเจตนาที่ดีที่เป็นกุศล ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ยังมีอกุศลซ่อนอยู่ก็ได้

ฉะนั้นสังเกต ค่อยๆ ดู อย่าเข้าข้างตัวเอง ค่อยๆ ดูไปอย่างประณีต ค่อยๆ สังเกตไปเรื่อย อะไรอยู่เบื้องหลังคำพูด อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา อะไรอยู่เบื้องหลังการกระทำ ถ้าการกระทำหรือคำพูดนี้ดูง่ายหน่อย อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด ต้องประณีตมากขึ้น ถ้าเราเห็น อันนี้กุศลซ่อนอยู่ อันนี้อกุศลซ่อนอยู่ การที่เราเห็นกุศลอกุศลบ่อยๆ จิตจำสภาวะของกุศลอกุศลได้ สติจะเกิด พออกุศลตัวนั้นเกิด สติเกิดเลย

อย่างเราเห็นคนลำบาก เราช่วย เราสังเกตดู ถ้าช่วยแล้วเราดีใจ ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาไม่อดอยากอะไร ใจเราดีใจ แวบหนึ่ง รู้สึก เรานี้ดีจังเลย บุญเราเยอะเหลือเกิน คำว่า “เรา” มันตัวโตเบ้อเร่อเลย นี่ค่อยๆ สังเกต กิเลสเป็นเรื่องประณีตมากเลย ค่อยๆ ดู ค่อยๆ สังเกตเอา ทีแรกก็รู้ได้แต่ของหยาบ ต่อไปก็รู้ได้ละเอียดขึ้นๆ ค่อยฝึก ไม่ยากหรอก

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 มกราคม 2568