หลักของการดูจิต

ฟังธรรมะ ฟังไปเรื่อยๆ ไม่ได้ประโยชน์ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ตอนหลวงพ่อเด็กๆ อายุ 7 ปี ได้ยินธรรมะท่านพ่อลี เรียนที่วัดอโศการาม ท่านสอนหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ สอนเท่านั้น หลวงพ่อเอามาทำทุกวัน ตั้งแต่เด็กๆ ไม่เลิกเลย ทำอยู่ 22 ปี เป็นการฝึกสมาธิ ตอนอายุ 29 แล้ว ถึงเจอหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อนิดเดียว บอก “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง”

ประโยคสำคัญที่เป็นคำสอนจริงๆ ก็คือ “อ่านจิตตนเอง” ประโยคเดียวที่ท่านสอน หลวงพ่อก็มาอ่านจิตตัวเอง ทีแรกก็อ่านผิด อ่านไม่เป็น ทำผิดอยู่ 3 เดือน ผิดทีแรกคิดว่าให้ดูจิต ก็ไปดูไปจ้องอยู่ที่จิต ทำจิตให้นิ่งๆ ว่างๆ คิดว่าดี จิตสงบ ว่างอยู่อย่างนั้น มันทำไม่ยาก เพราะว่าฝึกสมาธิมาเยอะ ได้ 3 เดือน ขึ้นไปกราบหลวงปู่อีกรอบหนึ่ง ไปรายงานท่านว่า “ผมดูจิตเป็นแล้ว”
ท่านว่า “จิตเป็นอย่างไร”
กราบเรียนท่าน “โอ๊ย จิตมันวิจิตรพิสดาร มันคิดนึกปรุงแต่งได้สารพัด แต่ผมสามารถฝึกจนมันสงบ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง”

หลวงปู่บอกว่า “ผิดแล้ว ให้ไปดูจิต ไม่ใช่ให้ไปปรุงแต่งจิต ไปดัดแปลงจิต จิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง เราไปทำจนมันไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง ทำผิดแล้ว ไปทำใหม่” ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนจะสอนแบบโหดมากเลย สอน 1 – 2 คำเท่านั้น รอบแรกที่ท่านสอนก็มีอีกประโยคสั้นๆ “ให้ไปอ่านจิตตนเอง” ครั้งที่ 2 คือ “จิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง” ให้ไปรู้มัน ให้ไปอ่านมัน ไม่ได้ให้ไปบังคับ ไม่ได้ให้เราไปแต่งจิตเสียเองให้ว่างๆ

 

จิตมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง ให้เราอ่าน
คือเราตามรู้ตามเห็นอย่างที่มันเป็น

พอได้หลักของการดูจิต หลวงพ่อก็ให้จิตมันทำงานไปตามธรรมชาติ จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นจิตมันก็ออกรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวจิตไปรู้รูป เดี๋ยวจิตมันก็ไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ เห็นจิตมันทำงาน ท่านบอกจิตมันมีหน้าที่คิดนึกปรุงแต่ง ให้เราอ่าน คือเราตามรู้ตามเห็นอย่างที่มันเป็น

ถ้าเราสติยังไม่ไว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปกระทบอารมณ์แล้ว เราไม่รู้ทันตรงที่กระทบ จิตมันก็จะเริ่มทำงาน อย่างมันเห็นรูปที่ชอบใจขึ้นมา ก็เกิดความรู้สึกชอบใจ ไปเห็นคนที่เราเกลียด เราก็เกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมา เกลียดขึ้นมา ไปเห็นคนที่เรารัก ชอบ มันก็เกิดความรู้สึกชอบขึ้นมา เกิดรักขึ้นมา ในความเป็นจริงความรู้สึกทุกชนิด มันเกิดชั่วคราวเท่านั้น

อย่างเราเกลียดใครสักคน เราบอก เราเกลียดมาหลาย 10 ปีแล้ว อันนั้นไม่จริงหรอก อย่างเราโกรธ เราเกลียดใครสักคน แล้วเราเกิดไปคิดถึงเรื่องอื่น ไม่ได้คิดถึงคนนี้ ความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกเกลียดก็ดับไปแล้ว แต่ถ้าเราทำเหตุ เราไปคิดถึงมันใหม่ มันก็โกรธใหม่ ฉะนั้นไม่มีหรอกว่า ใครจะโกรธคนอื่นได้เป็นปีๆ ไม่มีหรอก หรือบางคนอกหัก บอกเศร้าใจมาเป็นปีเลย อันนั้นไม่จริงหรอก

เวลาอกหักแล้วไปที่อื่น อย่างสมมติว่าอกหักกำลังเศร้าใจ เดินอยู่ในสวนสาธารณะ ผู้ร้ายเขาไล่ยิงกันมา ตำรวจกับผู้ร้ายไล่ยิงกันมา เราตกใจ ขณะนั้นลืมเรื่องอกหักไปแล้ว ฉะนั้นความรู้สึกอกหักก็อยู่ชั่วคราวอีกล่ะ พอเราคิดถึงแฟนเรา มันก็อกหักขึ้นมาอีก ถ้ามัวแต่ไปคิดเรื่องอื่น มันก็ไม่อกหัก หรือความรักก็เหมือนกัน เราบอก เรามีความรักนิรันดร จริงๆ เรารักตอนที่เราคิดถึงคนที่เรารักเท่านั้น ถ้าขณะเรามีความรัก แล้วไปเห็นศัตรูของเรา ความรู้สึกรักในขณะนั้นหายไป เกิดความรู้สึกโกรธแทน

เราจะให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันเกิดความสุข เกิดความทุกข์ เกิดกุศล เกิดโลภ โกรธ หลงอะไรนี้ แล้วค่อยเห็นมัน ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิต ตาเห็นรูป จิตก็เกิดสุขบ้าง เกิดทุกข์บ้าง เกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ให้เรามีสติตามรู้ หูได้ยินเสียง จิตใจเราก็มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง เกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ให้เรามีสติตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของใจตัวเอง

จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ก็เกิดความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์บ้าง เกิดกุศลบ้าง เกิดโลภ โกรธ หลงบ้าง เราไม่ห้าม อันแรกเลยไม่ห้ามการกระทบอารมณ์ อันที่ 2 กระทบอารมณ์แล้ว จะเกิดความรู้สึกอะไร เราก็ไม่ห้าม เกิดความสุขก็ให้รู้ เกิดความทุกข์ก็ให้รู้ เกิดกุศลก็ให้รู้ เกิดอกุศล โลภ โกรธ หลง ก็ให้รู้ไป ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นที่ใจ ให้มีสติรู้ รู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ แล้วจิตใจของเราก็กระทบธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์เป็นอารมณ์ที่จิตใจไปรู้เข้า

อย่างเราเกิดความคิด มีความคิดเรื่องนี้ขึ้นมา จิตใจเราก็ปรุงแต่ง เกิดความสุขบ้าง เกิดความทุกข์บ้าง เกิดกุศลบ้าง โลภ โกรธ หลงบ้าง นี่จิตมันกระทบความคิด หรือบางทีเรานั่งอยู่ ไม่ได้คิดอะไร อยู่ๆ สัญญาเก่ามันผุดขึ้นมา ความจำเก่าๆ มันผุดขึ้นมา คิดถึงคนๆ หนึ่ง เห็นหน้าคนหนึ่งโผล่ขึ้นในใจเรา คนนี้เกลียดที่สุดเลย ตอนนั้นเจ้าตัวเขาก็ไม่ได้อยู่กับเรา แต่ใจเราเกิดจำเขาขึ้นมาได้ โทสะเราก็เกิด เห็นไหม ใจเรามีความเปลี่ยนแปลง

ฉะนั้นเวลาจิตไปรู้ธรรมารมณ์ จิตก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ก็ให้มีสติตามรู้ ไม่ไปห้ามมัน คำว่า “ธรรมารมณ์” เป็นคำที่กว้างมาก คือทุกอย่างที่รู้ด้วยใจ ที่รู้ด้วยใจเป็นธรรมารมณ์ทั้งหมดเลย รูปบางอย่างรู้ด้วยใจ อย่างเราหลับตา แล้วร่างกายเราเคลื่อนไหว เรามองไม่เห็น แต่เรารู้ด้วยใจว่าเรากำลังเคลื่อนไหว รูปอย่างนี้ก็เป็นธรรมารมณ์ รูปยืน เดิน นั่ง นอน รู้ด้วยใจ เป็นธรรมารมณ์ เป็นสิ่งที่รู้ด้วยใจ

นามธรรมทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นธรรมารมณ์ รู้ด้วยใจ อย่างโลภ โกรธ หลง สุข ทุกข์ เป็นธรรมารมณ์ รู้ด้วยใจ ฉะนั้นรูปธรรมนามธรรมทั้งหมด รูปธรรมบางอย่าง นามธรรมทั้งหมด เป็นธรรมารมณ์ เรื่องราวที่เราคิดนึกขึ้นมา เรียกอารมณ์บัญญัติ ก็เป็นธรรมารมณ์ สิ่งที่เราคิด เรารู้ด้วยตาได้ไหม เรารู้เรื่องที่คิดด้วยตาไม่ได้ รู้เรื่องที่คิดด้วยหูไม่ได้ เรื่องที่เราคิด เรารู้ด้วยใจ ฉะนั้นเรื่องราวที่เราคิดเป็นธรรมารมณ์

ฉะนั้นธรรมารมณ์มันจะกว้าง มีตั้งแต่รูปธรรมบางอย่าง นามธรรมทั้งหมด สมมติบัญญัติทั้งหมด อีกสิ่งหนึ่งที่จัดเป็นธรรมารมณ์คือนิพพาน เรารู้นิพพานด้วยใจ ไม่ใช่รู้ด้วยตา ไม่ได้รู้ด้วยหู ไม่ได้รู้ด้วยจมูก ไม่มีใครเอาจมูกไปดมนิพพาน รู้ด้วยใจ เวลาเราภาวนา พอใจเรากระทบกับธรรมารมณ์ เราเกิดความรู้สึกสุข ให้รู้ทัน เกิดรู้สึกทุกข์ ให้รู้ทัน เกิดกุศล เกิดอกุศล ให้รู้ทัน อย่างเรานั่งสมาธิ ใจเราสงบ ใจเราสงบก็ให้รู้ทัน ว่าตอนนี้สงบ เรานั่งสมาธิไป ใจเราฟุ้งซ่าน ให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ไปพยายามทำให้สงบ

 

นั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม อย่าไปมุ่งที่สงบ
แต่มุ่งที่รู้ทันความรู้สึกของตัวเอง

ฉะนั้นอย่างพวกเราจำนวนมากบอก นั่งสมาธิแล้วไม่สงบสักทีเลย ก็นั่งผิด นั่งอยากสงบ มันไม่สงบหรอก เหมือนเราอยากนอนหลับ มันไม่หลับหรอก ยิ่งกลุ้มใจหนักเข้าไปอีก นอนไม่หลับ จิตก็เหมือนกัน เราไปภาวนา เราอยากสงบ แล้วมันไม่สงบหรอก ยิ่งโมโห หงุดหงิดตัวเองมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นเรานั่งสมาธิ หรือเราเดินจงกรม อย่าไปมุ่งที่สงบ แต่มุ่งที่รู้ทันความรู้สึกของตัวเอง เรานั่งสมาธิไป จิตใจเราฟุ้งซ่าน ให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน นั่งสมาธิไป จิตใจเราสงบ ให้รู้ว่าสงบ

พอมันฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่านแล้ว เกิดรำคาญใจ หงุดหงิด รำคาญ ให้รู้ที่รำคาญ ที่หงุดหงิดนี้ มันเปลี่ยนอารมณ์ ทีแรกเราจะนั่งสมาธิ อยากสงบแล้วไม่สงบ ใจมันฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านกลายเป็นของถูกรู้ จิตไปรู้ว่าตอนนี้ฟุ้งซ่าน ถ้าอย่างนี้ ความฟุ้งซ่านจะดับทันทีเลย แต่คนทั่วไป พอฟุ้งซ่านแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังฟุ้งซ่าน คิดว่าทำอย่างไรจะสงบ ทำอย่างไรสงบ ยิ่งฟุ้งซ่านกว่าเก่า ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งรำคาญ เรียกฟุ้งซ่าน แล้วก็รำคาญใจ

ฟุ้งซ่านเรียกว่าอุทธัจจะ รำคาญใจเป็นกิเลสอีกตัวหนึ่งชื่อกุกกุจจะ ฟุ้งซ่านมันเป็นโมหะ พอฟุ้งซ่านเกิดแล้วเราก็หงุดหงิด อันนี้เป็นโทสะ เห็นไหม จิตมันทำงานต่อกันเป็นช็อตๆ ไปเรื่อยๆ เราไม่ห้าม จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน ถ้าเกิดอยากหายฟุ้งซ่าน รู้ว่าอยาก รู้ทันจิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างที่มันกำลังเป็น จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ชอบ รำคาญ รู้ว่าไม่ชอบ รู้ว่ารำคาญ อยากให้จิตสงบ ไม่อยากฟุ้งซ่าน รู้ว่าอยากสงบ รู้ว่าไม่อยากฟุ้งซ่าน นี่คือการอ่านจิตตนเอง

จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก กระทบอารมณ์แล้ว กระทั่งนั่งสมาธิก็ต้องรู้ทัน นั่งสมาธิแล้วจิตใจฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เราก็รู้ว่าจิตมันฟุ้งซ่าน เราเป็นแค่คนดู พอฟุ้งซ่านแล้ว เรารำคาญใจ เราก็รู้ว่ารำคาญใจ รู้ไปทีละขณะๆ แล้วถ้าหากเรารู้อย่างแท้จริง สติของเราถูกต้องแท้จริง ทันที่ที่เราระลึกรู้สภาวะของกิเลส เราไม่ต้องดับกิเลส กิเลสจะดับเองทันที อย่างเวลาเราโกรธ แล้วเราเกิดนึกขึ้นได้ เฮ้ย ตอนนี้โกรธ ความโกรธจะดับทันที ไม่ต้องดับ

เพราะฉะนั้นการดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส อย่างเวลาจิตใจเรามีราคะ เกิดความต้องการทางเพศรุนแรง คนภาวนาไม่เป็น อย่างพวกพระบวชใหม่ๆ ภาวนายังไม่เป็น จิตมีราคะก็พยายามข่มมัน พยายามข่ม พยายามห้ามมัน

แต่ถ้าเราดูจิตเป็น จิตมีราคะเราจะเห็นเลย ราคะมันผุดขึ้นมา ราคะไม่ใช่จิต ราคะเป็นความรู้สึกอันหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในจิต ไม่ใช่จิตหรอก จิตเป็นแค่คนเห็น ถ้าจิตเรามีสติรู้อย่างนี้ปั๊บ ราคะดับทันทีเลย เพราะฉะนั้นการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เราไม่ละกิเลส กิเลสมันดับเอง เพราะเรามีสติ จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ สติจะดับเอง

อย่าถ่ายรูป กวนสมาธิ ค่อยๆ ฝึก ฝึกไปเรื่อยๆ อย่างพอหลวงพ่อบอกหนุ่มคนนั้น บอกว่าอย่าเพิ่งถ่ายรูป รู้สึกไหม ใจเราที่กำลังตั้งใจฟังธรรม ฉกไปหาเขาทันทีเลย เอ๊ะ ใครๆ ใจเราวอกแวกเลย ทำอย่างไร ใจมันวอกแวก รู้ว่าใจมันวอกแวกไปแล้ว ไม่ใช่ว่า อุ๊ย มันอยากไปรู้แล้ว อย่าไปอยาก อย่าไปอยากดู อย่าไปอยากดูว่า คนไหนถ่ายรูปอะไรอย่างนี้ อันนี้ไม่ใช่ ใจมีความอยากรู้ เอ๊ะ ใคร อยากดูแล้ว อยากหันไปดู รู้ทันใจที่อยาก

เพราะฉะนั้นหัดรู้ตัวนี้บ่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะพบว่า การปฏิบัตินั้นไม่ยาก หลวงปู่ดูลย์บอก การปฏิบัติไม่ยาก ยากเฉพาะคนที่ไม่ได้ปฏิบัติหรอก เราหัดปฏิบัติไปมันก็ไม่ยากหรอก อย่างโกรธแล้วรู้ว่าโกรธ ยากไหม ไม่ยาก แต่คนไม่ปฏิบัติ เวลาโกรธมันจะไปสนใจ สิ่งที่ทำให้โกรธ มันไม่สนใจว่าจิตกำลังโกรธ เห็นไหม มันไม่ได้ยากอะไรเลย

อย่างเราขับรถอยู่ คนมาขับปาดหน้าเรา ในเมืองไทยนี้เยอะ ชอบขับรถปาดหน้า จิตมันก็เกิดความโกรธ พอจิตมีความโกรธ คนทั่วไปทำอย่างไร จะไปดูไอ้คันนี้ปาดเรา เดี๋ยวเราจะไปปาดคืนมัน แก้แค้น คนทั่วไปมันจะเป็นอย่างนั้น แต่เรา สำหรับพวกเราเป็นนักปฏิบัติ เราถูกปาดหน้าปุ๊บ ใจเราโกรธ เราเห็นใจกำลังโกรธ เราไม่สนใจคนโน้นแล้ว มันปาดหน้านั้นเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มันไม่ได้ปาดแล้ว แต่ตอนนี้ปัจจุบันของเราคือเราโกรธ หัดรู้อย่างนี้

คนทั่วไปมันสนใจออกข้างนอก อย่างได้ยินเสียงเพลงเพราะๆ ถ้าอายุเยอะๆ ได้ยินเสียงเพลงสมัยเราเป็นหนุ่มเป็นสาว กำลังจีบสาว เพลงนี้ได้ยินแล้ว แหม มันซาบซึ้งถึงใจ คนทั่วไปมันจะไปคิดถึงอดีต ในขณะที่เรานักปฏิบัติ เราได้ยินเสียงเพลง ใจเรารู้สึกมีความสุขกับอดีต เรารู้ทันใจที่กำลังหลงอดีตอยู่ หัดอย่างนี้ หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป ความรู้สึกเกิดที่จิตใจ รู้ทัน หูได้ยินเสียง ความรู้สึกเกิดที่จิตใจ รู้ทัน จมูกได้กลิ่น ความรู้สึกเกิดที่ใจ รู้ทัน

ถ้าเราได้กลิ่นเหม็น จิตใจจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ ใครว่าได้กลิ่นเหม็น จิตใจมีความทุกข์ ยกมือขึ้นสิ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราได้กลิ่นที่ไม่ชอบใจ เราจะมีความทุกข์ บางคนเหม็น บางคนตัวเหม็น แต่ว่าแฟนตัวเองคุ้นกับกลิ่นนี้ ถ้ามันไม่มีกลิ่นนี้ รู้สึกไม่มีความสุข พอได้กลิ่นอย่างนี้แล้วมีความสุข

บางคนบ้านอยู่ริมคลอง แล้วคลองมันมีน้ำเน่าๆ ได้กลิ่นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ไปอยู่ที่อื่นเสียนานเลย วันหนึ่งได้กลิ่นอย่างนี้ขึ้นมา มีความสุข มันเป็นกลิ่นที่ชอบใจ หอม เหม็น ไม่มีสภาวะที่จริงๆ หอมกับเหม็น ไม่ใช่สภาวธรรม ไม่ใช่สภาวธรรม อย่างทุเรียนหอมหรือเหม็น บางคนบอกหอม บางคนบอกเหม็น ไม่ใช่ของจริง ฉะนั้นความหอม ความเหม็น อยู่ที่ชอบไม่ชอบ เราได้อารมณ์ที่ชอบใจ ราคะมันจะเกิด ได้อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ โทสะมันจะเกิด

อย่างบางคนเห็นอะไรที่มันไม่สวย เห็นอะไรรกรุงรังอะไรอย่างนี้ แต่มันเคยอยู่ตรงนั้น มีความสุข พอไปเห็นภาพอย่างนั้น มันมีความสุข เพราะฉะนั้นอารมณ์ที่ดีของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่อารมณ์ที่ดีของอีกคนหนึ่ง แต่ว่าราคะมันจะเกิด เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ดีสำหรับเรา ที่พอใจ อารมณ์เรียกอิฎฐารมณ์ อิฎฐารมณ์คืออารมณ์ที่ชอบใจ เวลาเรากระทบแล้วเราจะเกิดความสุข อนิฏฐารมณ์ อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ กระทบแล้วไม่มีความสุข มีโทสะ อารมณ์อะไรจะกระทบ ห้ามไม่ได้

อย่างเรามีจมูก จะได้กลิ่นหอม หรือจะได้กลิ่นเหม็น เราเลือกไม่ได้ แต่พอมันกระทบอารมณ์แล้ว มันเกิดความรู้สึก เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดยินดียินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ให้คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตรงนี้ มันกระทบอารมณ์ที่เราพอใจ เราก็มีความสุข เราก็เกิดราคะ อยากให้มันอยู่นานๆ กระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ เราก็เกิดความทุกข์ เราก็อยากให้มันหมดไปเร็วๆ มีโทสะ ไม่ชอบ ฉะนั้นเวลามีความสุข ราคะมันมักจะตามหลังมา แทรกเข้ามา เวลามีความทุกข์ โทสะมันจะแทรกเข้ามา

ฉะนั้นกิเลสมันแทรกตัวตามเวทนา แทรกตัวตามความสุขความทุกข์ แล้วความสุขความทุกข์มันมาจากไหน มันมาจากการกระทบอารมณ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ กระทบอารมณ์อย่างนี้มีความสุข กระทบอารมณ์อย่างนี้เป็นทุกข์ ฉะนั้นผัสสะเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ เวทนาก็จะทำให้เกิดกิเลสทำงานต่อไป มีกิเลสแทรก แล้วเกิดอยาก ถ้าราคะเกิดก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากให้คงอยู่ ถ้าโทสะแทรกก็อยากให้หมดไปสิ้นไป

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 มกราคม 2568