พยายามรู้สึกตัว นั่งอยู่ รู้สึกตัว หายใจอยู่ รู้สึกตัว ฝึกรู้สึกตัวให้ได้ในทุกๆ อิริยาบถ เดินอยู่ก็เดินรู้สึกตัว อย่าเดินเรื่อยเปื่อย นั่งก็อย่านั่งคิดโน้นคิดนี่ รู้สึกตัวเอง จะนอนก็นอนรู้สึกตัวไป เห็นร่างกายมันนอน มันจะพลิกซ้ายพลิกขวา คอยรู้สึกไปเรื่อยๆ การที่เราคอยรู้สึกร่างกายจิตใจของตัวเองสม่ำเสมอ เป็นสุดยอดของการปฏิบัติ สุดยอดของการปฏิบัติไม่ใช่นั่งสมาธิได้นานๆ ลืมโลก เห็นโน้นเห็นนี้ เห็นโน้นเห็นนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เห็นกายเห็นใจของตัวเอง ถึงจะเป็นทางไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น งานนี้ต้องดูด้วยตัวเอง ใครมาช่วยแทนเราไม่ได้
เวลานั่งอยู่ฝึกให้เป็นนิสัยเลย เวลาเราว่างๆ ไม่ทำงานต้องคิดอะไรอย่างนี้ พยายามรู้สึกตัวไป ความรู้สึกตัวเป็นจุดตั้งต้นสำคัญของการปฏิบัติเพื่อลบล้างกิเลส รู้สึกตัวไม่ได้ก็จมอยู่กับกิเลส นั่งอยู่ เห็นร่างกายมันนั่ง ไม่ใจล่องลอยไปที่อื่น แล้วก็ไม่ได้นั่งบังคับร่างกายบังคับจิตใจ รู้ร่างกายไปด้วยใจธรรมดาๆ ธรรมะคือธรรมดา ความทุกข์มันเกิดจากความต้องการที่จะไม่ธรรมดา อย่างธรรมดาของร่างกายต้องแก่อย่างนี้ อยากไม่แก่มันก็ทุกข์ ธรรมดาของร่างกายต้องเจ็บไข้ได้ป่วย อยากให้มันไม่เจ็บไข้ ก็ทุกข์ ธรรมดาร่างกายต้องตาย อยากให้มันไม่ตาย เราก็ทุกข์ จิตใจเราก็ต้องกระทบอารมณ์ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง จะเลือกเอาแต่อารมณ์ที่ดี มันก็ทำไม่ได้ จะห้ามกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี มันก็ทำไม่ได้
ถ้าฝึกดีจริงๆ เราจะไม่มีความทุกข์ทางจิตใจอีกต่อไป
ถ้าเราฝึกเรื่อยๆ อย่างจิตใจเรา บางทีบางคนอกหักอย่างนี้ ร่างกายเราก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ข้าวก็มีกิน บ้านก็มีอยู่ สุขสบายเหมือนเดิม แต่พลัดพรากจากคนที่เรารัก ก็ทุกข์ ทุกข์เพราะว่ายอมรับความจริงไม่ได้ว่าทุกคนที่เจอกัน ถึงจุดหนึ่งต้องพลัดพรากจากกันเสมอ ไม่มีใครหนีรอดได้ ไม่จากเป็นก็จากตาย ถ้าเรายอมรับได้ วันที่คนที่เรารักพลัดพรากไป อาจจะตายไป หรือว่าไปอยู่ที่อื่น เรายอมรับความจริงได้ การพลัดพรากจากสิ่งที่รักมันเป็นทุกข์ แต่ว่าไม่มีใครหลีกเลี่ยงความพลัดพรากได้ ใจยอมรับความจริงได้ ใจก็ไม่ค่อยทุกข์
หรือจิตใจเรายอมรับความจริงได้ว่าเราต้องกระทบอารมณ์ที่ไม่ดีเป็นครั้งคราว ไปเจอสิ่งที่ไม่ดี ใจก็ไม่ดิ้นรนทุรนทุราย ใจก็ไม่ทุกข์ อย่างเราเจอคนที่เราเกลียด แล้วต้องอยู่ด้วยกัน บ้านติดกันหรือทำงานที่เดียวกันแล้วเกลียด อยากให้มันหายไปจากโลก มันไม่หาย เราก็ทุกข์ แต่ถ้าเราวางใจถูก อารมณ์ที่ดีหรืออารมณ์ที่ไม่ดี เราก็เลือกไม่ได้ กรรมมันจัดสรรให้เรา กรรมจัดสรร กรรมดีจัดสรรมา เราก็ได้พบแต่คนที่ถูกอกถูกใจ เวลากรรมไม่ดีให้ผล เราก็เจอคนที่เราไม่พอใจ หรือกรรมดีให้ผล ตอนนี้อยู่กับคนที่เรารักแล้ว ถึงวันหนึ่งกรรมชั่วให้ผลมาตัดรอน คนที่เรารักก็พลัดพรากไป
เราเรียนรู้ความจริงของชีวิต นั่นล่ะคือการปฏิบัติธรรม วันใดที่ยอมรับความจริงของชีวิตได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในร่างกายในจิตใจ เราจะทุกข์น้อยกว่าชาวบ้านเขา ถ้าฝึกดีจริงๆ เราจะไม่มีความทุกข์ทางจิตใจอีกต่อไป ความทุกข์ทางร่างกายนั้นหนีไม่พ้น ขนาดพระพุทธเจ้าวันที่จะปรินิพพาน ท่านอาพาธหนักถ่ายเป็นเลือด จะเดินไปปรินิพพานที่กุสินารา เดินไปแล้วก็ต้องพักระหว่างทางด้วย ไม่มีแรงจะเดิน อดทนพยายามไป พักแล้วมีแรงก็เดินต่อ นี่ขนาดพระพุทธเจ้า เวลาอกุศลมันตามมาให้ผล มันตามมาที่ร่างกายท่าน มันตามมาไม่ถึงจิตใจท่าน แต่ว่าอย่างไรก็หนีกรรมไม่พ้น จนวันที่จะปรินิพพาน อกุศลเก่ายังตามให้ผลเลย
พวกเราดีวิเศษแค่ไหน คิดว่าชีวิตจะต้องมีความสุขตลอดเวลา จะต้องมีความสุขทุกวัน ความสุขจะต้องยั่งยืน เราแต่ละคนก็ทำมาทั้งความดีและความชั่ว เวลากรรมดีให้ผลมา เราก็ได้กระทบอารมณ์ที่ดี กรรมชั่วให้ผลมา เรากระทบอารมมณ์ที่ไม่ชอบใจ มันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ห้ามไม่ได้ ไม่มีใครเหนือกรรม ถ้าใจเราเข้าใจความจริงของชีวิต ชีวิตเป็นอย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย ชีวิตนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ไม่มีอะไรแน่นอน ชีวิตนี้ลงท้ายก็ถูกความทุกข์บีบคั้นแสนสาหัส จนร่างกายแตกสลายอยู่ไม่ได้
มันมีบทสวดมนต์อันหนึ่งบอกว่าเรามีความทุกข์บีบคั้นอยู่ มีความทุกข์รออยู่ข้างหน้าด้วย พวกเราหนีไม่พ้น ความทุกข์ที่รออยู่ข้างหน้านั้น คือวาระที่พวกเราจะตาย จะเจ็บมากๆ อะไรอย่างนี้ เวลาจะตาย บางคนใจหมุนจี๋ติ้วๆ ติ้วๆ เลย คิดถึง เสียดายๆ ชีวิต เสียดายทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะต้องพลัดพราก ในช่วงเวลาวินาทีเดียว จิตคิดได้ร้อยเรื่องพันเรื่องเลย มันเร็วมากเลย
เคยมีนักปฏิบัติคนหนึ่ง เขาได้ข่าวว่าเพื่อนในที่ทำงานของเขาถูกไฟดูดตาย คนนี้เขาเป็นนักภาวนา ออกรู้ออกเห็นอะไรได้ เขาสงสัยตอนที่เพื่อนเขาจะตายมันเป็นอย่างไร อาการ คนนี้ถูกไฟดูดตาย บ้านเป็นตึกแถว 3 ชั้น หลังคามันรั่ว ฝนมันตก ฝนตกก็อยากดูว่ามันรั่วตรงไหน ปีนออกไปที่กันสาด เอามือแตะผนังซึ่งมันเปียกน้ำฝน ไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟมันอยู่ใกล้ๆ มันดูดเอา มือติดอยู่กับผนัง ตกใจ ช็อตที่หนึ่ง ถูกดูดที่มือ ยังไม่รู้ว่าอะไร ช็อตที่สอง ไฟดูด ตกใจ ช็อตที่สาม ก็ดิ้นรน พยายามจะเอาตัวรอด ดึงมือออกก็ไม่ได้ ถูกไฟดูดแล้ว ต่อมาก็รู้ตัวว่าจะต้องตายแล้วรอบนี้ จิตก็เศร้าหมอง เสียดาย เรายังหนุ่มอยู่เลย ต้องตายแล้ว จะต้องพลัดพรากจากครอบครัว จากพ่อจากแม่ จะต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง จิตมันทำงานไปตั้งหลายช็อต สุดท้ายก็ตาย ขณะที่ตาย จิตเศร้าหมอง ไม่อยากตาย
อันนี้แบบนี้ก็ไม่ต้องไปดูต่อว่าจะไปสุคติหรือทุคติ จิตเศร้าหมอง ทุคติก็เป็นอันหวังได้ เขาไม่เคยฝึกกรรมฐาน ถ้าเคยฝึกกรรมฐาน ฝนตกก็ควรจะรู้ ชายคาบ้านตัวเองอยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง ไม่ควรจะออกไปยุ่ง ถ้าปัญญา สติปัญญาตรงนี้ไม่ทัน ออกไปถูกไฟดูด ตกใจเห็นว่าตกใจ กลัวเห็นว่ากลัว อาลัยอาวรณ์เห็นว่าอาลัยอาวรณ์ ตรงที่มีสติอ่านจิตอ่านใจของตัวเองไปได้เรื่อยๆ แต่ละช็อตๆ ตรงนั้นเป็นกุศลอย่างยิ่ง เป็นบุญอย่างยิ่ง เป็นกุศลอย่างยิ่ง มีสติ คนทั่วไปตกใจก็คือตกใจ กลัวก็คือกลัว เสียดายก็คือเสียดาย
ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ ตกใจรู้ว่าตกใจ กลัวรู้ว่ากลัว พยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องดูแลร่างกาย ก็ดิ้นรนไป ถ้าดิ้นรนแล้วไม่รอด ใจยอมรับความจริงได้ ถึงเวลาแล้ว จิตไม่เศร้าหมอง ร่างกายทุกข์ไหม ร่างกายทุกข์เหมือนคนอื่นๆ นั่นล่ะ แต่จิตใจไม่เศร้าหมอง จิตใจไม่ทุกข์ จิตใจยอมรับความจริงได้ เกิดแล้วก็ต้องตาย ความตายเป็นธรรมชาติที่ไม่มีใครหนีได้ ความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ไม่มีใครรู้ ที่เราฝึกกรรมฐานไม่ใช่ฝึกแล้วไม่ตาย แต่ถ้าจะต้องตายก็ตายแบบมีสติ ตายแบบนักรบ ตายแบบลูกศิษย์มีครู ไม่ใช่ตายเหมือนหมาเหมือนแมว ตายแบบกระจอกงอกง่อย
รักษาศีลให้ดี มีประโยชน์มหาศาล
ครูบาอาจารย์แต่ก่อนท่านเคยสอนให้เราภาวนาไว้ วันหนึ่งเราจะเจอสงครามใหญ่ สงครามใหญ่ที่ท่านพูดถึงไม่ใช่สงครามโลก สงครามโลกยังไม่ใช่สงครามใหญ่ สงครามโลก เราก็อาจจะมีชีวิตรอดได้ แต่สงครามใหญ่ที่ท่านพูดถึงคือสงครามที่สู้กับมรณภัย สู้กับความตาย วันหนึ่งเราทุกคนต้องเจอสงครามครั้งนี้ ใครจะแพ้ชนะ ร่างกายเราพ่ายแพ้แน่นอน ถึงวาระจะแตกดับ แต่จิตใจจะแพ้หรือจะชนะ อยู่ที่การฝึกปรือของเรา ทำอะไรไม่ได้ ยังภาวนาไม่เป็น มีโอกาสสร้างคุณงามความดีอะไรก็ทำไป ตั้งอกตั้งใจรักษาศีล 5 ข้อให้ดี ถ้าเรานั่งสมาธิไม่เป็น จิตไม่รวม นั่งแล้วไม่เคยสงบเลย เจริญปัญญาก็ไม่เป็น ไม่เคยเห็นไตรลักษณ์เลย แค่เรารักษาศีลให้ดี แค่นี้มีประโยชน์มหาศาล
สมัยพุทธกาลก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านบวชในยุคของพระพุทธเจ้ายังอยู่ แล้วพรรคพวกเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันเขาก็เป็นพระอรหันต์บ้างพระอนาคามีบ้าง ของท่านกระทั่งจิตจะรวมเป็นสมาธิสักครั้งหนึ่งยังไม่เป็นเลย ท่านก็เสียใจมากเลย วันหนึ่ง ท่านก็ยืนพิงผนังกุฏิ พิงฝากุฏิ เอามีดโกนปาดคอตัวเองเลย มันโง่นัก มันชั่วนัก อย่าอยู่เลย กินข้าวชาวบ้านเปลืองเปล่าๆ เป็นพระไม่ได้เรื่องได้ราว พอท่านเอามีดโกนปาดคอตัวเอง แล้วท่านก็คิดเสียใจว่าเรามาบวชในศาสนาของท่านผู้ประเสริฐเลิศโลกอย่างนี้ เรายังเอาดีไม่ได้เลย น่าเสียใจ เสร็จแล้วท่านก็เกิดเฉลียวใจ เอ๊ะ เราไม่ได้อะไรเลยเหรอ ไม่ใช่นี่ ตลอดตั้งแต่บวชมานี้ เรารักษาศีลอย่างงดงาม ตัวเองยังตำหนิตัวเองไม่ได้เลยว่าศีลด่างพร้อย เพื่อนๆ นักบวชด้วยกัน เขาเรียกเพื่อนสหธรรมิก ก็ติเตียนท่านไม่ได้ ไม่เคยมีองค์ไหนติเตียนเลยว่าศีลท่านไม่ดี พระพุทธเจ้าเห็นท่าน ก็ไม่เคยติเตียนว่าศีลของท่านด่างพร้อย
พอท่านคิดถึงว่าตลอดเวลาที่บวชมาไม่เคยเสียศีลเลย อันนี้มันคือสีลานุสติ พอพิจารณาลงไปถึงศีลอันดีที่เราได้รักษาไว้แล้ว จิตท่านก็มีความสุขอิ่มเอิบขึ้นมา จิตท่านก็รวมมีสมาธิขึ้นมา เพราะความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ พอจิตท่านมีสมาธิ ท่านยืนอยู่กำลังจะตายแล้ว ท่านก็เห็นร่างกาย มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา เพราะจิตทรงสมาธิ ขันธ์มันแยก ขันธ์มันแยก มันก็จะเห็นเลยร่างกายไม่ใช่เรา จิตใจนี้มันก็ไม่มีอะไร เป็นแค่ธาตุรู้เท่านั้นเอง แล้วชีวิตท่านก็แตกดับลงตรงนั้นพร้อมๆ กับการบรรลุพระอรหันต์
พวกพระมาเจอศพท่าน ก็รีบไปถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ฆ่าตัวตาย ตอนนี้ตกนรกอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าพระองค์นี้ไม่ตกนรก พระองค์นี้ไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว พวกภิกษุทั้งหลายก็สงสัย ฆ่าตัวตายอย่างนี้ทำไมไม่ตกนรก บาปมาก พระพุทธเจ้าท่านก็เลยแจกแจงให้ฟัง ท่านดำเนินจิตอย่างนี้ ท่านคิดถึงศีลของท่าน แล้วตอนจิตมีสมาธิขึ้นมา ท่านก็เห็นร่างกายมันจะตาย จิตเป็นคนดู เห็นร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษ ก็ปล่อยวางร่างกายได้ จิตที่เป็นคนรู้คนดู มันก็ไม่มีอะไร แค่ธรรมชาติที่รู้อารมณ์เท่านั้น ท่านก็ไม่ยึดจิตด้วย ไม่ยึดกาย ไม่ยึดจิต จิตดับลงไป ไม่มีจิตอีกดวงหนึ่งที่จะหยั่งลงไปในภพใหม่ คือไม่มีจิตที่เรียกว่าปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ ก็ไม่มีการเกิดใหม่ เพราะจิตไม่หยั่งลงไปในอารมณ์ใดๆ
พวกเราภาวนาไปเรื่อยๆ เราสังเกตจิตใจของเราให้ดี จิตใจเราจะเกาะเกี่ยวอยู่กับอารมณ์ตลอดเวลา เดี๋ยวก็จับในความคิดของตัวเอง หลงไปอยู่ในโลกของความคิด เดี๋ยวก็หลงไปดูรูป อารมณ์ทางตา เห็นรูปอะไรแล้ว ใจก็ไปเกาะอยู่ที่รูปนั้น ได้ยินเสียง จิตใจก็ไปเกาะอยู่กับเสียง ได้กลิ่น จิตก็ไปเกาะที่กลิ่น ได้รส จิตเข้าไปเกาะอยู่ที่รส ได้สัมผัสทางร่างกาย จิตก็ไปเกาะอยู่กับสิ่งที่มาสัมผัส คิดนึกทางใจ จิตก็ไปเกาะอยู่กับเรื่องราวที่คิดนึก ธรรมชาติของจิตที่มันได้รับการอบรมไม่เพียงพอ มันจะออกไปเกาะอารมณ์ภายนอกเสมอ อารมณ์ภายนอกก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ข้างนอก
พระอรหันต์ จิตท่านไม่ไหลไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใดๆ เพราะจิตไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่เกาะที่เกี่ยวอะไร จิตว่าง ความเกิดใหม่ไม่มี เพราะไม่สามารถเกิดได้แล้ว เพราะจิตมันไม่ไปเกาะไม่เกี่ยวในอารมณ์กรรมฐานใดๆ ทั้งสิ้น อย่างถ้าภาวนาเรานึกว่าเป็นพระอรหันต์หรือยัง วิธีสังเกตก็คือจิตมันยังไปเกาะอารมณ์ไหม ยังไปเกี่ยว ไปเกาะ ไปแช่ในอารมณ์หรือเปล่า แล้วถ้าจิตบอกว่าจิตไม่เกาะอารมณ์เลย ไม่เกาะรูป ไม่เกาะเสียง ไม่เกาะกลิ่น ไม่เกาะรส ไม่เกาะสิ่งที่สัมผัสร่างกาย
บอกตอนนี้จิตว่าง ต้องไปสังเกตให้ดี มันไปเกาะนามธรรมหรือเปล่า เช่น ไปเกาะความว่าง ไปเกาะอยู่ที่จิตอะไรอย่างนี้ ไปเกาะความไม่มีอะไร หรือว่าใจมันเคลิ้มๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วก็เลยไม่ได้ไปเกาะอะไร จริงๆ เกาะ เกาะอะไร ก็แอบไปเกาะความว่าง แอบไปเกาะอยู่ที่จิต แอบไปเกาะอยู่ที่ความไม่มีอะไร แล้วก็เคลิ้มๆ ลงไป ไม่ค่อยจะรู้เนื้อรู้ตัว จิตมันยังหลงอยู่ ถ้าอย่างนี้ก็ไปเกิดในพรหมโลก ไปเป็นอรูปพรหม
สภาวะจิตที่คล้ายนิพพานมากที่สุดคือจิตชนิดหนึ่ง เป็นจิตที่ไม่เกาะอะไรเลย เรียกอากิญจัญญายตนะ ตัวนี้จะมีสภาวะคล้ายนิพพานมากเลย แต่ต่างกับนิพพานตรงที่ยังเกิดดับอยู่ ยังหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มีการเข้ามีการออกอยู่ วันนี้ต้องมีคนภาวนาแบบสุดๆ มาฟังเทศน์ ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ อยู่ข้างนอก
เรียนรู้ความจริงของร่างกาย
รู้สึกตัว เรียนรู้ความจริงของร่างกายไป ร่างกายนี้ไม่เที่ยง หายใจออกแล้วก็ต้องหายใจเข้า หายใจเข้าแล้วก็ต้องหายใจออก ร่างกายนี้ไม่เที่ยง นั่งอยู่นานก็ไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นยืน ลุกขึ้นเดิน หรือนั่งมาก ลงไปนอนอะไรอย่างนี้ ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ไม่เที่ยง รูปนั่งก็ไม่เที่ยง รูปยืน รูปเดิน รูปนอน ก็ไม่เที่ยง ดูไปเรื่อย เห็นแต่ของไม่เที่ยง รูปหายใจออก ไม่เที่ยง รูปหายใจเข้าก็ไม่เที่ยง บางทีเราก็เคลื่อนไหวกระดุกกระดิกอย่างนี้ รูปที่เคลื่อนไหวก็ไม่เที่ยง รูปที่หยุดนิ่งก็ไม่เที่ยง ดูมันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมาก รู้สึกลงไปในร่างกาย เห็นแต่ความไม่เที่ยงของร่างกาย
หรือบางคนก็เห็นลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ร่างกายนี้ทำไมต้องหายใจออกหายใจเข้า ทำไมต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ทำไมต้องเคลื่อนไหว ต้องหยุดนิ่ง เพราะร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา หายใจออกเรื่อยๆ ก็ทุกข์ หายใจเข้าเรื่อยๆ ก็ทุกข์ นั่งนานๆ ก็ทุกข์ เดินนานๆ ก็ทุกข์ ยืนนานๆ ก็ทุกข์ นอนนานๆ ก็ทุกข์ ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ต้องเคลื่อนไหว นั่งๆ อยู่แล้วมันคัน ก็ต้องไปเกา ทำไมต้องเกา เกาแก้ทุกข์ แก้คัน บางทีนั่งอยู่ แข้งขาปวด เราก็ไปขยำๆ นวดขาอะไร ทำไมต้องเคลื่อนไหว ก็เพราะว่ามันทุกข์ เราเคลื่อนไหวเพื่อจะแก้ทุกข์
ดูในร่างกาย เห็นไม่เที่ยง เห็นเป็นทุกข์ ดูลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมมาประชุมกันด้วยกำลังของกรรม มารวมตัวกันขึ้นมาเป็นรูปร่างอย่างนี้ แล้วก็มีจิตมีวิญญาณครอบครอง ก็มีชีวิตขึ้นมา เวลาเราจะตาย จิตมันก็ดับลงไปก่อน พอจิตดับ ร่างกายก็ถือว่าไม่มีชีวิตแล้ว ทันทีที่จิตดับลงไป เกิดเรียกจุติจิต จิตมันหลุดออกจากภพนี้แล้ว เราตาย พอตาย ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะดับเป็นลำดับ
คนไทยจะชินกับคำว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ในคัมภีร์จะใช้ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่ดิน น้ำ ลม ไฟ ตอนเราเกิด ธาตุดินของแม่มีอยู่ ธาตุน้ำของพ่อรวมเข้าไป มันเกิดพลังงาน พลังของชีวิตคือธาตุไฟ เราก็อาศัยธาตุลมผ่านทางสายสะดือของแม่ ทางสายสะดือของเรา ไม่ใช่ของแม่ ทางรก พอหลุดออกมา ก็มาหายใจด้วยตัวเอง เวลาเราจะตาย มันกลับข้างไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ลมดับ ไฟดับ น้ำดับ ดินดับ กลับข้างกัน ทันทีที่ตาย ลมหายใจระงับแล้ว ธาตุลมดับ พอธาตุลมดับ ธาตุไฟในตัวเราก็ดับ มันจะค่อยๆ ดับ ความร้อนนี้ค่อยหายไป มันจะเริ่มเย็นมาจากปลายเท้าขึ้นมา เย็นส่วนที่เป็นอยู่ตอนปลาย ค่อยๆ เย็นขึ้นมาๆ พอความเย็นขึ้นมาเยอะๆ สุดท้ายตัวก็เย็น ธาตุไฟดับ ธาตุน้ำก็แยกตัวออกไป น้ำเหลืองไหล บางทีปัสสาวะราดเลยก็มีคนตาย ธาตุน้ำก็แยกตัวออกไป สุดท้ายก็เหลือแต่ธาตุดิน เหลือธาตุดินแห้งๆ อยู่ น้ำระเหยไปหมดแล้ว
ร่างกายไม่มีอะไร ร่างกายก็เป็นวัตถุธาตุที่มีจิตเข้ามาครอบครอง ถึงวาระที่จิตพรากออกไปแล้ว ไม่มาครอบครอง ธาตุต่างๆ ก็แยกตัวออกไป เพราะฉะนั้นร่างกายจริงๆ ก็เป็นแค่วัตถุธาตุ เอาเข้าจริงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวเราตัวเขาเพราะธาตุทั้งหลายมันเป็นสมบัติของโลก มันมีมาก่อนเราจะเกิดเสียอีก ธาตุต่างๆ ที่มารวมกันเป็นตัวเรา มันมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ดินมันก็มีมาก่อนแล้ว น้ำมันก็มีมาก่อนแล้ว ลม ไฟมันก็มีมาก่อนแล้ว เราก็แค่ยืมธาตุของธรรมชาติมาใช้ ไปประมวลเอาธาตุของธรรมชาติมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนด้วยกำลังของกรรม มีชนกกรรมให้ผลทำให้เราเกิดขึ้นมา มีร่างกายแล้วก็มีจิตวิญญาณครองอยู่
เรามีสติเรียนรู้ร่างกายไปเรื่อยๆ เห็นร่างกายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่วัตถุธาตุที่เรายืมของโลกมาใช้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้ววันหนึ่งเราก็ต้องคืนทุกสิ่งทุกอย่างให้โลก สิ่งที่เป็นร่างกายของเราวันนี้ วันข้างหน้าอาจจะไปเป็นร่างกายของหนอน เป็นร่างกายของต้นไม้ ต้นไม้ก็กินเราเข้าไปเป็นสารอาหาร หรือไปเป็นถนนให้คนเดิน กลายเป็นดินเป็นอะไรไป บางทีก็ไปอยู่ในน้ำทะเล อยู่ในแม่น้ำกระจัดกระจายไป ลมหายใจที่เราหายใจ คนอื่นมันก็เอามาหายใจมาก่อนเราแล้ว เราก็แค่ยืมลมหายใจเอามาใช้ ลมที่เราหายใจเข้าไป เราไม่รู้เลยคนอื่นหายใจมาก่อนหรือเปล่า หมามันหายใจมาก่อนหรือเปล่า ลมอันนี้
ธาตุมันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เห็นแล้วก็ควรสลดสังเวช ไม่น่ายึดถืออะไร ไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไร ยืมเขามาใช้ ไม่ใช่ของสะอาดหมดจดด้วย ถึงวันหนึ่งก็ต้องคืนเจ้าของ คืนให้โลกไป ส่วนจิตใจนั้นก็เกิดดับหมุนเวียนไปตามกรรม มีกรรมชักพาไป ถ้าตายด้วยจิตที่เศร้าหมองก็พาไปสู่ภพที่ไม่ดี ไปทุคติ ตายไปมีบุญหนุนส่ง จิตใจเบิกบานแจ่มใส มีสุคติเป็นที่ไป
ตอนนี้ยังมีกำลังอยู่ รีบฝึกตัวเองเสีย
ฉะนั้นเราอยู่กับโลกนี้ เราอยู่ชั่วคราว อย่าหลงโลกนักเลย อยู่ชั่วคราว อาศัยเขาอยู่ วันหนึ่งเจ้าของเขาทวงคืน ตอนจะทวงคืน ธรรมชาติก็สอนบทเรียนให้เรา ทุกข์ วันที่จะตาย ร่างกายจะแตกจะดับ ความทุกข์มันก็ประดังมากขึ้นๆๆ ถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายมันทนไม่ไหว จิตมันตัดความรับรู้ทางกายออกไปแล้ว เหลือกระบวนการทำงานทางใจแล้วคราวนี้ กายนี้ถูกทิ้งไปก่อนเลย จิตมันไม่เอาแล้ว เป็นกระบวนการที่มันทำงานทางใจแล้ว ว่ามันจะไปสร้างภพใหม่หรือเปล่า ดูแล้วก็น่าสลดสังเวช พวกเราต้องตายแล้วตายอีก เจ็บแล้วเจ็บอีก แต่เจ็บแล้วไม่จำ เพราะจำไม่ได้ เราแต่ละคนผ่านความตายมามากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน แต่เราไม่เข็ดเพราะเราลืม เราจำไม่ได้
บางคนเขาภาวนา เขาระลึกชาติได้ก็มีข้อดี เขาก็จะเห็นเกิดทีไร ก็มีแต่ความทุกข์ทุกที ไม่ใช่ของดีของวิเศษ เคยมีฆราวาสคนหนึ่ง เขาสงสัยว่าในกัปนี้ เขาเคยเกิดเป็นคนกี่ครั้ง กำหนดจิตนั่งสมาธิไปปุ๊บก็เห็น หัวกะโหลกกองใหญ่เบ้อเริ่มเลย กองเบ้อเริ่มเลย ใหญ่ขนาดตึก 5 ชั้น นี่ไม่นับว่าไปเกิดเป็นสัตว์อย่างอื่น เฉพาะเกิดเป็นคน แล้วเอาเฉพาะหัว ใหญ่ๆ เท่ากับตึก 5 ชั้นเลย เยอะแยะเลย กว้างๆ มีฐานกว้าง ๆ เยอะแยะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น
ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งคือหลวงพ่อกิม ท่านก็เคยเล่า เคยถามท่าน หลวงพ่อ ทำไมหลวงพ่อมาบวช หลวงพ่อถามท่าน ทำไมหลวงพ่อมาบวชแล้วไม่คิดจะสึกเลย ท่านบอกท่านเห็นทุกข์ ทุกข์อะไรหลวงพ่อ ท่านบอกท่านนั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้ ท่านเคยเกิดเป็นวัว เป็นวัว ฤดูแล้งร้อนๆ เจ้าของจะไปธุระ ก็เอาท่านไปอยู่ในท้องนา กะว่าไปธุระเดี๋ยวเดียว เอาไม้หลักมาตอกลงไป เอาเชือกล่ามคอท่าน ผูกไว้กับไม้ ท่านก็เดินสบายใจอยู่รอบๆ เพราะว่ามันยังสบายตอนเช้าๆ น้ำก็ยังไม่ได้กิน หญ้าก็ยังไม่ได้กิน เพราะรู้ว่าเจ้าของไปธุระแป๊บเดียวเดี๋ยวจะมา ปรากฏว่าเจ้าของมีธุระติดลม ไม่ยอมกลับมา ท่านบอกว่าท่านทั้งร้อนทั้งกระหายน้ำ ทรมานมากเลย
พอเห็นคนเดินมา ไม่ใช่เจ้าของ เห็นคนเดินมาก็ดีใจ กระโดดโลดเต้นขึ้นมา ขยับๆ คิดว่าเขาจะพาไปกินน้ำ ปรากฏว่าคนเขาก็ตกใจบอก เฮ้ย วัวตัวนี้บ้าไปแล้ว น้ำลายฟองออก น้ำลายเหนียวๆ ยืดๆ เขายิ่งหนีไปเลย เขาไม่มาช่วย ท่านบอกท่านทรมานอยู่จนเย็นเลย เจ้าของถึงมา ก็พาไปกินน้ำ ท่านบอกท่านระลึกตรงนี้ได้ ท่านไม่เอาแล้ว เกิดแล้วก็มีแต่ความทุกข์ ก็เลยเข็ด เกิดความเข็ดหลาบ พวกที่ระลึกได้เขาก็มีข้อดีเหมือนกัน เขาเห็นนรกมีจริงสวรรค์มีจริง เกิดทีไรก็มีทุกข์ทุกที ทุกข์ตอนสุดท้ายคือเราจะต้องถูกฆ่า คนที่ฆ่าเราเรียกมัจจุมาร ความตายฆ่าเราทุกคน
เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังมีกำลังอยู่ รีบฝึกตัวเองเสีย อย่ารอวันที่มัจจุราชมาเยี่ยม ถึงวันนั้นช่วยตัวเองไม่ทันแล้ว ตั้งใจรักษาศีล 5 ให้ดี บอกแล้วว่าถึงไม่ได้อย่างอื่น ได้ศีล 5 ที่ดีก็เอาตัวรอดแล้ว ตั้งใจรักษาศีลไว้ ทำให้ยิ่งกว่านั้นได้ก็ยิ่งดี ทุกวันไหว้พระสวดมนต์ การไหว้พระสวดมนต์ก็คือการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ส่วนนั่งสมาธิกับเขาไม่เป็นไม่เป็นไร สวดมนต์ไปเรื่อยๆ สวดยาวๆ ไม่เป็น สวดสั้นๆ ก็ได้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ได้ยินเสียงที่หลวงพ่อพูดไหม พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ใช่ พุท โธ ธัม โม (ลากเสียงยาว) ไม่ใช่ อย่าไปสะกดตัวเองให้มันขาดสติ ให้มันเคลิ้มๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ท่องไปในใจเรา หรือพุทโธๆ พุทโธๆ ไป ทีแรกจิตเรายังฟุ้งซ่าน เราก็พุทโธๆๆ ต่อมาพอจิตเราสงบ มันจะพุท โธ (ลากเสียงยาว) มันเป็นเอง มันจะเบาๆ มันจะยาวขึ้น มันจะเบาๆ เบาๆ แล้วก็เงียบไป
รัชกาลที่ 4 พระจอมเกล้าฯ ท่านเป็นต้นกำเนิดวงศ์ธรรมยุต ตอนที่ท่านจะสวรรคต ท่านมีสติสัมปชัญญะตลอดเลย ตอนท่านป่วยหนัก ประชวรหนัก ท่านเรียกเจ้ากรมอารักษ์เข้ามา บอกให้ช่วยจดหน่อย ช่วยจด ท่านแต่งภาษาบาลี เป็นบทที่ลาพระ คือแต่เดิมวันเข้าพรรษา ท่านจะไปวัด คราวนี้ท่านไม่ได้ไปแล้ว อุตส่าห์แต่งภาษาบาลี ท่านเก่ง เห็นไหม สติท่านดี ภาษาท่านเพราะอยู่จนวาระสุดท้าย เสร็จแล้วท่านก็นอน พอนอนแล้วท่านปวดฉี่ ท่านก็เรียกมหาดเล็ก เอากระโถนมาให้ท่านหน่อย บอกเอามาให้พ่อหน่อย เรียกลูกน้อง เรียกมหาดเล็ก ท่านสุภาพมากเลย ปัสสาวะเสร็จแล้วท่านก็ลงนอนตะแคงขวา แล้วก็บริกรรมไปเรื่อย พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ
ตอนที่ท่านใกล้จะสิ้นพระชนม์ คนที่แวดล้อมอยู่ก็ได้ยิน นานๆ ท่านก็โธๆ ท่านไม่มีแรงจะพูดแล้ว แต่จิตท่านยังไม่ได้ทิ้งพุทโธ อย่างนี้สวรรคตแล้วไปไหน ทุคติหรือสุคติ เห็นไหม เป็นอันหวังได้ ไม่ยากหรอก อย่างบางคนพ่อแม่ตายแล้วมาถามหลวงพ่อ แม่หนูตายแล้วไปไหน หลวงพ่อจะบอก ตอนแม่เธออยู่อยู่ไหน หลวงพ่อยังไม่รู้เลย แม่ตายแล้วมาถามทำไม ดูเอาสิแม่เธอตายแบบไหน ถ้าตายแบบมีสติหรือตายแบบไม่มีสติ มันก็จะรู้ทิศทางที่จะไป ไปทำเอา
วันนี้พูดเรื่องกาย นี่แค่เรื่องกายอันเดียว ยังไม่ได้พูดเวทนา จิต ธรรม ธัมมานุปัสสนา ถ้าพูด พูดนานหลายวัน ยาว เยอะ รายละเอียดมหาศาล เอาง่ายๆ ไปดูกาย รู้สึกตัวไว้ อย่าล่องลอยไป รู้สึกกายอย่างที่กายเป็นไปเรื่อยๆ ใครเป็นคนเห็นกาย ใจเป็นคนเห็นกาย รู้สึกไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปจนเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฝึกไป ไม่มีใครช่วยเราได้หรอก
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ อาทิตย์นี้ทำไมแรงเยอะนักก็ไม่รู้ รู้สึกเทศน์ดุ ดุไหม ดุหรือ บางคนบอก แหม เทศน์วันนี้นุ่มนวล อีกคนหนึ่งบอกดุ เห็นไหมดีกรีของความดุไม่มีจริงเห็นไหม หรือเหมือนดีกรีของความอร่อย ร้านอาหารใช่ไหม คนชอบไปรีวิว ร้านนี้หวานเกินไป อีกคนไปรีวิว ร้านนี้หวานชื่นใจ ตกลงมันอร่อยหรือเปล่า อร่อยไม่มีสภาวะๆ แล้วแต่ความชอบ
อย่างโลภ โกรธ หลงมีสภาวะ ความโลภก็มีอาการของมัน ความโกรธมีอาการของมัน คนไทยโกรธ คนจีนโกรธ หรือหมาโกรธ มันก็สภาวะอย่างเดียวกัน คือทำลายล้าง ผลักอารมณ์ให้ออกไปไกลๆ เห็นไหม อย่างนี้เรียกว่ามันมีสภาวะ
แต่อย่างอร่อย ร้านนี้ดีที่สุด อันนี้มโนเอาทั้งนั้น อร่อยสำหรับเราอาจจะไม่อร่อยสำหรับคนอื่น ใช่ไหม แยกให้ออกระหว่างสิ่งที่มีสภาวธรรม มีความจริง กับสิ่งที่เราคิดขึ้นเอง เรียกว่าบัญญัติ สวย ผู้หญิงคนนี้สวยจังเลย วัดได้ไหม สวย นางงามเข้าประกวด เขาก็วัดให้คะแนนได้ใช่ไหม แต่จริงหรือเปล่า ปีนี้นิยมผิวดำ ผิวดำก็ได้คะแนนสิ ปีนี้อยากได้ผิวสีแทนใช่ไหม สีแทนก็ได้คะแนนเยอะ มันไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นสวยไม่มีสภาวะรองรับ จิตไปคิดทราบไหม ทราบจริง ทราบตอนหลวงพ่อบอก ไม่ต้องรอให้หลวงพ่อบอกว่า เฮ้ย หลงไปคิดแล้ว จงเตือนตนด้วยตนเอง ไม่มีใครมาเตือนเราได้ตลอด ฉะนั้นหลงแล้วก็ เฮ้ย หลงไปแล้ว รู้ทันตัวเองไป
วัดสวนสันติธรรม
23 กุมภาพันธ์ 2568