ช่วงนี้ก็ลำบากกันไปอีกช่วง ตัวเลขผู้ติดเชื้อมันก็เพิ่มขึ้นเยอะ มันตรวจได้ง่ายขึ้น ต่างจังหวัดก็เยอะ ถึงจุดหนึ่งเราจะต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ไป มันต้องผ่านจนได้ อดทนเอาไว้ไม่มีอะไรดีกว่าอดทน แล้วก็อยู่ด้วยสติด้วยปัญญา รู้จักระวังรักษาตัวเอง ทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจ สำคัญทั้งคู่ ทางร่างกายก็ระวังไปคลุกคลีอะไรอย่างนี้ กระทั่งในบ้านเดี๋ยวนี้ก็ต้องใส่แมสก์ ไว้ใจไม่ได้กระทั่งคนข้างๆ ตัวเรา อันนั้นทางสาธารณสุขเขาก็สอนแล้ว ว่าจะอยู่บ้านจะต้องทำอย่างไรอะไรอย่างนี้ การระวังรักษาจิตใจ คือการฝึกจิตใจตัวเองให้มันไม่สติแตกไปเสียก่อน โควิดโรคระบาดอย่างนี้ประมาณ 100 ปีก็มีครั้งหนึ่ง ระบาดใหญ่ๆ รอบนี้มันระบาดเร็ว การกลายพันธุ์เยอะ เพราะการติดต่อกันระหว่างคนมันมีเยอะ ไปกันทั่วโลกก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นธรรมดา เราก็แค่คอยระวังป้องกันตัวเอง แล้วก็อย่าเอาเชื้อไปติดคนอื่น ทำอย่างนี้
ส่วนทางจิตใจภาวนาไว้ ทำอะไรไม่ได้ก็ไหว้พระสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ขนาดหลวงพ่อสวดมนต์วันหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่รอบ สวดมนต์แล้วก็แผ่ส่วนบุญแผ่เมตตา จิตใจเราก็ร่มเย็น ใครคิดถึงเราก็ร่มเย็น พอจิตใจร่มเย็นก็สามารถมีกำลังที่จะผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ เมื่อปี พ.ศ. 2559 หลวงพ่อเคยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง พระอาจารย์อ๊าก็ไปดู Google ดูสถิติ อายุขนาดหลวงพ่อเป็นแล้วตายเท่านี้เปอร์เซ็นต์ๆ หลาย 10 เปอร์เซ็นต์ เราก็แล้วแต่ เจออาจารย์ก็บอกว่าอาจารย์ก็รักษาไปเท่าที่รักษาได้ ส่วนหลวงพ่อก็รักษาใจหลวงพ่อไป จะอยู่ได้แค่ไหน หรือจะตายตอนไหนไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญว่าตอนอยู่อยู่อย่างไร ตอนตายตายอย่างไร อยู่อย่างทุกข์ทรมาน กลุ้มอกกลุ้มใจ อย่างนี้มีชีวิตอยู่ 100 ปีก็ไม่มีคุณค่าอะไร ถ้าเราอยู่ด้วยความมีสติสัมปชัญญะรู้เนื้อรู้ตัวดูกายดูใจของเราอยู่ มีชีวิตเหลืออีกวันเดียวก็คุ้มค่าแล้ว อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลวงพ่อสอนเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่ในภัทเทกรัตตสูตร หมายถึงการมีชีวิตอยู่ราตรีเดียวก็น่าชื่นชม อยู่ด้วยความมีสติ ถ้าอยู่แบบอยู่ไม่เป็น ถ้าอยู่แบบกลุ้มใจ เครียดตลอดเวลา
เมื่อวานก็มีคนมาบอกหลวงพ่อ เครียด นอนไม่หลับมาตั้งหลายวันแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่หาย หลวงพ่อบอกยิ่งไปอยากดู ยิ่งอยากหาย มันยิ่งไม่หายหรอก อยู่กับปัจจุบันไป ไหว้พระสวดมนต์ ทำใจให้สงบ ทำใจให้สบาย เดี๋ยวร่างกายมันก็ผ่อนคลาย จิตใจผ่อนคลาย เดี๋ยวมันก็หลับเอง นี่บางทีเครียดจนนอนไม่หลับ ฉะนั้นเราจะอยู่ มีชีวิตอยู่จะนานแค่ไหน อีกไม่นานอาจจะติดโควิดตาย หรือเป็นโรคอื่นตายก็ตามเถอะ เราอยู่ให้เป็น อยู่ให้มีศีลมีธรรมไว้ จิตใจร่มเย็น ยิ่งมีสติได้ดีที่สุดเลย มีสติรู้สึกไป สมมติว่าเชื้อโรคเข้าไปในปอดหายใจไม่ออก เห็นร่างกายมันลำบาก มันเหน็ดเหนื่อย มันทรมานอะไรอย่างนี้ แต่ใจอย่าทุกข์ด้วย รักษาใจเอาไว้อันเดียว ร่างกายก็หมอเขาก็รักษาให้ รักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องกลัว ยังมีกิเลสอยู่เดี๋ยวตายแล้วก็มีร่างกายใหม่อีก ก็จะได้มาแก่ มาเจ็บ มาตายต่อไปอีก ฉะนั้นอยู่ก็อยู่ให้เป็น อยู่ด้วยความมีสติไป
ต้องรู้อย่างหนึ่งว่าในโลกนี้ ไม่มีใครได้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอก ไม่มีใครสมอยากหรอก เพราะความอยากเพิ่มไปเรื่อยๆ อย่างบางคนอยากได้เสรีภาพ อยากได้ประชาธิปไตย มันมีหลักอันหนึ่งซึ่งนักปราชญ์แต่ก่อนเขาสอนไว้ “มนุษย์ใฝ่หาเสรีภาพ แต่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยพันธนาการ” ไม่มีจริงหรอก เสรีภาพอันนั้นหมายถึงว่า อยากทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครมาห้าม ในความเป็นจริงเป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีสภาวะที่ทุกคนได้อย่างใจตลอด ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ ใครอยากภาวนาแล้วอยากบรรลุพระอรหันต์ก็ต้องได้อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุทั้งหมดเลย ถ้าเข้าใจมันแล้วก็ไม่กลุ้มใจ ที่เราทุกข์ทางใจอยู่นี่เพราะความอยากทั้งหมด
อยู่ให้เป็น
ถ้าเรามีสติ มีปัญญารักษาใจของเราไปเรื่อย เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่ใจอยากใจก็ทุกข์ ใจไม่อยากใจก็ไม่ทุกข์ มันจะเห็นอย่างนี้ อันนี้เป็นธรรมะขั้นต้น เห็นเลยใจอยากใจก็ทุกข์ ใจไม่อยากใจก็ไม่ทุกข์ ส่วนธรรมะขั้นสูง ถ้ามีจิตมีใจอยู่ยังไงก็มีทุกข์อยู่เพราะจิตใจมันเป็นขันธ์ ตรงนี้ยังไม่เห็นหรอก ถ้าเห็นตรงนี้ก็คือล้างอวิชชาได้ แต่วันหนึ่งจะเห็นสำหรับนักปฏิบัติ วันนี้ยังไม่เห็น เราเห็นแค่ว่าถ้ามีความอยาก ถ้ามีความยึดก็มีความทุกข์ ถ้าไม่อยากถ้าไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ ก็อยู่ในโลกด้วยชีวิตซึ่งไม่มีความอยาก หรืออยากน้อยๆ อยากน้อยๆ ก็ทุกข์น้อยๆ อยู่แบบไม่มีความอยากก็ไม่ทุกข์
ฉะนั้นการอยู่ให้เป็นสำคัญ ไหนๆ เราก็เกิดมาทั้งทีแล้ว กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย สัตว์ในโลกนี้ตั้งเยอะตั้งแยะ สัตว์มนุษย์มีอยู่ไม่กี่พันล้าน เทียบกับสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยนี่เยอะแยะไปหมดเลย ในทะเลก็มีสัตว์เยอะแยะ กว่าจะได้เป็นมนุษย์นั้นลำบาก เป็นมนุษย์แล้วจะมีร่างกาย มีจิตใจปกติ บางคนก็ไม่ปกติมาตั้งแต่เกิด บางคนก็มาพิกลพิการทีหลังแล้วแต่กรรมตัดรอน การที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งกายทั้งใจ มีกำลังพอที่จะปฏิบัติได้ถือว่าเรามีบุญมากแล้ว เวลาที่เรามีบุญมากก็คือเรามีกายมีใจที่ปกตินี่ล่ะส่งผลมา เรามีบุญแล้ว บุญให้ผลมาก็ได้ขันธ์ 5 ที่ดี ก็มาทำกรรมใหม่ที่ดีไป บางทีกรรมเก่าบางส่วนก็มาตัดรอน เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการ
ถ้าใจยอมรับว่าเราจะต้องเจ็บป่วยไม่ได้ ยังไม่ทันป่วยใจเราป่วยก่อนแล้ว อย่างบางคนระวังตัวเต็มที่เลย กลัวโควิด กลัวจนนอนไม่หลับเลย เครียดไปหมดเลย อย่างนี้เรียกว่าอยู่ไม่เป็น อยู่ไม่เป็นสุข เครียด ถ้าเราระวังป้องกันเต็มที่แล้ว มันได้แค่ไหนมันก็แค่นั้น ถ้ากรรมตัดรอนก็เป็นโรคขึ้นมา เราไม่ได้ไปหาเอง บางคนไม่ออกจากบ้านเลย สั่งอาหารมากินให้เด็กขี่มอเตอร์ไซค์เอามาส่ง ก็ติดจากคนส่งอาหารก็มี ฉะนั้นทั้งๆ ที่กันเต็มที่แล้วบางทีก็ไม่ได้อย่างอยาก ถ้าเรารู้ทันอย่างนี้ รู้ทันใจของเราไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าใจมีความอยาก ใจก็มีความยึด ใจมีความยึด ใจก็มีความทุกข์ ใจไม่อยาก ใจไม่ยึด ใจก็ไม่ทุกข์
ดำรงชีวิตไปด้วยสติด้วยปัญญา รู้จักคุ้มครองรักษาตัวเอง คุ้มครองรักษาคนในบ้าน คนในบ้านเราคุ้มครองเขาได้ส่วนหนึ่ง ถ้าเขาไม่คุ้มครองตัวเอง มันก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นอะไรที่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น มันไม่ได้เป็นไปตามอยาก อย่างเราอยากให้ตัวเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันยังไม่ได้เลย จะไปอยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ด้วย ยิ่งไม่ได้ใหญ่ ก็ต้องยอมรับสภาพมันได้แค่นี้ ทำดีที่สุดแล้วมันได้แค่นี้ก็แค่นี้ อันนี้เรียกว่าเราสันโดษแล้ว เรายินดีพอใจตามมีตามได้แล้ว ทำเต็มที่แล้วมันได้แค่นี้
มักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ความสงบ ไม่คลุกคลี
ธรรมะ 4 ตัวนี้ ช่วยป้องกันโควิดได้
ธรรมะนี้ช่วยเรามาก มักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงบ ไม่คลุกคลี 4 ตัวนี้ช่วยป้องกันโควิดได้เยอะเลย มักมาก ทุรนทุราย อยากทำธุรกิจ อยากเปิดประเทศ เรียกร้องให้เปิดเร็วๆ หวังว่านักท่องเที่ยวจะมา ใครจะมา เมืองไทยโควิดระบาดขึ้นไปที่ 35 ของโลกแล้ว วันหนึ่งติดใหม่สองหมื่นกว่า ตาย 100 – 200 กว่า คิดหรือว่าเปิดแล้วคนจะมาอะไรอย่างนี้ มันจะฝันเฟื่องไปหน่อย ฉะนั้นอย่างใจที่อยาก บางทีมันก็อยากแล้วมันทุกข์เปล่าๆ บางทีอยากแล้วก็สร้างปัญหาอันอื่นตามมา
เราพยายามรักษาใจของเรา สติแล้วพอใจเราสงบเข้ามา มีสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา ปัญญามันจะเกิด มันจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อันไหนจะทำก่อน อันไหนจะทำหลัง ถ้าจิตมีปัญญามันแยกแยะออกมาได้ มันช่วยตัวเองได้เยอะเลย อย่างตอนนี้สิ่งที่ต้องทำในการที่จะอยู่ให้เป็น นอกจากเรื่องทางธรรมะ มีสติรักษาจิต ก็คือรู้จักป้องกันตัวเอง รู้จักระวังป้องกันตัวเองดีที่สุด ทำมาหากินเท่าที่ทำได้ ไม่สะดวกไม่สบายอย่างเก่า แต่แค่พออยู่พอกินแค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้ว แล้วค่อยเอาไปรวยทีหลังตอนบ้านเมืองมันเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปหาทางให้รวยทีหลัง ตอนนี้เอาให้อยู่ให้ได้ก่อน
ตายให้เป็น
ทางใจก็มีสติรักษาจิตไป เรียกเราอยู่เป็นแล้ว อีกอันหนึ่งก็คือต้องตายให้เป็น อยู่เป็นอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องตายให้เป็นด้วย เวลาจะตายสิ่งที่จะพาเราไปเกิด คือบุญกับบาปของเรานั่นล่ะจะพาเราไป กุศลหรืออกุศลนั่นล่ะจะพาเราไป กุศล อกุศล บุญ บาปอะไรก็สิ่งที่เราทำขึ้นมาเองทั้งนั้น เราเป็นไปตามกรรม ถ้าเราปัจจุบันเรามีกรรมดี อย่างเราไม่เบียดเบียนใคร มีสติรักษาตัวเองไป รักษาจิตใจไป เรียกว่าเราทำกรรมดีอยู่ ถ้าทำกรรมดีจนคุ้นเคยกับการมีสติ มีศีล มีสมาธิ แล้วมีทานช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นเท่าที่ทำได้ ใจคุ้นเคยกับสิ่งที่ดีๆ เวลาตายตายให้เป็นก็แล้วกัน เรียกว่าเรามีทรัพยากรที่ดีแล้ว คือมีบุญทั้งหลายที่เราทำมา อันนั้นคือทรัพยากรที่ดี
เวลาจะตายให้เป็น คือนึกถึงสิ่งที่ดีๆ ที่เราทำนี้ล่ะ นึกถึงความดีที่เราทำ อาจจะเคยทำทาน เคยรักษาศีล เคยปฏิบัติธรรมอะไรอย่างนี้ นึกถึงสิ่งเหล่านี้ไว้ เคยโกรธแค้นคนแล้วเราก็สามารถให้อภัยได้ การให้อภัยนำความร่มเย็นมาให้ ในโลกนี้ถ้าไม่รู้จักให้อภัยก็ร้อนเบียดเบียนกัน ถ้าเรารู้จักให้อภัยคนแรกที่ได้ประโยชน์ ได้ความร่มเย็นคือตัวเราเอง อย่างเราไม่คิดเป็นพิษเป็นภัยอะไรกับคนอื่น ใครเขาว่าเราก็แค่นั้นล่ะจบ ใจเราไม่ต่อเรื่องสร้างความเร่าร้อนขึ้นมา เราได้ประโยชน์เป็นคนแรก คนอื่นนั้นได้ตามมาทีหลัง เวลาเราจะตายนึกถึงความดีที่เราทำไว้ อันนี้สำหรับคนทั่วๆ ไป ถ้าสำหรับนักปฏิบัติเป็นช่วงเวลาที่เราจะต่อสู้อย่างเข้มแข็งแล้ว เวลาจะตายขณะจิตสุดท้ายนั้นล่ะ มันจะดีหรือมันจะเลว หรือมันจะไม่มีจุติจิต ไม่มีจิตที่ตาย ถ้าภาวนาสุดขีดมันจะไม่มีจิตที่ตาย นิพพานไปเลย ถ้ามีจิตที่ตายเมื่อไรมีจิตที่เกิดเมื่อนั้น เวลาเราป่วยหนักโคม่าแล้ว สังเกตจิตใจไปร่างกายมันเจ็บปวด จิตใจมันทุรนทุราย ร่างกายเจ็บปวดห้ามมันไม่ได้ แต่จิตใจทุรนทุรายมีสติรู้เข้าไปรู้ทัน จิตใจมันจะสงบ พอจิตใจมันสงบจะพบความประหลาดอย่างหนึ่ง ความเจ็บปวดในร่างกายก็จะลดลงด้วย ร่างกายเราที่เจ็บป่วยมากๆ ปวดมากๆ เจ็บมากๆ ร้องโอยๆๆๆ อะไรนี้ พอจิตมีสติ มีสมาธิขึ้นมา ความเจ็บปวดลดลงไปเยอะเลย
อันนี้หลวงพ่อทดลองมาด้วยตัวเองแล้ว ผ่านมาแล้วอันนี้เคยเห็น มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องหลอก อย่างสมัยหลวงพ่อยังไม่ได้บวช มีเพื่อนๆ ผู้หญิงบางคน เวลามีรอบเดือนปวดท้องมากเลย ทรมานแทบจะดิ้นเลย ต้องกินยาต้องอะไร หลวงพ่อก็สังเกตมันเจ็บป่วยทางไหนบ้าง เจ็บป่วยทางร่างกายบวกด้วยเจ็บป่วยทางใจเข้าไปด้วย ใจมันไปขยายความเจ็บปวดทางร่างกายขึ้น หลวงพ่อก็สอนเขาให้ดูจิตดูใจตัวเอง เวลาร่างกายเจ็บ ใจมันไม่ชอบรู้ว่าไม่ชอบ พอใจมันเป็นกลางขึ้นมา เขาก็ย้อนไปดูความเจ็บปวดในร่างกาย พบว่ามันหายไปเยอะเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ ที่ร่างกายเจ็บแล้วรู้สึกเจ็บมาก เพราะจิตเราไปขยายความเจ็บป่วยทางร่างกาย ให้มากกว่าความเป็นจริง นี้คนไหนปวดประจำเดือนมากๆ ลองดู เวลาปวดสังเกตใจที่ทุรนทุรายไปเลย ใจไม่ชอบความเจ็บปวดนี้ รู้ทันใจที่ไม่ชอบเข้าไปเลย พอใจเป็นกลางมันจะเหลือแต่ความเจ็บปวดทางร่างกายแท้ๆ ซึ่งไม่มากนัก พอทนได้
หลวงพ่อก็เคยไปผ่าตัด ตอนให้คีโมเป็นฝี เป็นฝีที่ทวารหนัก มันเป็นจุดที่เส้นประสาทเยอะ มันต้องเจ็บมาก ให้คีโมเราก็แย่อยู่แล้ว แล้วยังเป็นฝีขึ้นมาอีก เพราะร่างกายไม่มีภูมิต้านทาน ไม่มีภูมิคุ้มกัน มันติดเชื้อได้ง่าย ไปผ่าทวารหนักผ่าแล้วหมอเขาบอกว่า “คืนนี้ต้องปวดหน่อยนะหลวงพ่อ แต่ว่าหลวงพ่อไม่ต้องกลัวนะ” หมอน่ารักจริงๆ บอกหลวงพ่อไม่ต้องกลัว “ผมให้มอร์ฟีนไว้แล้ว ตอนกลางคืนมันจะปวดมาก ให้พยาบาลฉีดให้” เราก็กลับมาอยู่ที่ห้อง เมื่อไหร่มันจะปวด แค่รู้สึกนิดๆ เอง พยาบาลก็เวียนมาถาม “หลวงพ่อจะเอามอร์ฟีนหรือยัง” “ยังๆ” ก็ยังไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่ต้องให้มอร์ฟีน แต่หลวงพ่อสงสารพยาบาลต้องเวียนมาถามเรื่อยๆ หลวงพ่อเลยขอพาราฯ เม็ดหนึ่งก็แล้วกัน พยาบาลได้ให้ยาพาราฯ 1 เม็ดแล้วสบายใจแล้ว เรากินแล้วเขาสบายใจกินให้เขาหน่อย ถ้าจิตเรามีสติแล้วก็จิตมันตั้งมั่นจริงๆ ไม่ไปปรุงแต่งความเจ็บปวดให้มากขึ้น ความเจ็บปวดทางร่างกายจริงๆ มันพอทนได้พอทนไหว แต่คงไม่ทนขนาดกวนอู ผ่าตัดลูกธนูที่หัวไหล่ แล้วก็ขูดถึงกระดูกอะไรอย่างนี้ ไม่ต้องใช้ยาชา ไม่ต้องใช้ยาสลบ นั่นเขากำลังภายในเยอะ หลวงพ่อคงไม่ได้ขนาดนั้นหรอก
หลวงปู่แหวนท่านก็เคยเป็นฝี แล้วสมัยนั้นเป็นสงครามโลกด้วย ยาอะไรไม่มีสักอย่างเลย ได้ทหารเสนารักษ์มาคนหนึ่งมีมีดมาเล่มหนึ่ง มาผ่าให้ท่าน เขาบอกเขาไม่มียาสลบให้ท่าน ท่านบอกเอาเถอะผ่าเถอะแล้วท่านก็ทำสมาธิ เขาก็ผ่าจนเสร็จท่านก็เงียบอยู่อย่างนั้น พอผ่าเสร็จก็บอกท่าน “เสร็จแล้วครับ” ท่านก็ถอนจิตออกจากสมาธิ หมอก็ถามไม่ใช่หมอ ทหารเสนารักษ์เขาก็ถามว่า “หลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง” ก็บอก “ก็เจ็บอยู่ คราวหน้าให้มือเบากว่านี้หน่อยก็แล้วกัน” เจ็บแต่ไม่ถึงโวยวายทุรนทุรายอะไร เพราะกายมันส่วนหนึ่ง จิตมันส่วนหนึ่ง
เราพยายามฝึกตัวเองเรื่อยๆ ฝึกสติ ฝึกให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู แยกธาตุ แยกขันธ์ไป แล้วเวลาเราจะตายมันจะไม่เจ็บมากหรอก ครูบาอาจารย์ชอบเล่า เวลาพระอรหันต์ท่านจะนิพพาน มักจะนิพพานไปอย่างสงบ เงียบไปเฉยๆ เลย ดับไปเฉยๆ ไม่ค่อยดิ้นทุรนทุรายโอดครวญอะไรอย่างนี้ ท่านบอกสงบไปเฉยๆ อันนั้นจิตฝึกมาอย่างดีเต็มที่ พวกเราถ้าเกิดเจ็บหนักใกล้จะตายจริงๆ เป็นโควิดหายใจไม่ได้อะไรอย่างนี้ ลมหายใจลำบากเราก็เห็นร่างกายมันพยายามต่อสู้ มันเป็นอัตโนมัติร่างกายมันจะพยายามหายใจ จะยกไหล่อย่างนี้ช่วยตัวเอง หายใจแล้วจะดิ้นรนทุรนทุราย นี่คนไม่ได้ฝึก ถ้าคนที่ฝึกมันก็เห็นร่างกายมันทุกข์ ใจมันเป็นคนรู้ มันก็จะดูไปเรื่อยๆ ดูสิลมหายใจจะขาดตรงไหน จะเลิกหายใจตรงไหน ตอนที่เลิกหายใจก็ยังไม่ตายทีเดียว จิตยังทำงานอยู่ ร่างกายมันไม่ได้ตายปุ๊บเลย ยังอีกช่วงหนึ่งทั้งๆ ที่ไม่ได้หายใจ ก็มีสติระลึกไปเรื่อยๆ เรียกว่าตายเป็น
อยู่เป็น คืออยู่แบบเข้าใจโลก ว่าโลกนี้ไม่เป็นดังใจ
ตายเป็น คือมีจิตตั้งมั่นรู้กายที่กำลังจะคืนให้โลก
อยู่ก็อยู่ให้เป็น ตายก็ตายให้เป็น อยู่อย่างไรถึงจะเรียกว่าอยู่เป็น อยู่แบบเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ว่าไม่มีอะไรที่เราได้ทุกสิ่งทุกอย่างหรอก โลกนี้ไม่เป็นไปตามใจปรารถนา อย่างเราอยากให้โควิดหมดไป ถึงเวลามันก็หมด ยังไม่ถึงเวลามันก็ไม่หมด มันก็แค่นั้น ก็อยู่ไปอย่างระมัดระวัง มีสติรักษาจิตใจไม่บ้าเสียก่อน รักษาร่างกายให้ดีที่สุด เรียกอยู่เป็น พอเวลาจะตายก็ตายเป็น มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ดูไปเรื่อยๆ เห็นสติรู้ร่างกายมันทรมาน จิตมันตั้งมั่นเป็นคนรู้ ดูลงไปร่างกายที่เจ็บปวดนั้นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของโลกที่เรากำลังจะคืนให้โลกแล้ว จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เราสั่งอะไรมันไม่ได้สักอย่างเลย แต่ทำได้แค่รู้ทันมันไป มันยินดีในภาวะอย่างนี้ มันยินร้ายในภาวะอย่างนี้ ก็รู้มันไป ในที่สุดก็รู้ทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง ถ้าตายไปก็ไปสุคติ จิตเป็นบุญเป็นกุศล ที่จริงมีสติอย่างเดียวก็ไปสุคติแล้ว เพราะจิตที่มีสติเป็นจิตที่เป็นกุศล
ฉะนั้นถ้าเราสามารถรักษาสติของเราไว้เรื่อยๆ เจ็บป่วยหนักใกล้จะตายแล้วก็มีสติระลึกลงไป พอระลึกๆ ลงไป กระบวนการเวลามันจะตาย ร่างกายมันจะดับไปก่อน จิตมันยังทำงานได้อีกนิดหนึ่ง ร่างกายมันหายไปแล้ว เหลือแต่จิตดวงเดียวล้วนๆ ตรงนี้ถ้าสติเราอัตโนมัติ มันเกิดนิมิตไม่ดีขึ้นมา สติระลึกรู้นิมิตที่ไม่ดีดับทันทีเลย มันจะเกิดนิมิตที่ดีขึ้นมาแทน เราก็ไปสุคติ หรือถ้าเราฝึกมามากพอมันก็ไม่มีนิมิตอะไร ไม่มีเครื่องหมายว่าจะไปที่ไหนต่อ ก็ดับ เหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้วดับลงไปเท่านั้น ไม่ใช่มีสะเก็ดไฟปลิวไปตกที่อื่นเกิดไฟขึ้นมาอีกที่หนึ่ง ถ้าจิตยังไม่หมดเชื้อก็ยังมีสะเก็ดไฟ ตอนตายเหมือนมีสะเก็ดไฟกระเด็นไป เกิดไฟในภพใหม่ขึ้นมา เกิดจิตในภพใหม่ขึ้นมา ก็เกิดทุกข์ในภพใหม่ขึ้นมาอีก
คิดดีก็ใจเย็น คิดไม่เป็นก็เย็นสบาย
ฉะนั้นพยายามฝึกตัวเอง อยู่ก็อยู่ให้มันสบาย อย่าอยู่ให้มันทุกข์ อย่าอยู่ให้มันเครียด ไม่มีเหตุผล ที่จริงแล้วความทุกข์ทางใจที่หลวงพ่อเห็นมันมาจากความคิดทั้งนั้น ยกเว้นในขั้นสุดท้าย ถ้าสุดท้ายตัวจิตตัวใจนั้นก็คือตัวทุกข์ แต่ถ้ายังไม่ถึงจุดสุดท้ายนั้น เราก็จะเห็นเลยว่ามันทุกข์เพราะคิด คิดเรื่องนี้ก็ทุกข์ คิดเรื่องนี้เสียใจ คิดเรื่องนี้น้อยใจ คิดเรื่องนี้โกรธ คิดเรื่องนี้โลภ มันตามหลังความคิดมาทั้งนั้น ความคิดถึงชื่อว่าเป็นมาร เรียกว่าอภิสังขารมาร มันมีกิเลสอยู่เบื้องหลัง มีกิเลสมาร อภิสังขารมารก็ทำงานได้ ขันธมาร ขันธ์นี้ก็กลายเป็นเครื่องมือของมาร ไม่ใช่เครื่องมือของพระ ทำงานไป สนองกิเลสมันเป็น ขันธมารไป
ค่อยๆ ดู ค่อยๆ ฝึก สังเกตจิตใจเรา ครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อเคยเจอท่าน หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านสอนบอกว่า “คิดดีก็ใจเย็น คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย”
“คิดดีก็ใจเย็น” เวลาเราคิดอะไรทางบวกจิตใจมันร่มเย็น ถ้าคิดไปทางลบจิตใจก็เร่าร้อน ฉะนั้นอยู่ที่ความคิดเรา “คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย” เย็นสบาย ก็คือพระนิพพาน เป็นความเย็นความดับ หมดความร้อน “คิดไม่เป็น” คิดอย่างไรคิดไม่เป็น คิดแล้วไม่เป็นตัวเป็นตน ไม่คิดแล้วก็มีตัวกู ของกูอะไรขึ้นมา “คิดไม่เป็น” หมายถึงว่าคิดไม่เป็นตัวเป็นตน ไม่เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา สักแต่ว่าความคิด สักแต่ว่าเห็นขันธ์มันทำงานไป “คิดไม่เป็นแล้วจะเย็นสบาย” ไม่ได้แปลว่าไม่คิด จิตมันมีหน้าที่คิดอย่างไรมันก็คิด แต่คิดแล้วมันไม่เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นเขา มันก็สบาย เย็นสบาย ฉะนั้น “คิดดีก็ใจเย็น คิดไม่เป็นก็เย็นสบาย”
เพราะฉะนั้นความคิดเรานี่ตัวร้ายที่สุดเลย โดยเฉพาะเวลาอยู่คนเดียว คนโบราณท่านสอนดี ท่านสอนบอกว่า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่ท่ามกลางหมู่มิตรให้ระวังวาจา” ก็ต้องระวัง ถ้าเราคอยรู้เท่าทันความคิดของตัวเองไว้ อย่างมันจะคิดท้อแท้ คิดโมโห มีโควิดระบาดแล้วโมโห คิดในทางไม่ดีตลอด ถามว่าโควิดมันจะหายไปจากโลกไหม มันไม่หายหรอก มันโง่เปล่าๆ มันทุกข์เปล่าๆ ฉะนั้นเราก็ระมัดระวังเวลาคิด ไม่คิดไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา คิดไปด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความมีสติ ด้วยความมีสมาธิ ฝึกใจอย่างนี้อยู่เป็น ถ้าตายก็เป็น ค่อยๆ ฝึกไป อยู่ก็อยู่ให้เป็น ตายก็ตายให้เป็น ชีวิตนี้ไม่ขาดทุน
พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่า “มีชีวิตเพียงราตรีเดียว ผู้มีสติอยู่ มีชีวิตเพียงราตรีเดียวก็พึงชมแล้ว” คนอายุ 100 ปีไม่น่าชม คืนเดียวที่มีสติน่าชมกว่า ฉะนั้นเราอยู่ด้วยความมีสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาของเรานี้ดีที่สุด แล้วถ้าฝึกอย่างนี้มากๆ เวลาตายมันก็ตายดีเองอัตโนมัติ รีบฝึกนะเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร อย่างโควิดมีคนตาย 100 – 200 คนทุกวันๆ ในเมืองไทย น่าตกใจไหม ควรระวังแต่ไม่น่าตกใจหรอก อย่างคนรุ่นหลวงพ่อเกิดปีละล้าน ถ้าหารออกมามันควรจะตายวันละเท่าไร ตายวันหนึ่งไม่ใช่น้อย ถ้าเกิดปีละล้าน ตายธรรมชาติวันหนึ่งๆ ก็เยอะแยะ เพียงแต่ว่ามีตายเพราะโควิดเพิ่มขึ้นมา 100 – 200 คนเท่านั้นเอง อย่างไรมันก็ต้องตาย เพราะว่ามันเกิดมานานแล้วมันก็ต้องตายไป เรื่องธรรมชาติ.
วัดสวนสันติธรรม
14 สิงหาคม 2564