เจริญพรทุกท่าน ต่อไปนี้เป็นเวลาฟังธรรม ธรรมะไม่ใช่ของเล่นๆ ตั้งอกตั้งใจฟัง เป็นของที่มีประโยชน์ต่อชีวิตเราจริงๆ คนเราเกิดมาไม่นานแก่เจ็บก็ตาย ทรัพย์สินเงินทองอะไรสะสมไว้มากมายก็เอามาเป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้ ก็ได้ธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัยที่แท้จริงของเรา ทีนี้น่าเสียดายคนไทยอยู่ในเมืองพุทธแท้ๆ ก็ไม่รู้คุณค่า ตอนนี้พวกฝรั่งอะไรพวกนี้สนใจ คนจีนสนใจ ประเทศที่เขาไม่มีพระพุทธศาสนาเขาอยากได้ แต่พวกเราอยู่กับศาสนาพุทธมาแต่เกิด ก็เลยไม่รู้ว่าคุณค่ามันขนาดไหน
ตอนนี้คนไทยเป็นโรคทางจิตใจ 1.6 ล้านคน ตอนนี้น่าจะมากกว่านั้นแล้ว นี่เป็นตัวเลขเมื่อปี 2564 ที่เป็นโรคทางจิตใจเป็นแต่เดิมก็มีแต่พวกคนแก่ เป็นโรคซึมเศร้าเหงาหงอย ต่อมาคนกลางคนก็เป็น เครียดในเรื่องทำมาหากิน ตอนนี้ถึงระดับเด็กก็เป็น เด็กก็เครียด เรียนหนังสือแล้วแข่งขันกัน ชีวิตไม่มีความอบอุ่น อย่างพวกเราคนไหนที่อายุมากๆ เราจะนึกออกว่าครอบครัวของเราแต่เดิมนั้นครอบครัวใหญ่อยู่กันอย่างอบอุ่น
ทุกวันนี้เป็นครอบครัวตัวใครตัวมัน มีปัญหาขึ้นมาก็พูดกับใครไม่ได้ เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นมิตรใครจะเป็นศัตรูที่แท้จริง ฉะนั้นชีวิตเงียบเหงาว้าเหว่แล้วก็เคร่งเครียดมาก น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจศาสนาพุทธ คิดว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องเข้าวัดมาทำบุญ แต่ละวัดตอนนี้ก็สร้างรูปเคารพอะไรมามากมาย มีสินค้าตัวใหม่ๆ ให้คนมากราบมาไหว้ แล้วก็บริจาคเป็นทางอยู่รอด คนเข้าวัดทุกวันนี้ไม่ได้มาหาธรรมะ แต่มาหาโชคลาภความร่ำรวยอะไรพวกนี้ มาขอพร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการที่ต้องช่วยตัวเองให้ได้
กรรมลิขิตเหนือพรหมลิขิต
เราต้องรู้ล่วงหน้า ทุกคนเรารู้อยู่แล้วล่ะ วันหนึ่งเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตาย วันหนึ่งเราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก บางครั้งบางคราวเราก็ต้องเจอคนที่เราไม่ชอบ บางครั้งมีความปรารถนามีความอยากต่างๆ เกิดขึ้น แล้วมันก็ไม่สมอยาก เพราะความอยากของเราไม่มีที่สิ้นสุด พออยากอย่างนี้ได้แล้วก็ยังอยากอย่างอื่นต่อไปอีก ความอยากเกิดขึ้นทีไร ความทุกข์เกิดขึ้นในใจทุกที
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ให้เห็นว่าธรรมดาเราต้องแก่เราต้องเจ็บต้องตาย เป็นธรรมดาที่เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักจากคนที่รักที่พอใจ เป็นธรรมดาที่เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบใจเป็นบางครั้งบางคราว เป็นธรรมดาที่มีความอยากเกิดขึ้นแล้วมันไม่สมอยาก ความอยากไม่มีทางสมอยากได้หรอก เพราะความอยากของเราขยายตัวไปไม่มีที่สิ้นสุด ได้แค่นี้ก็อยากได้แค่นั้น
ท่านสอนให้เรามาดูความจริงของชีวิต ว่าชีวิตจริงๆ เป็นของไม่ยั่งยืน เป็นของไม่แน่นอน ในโลกก็แสวงหาลาภยศสรรเสริญสุขกัน ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว อยู่กับเราไม่นานมันก็จากเราไป อย่างมีลาภคือมีผลประโยชน์ ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งเห็นได้ง่าย ทำธุรกิจช่วงนี้ร่ำรวยได้เงินง่าย อีกช่วงหนึ่งล้มละลายไปเฉยๆ เป็นหนี้เป็นสินไปเฉยๆ เลย
อย่างช่วงไหนดูเศรษฐกิจดี คนต่างชาติเข้ามาเยอะ อย่างตอนนี้เมื่อก่อนหน้านี้คนจีนอะไรพวกนี้เข้ามาเยอะ ฝรั่งญี่ปุ่นเข้ามาเยอะ หลวงพ่ออยู่ศรีราชา พวกคนแก่ต่างชาติเข้ามาอยู่เยอะเลย เขาอยู่แล้วสบาย บอกค่าใช้จ่ายถูกกว่าบ้านเขา ทีนี้คนไทยเราก็รื่นเริง ต่างชาติมาเยอะแยะก็สร้างคอนโดมากมายกะขายต่างชาติ ปรากฏว่าประเทศของเขามีปัญหา เศรษฐกิจเขาไม่ดี อย่างบางประเทศเคยร่ำรวย เศรษฐกิจซบเซา ไม่มีกำลังที่จะมาซื้อ เขาลำบาก แล้วเราหวังพึ่งเขา เราก็เลยลำบากไปด้วย ทำกิจการสร้างบ้านสร้างอะไรขึ้นมาแล้วขายยาก
นี่ครั้งหนึ่งในเวลาไม่กี่ปี เศรษฐกิจแบบนี้ธุรกิจอย่างนี้บูม อีกแพล็บเดียวตกต่ำไปแล้ว สมัยโบราณไม่เป็น สมัยโบราณคนเขาทำมาหากินง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ถึงปีก็ทำไร่ทำนาทำสวนจับปลา แต่ทุกวันนี้การทำมาหากินซับซ้อนมากขึ้นๆ ทีนี้ถ้าเราไม่เข้าใจมัน เวลามีโอกาสได้เราก็หลงลำพอง หาเงินง่ายก็ใช้เงินง่าย เวลาปุ๊บปั๊บหมดโอกาสอันนั้นแล้วจิตใจก็เศร้าหมองแล้ว ฉะนั้นคนถึงเป็นโรคซึมเศร้าเป็นโรคจิตใจนี่เยอะมาก คนไทยตอนนี้เป็นล้าน
เมื่อก่อนจิตใจไม่สบายเข้าวัดไปปรับทุกข์กับพระ ทุกวันนี้เข้าวัดก็ไม่แน่ว่าจะพ้นทุกข์ ไม่รู้จะไปปรับทุกข์กับใคร ก็ไปปรับทุกข์กับรูปปั้นทั้งหลาย รูปปั้นพระพุทธเจ้าบ้าง รูปปั้นเทวรูปบ้าง ไปร้องทุกข์ขอให้ช่วย สิ่งเหล่านั้นช่วยเราไม่ได้หรอก เพราะเป็นวัตถุเท่านั้นเอง แต่ทำแล้วเราแค่ได้สบายใจ พระพุทธเจ้าสอนให้เราช่วยตัวเองไม่ใช่พึ่งสิ่งอื่น ไม่ใช่พึ่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้พึ่งกรรมเก่า
พวกเราทุกคนมีกรรมเก่าทั้งนั้นล่ะ ที่เราต้องเกิดมามีหน้าตาแบบนี้ เกิดมาเป็นคนอย่างนี้ เป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย เกิดมารวยเกิดมาจน เกิดมาหน้าตาดีหน้าตาไม่ดี อันนี้เป็นผลของกรรมเก่า แต่ว่าจุดสำคัญเมื่อมีกรรมเก่าส่งผลมาให้เราเจอสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะต้องทำกรรมใหม่ที่ดี ถ้าเราทำกรรมใหม่ที่ดีอนาคตเราก็จะดี ถ้ากรรมเก่าส่งผลมาไม่ดี แล้วเราก็ทำตัวไม่ดีอีก ก็ยิ่งย่ำแย่เข้าไปอีก อย่างบางคนกรรมเก่าไม่ดีเกิดมาลำบากยากจนเป็นกำพร้า แต่ว่าไม่ปล่อยชีวิตยอมจำนน ไม่ยอมจำนนกับโชคชะตา ต่อสู่ขยันขันแข็งทำมาหากิน รู้จักหาช่องทาง รู้จักคบคนที่จะแนะนำการทำมาหากินที่มีประโยชน์ได้ ชีวิตของเขาก็ดีขึ้น
เห็นไหม อิทธิพลของกรรมเก่าอิทธิพลของดวงดาวทำอะไรเราไม่ได้หรอก มันทำได้กับคนที่งอมืองอเท้า เพราะฉะนั้นดวงดาวต่างๆ ทำอะไรชาวพุทธเราไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปวิตกเลย ปีนี้จะชงกับปีไหนอะไรนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ดาวดวงนั้นจะมาอยู่ตรงนี้ ดวงนี้จะไปอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สำคัญอยู่ที่การกระทำของเราเอง ถ้าเราเกิดมายากจน เราก็ทำกรรมที่ทำให้เราร่ำรวยได้ พระพุทธเจ้าก็สอนไว้ สอนให้รู้จักทำมาหากิน สอนให้รู้จักเก็บออม สอนให้รู้จักลงทุน สอนให้รู้จักใช้จ่าย แล้วก็สอนให้รู้จักคบคน เราคบคนไม่ดีก็พาเราหายนะ ชวนกันไปทำกิจการที่เสียหาย นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้าแก้ปัญหาได้จริง อยู่ที่การปฏิบัติตัวของเรา ถ้าเราปฏิบัติจริงจัง ชีวิตเราไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันเราทำให้ดี อนาคตเราก็จะดี ฉะนั้นชาวพุทธเราจะไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา เราจะไม่เชื่อในเรื่องของพรหมลิขิต พรหมอยากลิขิตก็ลิขิตไป แต่ว่ากรรมลิขิตเหนือพรหมอีก เพราะฉะนั้นเราพยายามสร้างคุณงามความดีให้ตัวเองไว้ แล้วชีวิตเราก็จะได้ก้าวหน้าร่มเย็นเป็นสุข
สร้างความดีงาม ลดละความเห็นแก่ตัว
วันนี้หลวงพ่อมาเทศน์งานศพคุณธนา คุณธนานี่ลูกศิษย์วัดสวนสันติธรรมส่วนใหญ่จะเรียกพี่ธนา แกเป็นพี่เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรกๆ เลยที่ช่วยหลวงพ่อทำงาน คนที่ช่วยหลวงพ่อทำงานมาตั้งแต่แรกเลย ตั้งแต่หลวงพ่อบวชมี 2 คน คนหนึ่งก็คือคุณธนานี่ล่ะ 2 คนนี้คอยช่วย คุณธนามาช่วยงานตั้งแต่หลวงพ่ออยู่เมืองกาญจน์ ตั้งแต่บวชวันแรกแล้ว คอยช่วยเหลือสารพัด
เวลาที่วัดมีคนมาบริจาคข้าวของมากมาย คุณธนาก็จะเป็นคนรับเอาสิ่งของนี้มาเป็นคนส่ง ส่งไปช่วยวัดที่ยากจน จากวัดหลวงพ่อพวกเราถวายข้าวของมา มันเกินกว่าที่หลวงพ่อจะใช้ หลวงพ่อไม่ได้เอาไปขาย หลวงพ่อก็ส่งไปช่วยวัดที่ยากจน คุณธนานี่ล่ะทำหน้าที่เป็นคนส่งของให้ ขยันขันแข็ง ขนของแต่ละเดือนๆ ไม่ใช่น้อยเลย เป็นรถบรรทุกเลย
ทำอย่างนั้นมาตลอดโดยที่ไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรตอบแทนสักอย่างเดียวเลย นอกจากความสบายใจ ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำประโยชน์ ได้ช่วยเหลือคนที่เขาไม่มีโอกาส เวลาที่วัดขาดแคลนข้าวของบางอย่าง ก็บอกคุณธนา ก็ซื้อไปจากกรุงเทพฯ ฝากซื้อนะไม่ได้ว่าให้คุณธนาซื้อให้ฟรีๆ แต่ฝากให้ซื้อให้ แกก็ช่วยเหลือเต็มที่ ฉะนั้นทุกๆ เรื่องแกช่วยเหลือมาตลอด
สิ่งที่สำคัญที่แกช่วยเหลือหลวงพ่อมากเลยก็คือเรื่องงานเผยแพร่ ตั้งแต่หลวงพ่อบวชทีแรก หลวงพ่อไม่มีคนอื่น ก็มีคุณธนาอยู่นี่ล่ะ คุณธนาเขาช่วยมาก ตั้งแต่หลวงพ่อไปบวช ครูบาอาจารย์ท่านสั่งหลวงพ่อมาตั้งแต่ก่อนจะบวช หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อ ท่านเคยสั่งหลวงพ่อบอกว่าคุณนะไปทำงานเผยแพร่ ต่อไปคนในเมือง หลวงพ่อไม่ใช่คนบ้านนอก หลวงพ่อคนกรุงเทพฯเลย โตกรุงเทพฯ อยู่ในกรุงเทพฯ ทำงานในกรุงเทพฯ จนกระทั่งลาออกจากงาน เป็นคนกรุงเทพฯ ท่านบอกว่าเป็นคนเมือง ให้หลวงพ่อไปสอนกรรมฐานที่หลวงพ่อฝึกมาจากหลวงปู่ดูลย์ ก็คือการดูจิตดูใจของตัวเอง
ท่านบอกว่าถ้าไม่ไปบอกเอาไว้ คนที่เขาควรจะได้ประโยชน์เขาจะเสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นให้ไปทำงานเผยแพร่ หลวงพ่อครูบาอาจารย์สั่งก็ต้องทำ พอมาบวชแล้วก็ต้องทำ ก่อนบวชก็ทำเท่าที่ทำได้ ตอนมาบวชต้องสอนทุกวันๆ เดี๋ยวคนนั้นมา เดี๋ยวคนนี้มา สอน สอนนี่พูดซ้ำๆ เยอะเลยวันๆ หนึ่ง ก็เลยคิดกับคุณธนาว่าเรามาพิมพ์หนังสือพื้นฐานดีกว่า ใครอยากฟังธรรมะอยากเรียนธรรมะให้มาอ่านเอา หลวงพ่อจะได้ไม่ต้องพูดซ้ำไปซ้ำมา ก็เลยเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มแรก เรื่องวิถีแห่งความรู้แจ้ง มีไม่กี่หน้า
แล้วก็คุณธนาเอาไปซีร็อกซ์ ขั้นแรกยังไม่ได้เข้าโรงพิมพ์หรอก เอาไปซีร็อกซ์ เอาไปแจก ทำงานมาด้วยกันตั้งแต่จุดเริ่มต้น มีเงินไม่มากเท่าไร เงินตอนนั้นก็เอาไปลงทุนสร้างที่พักสงฆ์ที่เมืองกาญจน์นี่ ฉะนั้นได้เงินบริจาคมาก็เอาไปพิมพ์หนังสือ ทีนี้พอซีร็อกซ์แจกเรื่อยๆ คุณธนาเขาบอกว่าทำซีร็อกซ์แจกนี่แพงน่ะ พิมพ์หนังสือแจกดีกว่า เพราะฉะนั้นคุณธนาก็เลยเป็นคนริเริ่มพิมพ์หนังสือธรรมะหลวงพ่อคนแรกเลย ก็พิมพ์แจกๆ มาเรื่อยๆ
ต่อมามีพระองค์หนึ่ง ตอนนั้นยังไม่ได้บวช เวลาหลวงพ่อเทศน์ ขออัดเทป แล้วก็บอกว่าจะไม่เผยแพร่ จะเอาไว้ฟังเอง แล้วก็ไปทำเทปขึ้นมา ไปเขียนข้างหน้าบอกว่า “ห้ามเผยแพร่” โอ๊ย ยิ่งน่าสนใจใหญ่เลย ห้ามเผยแพร่ คนไทยเราชอบนินทาอยู่แล้ว อะไรที่มันลึกลับรู้สึกดี อะไรเปิดเผยไม่ค่อยสนใจ ก็ต้องทำเทปแจกอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เขาจะเอาเทปมาอัดเอาเอง ทีนี้พอมียุคซีดี คุณธนาก็เริ่มทำซีดีตั้งแต่แผ่นที่ 1 ก็ทำซีดีสืบทอดมาเรื่อยๆ จนถึงขณะนี้เป็นแผ่นที่ 100 ทางมูลนิธิสื่อธรรมฯ ที่รับช่วงงานมาจากคุณธนานี่บอกต่อไปจะไม่ทำแล้ว เป็นแผ่นสุดท้ายแล้ว มันเป็นแผ่นสุดท้ายพร้อมๆ กับชีวิตคุณธนา แผ่นที่ 100 คือช่วงที่คุณธนาเขาตายพอดี เริ่มตั้งแต่แผ่นที่ 1 เขาทำมา
ทีนี้พอทำหนังสือทำซีดีแจก คนก็เอาไปอ่านอะไรต่ออะไรก็มาบริจาค คุณธนาก็รวมเงินไว้แล้วก็เอาไปพิมพ์หนังสือ ก็พิมพ์ได้มากขึ้นๆ ต่อมาก็มีเงินเก็บมากขึ้นแล้ว คุณธนาก็เลยตั้งมูลนิธิขึ้นมา ถ้าเก็บเอาไว้ในชื่อตัวเองมันเป็นมลทิน ก็เลยไปตั้งมูลนิธิสื่อธรรมหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ขึ้นมา คุณธนาก็เป็นประธานมูลนิธิฯ คนแรก ทีนี้พอทำงานมาช่วงหนึ่ง งานก็ขยายออกไปเรื่อยๆ แกทำโดยที่แกไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร แกเต็มใจทำของแกเต็มที่ เพราะงานมันขยายมากขึ้น แล้วก็พอดีแกไม่สบาย ก็เลยลาออกจากประธานมูลนิธิฯ
ตอนนี้ก็ให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงานแทน นี่ส่งไม้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่ง มันเป็นการส่งไม้ที่ดี เห็นไหมส่งทอดไม่มีสะดุดเลย คุณธนาตายไปตอนนี้งานไม่ได้สะดุดเลย เพราะว่าเขาวางแผนไว้ดี เขารอบคอบในการที่จะส่งต่อการทำงานการช่วยกันรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนา
นี่คุณธนาช่วยหลวงพ่อทำงานมากมาย แล้วไม่เฉพาะช่วยหลวงพ่อนะ คนที่รู้จักอะไรต่ออะไรนี่ เวลาจะติดต่อกับหลวงพ่อช่วงแรกๆ ติดต่อผ่านคุณธนา แกก็คอยช่วยคอยแนะนำเรื่องนั้นเรื่องนี้ คนก็เลยเรียกพี่ นับถือแกเพราะว่าแกช่วยงาน ช่วยไปหมด ใครต่อใครรู้จักไม่รู้จัก แกช่วยทั้งนั้นล่ะ นี่ความดีของแก จนกระทั่งพอแกไม่สบาย แกก็เริ่มถอนตัว ผ่องงานให้คนรุ่นใหม่
คนฉลาดในการดำรงชีวิต
ก่อนที่แกจะตาย ก่อนที่จะตายสักครึ่งเดือน หลวงพ่อก็นึกๆ ถึงแก พระอาจารย์อ๊าก็บอกต้องรีบไปเยี่ยมแล้ว ปกติหลวงพ่อไปเยี่ยมใคร คนนั้นตายหมดทุกทีเลยนะ ทีนี้ไปเยี่ยมป๋าสักที ไปเยี่ยม หลวงพ่อชอบเรียกแกว่า ป๋าธนา แกทำตัวเหมือนป๋า แต่ไม่ใช่เป็นป๋าแบบเอาเงินไปแจกผู้หญิง แกชอบช่วยเหลือคน คนบางส่วนก็เรียกแก ป๋าธนา นิสัยแบบป๋า คอยโอบอ้อมอารี ก็ไปเยี่ยมแกเมื่อกลางเดือน
แกกินข้าวไม่ได้แล้ว ร่างกายไม่ไหวแล้ว แต่หน้าตานี่ผ่องใส ดูสดชื่นดูเบิกบาน บอกหลวงพ่อบอกว่าตอนนี้ไม่มีห่วงอะไรแล้ว ทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ธุรกิจก็ยกให้ลูกไปทำแล้ว ไม่ได้ทำเองแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีปมจิตติดค้างใดๆ ทั้งสิ้น แกบอกหลวงพ่ออย่างนี้ หลวงพ่อดู อืม ก็จริง แกเป็นคนฉลาดในการดำรงชีวิต ขณะที่ยังแข็งแรงก็ดำรงชีวิตแบบคนที่รู้จักทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว ตอนที่เจ็บหนักก็ฉลาดที่จะคุ้มครองดูแลจิตใจตัวเอง
ทีนี้พอหลวงพ่อไปเยี่ยมสักอาทิตย์หนึ่ง แกก็เขียนเมล นี่คนโบราณยังใช้อีเมลอยู่ เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้แล้วมั้ง แกเขียนเมลมาถึงหลวงพ่อ เดี๋ยวจะอ่านให้ฟัง แล้วจะรู้ว่าแกไม่ธรรมดา จดหมายของแกลงวันที่ 24 ธันวาคม อีกอาทิตย์หนึ่ง 31 ธันวาคม แกตายแล้ว แกบอกว่า
“กราบนมัสการลาหลวงพี่ ตลอดเวลาที่ทำงานเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผมมีความสุขมาก มีหลายเรื่องที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยสัมผัสมาก่อน ก็ได้พบจากการที่ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนเลย เช่นคำกล่าวเกี่ยวกับพระเกี่ยวกับวัด อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาในใจเอง ไม่ได้เรียน ความเข้าใจความรู้ตัวนี้มันผุดขึ้นมาในใจได้ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะมีก็ได้เห็น แต่เห็นแล้วก็ปล่อยวางไป”
นี่เก่งนะ พวกเราหลายคนพอรู้พอเห็นอะไรที่เหนือธรรมดา ชอบไม่ปล่อย รู้อะไรก็ยิ่งตะครุบเอาไว้ ตะครุบเอาไว้ สุดท้ายก็โรคจิตกิน นี่เขาฉลาดนะ เขารู้เขาเห็นอะไร เขารู้แล้วเขาวาง แล้วเขาปล่อย แล้วก็ได้วางปล่อยไป
“กระผมไม่ทราบว่าจะอยู่ได้อีกกี่วัน จึงได้เขียนจดหมายมาขอขมา หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดกระทำผิดโดยไม่มีเจตนาหรือมีเจตนา ก็ของดโทษกับตัวกระผมด้วย” เห็นไหม จะตายยังรู้จักร่ำลา รู้จักขอขมา แล้วก็แกเท้าความหลัง อันนี้เป็นสไตล์ของคนแก่ แกบอก “ยังจำได้เมื่อครั้งแรกที่ได้พบหลวงพี่ที่ศาลาลุงชิน จำได้ว่าเป็นวันปีใหม่ก็ได้นำการ์ดมอบให้กับหลวงพี่ที่รถ และบอกว่าผมเป็นคนโง่เป็นศิษย์โง่ แต่หลวงพี่เป็นคนเปิดความสว่างความสดใสให้ผมได้รู้จัก ซึ่งแค่นี้สุขมากเหลือหลายแล้ว”
แล้วก็สั่งด้วยนะบอกว่า “หากมีเรื่องฉุกเฉิน กระผมให้เบอร์โทรศัพท์หลวงตาอ๊า” เขาเรียกหลวงตาแล้วนะ จำไว้นะพวกเราช่วยกันจำไว้ หลวงพ่อยังเป็นหลวงพ่อ นี่หลวงตาอ๊า อ่านซ้ำอีกทีเพราะสะใจ “หากมีเรื่องฉุกเฉิน กระผมให้เบอร์โทรศัพท์หลวงตาอ๊าให้กับแฟนแล้ว” ทำไมให้ หลวงตาอ๊าเป็นประธานกรรมการวัดสวนสันติธรรม ป๋าธนาเขาเป็นกรรมการ แล้วตายก็จะให้ลูกโทร. มาบอก เพราะว่าต้องเปลี่ยนกรรมการ กรรมการคนนี้ไม่ทำงานแล้ว ขอไม่ทำงาน สรุปบอกว่า “กราบขอขมาในทุกสิ่งที่จำได้หรือจำไม่ได้ กราบขอขมาครับ”
เห็นไหมความเก่งของแก คนทั่วไปจะตาย จะคร่ำครวญ โอ๊ย ทำไมเราจะตายเร็ว อายุเพิ่งจะ 69 ยังไม่ใช่ 96 ก็จะตายแล้ว ก็จะโอดครวญ คร่ำครวญ ใจฝ่อ นี่ไม่มีเลยนะ เคลียร์ทุกอย่างไว้หมดสิ้นเลย แถมยังสั่งลูกไว้ด้วย ตายแล้วยังเอาเงินส่วนหนึ่งมาทำบุญ ทำบุญกับมูลนิธิฯ ทำบุญกับวัด กับหลวงพ่อ กับคุณแม่ชี แบ่งเงินมาทำบุญส่วนหนึ่ง นี่แกยังทำบุญจนกระทั่งวาระสุดท้ายของแก สิ่งที่ทำมาตลอดชีวิตนี่มันก็บอกได้นะว่าแกจะไปไหน
จิตที่ไม่ถูกกิเลสย้อม สุคติเป็นอันหวังได้
อันนี้หลวงพ่อก็ตอบแกไป จะฟังไหม ไม่เกี่ยวกับคุณธนา ฟังเหรอ เอ้า ตามประชามติ หลวงพ่อตอบป๋าบอกว่า “ป๋าสร้างความดีร่วมกับหลวงพี่มายาวนานมากกว่า 20 ปี ที่งานเผยแผ่ก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ได้ และมีคนได้รับประโยชน์และความสุขเป็นแสนๆ คนแล้ว จนถึงระดับรากหญ้า ก็เพราะมีป๋าเป็นผู้จุดประทีปส่องแสงสว่างขึ้นก่อน แล้วคนอื่นๆ จึงเข้ามารับช่วงในภายหลัง ความตายเป็นเรื่องธรรมดา” เห็นไหม หลวงพ่อก็แน่เหมือนกันนะ ไม่ปลอบสักคำเลย ไม่บอก โอ๊ย ยังไม่ตายหรอก ขอให้อายุมั่นขวัญยืนอยู่จนหลานมีเหลน ไม่บอกอย่างนั้นหรอกนะ
หลวงพ่อบอก “ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อถึงวาระของป๋า หลวงพี่เชื่อมั่นด้วยกำลังบุญของป๋า ของหลวงพี่ ของหลวงตาอ๊า แล้วก็ของคุณแม่ชี ย่อมเพียงพอที่จะนำป๋าไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น และใกล้ฝั่งแห่งพระนิพพานมากขึ้นๆ เรื่องที่ป๋าขอขมานั้น หลวงพี่ อาจารย์อ๊า คุณแม่ชี รับการขมานั้น และหากหลวงพี่ อาจารย์อ๊า และคุณแม่ชี เคยพลาดพลั้งล่วงเกินป๋าอย่างใด ก็ขอขมากรรมต่อป๋าไว้ ณ ที่นี้ด้วย” คล้ายๆ เราปิดบัญชีแล้วนะ ปิดบัญชีกัน ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องติดค้างต่อกัน
ทีนี้ก็เหลือปัญหาที่คนสนใจ ตายแล้วป๋าไปไหน อยากรู้ไหม พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องให้หลวงพ่อบอกหรอก พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่า “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา จิตที่มีกิเลสย้อมอยู่ มีทุคติเป็นอันหวังได้” คือไปแหงๆ หวังได้ “จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา จิตที่ไม่ถูกกิเลสย้อม สุคติเป็นอันหวังได้” สุคติภูมิก็มีภูมิของมนุษย์ ของเทวดา ของพรหม แล้วถ้าสูงกว่านั้นเป็นโลกุตตรภูมิ ป๋าหนะแกประกาศมาตลอดว่า แกยังไม่ได้มรรคผล แก ทำความดีเพราะอยากทำ อยากช่วยคนอื่น ไม่ใช่เพื่อเอาอะไร นี้เป็นบุญที่ใหญ่มากๆ บุญที่ทำด้วยใจที่สะอาดขนาดนี้
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องเป็นห่วงป๋าหรอก ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะไปไหน เขาได้ทำความดีงามโดยความไม่เห็นแก่ตัว บุญนี้ใหญ่นะ ใหญ่มากๆ เลย อย่างคนทำบุญ แต่ว่าอยากเด่น อยากดัง อยากได้หน้าได้ตา ได้บุญนิดเดียว ป๋าเขาทำบุญ เขาไม่ได้รวยทำบุญได้ทีหนึ่งหลายๆ ล้านอย่างคนอื่น เขาทำของเขาไปทีละเล็กทีละน้อย แต่เขาทำด้วยใจที่สะอาด บุญของเขาใหญ่
พวกเรามางานศพ เราก็จะเห็นตัวอย่าง เวลาเราไปงานศพ เราก็จะเห็นตอนจะเผานี่ ลูกหลานก็จะมาอ่านคุณงามความดีของคนตาย จริงบ้างไม่จริงบ้าง เพราะธรรมเนียมเราไม่ด่าคนตาย เราด่าคนเป็น เพราะคนเป็นยังเป็นคู่ต่อสู้ของเราอยู่ เดี๋ยวมันดีกว่าเราอย่างนี้ เราก็จะเจอคนเป็นเราก็คอยเลื่อยแข้งเลื่อยขากัน แต่พอคนไหนตายเราก็ชมแล้วชมอีก บางคนไม่ได้มีอะไรให้ชมก็อุตส่าห์ชมได้
ส่วนคุณธนาเขามีความดีที่ควรชมโดยตัวของเขาเอง ไม่ต้องมีใครมาชมเขาหรอก เพราะฉะนั้นเราเห็นตัวอย่าง ตัวอย่างอะไร ตัวอย่างที่หนึ่ง เกิดแล้วตายแน่นอน หนีไม่พ้นหรอก ตัวอย่างที่สอง ก่อนจะตายเขาได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้มากมาย ผลที่ได้ก็ต้องเป็นสิ่งที่ดี “จิตที่ไม่ประกอบด้วยกิเลส สุคติก็เป็นอันหวังได้” นี่พระพุทธเจ้าท่านบอก อย่างการทำทาน การช่วยเหลือคนอื่นอะไรอย่างนี้ เขาทำโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน เป็นบุญที่สูง อย่างถ้าเราจะทำบุญสักอย่าง เราก็ยกมือจบเหนือหัว เจ้าประคุณที่บริจาคทรัพย์ครั้งนี้ ขอให้เกิดมาเมื่อไรก็รวยเมื่อนั้น ชาตินี้ก็ขอให้รวยๆๆๆ นี่เจือด้วยกิเลส ทำบุญแบบนี้ได้บุญเล็กน้อยเท่านั้นล่ะ ไม่ได้บุญเยอะหรอก เพราะว่าทำบุญไปด้วยทำบาปไปด้วย
บุญทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ก็เป็นบุญที่ใหญ่
เพราะฉะนั้นเราจะทำบุญ ทำให้มันบริสุทธิ์จริงๆ ทำไปแล้วต้องลดละความเห็นแก่ตัวให้ได้ คุณธนาเขาทำตัวอย่างให้ดูแล้ว ไปทำความดีต้องทำเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว จับหลักตัวนี้ไว้ง่ายๆ เลย อย่างเราจะปล่อยวัวปล่อยควาย สงเคราะห์สัตว์อะไรอย่างนี้ ถ้าเราปล่อยวัวปล่อยควายแล้วเราก็หวังว่าเราจะได้แข็งแรงเหมือนควายอะไรอย่างนี้ ไม่ฉลาดเลย ไม่เห็นจะต้องแข็งแรงเหมือนวัวเหมือนควาย แต่ถ้าเราทำเพราะว่าเขาจะได้มีชีวิตสืบต่อไป สัตว์โลกน่าสงสารอะไรอย่างนี้ ทำอย่างนี้มันสูงกว่ากัน ถ้าทำเพราะว่าหวังผล
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้หัดทำบุญให้เป็น ทำบุญให้เป็นไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ อย่างเราเห็นใครเขาดี เราก็ดีใจกับเขาด้วย คนนี้เขาทำความดีเราดีใจกับเขา อย่างมีคนหนึ่งที่เคยเป็นนักแสดง แล้วเขาไปทำงานเที่ยวเก็บศพเก็บอะไร หลวงพ่อเห็นข่าวเขาหลวงพ่อปลื้มใจ เวลาปลื้มใจเขาเรียกอนุโมทนา อนุโมทนาไม่ใช่อยู่ที่ปาก แต่อยู่ที่ใจ ถ้าเราเห็นคนทำความดีแล้วเราก็อนุโมทนา แต่ใจลึกๆ หมั่นไส้อย่างนี้ ไม่ได้บุญหรอก ฉะนั้นจะได้บุญหรือไม่ได้บุญอยู่ที่ใจของเราเอง แค่การอนุโมทนาบุญก็ได้บุญเยอะแล้ว
มีเพื่อนของนางวิสาขา นางวิสาขานี่เป็น อุปัฏฐากคนสำคัญของพระพุทธเจ้า แกสร้างวิหารขนาดใหญ่ เขาเรียกโลหะปราสาท คือหลังคาเป็นโลหะ มีห้องมากมายที่จะให้พระอยู่ เพื่อนแกจะมาทำบุญด้วย แต่ว่าไม่มีเงินเท่าไรหรอก มีผ้ามาผืนหนึ่งจะมาขอทำบุญร่วมด้วย นางวิสาขาเห็นก็อึ้งๆ ก็นึกไม่ออกว่าผ้าผืนนี้ควรจะวางที่ไหน ผ้าที่ดีที่สุดของผู้หญิงคนนี้ เขามีอยู่แค่นี้ นางวิสาขาบอกให้ขึ้นไปดูเอาเองเลยในปราสาทนี้ ที่ตรงไหนควรจะวางได้ให้วางเลย
แกขึ้นไปแกพบว่าทุกหนทุกแห่งที่ควรจะมีผ้า ผ้าเช็ดเท้าผ้าอะไรนี้ มีหมดแล้ว นางวิสาขาทำไว้ดีแล้ว เดินดูจนทั่วปราสาท ไม่มีที่ที่เหมาะสมที่จะวางผ้าของแก สุดท้ายลงมาที่เชิงบันได เชิงบันไดทางขึ้นปราสาทนี่ เอาผ้านี้ปูอยู่ที่พื้น กะว่าพระสงฆ์ล้างเท้าแล้วค่อยได้เหยียบผ้าผืนนี้เช็ดเท้าก่อนจะขึ้นปราสาท เห็นไหม นี่ไม่ได้มีเงินมาก ไม่ได้ร่ำรวยมาก แล้วก็ไม่ได้เสียอกเสียใจด้วยว่า โอ๊ย เราจะมาทำบุญแล้วก็ไม่สำเร็จ นางวิสาขาเอาคนเดียวไปหมดแล้ว เราไม่มีโอกาส เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
เขารู้สึกปลื้มใจว่านางวิสาขาช่างคิดช่างทำบุญละเอียดลออ เขาไม่รู้จะทำตรงไหน เขาวางเป็นผ้าเช็ดเท้าเลย ผ้าที่ดีของเขานะที่เขามี ปรากฏว่าเขาตาย ผู้หญิงคนนี้ตาย พระมหาโมคคัลลานะไปเจอเป็นนางฟ้าอยู่ เป็นนางฟ้ามีชีวิตที่สบาย มีทรัพย์สินเงินทองอะไรมากมายจากการบริจาคผ้าเช็ดเท้าผืนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราทำบุญ มันอยู่ที่ใจของเราเป็นบุญหรือเป็นบาป ทำบุญให้ใจเป็นบุญไว้ ถึงไม่มีเงินหรือมีเงินน้อยก็เป็นบุญใหญ่ มีเงินมากทำแล้วอาจจะได้บาปก็ได้ ไม่ได้บุญจริง เพราะฉะนั้นบุญสำเร็จอยู่ที่จิตของเรานั่นล่ะ ถ้าเราทำด้วยจิตที่บริสุทธิ์ก็เป็นบุญที่ใหญ่ ถ้าทำด้วยจิตที่เจือความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เป็นบุญเล็กน้อย ต่อไปนี้ก็หัดทำบุญให้ถูกต้อง
หรือบางทีเราเห็นคนอื่นเขาทำ เราอนุโมทนา เราไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างหลวงพ่อแก่แล้ว จะให้หลวงพ่อไปช่วยงานปอเต็กตึ๊งยกศพยกอะไร ไม่ไหว ตัวเองก็เดินกระย่องกระแย่งแล้ว แต่เราเห็นเขาทำแล้วเราอนุโมทนา เราปลื้ม โอ้ คนทำความดีมี อย่างวันเกิดหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้บอกให้ลูกศิษย์เอาอะไรมาให้หลวงพ่อ ปีนี้ลืมไป ปีก่อนๆ จะบอกเลย ให้ไปทำความดีอะไรก็ได้ บางคนไปบริจาคโลหิต ไปบำรุงสภากาชาด ไปช่วยมูลนิธินั้นมูลนิธินี้ ไปเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ไปเลี้ยงอาหารคนแก่อะไรอย่างนี้ บอกแต่ละคนถนัดจะทำอะไร ทำเลย แล้วก็มาบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อจะอนุโมทนาว่าดีใจว่าพวกเราได้ไปสร้างคุณงามความดี บอกทำอย่างนี้ หลวงพ่อปลื้มนะ ไม่จำเป็นว่าต้องเอาอะไรมาให้หลวงพ่อเลย เอาของมาให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องไปแจกต่ออยู่ดีล่ะ
เพราะฉะนั้นความดีมีโอกาสทำรีบทำเสีย ถ้านอนในโลงโอกาสทำความดีก็น้อยลงแล้ว เหลือแต่จิต ถ้าไม่มีร่างกาย เหลือแต่จิต จะทำความดีได้ไหม ทำได้เยอะเลย ภาวนาก็ได้ มีศีลก็ได้ ภาวนาก็ได้ เจริญปัญญา ทำวิปัสสนากรรมฐานก็ได้ นี่เป็นบุญที่ใหญ่ที่สุดเลย บุญใดประกอบด้วยสติประกอบด้วยปัญญาเป็นบุญใหญ่ บุญใดไม่ประกอบด้วยสติปัญญาเป็นบุญเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นตายไปแล้ว ถ้าเคยฝึกอบรมจิตใจมาดี ก็สามารถต่อยอด สมมติว่าไปเกิดเป็นเทวดาแล้วไม่ประมาท ก็สามารถภาวนาต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงพระนิพพานได้ ทีนี้พวกเราจะต่อยอดเป็น เราต้องมียอดเสียก่อน ฉะนั้นหัดเรียนกรรมฐานให้ได้เสียก่อน การเรียนกรรมฐานอันแรกเลย ถือศีล 5 ไว้ ศีล 5 ก็พอแล้ว ทุกวันทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วคอยสังเกตจิตใจตัวเองไว้ เช่นเราหายใจเข้าพุทออกโธอย่างนี้ ใจเราฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน ไม่ต้องไปบังคับให้สงบ ใจเราสงบรู้ว่าสงบ ไม่ต้องไปหลงดีใจ หัดรู้หัดดูจิตใจตัวเองไป สมาธิจะเกิดอย่างง่ายดายเลย แล้วถัดจากนั้นพอสมาธิเกิดแล้วนี่ จิตใจเราจะอยู่กับเนื้อกับตัว
ถ้าพูดถึงว่าให้มีสมาธิ พวกเรานึกภาพไม่ออก หลวงพ่อเลยเปลี่ยนคำใหม่แต่ความหมายเดียวกัน ฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว อันนี้รู้เรื่องไหม นั่นล่ะคือคำว่าสมาธิล่ะ สมาธิคือความตั้งมั่นถ้าตามศัพท์มัน ความตั้งมั่นก็คือจิตไม่หลงเตลิดเปิดเปิงไปที่อื่น จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว คนในโลกมีแต่คนหลง เราก็พยายามมาฝึกตัวเองให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
วิธีฝึกก็คือทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเองไว้ จิตหลงไปคิดรู้ทัน จิตถลำไปเพ่งลมหายใจเพ่งมือเพ่งเท้าเพ่งท้องอะไร รู้ทัน รู้ทันพฤติกรรมของจิตไปเรื่อยๆ แล้วจิตจะอยู่กับเนื้อกับตัวเอง แล้วถัดจากนั้นเราก็จะเรียนรู้ความจริงของร่างกายของจิตใจ อันนั้นเรียกว่าการทำวิปัสสนากรรมฐาน เป็นสุดยอดของบุญเลยนะ บุญตัวนี้ บุญตัวอื่นๆ อย่างมากก็ทำให้เราได้เป็นเทวดา สูงสุดก็ได้เป็นพระพรหม วิปัสสนากรรมฐานเราจะได้ตั้งแต่เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือนิพพาน ได้มรรคผลนิพพานมันสูงขึ้นไปอีก
ทีนี้จะทำอย่างไร แนะนำให้ไปดูยูทูปที่หลวงพ่อเทศน์ไว้มีเยอะแยะ ของหลวงตาอ๊าเทศน์ไว้ก็มีนะ ลองไปฟัง ของคุณแม่ชีอรนุชนี่เทศน์ไว้ก็มี ลองไปฟังดู หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังทั้งหมดวันเดียวนี่ไม่จบหรอก เพราะมัวแต่เทศน์เรื่องคุณธนาเสียเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นให้การบ้าน ทุกคนถ้ารักตัวกลัวตาย รีบไปดูยูทูปที่หลวงพ่อเทศน์ ที่พระอาจารย์อ๊า ที่คุณแม่ ยังมีอีกนะ มีหลายท่าน ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ ไปฟังแล้วก็หัดภาวนาไป แล้วเราจะมีชีวิตที่สูงขึ้นๆๆ
วันนี้สมควรแก่เวลา ไม่ต้องอวยพรนะ คำอวยพรเป็นเรื่องหลอกเด็ก ให้กำลังใจเฉยๆ ขอให้ทุกคนเป็นคนดีก็แล้วกัน
วัดปริวาสราชสงคราม
8 มกราคม 2567