ทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้

การปฏิบัติ จิตจะต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าจิตไม่มีเครื่องอยู่ จิตก็ร่อนเร่ไป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในขั้นไหนก็ต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ อย่าว่าแต่พวกเราเลย กระทั่งพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีการเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ ใช้กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ใจมีบ้านอยู่ แต่พวกเราต่างกับพระอรหันต์ ตรงที่ เรายังยึดถือกายใจขันธ์ 5 อยู่ เราเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ถูกเข้าใจถูก แล้วปล่อยวาง ในขณะที่พระอรหันต์ท่านมีกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเครื่องอยู่ แล้วจิตท่านพรากออกไป แยกออกไปจากขันธ์ ไม่เกาะเกี่ยว มองเห็นขันธ์เป็นความว่าง ในขณะที่พวกเรามองเห็นขันธ์เป็นตัวเรา ปุถุชน

เพราะฉะนั้นจะทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้ สังเกตตัวเอง อยู่กับเครื่องอยู่ชนิดไหนแล้วสติเกิดบ่อย เอาอันนั้นล่ะดี อย่างถ้าเราหายใจเข้า หายใจออก พุทโธอะไรอย่างนี้ แล้วสติเกิดบ่อย เราก็เอาอันนั้น หรือเรารู้อิริยาบถ 4 ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วสติเกิดบ่อยก็เอาอันนั้น บางคนบอกว่ารู้ลมหายใจ มันละเอียดไป ดูไม่ไหว ดูไม่ไหวก็ดูของที่หยาบขึ้น ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน มันก็หยาบหน่อย ถ้าบางทีก็รู้สึกหยาบไป มีช่องโหว่เยอะ อย่างขณะนั่งอยู่นี้ นั่ง 5 นาทีใจลอยไป 500 ครั้ง ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ อันนั้นใจมันลืมเครื่องอยู่

 

เครื่องอยู่ที่ดีสำหรับเรา

บางคนก็ไม่ชอบที่จะรู้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ บอกทำแล้วมันเคลิ้ม เคลิ้มง่าย บางคนก็ไม่ชอบรู้อิริยาบถ 4 บอกมันหยาบไป นานๆ จะเปลี่ยนอิริยาบถที ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบถ จิตหนีไปเยอะแยะเลย เป็นร้อยๆ ครั้ง มันหยาบไป บางคนก็เลยมาใช้การรู้สึกร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่ง ร่างกายเคลื่อนไหว อย่างเรานั่งอยู่ร่างกายมันก็เคลื่อนไหว มันไม่ได้นั่งเฉยๆ มันนั่งแล้วมันก็หายใจเข้า หายใจออกของมันไปเรื่อยๆ รู้การหายใจก็ได้ รู้การขยับของท้องก็ได้

แต่ไม่ได้ไปเพ่งลมหายใจ ไม่ได้ไปเพ่งท้อง แค่รู้เป็นเครื่องอยู่ ไม่ใช่เป็นคุกขังจิต ถ้าไปเพ่งก็คือกลายเป็นคุกแล้ว ไม่ใช่เครื่องอยู่แล้ว ให้จิตมันมีที่อยู่ไว้ แล้วเวลาหลงมันจะหลงไม่ยาว เลือกเครื่องอยู่ที่พอเหมาะพอดีที่เราจะทำได้ อย่างเรารู้อิริยาบถนั้นหยาบ หลวงพ่อไม่ชอบ หลวงพ่อเป็นคนใจร้อน มานั่งดูนานๆ ไม่ชอบ ชอบรู้ลมหายใจ หรือรู้ร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไร รู้สึก นั่งเฉยๆ ร่างกายก็เคลื่อนไหว

เช่นหายใจ ร่างกายหายใจเข้า ร่างกายหายใจออก หายใจเข้าร่างกายก็พองขึ้น หายใจออกร่างกายก็ยุบลง ไม่ได้ไปเพ่งลม ไม่ได้ไปเพ่งท้อง แค่รู้สึกว่าร่างกายมันหายใจ แค่รู้สึกว่าร่างกายมันพองมันยุบ บางท่าน ท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อพุธ เครื่องอยู่ของท่านพิเศษ ไม่ค่อยมีใครทำ คือท่านดูหัวใจเต้นตุ้บๆๆ ไปทั้งวัน บอกกลางคืนเวลานอนอยู่ ก็นอนดูหัวใจมันเต้นตุ้บๆๆ ไป ใช้การเต้นของหัวใจเป็นเครื่องอยู่

อันนี้ไม่ค่อยมี มีเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีคนใช้อย่างนี้ แล้วอย่างวันๆ เราวุ่นวายเยอะๆ เราเคยใช้หัวใจเป็นเครื่องอยู่ พอความรู้สึกเราเปลี่ยน จังหวะการเต้นของหัวใจจะเปลี่ยนไปด้วย นี้เราใช้หัวใจเป็นเครื่องอยู่ชำนาญ พอจังหวะการเต้นของหัวใจเปลี่ยนปุ๊บ สติเกิดเลย อย่างเราดูหัวใจมันเต้นตุ้บๆๆ ไป ธรรมดาๆ มันเต้นช้าๆ ไปเห็นสาวงามใจเต้นตูมตามขึ้นมา จังหวะหายใจ จังหวะของหัวใจมันเปลี่ยน รู้อย่างนี้ก็ได้ สติมันก็เกิด รู้ทันขึ้นมาแล้ว เฮ้ย นี่หลง

เพราะฉะนั้นต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ แล้วถ้าเครื่องอยู่เราก็ต้องรู้ เครื่องอยู่บางอันใช้ทำสมถะได้ บางอันทำวิปัสสนาได้ด้วย บางอันเป็นสมถะอย่างเดียว อย่างถ้าเราเพ่งร่างกาย ขยับไปอย่างนี้ คอยรู้ๆๆๆ มันก็ค่อนข้างจะไปทางสมถะ หรือการพิจารณาร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก มันก็ค่อนข้างไปทางสมถะ แต่ถ้ารู้วิธีก็จะพลิกขึ้นมาเป็นวิปัสสนาได้เหมือนกัน

ฉะนั้นในตำราเขาจะสอน อย่างในอานาปานสติ ใช้ทำสมถะก็ได้ ใช้ทำวิปัสสนาก็ได้ ถ้าดูปฏิกูล ดูอสุภะของร่างกายใช้ทำสมถะ ก็จะแยกแยะออกไป อย่างกายคตาสติใช้ทำสมถะก็ได้ แล้วทำวิปัสสนาไปถึงฌาน 4 ก็ยังได้ เท่าๆ กับอานาปานสติ แต่เราไม่ต้องโลภมาก ว่าเครื่องอยู่อันนี้ ทำแล้วดีอย่างโน้นอย่างนี้ ดีกว่าอันโน้นอันนี้ มันดีกว่าสำหรับบางคน แต่มันดีสำหรับเราหรือเปล่า ไม่รู้

เครื่องอยู่ที่ดีสำหรับเรา ก็คือทำไปแล้วเกิดสติ ทำไปแล้วมีสติก็ใช้ได้แล้ว อย่างท่องพุทโธๆ ไป พุทโธไปเรื่อยๆ จิตสงบ พุทโธเป็นเครื่องอยู่สำหรับการทำสมถะ เพราะพุทโธเป็นความคิด ความคิดไม่ใช่อารมณ์บัญญัติ ไม่ใช่อารมณ์ปรมัตถ์ เอาไปทำวิปัสสนาไม่ได้ ตำราบอกอย่างนี้ แต่ถ้าเราภาวนาชำนาญ เราพุทโธๆ แล้วแทนที่จะให้จิต น้อมไปนิ่งอยู่กับพุทโธ เป็นสมถะ เราพุทโธแล้วเราคอยรู้ทันจิตตัวเอง พุทโธๆๆ จิตฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน พุทโธจิตสงบรู้ว่าสงบ ท่องพุทโธ ถ้าท่องไปเรื่อยๆๆๆ ได้สมถะ

แต่ท่องพุทโธแล้วคอยรู้ทันจิตตัวเอง สงบก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ ขึ้นวิปัสสนาได้ แต่ไม่ได้ทำวิปัสสนาเพราะท่องพุทโธ ทำวิปัสสนาเพราะเห็นจิตใจของตัวเอง ฟุ้งซ่านก็รู้ สงบก็รู้ นี้ขึ้นจิตตานุปัสสนาไปเลย โดยอาศัยพุทโธเป็นฐาน เป็นเหยื่อล่อจิตไว้ก่อน ลีลาอาการของการภาวนา มันสนุก หลวงพ่อเลยมีฉันทะ พึงพอใจที่จะได้เรียนรู้กายรู้ใจของตัวเอง โดยเฉพาะการเรียนรู้จิตใจ รู้สึกสนุก มันทำอะไรได้พิสดารเหลือเกิน กรรมฐานแต่ละอย่างๆ เบื้องต้นเอาอย่างเดียวก่อน

 

เคล็ดของสมถะ

ถ้าเราทำกรรมฐานชนิดไหนแล้วจิตสงบ เมื่อเราต้องการความสงบ เราก็ทำกรรมฐานอันนั้น อย่างถ้าเป็นหลวงพ่อจะทำความสงบ หลวงพ่อก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป สบายๆ ถ้าสบายๆ ทำไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย จิตก็สงบ แต่ถ้าทำ หายใจเข้าพุทออกโธ แล้วก็หวังว่าจะสงบ ใจเต็มไปด้วยความโลภ ไม่มีความสุข ใจจะไม่สงบ มันมีทริก มีหลักแทรกอยู่ มีกลอุบายแทรกอยู่ในการปฏิบัติ

ถ้าเราฝึกชำนิชำนาญ เรานึกอยากทำสมถะเมื่อไร เราก็ทำได้ แล้วไม่ใช่จะทำได้ด้วยการหายใจอย่างเดียว จะทำอะไรมันก็ดูเป็นสมถะไปได้หมดเลย อย่างเห็นคนเยอะๆ อย่างนี้ วางจิตนิดหนึ่ง วางจิตให้ถูก มันเห็นโลกทั้งโลกว่าง จิตเข้าไปสู่สุญญตวิโมกข์ สุญญตสมาบัติ เห็นทุกอย่างว่าง อันนี้เป็นสมถะ เพราะฉะนั้นแรกๆ ก็รู้สึก โอ๊ย ทำสมถะยาก ทำวิปัสสนาก็ยาก ก็เลือกอารมณ์อันหนึ่งที่ถนัดก่อน

พอเราทำสมถะอันหนึ่งได้แล้ว ต่อไปพอเราจับเคล็ดของสมถะได้ เราจะรู้เลยว่าที่เราจิตสงบ ไม่ใช่เพราะว่าหายใจอย่างนี้ บริกรรมอย่างนี้ จิตสงบได้ เพราะจิตมันไม่หิวอารมณ์ ไม่แส่ส่ายตะครุบอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ ถ้ามันอยู่ในอารมณ์เดียวที่มันพอใจ จิตมันก็สงบ พอเราจับหลักได้ ว่ามันอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข จิตก็สงบ คราวนี้เราก็ดูสิ อารมณ์ที่ทำให้จิตใจเรามีความสุข มีเยอะแยะไปหมด

อย่างหลวงพ่อตอนเด็กๆ บ้านอยู่ริมคลอง คลองโอ่งอ่าง ตอนเย็นๆ ชอบไปนั่งที่ริมคลอง แดดร่มลงไป ไม่ร้อน ลมพัดเห็นน้ำมันพริ้วๆๆๆ เป็นระลอกเล็กๆ มองดูที่ระลอกเล็กๆ ใจมีความสุข ในที่สุดก็เห็น มันเป็นแสงวับๆๆๆ ไป ก็ค่อยๆ จิตสงบลงไป เห็นไหม เริ่มมาจากรู้ลมหายใจ แล้วมาดูน้ำ มันก็ใช้ได้เหมือนกัน มาดูไฟ จุดเทียนแล้วลองดูสิ ดูไป แต่จับหลักถูก ไม่บังคับให้จิตสงบ ดูไปอย่างมีความสุข รู้เนื้อรู้ตัว จิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ ไม่ได้ทำเพื่อความสงบ

นึกถึงไฟ ทีแรกก็ต้องลืมตาดู ในที่สุดจิตมันจำภาพไฟได้ ก็ไม่ต้องลืมตาดู หลับตามันก็เหมือนลืมตา แล้วต่อไปแสงไฟที่พริ้วไปพริ้วมาก็หายไป กลายเป็นแสงสว่างขึ้นมา ใจเราก็มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง มีสมาธิขึ้นมา เห็นไหม การทำสมถะมีวิธี มีอุบายวิธีนับไม่ถ้วน ในตำราพูดถึงกรรมฐาน 40 อย่าง อันนั้นพูดไว้เป็นตัวอย่าง ในทางปฏิบัติจริงมีนับไม่ถ้วน อารมณ์อะไรก็ได้ เป็นอารมณ์บัญญัติ คือเรื่องราวที่คิดก็ได้ เป็นอารมณ์รูปธรรมก็ได้ นามธรรมก็ได้

แล้วถ้าเป็นพระอริยบุคคล ก็ใช้นิพพานเป็นอารมณ์ของการทำสมถะก็ได้ ไม่เหมือนวิปัสสนา ต้องใช้อารมณ์รูปธรรมนามธรรม จะไปใช้อารมณ์บัญญัติ จะไปใช้อารมณ์นิพพานทำวิปัสสนา ไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ที่ควรทำได้ นี้ถ้าเรารู้หลัก ถ้าเราต้องการให้จิตสงบ เราน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ไปแกล้งทำจิตให้มีความสุข ไม่ใช่ไปบังคับให้จิตสงบ อันนั้นจิตจะไม่สงบหรอก

ฉะนั้นเราไปสังเกตตัวเอง เราอยู่กับกรรมฐานอย่างไร แล้วจิตเรามีความสุข ไม่วอกแวกไปที่อื่น อย่างบางคนชอบจัดดอกไม้ เป็นคนชอบดอกไม้มากเลย แทนที่จะดูดอกไม้แล้วก็เพลินๆ ไป คิดโน่นคิดนี่ ตรงนี้ต้องเติมอีกดอกหนึ่ง ตรงนี้ต้องเอาใบไม้มาแซม อย่างนี้ฟุ้งซ่าน ถ้าเราจัดแจกันดอกไม้ไว้สวยดีแล้ว พึงพอใจ เอามาไหว้พระ แล้วเราก็นั่งดู มีความสุขที่เห็นดอกไม้สวยงาม ใจก็ค่อยๆ สังเกต เวลามันวอกแวก ลืมดอกไม้ไป เฮ้ย หลงไปแล้ว มาดูดอกไม้ต่อ ใจก็สงบ ก็ทำสมถะได้เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ได้

อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อน เล่าเรื่องพระองค์หนึ่งดูดอกบัวแดง ดูดอกบัวสวย ใจท่านชอบ ท่านก็ดูด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ดูไปๆ จิตก็รวมได้สมถะ ได้สมถะแล้ว ต่อมาเห็นดอกบัวนี้เหี่ยวแห้งลงไป จิตท่านก็ขึ้นวิปัสสนาเลย รูปที่สวยงามนี้ไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ ขึ้นวิปัสสนา ลองไปดูตัวเอง ดูตัวเอง อยู่กับอารมณ์อะไรแล้วมีความสุข เราก็อยู่กับอารมณ์อันนั้น แต่อารมณ์นั้นต้องไม่กระตุ้นให้กิเลสรุนแรง อย่างดูโซเชียลทั้งวันเลย แล้วบอกมีความสุข ใช้ไม่ได้ ใจมันกระเพื่อม แกว่งไปแกว่งมา

ในวัดนี้หลวงพ่อมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ไม่ให้พระเล่นโซเชียล พระไม่ให้เล่น มือถือยังไม่อยากให้ใช้เลย เพียงแต่ว่าห้ามยาก แต่ละคนเขาก็มี อ้างบอกไว้เผื่อโยมโทร. มาถาม โยมแม่ โยมพ่อ แต่ว่าไม่ให้เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่ให้เล่นอินเทอร์เน็ต พระเล่นอินเทอร์เน็ตเน็ตก็หายนะอย่างรวดเร็วเลย มันจะเกิดความคันในหัวใจ เห็นคนเขาแชร์เรื่องโน้น โพสต์เรื่องนี้ ใจมันคัน เดี๋ยวก็ไปแชร์บ้าง ไปเอาข้อมูล เข้าไปในอินเทอร์เน็ต อย่างไปซื้อกำไลแสนกว่าบาทก็ไปอวด นั่นเพราะไร้เดียงสามากเลย หรือเดินธุดงค์ เดี๋ยวนี้พระเดินธุดงค์ เดินไปเรื่อยๆ ตามถนนหนทาง ตามท้องไร่ท้องนา เดินไปไลฟ์สดไป อุบาทว์นะ ไม่มีทางเจริญเลย หลวงพ่อเลยไม่ให้พระเล่นอินเทอร์เน็ตหรอก ใจมันฟุ้ง

 

ธรรมะจริงๆ อยู่รอบตัวเรา

เพราะฉะนั้นอารมณ์กรรมฐานที่จิตเราชอบ มันจะต้องเป็นอารมณ์ ที่ไม่กระตุ้นให้กิเลสรุนแรงขึ้นมา เล่นอินเทอร์เน็ตนี้บอกชอบ อันนี้ไม่ได้ มันทำให้กิเลสแรง ต้องเอากรรมฐานที่ไม่กระตุ้นกิเลส ในตำราเขายกตัวอย่างมาให้ 40 อย่าง แต่เราก็พลิกแพลงเอาได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ อย่างในตำราพูดถึงกสิณน้ำ วิธีทำกสิณน้ำ เอาบาตรมา หรือเอาฝาบาตรมาใส่น้ำ แล้วก็นั่งดูน้ำ มันจะไหวเล็กๆ เวลาลมมันพัด ไหวนิดๆ แล้วบริกรรมไปอาโปๆ

เราไม่ต้องอาโปก็ได้ เราบริกรรมน้ำๆๆ ไปเรื่อยก็ได้ หรือจะไม่บริกรรมเลยก็ได้ แต่ใจส่วนมากจะวอกแวก มันก็ต้องหาอะไรมาบริกรรม อย่างบริกรรมน้ำๆๆ ไป พอเราทำตรงนี้ชำนาญ ต่อไปเราเห็นน้ำในคลอง ใจมันก็เกิดทำกสิณขึ้นมาได้ พอมันทำอันหนึ่งเป็นแล้ว การจะทำขยายออกไป ไม่ใช่เรื่องยากเลย หรือเราดูไฟ จุดเทียนมาเล่มหนึ่ง นั่งดู ลืมตาหลับตาไปเรื่อยๆ ต่อไปเราไปเห็นพระจันทร์ เอ้า ทำกสิณได้แล้ว จิตรวมเห็นเป็นดวงสว่าง

บางคนเห็นพระอาทิตย์ขึ้น จิตก็ทำกสิณ เอาพระอาทิตย์มาทำกสิณ เวลาดูพระอาทิตย์ทำกสิณได้หลายอย่าง แต่อย่าไปดูตอนแสงแรงๆ เดี๋ยวตาบอด เอาตอนขึ้นใหม่ๆ หรือตอนจะตก ทำกสิณอะไรได้บ้าง กสิณแสงก็ได้ กสิณสีก็ได้ สีแดงๆ อะไรอย่างนี้ ดูไป นึกถึงว่ามันเป็นดวงไฟ ทำเป็นกสิณไฟ เห็นไหม มันอยู่ตรงไหน มันก็มีอุปกรณ์ที่จะเอามาภาวนาได้เยอะแยะไปหมด หรือเราเดินอยู่ เห็นลมพัดต้นไม้ไหว กำหนดรู้ลงไปที่ลม แล้วใจก็สงบ บางคนไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ลมพัดใบไม้ไหว สบายใจ รู้สึกลมพัดมากระทบร่างกายเป็นระยะๆๆ ใจรวม พวกนี้เล่นกสิณลม

เพราะฉะนั้นธรรมะจริงๆ มันอยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่พระหรอก ถ้าเรารู้หลักของการปฏิบัติแล้ว อยู่ตรงไหนก็ทำได้ เดินไปเห็นหมาถูกรถชนตาย ก็พิจารณา ชีวิตไม่แน่นอน มีความตายเป็นมรณสติ ก็ได้สมาธิ เห็นไหม ได้สมาธิ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจหลักของการปฏิบัติ เราจะสามารถเอาสิ่งรอบตัวเรา มาเป็นอุปกรณ์ของการปฏิบัติได้ทั้งนั้นเลย เยอะแยะไปหมดเลย นับไม่ถ้วน เห็นอะไร ก็เห็นไตรลักษณ์

เมื่อก่อนหลวงพ่ออ่านพระสูตรอันหนึ่ง หลวงพ่อไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านถามพวกพระว่า “วันหนึ่งคิดถึงความตายกี่ครั้ง” บางองค์ก็บอก 1 ครั้งตอนก่อนจะนอน พิจารณา บางองค์ 10 ครั้ง 20 ครั้ง พระอานนท์บอกท่านเห็นตั้ง 100 ครั้ง เรื่องความตายในแต่ละวัน พระพุทธเจ้าบอก “ประมาทมากเลย” เห็นตั้ง 100 ครั้งยังประมาทเลย ท่านบอกท่านเห็นอยู่ทุกขณะจิต ตอนนั้นหลวงพ่อไม่เข้าใจ เห็นอย่างไรทุกขณะจิต ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยหรือ

ที่จริงคือไม่ว่าเห็นอะไรลงไป มันก็เห็นความตายแทรกอยู่ในสิ่งนั้นทั้งหมด เห็นต้นไม้ ในต้นไม้ก็มีความตายแทรกอยู่ เห็นภูเขา เห็นไหม ภูเขายังมีความตายแทรกอยู่เลย อย่างภูเขาสวยๆ ลูกใหญ่ๆ ฝนมาก็ค่อยๆ ชะ ภูเขาก็ละลายลงมา บางทีละลายมากก็ถล่มลงมา มันก็ตายให้ดูได้ ทีแรกก็ตายทีละเล็กทีละน้อย อย่างใต้ถุนศาลานี้ ถึงช่วงหนึ่งพระก็ต้องเข้าไปกวาด เอาทรายออกไป แล้วฝนมันก็มาอีก ทรายก็ค่อยๆ ไหลเข้ามาอีก ศาลาที่สะอาดมันก็ตายไป กลายเป็นศาลาไม่สะอาด มีทรายอยู่ข้างล่างอีกแล้ว ทุกอย่างมันสอนไตรลักษณ์ทั้งสิ้นเลย

ฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าบอก ท่านเห็นอยู่ทุกขณะจิตนั้นเรื่องจริงเลย เพราะสติปัญญาของท่านสูง เห็นอย่างนั้น แต่อย่างสาวกเราคุณภาพไม่ได้ขนาดนั้น เราก็เห็นไตรลักษณ์เป็นช่วงๆ แล้วจิตก็พลิกเข้าไปพัก สงบ ไม่เดินปัญญาเป็นช่วงๆ กระทั่งครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาดีแล้ว ถึงเวลาแล้ว ท่านก็ไม่ได้มาเดินปัญญาเห็นวิปัสสนา เห็นทุกอย่างเกิดดับตลอดเวลา ถึงเวลาท่านก็ทำสมาธิ วิธีทำของท่าน ท่านชำนิชำนาญ ไม่เห็นต้องนั่งหลับตาเลย ลืมตาอยู่อย่างนี้ มองลงไปเห็นแต่ความว่าง จิตอยู่ในสุญญตาสมาบัติแล้ว มองโลกทั้งโลก ผู้คนตั้งเยอะตั้งแยะ ว่าง

แต่ถ้าจะออกมาสั่งสอน มาเจริญปัญญาก็วางว่าง ออกมากระทบข้างนอกนี้ เห็นอะไร เห็นแต่ความปรุงแต่ง ไม่ใช่เห็นคน ไม่ใช่เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นแมว เห็นหมา ไม่ใช่ ถอยออกมาเห็นแต่ความปรุงแต่ง เห็นแต่รูปธรรมนามธรรม เห็นแต่ทุกข์ เห็นแต่ความปรุงแต่ง ท่านก็ไม่ได้ว่าทรงสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ออกมา เวลาจะต้องใช้ขันธ์ทำงาน เวลาเทศน์ต้องใช้ขันธ์ทำงาน ออกมา ออกมาแล้วเห็นอะไร เห็นทุกข์ หรือเห็นความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งมันก็ทุกข์ทั้งหมด

 

อัปเกรดสมาธิขึ้นสู่ความตั้งมั่น

ฉะนั้นเราฝึกนะ ฝึกตัวเองเข้า พยายาม เบื้องต้นดูตัวเอง ว่าเหมาะควรกับเครื่องอยู่ชนิดไหน อยู่แล้วสบายใจก็อยู่กับตัวนี้บ่อยๆ ใจมันจะสงบ แล้วมันจะค่อยๆ มีกำลัง ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา แล้วอาศัย พอใจมันสงบ ก็อัปเกรดขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง มันจะตั้งมั่น เวลาสงบเราน้อมจิตไปอยู่ที่อารมณ์ที่มีความสุข เวลาที่จะอัปเกรดสมาธิขึ้นสู่ความตั้งมั่น ย้อนกลับมาสังเกตที่จิต แต่อย่าไปเพ่งจิต

อย่างเรารู้ลมหายใจ จิตสงบสบายอยู่กับลม แล้วเวลาเราจะอัปเกรดขึ้นมา เราก็เห็นว่าลมหายใจเป็นของถูกรู้ จิตใจเป็นคนรู้ลมหายใจ เดี๋ยวมันก็รู้อยู่ห่างๆ เดี๋ยวมันก็ไหลเข้าไปในลมหายใจ หรือบางทีมันก็รู้ลมหายใจ แล้วก็หลงไปที่อื่น ไปรู้อย่างอื่น ให้เรารู้ทันจิตใจตัวเอง มันหลง มันไหลเข้าไปในลมหายใจ รู้ทัน มันหนีไปที่อื่น รู้ทัน ตรงที่รู้ทันจิตตนเองนั่นล่ะ สมาธิชนิดตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสมาธิชนิดตั้งมั่น ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง

สมาธิสงบเอาไว้พักผ่อน ทำให้จิตมีความสุข ทำให้จิตมีเรี่ยวมีแรง ทำให้จิตอยากภาวนาอีก อย่างเราภาวนาแล้วไม่เคยสงบ ไม่เคยสุขเลย มันก็เบื่อไม่อยากทำ แต่ถ้าเราทำความสงบเป็น โอ๊ย ชอบ ถึงเวลามันก็ไม่อยากยุ่งกับคนอื่น อยากเข้าหาความสงบ สงบมากไปก็ไม่ดี เดี๋ยวก็ติดความสุขความสงบไปเสียอีก พอจิตสงบพอสมควร คลายการเพ่งการจ้องอารมณ์กรรมฐาน คอยมาสังเกตจิตแทน ย้ายพระเอกจากตัวอารมณ์มาเป็นตัวจิต หายใจไปแล้วจิตเกิดไหลเข้าไปในลม รู้ทัน จิตหนีไปคิด รู้ทัน

หรือเราเคลื่อนไหวอยู่ บางที่จิตมันไหลลงไปเพ่งร่างกาย มันเพ่งร่างกาย มันเพ่ง หรือบางทีจิตก็ไหลไปคิด รู้อย่างนี้ ตรงที่รู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว เราก็จะเจริญปัญญาได้ การเจริญปัญญาทำได้ตั้งหลายแบบ แล้วแต่จริตนิสัยวาสนาบารมีที่เคยสะสมมา บางคนศึกษามาทางฌานเยอะ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ให้เลิก อย่างหลวงปู่ดูลย์ เวลาเราเข้าไปเรียนด้วย ใครเคยทำกรรมฐานอะไร ท่านไม่ได้บอกให้เลิกแต่ท่านจะต่อยอดให้

อย่างท่านรู้ว่าหลวงพ่อฝึกจิตจนเป็นผู้รู้อยู่ มันมีความรู้อยู่โดยที่ไม่ต้องบังคับเลย ไม่ต้องจงใจ ท่านสอนให้หลวงพ่อดูจิตใจไปเลย ทีแรกเราก็คิดว่าต้องไปรักษาผู้รู้ ท่านก็ว่าผิด ก็ปล่อยให้จิตมันทำงาน เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด พอเป็นผู้คิดแล้ว ก็เกิดเป็นผู้มีความสุข ผู้มีความทุกข์ ผู้มีกุศล ผู้มีอกุศล ตามหลังความคิดมาทั้งนั้น หรือเห็นจิตมันไปทำงานทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกไป หลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รู้อีก

สุดท้ายมันก็มีปัญญาเกิดขึ้น เห็นจิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ จิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว เกิดแล้วดับ จิตที่ไปดูรูป จิตที่ไปฟังเสียง จิตที่ดมกลิ่น จิตที่ลิ้มรส จิตที่รู้สัมผัสทางกาย เกิดแล้วก็ดับ จิตที่ตั้งมั่นเกิดแล้วก็ดับ จิตที่ฟุ้งซ่านเกิดแล้วก็ดับ เห็นแต่จิตทุกชนิดเกิดดับๆ ไป นั่นล่ะเราเดินปัญญาอย่างจริงจังแล้ว จริงจังไม่ได้ทำแบบตั้งอกตั้งใจมากไป แต่จิตมันเห็นเอง ถ้าจงใจเห็นยังอ่อนนัก ต้องเห็นโดยไม่ได้จงใจ แต่ก่อนจะถึงขั้นที่สามารถเห็นโดยไม่จงใจ ก็ต้องจงใจไปก่อน

อย่างเบื้องต้นถ้าทำสมถะ เราก็ต้องจงใจทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งไปก่อน แล้วต่อมาเรารู้ทันว่าจงใจ โอ๊ย มันบังคับตัวเองมากไป ตึงไป ค่อยคลายออกพอดีๆ สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง รู้ จับหลักได้ ปุ๊บเดียวสงบเลย เมื่อวานก็มีพระไปถูระเบียงกุฏิหลวงพ่อ ส่งการบ้านว่า พอจิตเกิดสภาวะอันหนึ่ง แล้วจิตมันไม่เป็นกลาง มันก็จะปรุงแต่งไม่เลิก เกิดภาวะไม่มีแรง หมดเรี่ยวหมดแรงป้อแป้ๆ เลย พยายามฝืนอย่างไรก็ไม่ขึ้น หลวงพ่อบอกไม่ต้องไปฝืนมันหรอก จิตไม่มีกำลัง รู้ว่าจิตไม่มีกำลัง ถ้ารู้ด้วยความเป็นกลางเมื่อไร จิตจะมีกำลังทันทีเลย สงบทันที

อันนี้ท้าพวกเราเลย ลองพิสูจน์ด้วยตัวเองเลย ว่าจริงหรือไม่จริง จิตเราเป็นอย่างไรก็ได้ รู้ไปอย่างที่มันเป็นนั่นล่ะ ถ้าใจเราเป็นกลางจริง รู้มันอย่างที่มันเป็นได้จริงๆ จิตจะดีดตัวขึ้นมา มีกำลังอย่างรวดเร็วเลย ที่จิตไม่มีกำลังสักที เพราะเกิดสภาวะที่เราไม่ชอบ เราก็มัวแต่นั่งแก้ ตอนนี้จิตไม่มีแรง ทำอย่างไรจะมีแรง พยายามบิลด์ (Build) ตัวเอง บิลด์ๆๆ ยิ่งบิลด์มาก ก็ยิ่งใช้พลังมาก จิตก็ยิ่งไม่มีแรงมาก

บอกไม่ต้องไปทำอะไรหรอก จิตไม่มีแรงรู้ว่าไม่มีแรง ไม่ชอบรู้ว่าไม่ชอบ รู้ที่ไม่ชอบนี่ พอเห็นจิตที่ไม่ชอบปั๊บ ความไม่ชอบดับ จิตเป็นกลางกับสภาวะที่ไม่มีแรง จิตหยุดแป๊บเดียว กำลังก็เกิดทันทีเลย จริงๆ ถ้าฝึกจนชำนาญ อะไรๆ มันก็ง่ายไปหมด ถ้ายังทำไม่เป็น อะไรก็ยากไปหมด กรรมฐานอะไรก็ยากไปหมด แต่ทุกคนที่เขาเคยง่าย เขาผ่านความยากมาแล้วทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นอย่าท้อใจ อดทนไว้ ตั้งใจไป ทำกรรมฐานอะไรสักอย่างหนึ่งไป สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แต่ว่าอยู่กับกรรมฐานอันนั้นที่มีความสุข อยู่ไปเรื่อยๆ แล้วมันสงบเอง หรือเราอยู่กับกรรมฐานอันนั้นแล้ว จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน จิตจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเป็นผู้รู้ จิตผู้รู้ ถ้าเราไม่เคยทำความสงบมาเลยผู้รู้ไม่มีแรง เดี๋ยวก็หมดแรง เดี๋ยวก็กลายเป็นผู้หลงใหม่

 

พอได้จิตผู้รู้ขึ้นมา งานถัดไปคือการเจริญปัญญา

ฉะนั้นภาวนาอย่าใจร้อน ถ้าจิตยังฟุ้งซ่าน ก็ทำให้มันสงบเสียก่อน มันจะได้มีกำลัง เมื่อมันมีกำลังแล้วก็อย่ากำลังโง่ๆ กำลังวัวกำลังควายอยู่แค่นั้น รู้จักเอากำลังมาใช้ประโยชน์ จิตมีแรงแล้ว วางอารมณ์กรรมฐานอันนั้น แล้วก็คอยรู้ ชำเลืองรู้ทันจิต รู้อารมณ์กรรมฐานนั้น แต่ไม่ได้ใส่ใจ100 เปอร์เซนต์แล้ว แล้วคอยสังเกตจิตตัวเอง อย่าสังเกตเยอะ เดี๋ยวบอกว่าสังเกต เดี๋ยวก็มานั่งจ้องจิตอีก ผิดอีกล่ะ

ฉะนั้นทำกรรมฐานไป แล้วจิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน เอาแค่นี้พอ เราจะได้จิตผู้รู้ขึ้นมา พอได้จิตผู้รู้ขึ้นมา งานถัดไปคือการเจริญปัญญา การเจริญปัญญาขั้นที่หนึ่ง การแยกขันธ์ แยกธาตุแยกขันธ์ แยกรูปแยกนาม ถ้าจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้แล้ว การแยกขันธ์นี้ง่ายมากเลย ชิลๆ ง่ายๆ พอใจเราเป็นผู้รู้ ขณะนี้ร่างกายนั่งอยู่ ร่างกายถูกรู้ ร่างกายไม่ใช่จิต จิตเป็นคนไปรู้ร่างกาย เวลาเดินอยู่ ร่างกายที่เดินมันถูกรู้ จิตเป็นคนรู้ว่าร่างกายเดิน จะรู้ แต่อย่าไปเพ่งตัวจิต ก็แค่เห็นว่าร่างกายมันถูกรู้เท่านั้น แค่นี้พอ ไม่ต้องหาว่าตัวผู้รู้อยู่ตรงไหน ถ้าหาแล้วก็จะหลุดเข้าอรูปฌานไปเลย

ทำเรื่อยๆ พอแยกขันธ์ได้แล้ว กายกับจิตคนละอันกัน เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ในร่างกาย กับร่างกายก็คนละอันกัน ความสุขทุกข์ในร่างกายกับจิตก็คนละอันกัน เวทนาทางใจ ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ทางใจกับร่างกาย ก็คนละอันกัน กับเวทนาทางกายก็คนละอันกัน กับจิตก็คนละอันกัน อย่างจิตใจมีความสุข เราเห็นไม่ใช่เราสุข แต่มันมีความสุขเกิดขึ้นในใจ มันแยกกัน มันจะไม่ใช่เราสุข

ถ้าเมื่อไรขันธ์มันมารวมกัน มันจะเกิดการหมายรู้ผิดว่ามีตัวเราขึ้นมา แต่ถ้าขันธ์มันแยกออกไป แล้วใจเราตั้งมั่นจริงๆ เราจะเห็นขันธ์ทั้งหลายที่สติระลึกลงไป ไม่มีเรา ไม่ใช่ตัวเรา ร่างกายไม่ใช่เรา ความรู้สึกสุขทุกข์ทางกาย สุข ทุกข์ เฉยๆ ทางใจ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลที่เกิดทางใจก็ไม่ใช่เรา โกรธขึ้นมา แต่เดิมเราโกรธ พอเราแยกขันธ์ได้ เราเห็นว่าความโกรธกับใจคนละอันกัน แยกออกจากกันแล้ว ความโกรธไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จะเห็นอย่างนั้นไป

เพราะฉะนั้นการเจริญปัญญา มันอยู่ที่เริ่มต้นจากการแยกขันธ์ให้ได้ แยกธาตุแยกขันธ์ให้ได้ พอแยกได้แล้ว แต่ละธาตุ แต่ละขันธ์ รวมทั้งตัวจิต ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ นั่นคือการเจริญปัญญาอย่างแท้จริง ต้องทำนะ ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก การศึกษาธรรมะ เบื้องต้นก็ต้องรู้จักคบหาบัณฑิต คบหาผู้รู้ หรือหาครูบาอาจารย์ที่สอนสอดคล้องกับพระไตรปิฎก หาครูบาอาจารย์ เข้าไปแล้วไปทำอะไร ไปฟัง ฟังธรรมะ ไปเรียนธรรมะ ฟังแล้ว เรียนแล้ว ทำอะไรต่อ พิจารณาใคร่ครวญสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ว่าจะแปลมาสู่การปฏิบัติได้อย่างไร นั่นคือโยนิโสมนสิการ

อย่างบางคน บางอาจารย์ เราเข้าไปปุ๊บ พูดออกมานี้ เราถอยเลย พูดไม่ตรง พูดขัดแย้งกับหลักเบื้องต้นของการปฏิบัติ ขัดกับเรื่องไตรลักษณ์ ขัดกับเรื่องสติปัฏฐาน ขัดกับเรื่องขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ ปฏิจจสมุปบาท ฟัง มันไม่ได้เรื่องหรอก อย่างเราเข้าไป เราบอกทำอย่างนี้แล้วก็รับพลัง ไม่ต้องช่วยตัวเอง มีคนช่วย ไม่ตรงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครมันจะมาช่วยใครได้

ถ้าแตะอย่างนี้แล้วก็บรรลุง่าย ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้เห็นแสงได้อะไร พระพุทธเจ้าก็ทำไปแล้ว ถ้ามันดีจริง ทำไมท่านไม่ทำ ก็เพราะมันไม่ดีจริง สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตัวเอง อยากดีก็ทำกรรมฐานไป อยากชั่วก็ทำกรรมชั่วไป พอเราฟังแล้ว เราจะแยกแยะได้ อะไรถูก อะไรผิด หรือพระอรหันต์ตายไปแล้ว กลับมาเกิดสร้างบารมีไปเป็นพระพุทธเจ้า มันเพี้ยนหนักๆ เราฟังแล้ว อย่างนี้ไม่เอา ตัดทิ้ง นี่ไม่ใช่ ไม่ใช่วิญญูชนแล้ว ไม่ควรเสวนาด้วย ถอยออกมา

ถ้าฟังครูบาอาจารย์สอน ท่านสอนให้เรามักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงบ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร สอนให้เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา รู้วิธีถือศีล วิธีสร้างสมาธิ วิธีสร้างปัญญา ท่านจะสอนๆๆ ตัวสุดท้ายคือวิมุตติ เกิดอริยมรรคอริยผลอย่างไร ถ้าท่านสอนอยู่ในแนวนี้ อย่างนี้ใช้ได้ ถ้าสอนออกนอกลู่นอกทาง เห็นผีเห็นสาง เห็นเจ้ากรรมนายเวร มันก็มัวแต่หลงกับเจ้ากรรมนายเวรไม่เลิก เราก็มีเจ้ากรรมนายเวรเยอะแยะไปหมด จะไปตามแก้ทั้งหมดหรือ มันก็ไม่ได้เรื่องหรอก ไม่มีวันจบ

เพราะฉะนั้นเข้าใกล้บัณฑิต ฟังธรรม ภาษาบาลีท่านเพราะ แบบเงี่ยโสต เงี่ยหูลงฟังธรรม ทำไมต้องเงี่ยหู เพราะไม่มีไมโครโฟน ต้องตั้งใจฟัง ฟังแล้วทำอะไร ฟังแล้วใคร่ครวญ มีโยนิโสมนสิการ สิ่งที่สอนนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า หรือว่าขัดแย้ง ถ้าขัดแย้งก็ไม่เอา ถ้าเราพิจารณาใคร่ครวญแล้ว รู้วิธีแล้วว่าจะปฏิบัติอย่างไร เราก็ลงมือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม

 

คุณสมบัติของชาวพุทธที่ดี

นี้เส้นทางที่เราจะต้องเดิน ต้องคบ มีครูบาอาจารย์ที่ดี สอนถูกต้องตามพระไตรปิฎก ฟังที่ท่านสอน พิจารณาใคร่ครวญว่าสิ่งที่สอนนั้น มันเป็นทางเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้นจริงหรือเปล่า หรือเป็นทางโง่งมงาย ต้องฟังให้ดี พอรู้วิธีแน่นอนแล้วลงมือทำ เหมือนหลวงพ่อตอนเป็นโยม หลวงพ่อทำสมถะ ทำอยู่ 22 ปีแล้วไปต่อไม่ได้ อ่านพระไตรปิฎก อ่านแล้วอ่านอีก อ่านแล้วอ่านอีก

พระไตรปิฎกมีหลักปฏิบัติเยอะแยะ ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร วันหนึ่งได้ไปเจอหลวงปู่ดูลย์ นี่เรียกเข้าใกล้บัณฑิตแล้ว ได้เสวนากับบัณฑิตแล้ว ท่านก็สอนบอกให้รู้ทันจิตตนเอง ถ้าได้จิตตัวเอง ก็จะเข้าใจธรรมะทั้งหมด เรามาพิจารณา เออ ก็จริง ถ้าจิตเราชั่วเราก็ชั่ว ถ้าจิตเราดีเราก็ดี เพราะฉะนั้นถ้าจิตเราเดินทางผิด เราก็ไปทางผิด ถ้าจิตเราไปทางถูก เราก็ไปทางถูก จิตนี้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า เป็นประธานในธรรมะทั้งหลายจริงๆ ท่านให้ดูจิต จับหลักถูกแล้ว จับหัวหน้า ก็หัวหน้าโจร จับตัวนี้

เห็นไหม พอเข้าไปหาบัณฑิต คือเข้าไปหาหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอน สอนแล้วเราก็มาพิจารณาใคร่ครวญ แล้วลงมือทำ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็คือทำมันตลอดเวลาที่มีเวลาที่จะทำได้ ดูจิตมันทำงานตลอด มันก็เข้าใจตามที่ท่านบอกได้ โลกนี้ไม่มีอะไร โลกนี้ว่างๆ ไม่น่ายึดถือ โลกนี้ไม่มีอะไร โลกนี้มีแต่ทุกข์ แล้วเราก็จะเป็นชาวพุทธที่ดี เราภาวนามาอย่างนี้ แล้วเราจะกลายเป็นชาวพุทธที่ดี

คุณสมบัติของชาวพุทธที่ดี มีศรัทธาแน่นแฟ้นในพระรัตนตรัย มีศีล ไม่กล้าทำผิดศีล ละอายใจตัวเอง รู้จักแยกแยะว่าอันไหนสอดคล้องกฎแห่งกรรม อันไหนเป็นมงคลตื่นข่าว ถ้าเป็นมงคลตื่นข่าว ก็ไอ้โน้นดีได้นี้ดี ก็เชื่อตามเขาไป ทำอย่างนี้แล้วดีก็เชื่อเขา หรือไปไหว้เทวดา ไหว้รูปปั้นแล้วดี ไหว้เรือนางตะเคียนแล้วดี เชื่อตามกันไปเรื่อยๆ เมื่อก่อนนี้ก็แห่กันไปอินเดีย แห่ไปหาชื่ออะไรจำไม่ได้ ตัวอ้วนๆ แสดงปาฏิหาริย์หยิบโรเล็กซ์มาจากอากาศ ผลิตสินค้าปลอม หยิบมาจากอากาศ โอ๊ย แห่กันเข้าไป นับถือ เอาเงินไปให้กัน

หรือตอนหลังที่เนปาลก็มีพระพุทธเจ้ามาเกิด พระพุทธเจ้าน้อย Little Buddha คนซึ่งมันไม่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง มันเชื่อมงคลตื่นข่าว มันละเลยเรื่องกฎแห่งกรรมไป กฎแห่งกรรม ใครทำใครได้ ไม่ใช่ใครมาช่วยใครได้ พอเราแยกแยะออกว่า อะไร อันไหนถูก อันไหนผิด แยกแยะได้ เราก็จะสนับสนุนสิ่งที่ถูก เราไม่สนับสนุนสิ่งที่ผิด ภาษาพระบอกว่า เราไม่ทำบุญเขต ไม่ทำบุญนอกขอบเขตพระพุทธศาสนา บุญนอกขอบเขตพระพุทธศาสนา ก็คือเอาเงินไปให้พวกพ่อมดหมอผี ซึ่งมันหลอกลวง หลอกลวงโลกอะไรพวกนี้ แล้วบอกได้บุญ ชาวพุทธไม่ทำ

การทำบุญนอกพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าห้ามทำบุญกับคนศาสนาอื่น อย่างสมมติว่ามิสมุสลิมบ้านน้ำท่วม บ้านไฟไหม้ ชาวพุทธไปช่วย อันนั้นคือการทำบุญในศาสนาพุทธ แยกให้ออก ไม่ใช่ว่าห้ามทำบุญกับคนนอกศาสนาพุทธ แต่ว่าอันไหนเป็นบุญ ซึ่งอยู่ในขอบเขตของชาวพุทธเรา ให้ชีวิตสัตว์ ปล่อยปลา ปล่อยนก ก็อยู่ในขอบเขตพระพุทธศาสนา ช่วยซ่อมวัด ซ่อมพระพุทธรูป ก็ยังดี

แต่หลังๆ หลวงพ่อทำอยู่อย่างเดียว หลังๆ นี้ บุญอันอื่นคนอื่นเขาทำเยอะแล้ว ส่วนมากหลวงพ่อไปทำบุญโรงพยาบาล ทำบุญให้โรงพยาบาล ของวัดก็ไม่ค่อยได้ทำแล้วหลังๆ ทำไปเยอะแล้ว เบื่อแล้ว พอทำอันนี้ โพรเจกต์ใหม่มาอีกแล้ว ทำอันนี้อีกแล้ว ทำกันทั้งชีวิต ไม่เลิกหรอก สร้างอะไรกันใหญ่โต ทั้งวัดมีพระอยู่นิดเดียว สร้างใหญ่ๆ ดูแลก็ไม่ไหวแล้ว มันเป็นภาระ หรือทำวัดสร้างไปเรื่อยๆ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนอะไรกัน ไม่ได้ภาวนาแล้วอันนั้น ก็เลยหลังๆ ไม่ค่อยได้ทำให้กับตามวัด ทำโรงพยาบาล มันเห็นชัดๆ ว่าคนได้ประโยชน์จริง อันนี้เป็นบุญ บุญในพระพุทธศาสนา

แล้วอีกตัวหนึ่งที่เราจะต้องทำ ชาวพุทธเราก็คือศึกษาพระธรรมวินัยให้ดี แล้วพัฒนาตัวเองขึ้นไป กุศลอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย อกุศลอะไรยังไม่ละก็ละเสีย ค่อยๆ พัฒนาไป ฉะนั้นหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธ ก็คือสิ่งที่เล่าให้ฟังนี่ล่ะ แล้วเราจะได้ก้าวหน้า เราต้องมีศรัทธาในพระรัตนตรัย ไม่ใช่ศรัทธาในพระสงฆ์องค์นั้นองค์นี้ ศรัทธาต่อพระรัตนตรัย เราต้องมีศีล เราต้องไม่เป็นพวกมงคลตื่นข่าว ไม่โง่งมงาย

เราเชื่อแต่เรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม เราสนับสนุนกลุ่มที่ทำคุณงามความดีจริงๆ ไม่ได้ไปหนุนพวกต้มตุ๋นหลอกลวง เอาธรรมะไปขาย นี่ต้มตุ๋นหลอกลวง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเอาไปค้าขายไม่ได้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ท่านให้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจของท่าน เราเอาไปขายไม่ได้ แล้วค่อยๆ พัฒนา สุดท้ายก็คือสะสม เรียนรู้ธรรมะให้ดีขึ้นๆ คือศีลของเราต้องบริสุทธิ์มากขึ้น ถ้าเป็นพระก็ต้องเรียนธรรมวินัย ทั้งภาคปริยัติ ทั้งภาคปฏิบัติ ถึงจะสมกับความเป็นชาวพุทธที่แท้จริง ไปทำเอา ไปสังเกตตัวเองเอา

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 กรกฎาคม 2567