ใช้กรรมเก่าเป็นทรัพยากร

เราเตรียมตัวเตรียมใจ ต้องเปิดประเทศต้องทำมาหากินอยู่กับโควิด ต้องอยู่กับมันให้ได้ ธรรมชาติก็ต้องอย่างนั้น ต้องปรับตัว จะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ 2 ปี 3 ปีอยู่ไม่ได้ คนส่วนมากอยู่ไม่ไหว ต่อไปพอฉีดวัคซีนกันเยอะๆ มีคนติดโรคไปส่วนหนึ่ง ก็มีภูมิต้านทานเกิดขึ้น ก็จะเหมือนไข้หวัดใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้น ในอดีตมีโรคร้ายๆ ระบาดเป็นระยะๆ บางช่วงก็มีอหิวาตกโรคระบาดตายระเนระนาด คนโบราณก็โรคระบาดตายเขาบอกเป็นโรคห่า คนรุ่นถัดมาไปแปลโรคห่าว่าอหิวาตกโรค ความจริงมันกว้างกว่านั้น บางทีก็มีไข้ทรพิษระบาด อหิวาตกโรคระบาด ไข้หวัดสเปนก็เคยเข้ามาระบาด คนไทยตายไปสี่หมื่น สมัยรัชกาลที่ 6 โรคระบาดร้ายแรงมันก็มีเป็นช่วงๆ ธรรมดา มีโรคใหม่ๆ ขึ้นมาก็ตื่นเต้น

อย่างเมื่อสัก 30 ปีก่อนมีโรคเอดส์เข้ามา ครั้งแรกก็ตกใจ ตกใจกันมันคิดว่าถ้ายุงกัดคนเป็นเอดส์มา แล้วก็จะมากัดคนอื่นก็จะติดเอดส์แล้ว เพราะติดทางเลือดได้ ฉะนั้นแรกๆ ก็เต็มไปด้วยข่าวมโนเอา คิดเอา เครียด กลัว โรคเอดส์มาถึงวันนี้ก็ธรรมดาไม่ได้น่ากลัว เมื่อก่อนตายกันเยอะแยะ เผาศพจนเมรุแตกได้ยินข่าวอย่างนั้นบ่อยๆ อะไรมาใหม่ๆ ยังไม่รู้จักก็กลัวไว้ก่อน เครียดไว้ก่อน เราอยู่กับโควิดมาช่วงหนึ่งแล้ว พอจะรู้จักมันแล้ว รู้วิธีที่จะรักษาตัวเองได้ ต่อไปก็ฉีดวัคซีนฉีดอะไรก็พออยู่กับมันได้ ถ้าร่างกายอ่อนแอจริงๆ ของบางคนติดเชื้อก็ตาย ก็ธรรมดา อย่างคนรุ่นหลวงพ่อเกิดปีละล้านคน มันก็ต้องตาย ฉะนั้นคนไทยก็ตายปีละหนึ่งล้านคนไม่ใช่เรื่องแปลก มาถึงวันนี้อย่างไรมันก็ตายตามธรรมชาติอยู่แล้ว มาตายเพิ่มด้วยโควิด 1 – 2 หมื่นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจแล้ว

เราอยู่ด้วยความไม่ประมาท ค่อยๆ ทำความรู้จักกับมัน ทำความเข้าใจกับมัน ทีแรกก็เต็มไปด้วยความกังวลความกลัว อย่างวัคซีนใหม่ๆ ก็กลัว ตอนนี้ก็อยากฉีดกันอีกแล้ว มันเป็นความรู้สึกซึ่งมาบั่นทอนพลังงานของชีวิตเรา ให้กังวลเรื่องนั้นกังวลเรื่องนี้ ตั้งสติไว้ เชื่อมั่นในกรรมในผลของกรรม ถ้าเราไม่มีกรรมเก่าตัดรอนเราก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเรามีกรรมใหม่เราประมาทเราก็เป็น กรรมมี 2 อัน กรรมเก่ากับกรรมใหม่ เรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน บางคนกรรมเก่าส่งผลมาให้ยากจน มาทำกรรมใหม่ที่ดีทำมาหากินขึ้นมาได้ ร่ำรวยขึ้นมาได้ ฉะนั้นตัวสำคัญไม่ใช่ตัวกรรมเก่า มันคือตัวกรรมใหม่

 

กรรมเก่าแขวนไว้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ทำกรรมใหม่ที่ดี ชีวิตเราก็จะดีขึ้น มีความสุขมีความสงบมากขึ้นๆ

 

กรรมเก่าแก้ไม่ได้ทำไปแล้ว ทำกรรมใหม่ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป จะลดละอิทธิพลของกรรมเก่าได้ กรรมเก่าให้เราจน ถ้าเรายอมจำนนเราก็จนไปทั้งชาติ เราไม่ยอมจำนนเราพยายามทำมาหากิน พยายามดำรงชีวิตอย่างมีเหตุมีผล เลือกคบคนดีๆ รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุน เดี๋ยวมันก็มีเงินขึ้นมา บางคนกรรมเก่าส่งผลมาให้หน้าตาดูไม่ได้ อย่างพวก ขี้โกรธ พวกโมโหโทโส หรือทำศีลด่างพร้อยในอดีตชาติ เกิดมาชาตินี้ไม่สวยไม่หล่อ ก็ทำกรรมใหม่ อย่างเราหน้าตาน่าเกลียดอย่างนี้ แต่ถ้าจิตใจเราดี จิตใจเราร่มเย็น มันน่าดูได้ อย่างถ้าเราไปดูครูบาอาจารย์บางองค์ เทียบมาตรฐานทางโลกท่านไม่หล่อเลย แต่ทำไมคนชอบไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ท่าน ไปเห็นท่านแล้วก็มีความสุข รักท่าน ชื่นอกชื่นใจ เพราะท่านมีกรรมใหม่ที่ดี ท่านปฏิบัติธรรมมีศีลมีธรรม มีความเมตตากรุณา ก็ดูดี บางคนทำกรรมเก่ามาดีหน้าตาดี แต่ทำกรรมใหม่ไม่ดี อย่างขี้โมโหโทโสอะไรอย่างนี้ คนโมโหหน้าตาน่าเกลียดจะตายไป แล้วโมโหทั้งวันหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูน่าเกลียดไม่มีใครอยากเข้าใกล้แล้ว

ฉะนั้นกรรมเก่าแขวนไว้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ทำกรรมใหม่ที่ดี ชีวิตเราก็จะดีขึ้น มีความสุขมีความสงบมากขึ้นๆ ถ้าเราเชื่อแต่เรื่องกรรมเก่า เชื่อแต่เรื่องว่าชีวิตเราถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ แล้วแต่พรหมลิขิตอะไรอย่างนี้ เมื่อก่อนก็มีเพลงเยอะแยะ พรหมลิขิตขีดเส้นเกณฑ์ชะตา สารพัด อย่างนั้นคล้ายๆ ชีวิตเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่า กรรมเก่าทำให้เราต้องอยู่ในสภาวะอย่างนี้ แต่สำหรับชาวพุทธเราไม่ยอมจำนนกับกรรมเก่า เราทำกรรมใหม่ที่ดี บางคนเลือกทำกรรมใหม่ที่ชั่ว เกิดมาจนแล้วก็ไปเบียดเบียนคนอื่นต่ออีก ไปปล้นไปฆ่าเขา ชีวิตก็เลวลงเรื่อยๆ ฉะนั้นเราเกิดเป็นคน ในอดีตเราเลือกไม่ได้แล้ว ชนกกรรมส่งผลมาให้เรามีสภาวะอย่างนี้ มีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ มีพื้นจิตพื้นนิสัยใจคออย่างนี้ๆ ต้องเจอปรากฏการณ์อย่างนี้ๆ สิ่งเหล่านี้มันเป็นผลของกรรมในอดีต ตั้งหลักอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วจะดีขึ้น

ปัจจุบันสำคัญที่สุด คนเดี๋ยวนี้ชอบทอดทิ้งปัจจุบัน บางทีก็เพ้อฝันอะไรถึงอนาคต บางทีก็คร่ำครวญถึงอดีต อดีตมันไม่มีจริง มันจบไปแล้ว อนาคตมันยังไม่มีจริง มันยังไม่เกิด ของที่มีจริงคือปัจจุบันนี้ เราชาวพุทธเราอยู่กับปัจจุบันให้ได้ มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจของตัวเองไป กายที่เราจะรู้ได้ก็คือกายในปัจจุบัน กายในอดีตไม่มีแล้ว อย่างร่างกายเมื่อเช้านี้ไม่มีแล้ว ร่างกายเมื่อปีก่อนไม่มี ร่างกายเมื่อชาติก่อนไม่มี มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว เป็นแค่ความจำไว้ ร่างกายขณะนี้เดี๋ยวนี้ เราใช้จากสิ่งที่เรามีในขณะนี้ในเดี๋ยวนี้ เอามาใช้ประโยชน์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด มีร่างกายเอาไว้ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เอาไปทำความดีงามทั้งหลาย อันนั้นก็จะเป็นประโยชน์ในทางโลก เราจะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขมากขึ้นๆ ตายไปเราก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี

 

ใช้ร่างกายนี้ทำกรรมใหม่ที่ดี สร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่

อย่างมีร่างกายนี้ก็สร้างความดีไปเรื่อยๆ เรียกว่าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีให้มีคุณค่า เป็นคนดี แล้วถ้าจะดีกว่านั้นอีก เอาร่างกายมาภาวนา มาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำสมถะ ทำวิปัสสนา อาศัยร่างกายทั้งนั้น มีสติระลึกรู้ลงไปในร่างกาย มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู คือจิตทรงสมาธิที่ถูกต้อง มีสติระลึกรู้ลงในร่างกาย ไหนๆ ก็มีร่างกายแล้ว แทนที่จะให้มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เอามันมาใช้เป็นเครื่องมือผลิตสติผลิตปัญญาของเรา เราใช้ทรัพยากรใช้กรรมเก่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเลย คือเอากายนี้มาภาวนา จิตใจเราก็เหมือนกัน ความรู้สึกพื้นฐานของจิตเรา ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ไม่เป็นไรนั่นเป็นอดีต

ปัจจุบันนี้เรามาเจริญภาวนาให้ได้ มีสติระลึกรู้ จิตโกรธก็รู้ จิตไม่โกรธก็รู้ จิตโลภก็รู้ จิตไม่โลภก็รู้ จิตหลงก็รู้ จิตไม่หลงก็รู้ รู้ไป รู้อย่างไร รู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็น กลาง มีจิตเป็นคนดูอยู่ แล้วเราเห็นว่าพอกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ความโกรธมันผุดขึ้นได้เอง แล้วจิตตั้งมั่นเป็นคนดู มันเห็นความโกรธกับจิตมันคนละส่วนกัน ความโกรธเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตเป็นแค่ผู้รู้ผู้ดู ถ้าสติเราไม่ดี สมาธิเราไม่ดี ความโกรธเกิดขึ้นมันจะเข้ามาครอบงำจิตใจเรา เราก็จะทำกรรมใหม่ที่ชั่ว เมื่อทำกรรมใหม่ไปด้วยความโกรธ เช่นระบายออกทางวาจา เกิดผิดศีลข้อ 4 แล้ว เที่ยวด่าเขา เที่ยวกระแนะกระแหนค่อนขอดอะไรอย่างนี้ ทุกวันนี้บ้านเมืองเต็มไปด้วยคนอย่างนี้ คนผิดศีล

ฉะนั้นไหนๆ เราก็มีร่างกายซึ่งมันเป็นตัวทุกข์แล้ว ได้รับก้อนทุกข์นี้มาแล้ว เอามาใช้ประโยชน์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เอากายนี้ไปทำความดี ทำทาน ทำสงเคราะห์สัตว์ สงเคราะห์เพื่อนมนุษย์อะไรอย่างนี้ เอาร่างกายไปช่วยดูแลธรรมชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น สงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ อย่างมีดาราคนหนึ่งชื่ออะไรหลวงพ่อลืมไปแล้ว เขาไปทำหน้าที่สงเคราะห์เก็บศพไร้ญาติ เก็บอะไร ต้นทุนของเขาดีอยู่แล้ว เขาเกิดมาหน้าตาดี แล้วก็ทำประโยชน์ต่อไปอีก ทำสิ่งที่ดีต่อไปอีก อย่างนายตูนอะไรนั่น เขาใช้ร่างกายเขาในทางที่ดี เป็นตัวอย่างให้เราเห็นได้

ฉะนั้นเรามีร่างกายมาแล้ว อย่าให้มันไปเป็นเครื่องมือของความชั่ว มีร่างกายแล้วเอามาทำกรรมชั่ว ถึงกายนั้นจะหล่อแค่ไหน เป็นผลของความดีมา หรือกายเราน่าเกลียดแล้วเรามาทำกรรมใหม่ที่ชั่ว อย่างไรก็เลวลง ชีวิตก็เลวลง บางคนหน้าตาสวยหน้าตาหล่อ แต่จิตใจเลวทราม มันมองกันออกดูกันออก บางคนมันเหมือนผีดิบกระหายเลือด เห็นใครมันก็อยากจะกินให้หมดเลย อยากจะสูบเลือดสูบเนื้อคนอื่นเขา บางทีเกิดมาหน้าตาพอดูได้ฐานะดีอะไรอย่างนี้ แต่ทำกรรมใหม่ไม่ดี อย่างนั้นเราอย่าไปเอาอย่าง ถ้าเรามาใช้ร่างกายของเรานี้ทำกรรมใหม่ที่ดี ร่างกายเราจะดีหรือจะไม่ดีไม่สำคัญ เป็นอดีต อย่างบางคนเกิดมาพิการ ลูกศิษย์หลวงพ่อบางคนก็มีเกิดมาพิการ เดินไม่ได้มาตั้งแต่เกิดเลย บางคนมีอุบัติเหตุทีหลังแข้งขาขาด อุตส่าห์ขับรถมาฟังธรรมได้ คนไม่มีขาขับรถมาได้ มาฟังธรรมได้ มา ภาวนาได้ กรรมเก่าให้ผลมาเขาได้ร่างกายที่ไม่ดี ไม่สมประกอบ แต่เขาเอาร่างกายอันนั่นล่ะ มาสร้างคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ เอามาภาวนา คนอย่างนี้เป็นตัวอย่าง เราควรจะเอาอย่างเขา

ฉะนั้นอย่างพวกเราเป็นมนุษย์สมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์อยู่แล้ว อย่าให้มันเป็นเครื่องมือของกิเลส ถ้าพลาดแล้วอีกนาน กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาดีได้ ในคัมภีร์เคยพูดถึงท่านพระอานันทะหรือพระอานนท์ คนไทยเรียกพระอานนท์ ท่านพระอานนท์เป็นพระรูปหล่อ รูปงาม ผู้หญิงชอบ ท่านเคยสร้างบารมีมา เคยทำบุญกับพระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกอะไรหลวงพ่อจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ไม่ใช่ว่าเกิดร่วมสมัยหรอกอ่านตำราเอา ท่านสร้างความดีมาก เสร็จแล้วท่านอธิษฐาน อย่างสมมติท่านไปทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าสักองค์ แล้วท่านอธิษฐานว่าถ้าเกิดชาติใดก็ขอให้รูปงามตลอด รูปงามทุกชาติ ชาติต่อมาจากคนรูปไม่งาม กลายเป็นคนรูปงาม ได้ต้นทุนที่ดีมาแล้วมีรูปงาม แต่ท่านทำกรรมใหม่ที่ไม่ดี ท่านไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้านเขา ถัดจากนั้นท่านก็ลงอบายไป ท่านบอกท่านตกนรกอยู่นานมากเลย ในนรกท่านก็เป็นผีนรกที่งาม

ผลของกรรมดีกับกรรมชั่วมันไม่ได้ล้างกัน กรรมชั่วพาให้ตกนรก กรรมดีที่ทำไว้มีรูปงาม ก็งามอยู่อย่างนั้น พ้นจากนรกมา มาเป็นเปรต มาเป็นอสุรกายก็งามอีก มาเป็นสัตว์เดรัจฉานก็รูปงามอีก มาเกิดเป็นวัวตัวผู้รูปงาม กรรมเก่าที่เคยเป็นชู้กับเขายังให้ผล ยังไม่หมดกรรม พ้นนรกมาแล้วเศษกรรมยังอยู่ เวลาไปไหนมาไหนเทียมเกวียนไป วัวตัวเมียมันวิ่งตามเป็นฝูงเลย ในที่สุดเจ้าของก็รำคาญจับท่านตอน จับวัวตอน ท่านถูกตอนอยู่บอกเป็นร้อยๆ ชาติเลย มาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์รูปงาม แต่ท่านก็เป็นเกย์อยู่อย่างนั้นอีก มาเป็นซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น นานกว่าท่านจะกลับมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ฉะนั้นเวลาเรามีต้นทุน ต้นทุนจะดีหรือเลวก็ตาม ทำกรรมใหม่ที่ดีไว้ก่อน ทำกรรมใหม่ที่ดีคือรักษาศีลไว้ ทำสิ่งซึ่งมีคุณงามความดีทั้งหลาย แล้วจะดีเลิศเลย ถ้าเราฝึกจิตฝึกใจของเราให้ตั้งมั่น แล้วมาเจริญปัญญาได้ การเจริญปัญญานั้นเป็นบุญสูงสุดของเราชาวพุทธ การทำทานเป็นบุญ การรักษาศีลเป็นบุญ พอเรารักษาศีลได้ ทานเป็นเรื่องเล็กแล้ว เป็นบุญที่เล็กลงไป มีของที่ใหญ่กว่า เราทำสมาธิได้มีบุญสูงกว่ารักษาศีลอีก เพราะว่าบุญจากการรักษาศีลทำให้เราได้เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ได้ แต่บุญจากสมาธิขึ้นไปเป็นพรหมได้ แล้วก็บุญจากการเจริญปัญญายิ่งใหญ่ที่สุดเลย ทำให้เราข้ามวัฏฏะได้ เข้าสู่โลกุตตระได้

ฉะนั้นไหนๆ ก็มีร่างกายมาแล้ว จะดีหรือเลวก็แล้วแต่ต้นทุนเดิม เอามาใช้ประโยชน์ ยังเดินได้ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไร ยังทำได้ก็ทำไป วันหนึ่งแก่แล้วเดินจงกรมไม่ไหวอะไรอย่างนี้ เราอาจจะไม่มีแรงเดิน อาศัยที่เคยสะสมสติสมาธิมาดีก็นั่งได้ นั่งภาวนา วันหนึ่งนั่งไม่ไหว นอนก็ยังนอนภาวนาได้อีก สุดท้ายก็ตายไปกับการภาวนา อย่างนี้คุ้มค่ามากเลย เรียกว่าเราใช้ร่างกายได้คุ้มมาก ใช้จนถึงนาทีสุดท้าย ใช้จนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตเลย อย่างนี้เรียกว่าผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง ใช้ประโยชน์สิ่งที่มีให้ได้รับประโยชน์สูงสุด

แล้วทุกวันเราก็ตั้งใจไว้ เราจะใช้ร่างกายนี้สร้างคุณงามความดีเป็นลำดับไป มีโอกาสทำทานก็ทำ แต่ทำต้องทำให้เป็น อย่าทำให้เดือดร้อน ทำทานก็เพื่อลดละกิเลส ลดละความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ทำทานพอกพูนความเห็นแก่ตัว หรือพอกพูนกิเลส ถ้าทำทานแล้วหวังรวยนี่ทำทานพอกพูนกิเลส ได้บุญเล็กน้อยเพราะทำด้วยความโง่ ทำด้วยความโลภ รักษาศีลก็เหมือนกัน รักษาศีลเพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อจะเอาอันโน้น เพื่อจะเอาอันนี้ เพื่อจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ บางคนรักษาศีลเพื่อจะได้ไปเป็นเทวดา จะได้เสวยความสุขมากๆ อะไรอย่างนี้ อันนี้เรียกว่ามักน้อยเกินไป รักษาศีล เราก็รักษาเพื่อลดละกิเลสของเรา เจริญสมาธิก็ฝึกสมาธิ ไม่ใช่เพื่อความสุข ความสงบ ความดี ความวิเศษ เพื่ออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ทำสมาธิก็เพื่อลดละกิเลส ฉะนั้นไม่ใช่ทำสมาธิก็กิเลสแรงกว่าเก่า นั่งสมาธิคนเป็นเยอะ พวกนั่งสมาธิพอออกจากสมาธิ กิเลสแรงกว่ามนุษย์ชาวบ้านธรรมดาอีก เพราะนั่งสมาธิผิด ไปนั่งข่มจิต

 

ลดละกิเลส เจริญกุศลให้ถึงพร้อม

เราเจริญปัญญาก็ต้องทำไปเพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่เจริญปัญญาเพื่อความฉลาดรอบรู้ โต้เถียงกับเขาได้อะไรอย่างนี้ รู้มากท่องตำราได้เยอะ หลายคนเรียนปริยัติเยอะ รู้อะไรต่ออะไรสารพัดจะรู้เลย ไม่รู้อยู่อันเดียวก็คือ ตอนนี้จิตใจของตัวเป็นอย่างไร ดูเข้ามาที่ตัวเองไม่เป็น แต่ เรื่องอื่นๆ รู้หมดเลย ธรรมะมีเท่าไรๆ จำได้หมด แต่ใจนั้นว่างเปล่าจากธรรมะ สมัยพุทธกาลก็มีพระองค์หนึ่งชื่อพระโปฐิละ ท่านไม่ได้ชื่อโปฐิละ โปฐิละเป็นชื่อที่พระพุทธเจ้าแซว โปฐิละแปลว่าคัมภีร์ที่ไร้ตัวอักษร ใบลานเปล่า ทำเป็นถือใบลาน นึกว่าจะเทศน์อะไร เปล่า ใบลานนี้ว่างเปล่าไม่มี คือจำได้อย่างเดียว แต่ใจนี้ไม่ได้ธรรมะเลย อย่างนี้ก็มี เรียนเยอะแต่ว่าไม่มีธรรมะจริงหรอก เรียนแล้วทิฏฐิมานะแรง กิเลสแรงอะไรอย่างนี้ถมเถไป ทุกวันนี้ก็มีเยอะแยะพวกที่เรียนเยอะๆ

ก็ภาวนาเข้า ตั้งเป้าให้ถูก เราทำไปเพื่อลดละกิเลส เพื่อเจริญกุศลให้ถึงพร้อม เจริญกุศลก็คือให้ศีล สมาธิ ปัญญาของเรามันดี ลดละกิเลส ก็ฝึกของเราไป ไม่ตามใจกิเลส พอเราฝึกได้มากเข้าๆ ใจเราสงบ สะอาด สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าเราใช้กาย ใช้ใจ ใช้ขันธ์ที่ได้มาจากอดีตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว จนกระทั่งบางท่านใช้ขันธ์อันนี้ปฏิบัติ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ อันนี้ท่านใช้ขันธ์ได้สมบูรณ์แบบแล้ว ประโยชน์สูงสุดแล้ว ประโยชน์ของตัวเองทำเสร็จแล้ว คราวนี้ประโยชน์ที่ท่านทำ ท่านทำเพื่อสงเคราะห์โลก ไม่ได้ทำเพราะอยากทำแล้ว แต่ทำเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกเท่านั้นเอง สัตว์โลกที่อินทรีย์แก่กล้ายังมีอยู่ สัตว์โลกที่กิเลสเบาบางยังมีอยู่ เผื่อได้ยินได้ฟังธรรมะก็จะได้พ้นทุกข์ตามท่านไป ใจท่านคิดอย่างนี้เท่านั้นล่ะ ไม่ได้อยากใหญ่อยากโตอะไร เรียกว่าทำประโยชน์ตนเองได้ถึงพร้อมแล้ว ก็ทำประโยชน์ผู้อื่นไปเท่าที่จะทำได้

ฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีร่างกายมีจิตใจอย่างนี้แล้ว อย่าลืมทำความดีให้ดีที่สุดเลย ลดละความชั่วไป ความดีอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย ความชั่วอะไรยังไม่ละก็ละเสีย วิธีละความชั่วก็ใช้สตินี่ล่ะ ใจมันชั่วก่อน กาย วาจามันถึงชั่วทีหลัง มีสติรักษาจิตใจของเราไปเรื่อย กิเลสอะไรเกิดเรารู้ทันใจของเรา ใจเราก็ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ใจมันก็ดี พอใจมันดีเสียอย่างเดียว กาย วาจามันก็ดีไปด้วย อย่างพระตลกคะนองอะไร ทำกิเลสที่ยังไม่เกิดให้เกิด ทำกิเลสของตัวเองที่ยังไม่เกิดให้เกิด ที่เกิดแล้วให้แรงขึ้น ทำกุศลที่เคยมีให้หายไป กุศลใหม่ก็ไม่เกิด นี่สำหรับตัวเอง

บางทีเล่นตลกคะนองก็พาชาวบ้านเขา กิเลสที่ยังไม่เกิดก็เกิด กิเลสที่เกิดแล้วก็แรงขึ้น กุศลที่เขาเคยมีก็เสื่อมไป กุศลใหม่ของเขาก็ไม่เกิด เราใช้ต้นทุนอย่างใช้ร่างกายใช้จิตใจของเราในฐานะมนุษย์ แถมยังมีเครื่องแบบพระด้วย มีหลายเก้าอี้ หลายสถานะ แล้วเอาไปทำอะไรซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งพระพุทธเจ้าสอน ไปทำในสิ่งที่ท่านห้าม หรือไปทำอกุศลที่มีอยู่ให้มากขึ้น อกุศลใหม่ที่ไม่เกิดก็เกิด อกุศลที่เกิดแล้วมากขึ้น กุศลที่เคยมีก็หมดไป กุศลใหม่ก็ไม่เกิด นอกจากทำตัวเองแล้ว ยังทำคนอื่นให้เป็นอย่างนี้ตามด้วย อันนี้เป็นโทษที่ร้ายแรง อยู่ในโลกไม่รู้สึกหรอก ผ่านโลกนี้ไปแล้วกรรมมันจะสอนเอาเอง กรรมจะจัดสรรให้เอง

ฉะนั้นอะไรที่มันไม่ดีเลิกเสียเถอะ ลดละเสียเถอะ ทำไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์จริง พระกับโยมก็ฐานะไม่เหมือนกัน พระทำผิดโทษหนัก มันคล้ายๆ เจ้าพนักงานทำผิดเสียเอง โทษมันหนัก ฉะนั้นเป็นพระอยู่ไม่ได้ก็สึกไปเสียดีกว่า มาทำผิดในเพศของพระ เป็นฆราวาสก็ทำอย่างที่หลวงพ่อสอนนั่นล่ะ ใช้กายนี้ให้มันดีมีประโยชน์ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เจริญปัญญาได้ยิ่งดีที่สุด ใช้จิตนี้ควบคุมรักษาจิตไม่ให้อกุศลมันเกิด ไม่ให้อกุศลที่เกิดแล้วเจริญ พัฒนาจิตของตัวเองไป ศีล สมาธิ ปัญญาก็ดีขึ้นๆ เรียกกุศลมันเจริญขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายโลกุตตระกุศลมันก็เกิด คือเกิดอริยมรรคอริยผลขึ้น

ค่อยๆ ฝึกไป ชีวิตก็จะคุ้มค่า ไหนๆ เราก็เกิดมาทั้งทีแล้ว เรื่องอะไรเราจะตายไปกับความมืดบอด ถ้าเราเกิดมาในยุคซึ่งไม่มีพระพุทธศาสนา เราไม่มีแสงสว่าง ถึงจิตใจเราไม่มืดบอด แต่มันไม่มีแสงสว่าง มันก็ชีวิตที่ลำบากเหมือนกัน ของเรามาเกิดในยุคนี้ ร่างกายจิตใจของเราดี ไม่มืดบอด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราดี แสงสว่างคือพระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ เรียกว่าเรามีทั้งตา มีทั้งแสงสว่าง เราก็ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตเราให้คุ้มค่า สอนอย่างนี้ครอบคลุมหมดแล้วทั้งพระทั้งโยม ฝึกตัวเอง.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 กันยายน 2564