ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม

วันนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว เริ่มหนาวแล้ว เวลาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นเครื่องหมาย ฤดูกาลมันเป็นเครื่องบอกเรา วันเวลาล่วงไปๆ นี่ใกล้ลอยกระทง ลอยกระทงเราก็สนุกสนานกัน ที่จริงวันลอยกระทง มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องนางนพมาศ แต่เป็นวันที่พระสารีบุตรปรินิพพาน 6 เดือนก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอัครสาวกท่านจะต้องนิพพานก่อน เป็นประเพณีอย่างนั้น หลังจากนั้นอีก 15 วัน พระมหาโมคคัลลานะนิพพาน

การที่พระอัครสาวกมีธรรมเนียม ที่จะนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า มองดูมันก็มีเหตุผล คือถ้าพระอัครสาวกยังอยู่ พระพุทธเจ้านิพพานมันก็จะมีคนรับช่วงเป็นศาสดาต่อ พระพุทธเจ้าท่านต้องการให้ธรรมวินัยเป็นศาสดาของพวกเรา ของชาวพุทธ ภายหลังจากท่านปรินิพพาน เมื่อสิ้นพระสารีบุตร สิ้นพระมหาโมคคัลลานะแล้ว พระผู้ใหญ่ที่สุดก็คือพระมหากัสสปะ ท่านก็เลยเป็นผู้นำสังคายนา สังคายนาครั้งแรกมีพระวินัย กับพระสูตร พระธรรมะ ธรรมวินัย ส่วนของพระวินัยพระอุบาลีท่านเก่ง ส่วนของธรรมะที่อธิบายจัดหมวดหมู่ พระอานนท์ คนอินเดียไม่รู้จักพระอานนท์ คนสมัยพุทธกาลท่านชื่อพระอานันทะ คนไทยมาเรียกว่าพระอานนท์

ฉะนั้นธรรมะก็ค่อยๆ ฝัง ค่อยๆ หยั่งรากลง แข็งแรงขึ้น กระจายตัวออกไป ผ่านไปประมาณ 200 ปี ธรรมะแท้ๆ ก็เริ่มลบเลือน พวกอลัชชีมากมาย เพราะคนจำนวนมากนับถือพระพุทธศาสนา พากันปรนเปรอพระ พวกชั่วๆ มันก็เข้ามาบวช ก็มาทำความเสียหาย พระดีๆ ท่านก็หลบเร้นออกไป จนพระเจ้าอโศกทำสังคายนาครั้งที่ 2 จัดสังคายนา เที่ยวไปหาว่าจะหาพระองค์ไหน มาเป็นประธานในการสังคายนา ไปได้พระโมคคัลลีบุตรติสสะ มาเป็นประธาน มันเป็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง องค์ที่เป็นประธานสังคายนาครั้งที่ 2 คือพระโมคคัลลีบุตรติสสะ คนไม่รู้จัก คนรู้จักแต่พระอุปคุต ธรรมะจริงๆ มันอยู่ยากจริงๆ เราไปสร้างตำนานพระอุปคุตขึ้นมา

 

ธรรมะที่ยกระดับของเราให้พ้นจากความเป็นสัตว์

พระพุทธเจ้าท่านสอนธรรมะ ที่ยกระดับของเราให้พ้นจากความเป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง ฉะนั้นมันฝืนกิเลสอย่างรุนแรงเลย ในโลกก็มีตัวมีตน พระพุทธเจ้าบอกไม่มีตัวตน ในโลกเขาแย่งชิงให้มากที่สุด พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง มันสวนกระแส สวนกับธรรมชาติจิตใจของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ มันอยู่ได้ไม่ค่อยนานเท่าไร มีคนมีบุญบารมีรวมกันมาเกิดเป็นชุดๆ ไป ชุดนี้เกิดมาสะสมบุญบารมีมากพอ ก็บรรลุมรรคผลนิพพานหมดไปชุดหนึ่ง ชุดอื่นก็เข้ามาต่อเป็นกลุ่มๆ ไป

ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอก เมื่อหลายสิบปีมาแล้วท่านบอกว่า “สัตว์นรกมันขึ้นมามากแล้ว ต่อไปพวกเราคนมีศีล มีธรรม จะอยู่กับเขายาก ให้พวกเราเร่งภาวนา ต้องหนีมันต่อไป อย่าไปอยู่กับมันเลย” จะไปต่อสู้เอาชนะมัน มันก็เยอะเหลือเกิน สัตว์ที่มันตามใจกิเลส สู้กับมันไม่ไหวหรอก เราก็ถอยไป ภาวนาพ้นไปได้ก็พ้นไปเลย พ้นไม่ได้ท่านบอกว่าให้ไปต่อในเทวโลก ในพรหมโลก แต่ถ้าไปเป็นพรหม ให้เป็นพรหมที่เป็นรูปพรหม อย่าไปเป็นอรูปพรหม แล้วเวลามีการแสดงธรรม ในสวรรค์เขาก็แสดงธรรมกันอยู่เรื่อยๆ พระอริยะมีอยู่ หรือเวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็จะได้มาฟังธรรมต่อ

ท่านบอกไว้อย่างนี้นานแล้ว ว่าท่านมองว่า สัตว์ในนรกมันถึงวาระที่ขึ้นมามากมาย เต็มไปหมดเลย อันนี้ท่านเล่า จริงหรือเปล่าหลวงพ่อไม่มีญาณพิเศษอะไรจะรู้หรอก แต่มาดูสังคมเราทุกวันนี้ มันโหดร้ายทารุณขึ้นเรื่อยๆ อย่างเมื่อก่อนเราไม่เคยเจอ อยู่ๆ ก็ไปไล่ฆ่าเด็ก ไม่ได้โกรธได้แค้นกับเด็ก อยากทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้คนทำไม่ได้ มนุษย์ทำไม่ได้ มนุษย์แปลว่าผู้มีใจที่สูง อย่างพวกเราให้ไปฆ่าหมาสักตัว เรายังทำไม่ได้เลย ฆ่าแมวสักตัวเราก็ทำไม่ได้ จิตใจมันไม่เสมอกัน มันมาอยู่ด้วยกัน มันอึดอัด อยู่ยาก

ฉะนั้นให้พวกเราตั้งอกตั้งใจภาวนา มันเป็นทางที่เราจะพ้นไปจากวังวนของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนของสัตว์ทั้งหลาย จะได้พ้นจากวังวนอันนี้ไป พ้นความเป็นสัตว์มาเป็นมนุษย์ มนุษย์แปลว่าผู้มีใจสูง คือใจที่มันมีศีลมีธรรม แต่เดิมเราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง มีกิเลสหนาปัญญาหยาบเหมือนคนอื่นเขา ไม่ต้องไปเกลียดเขาหรอก เมื่อก่อนเราก็เลวอย่างนั้น แต่อาศัยที่เรามีความตั้งใจดี เข้ามาศึกษาปฏิบัติ รู้จักทำทาน รู้จักรักษาศีล รู้จักภาวนา ใจของเราก็สูงขึ้นๆ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ

จิตของมนุษย์เป็นจิตที่เหมาะสมที่สุดที่จะปฏิบัติธรรม จิตในภพภูมิอื่นปฏิบัติธรรมลำบาก อย่างสูงสุดเลยมันภพของพรหม พรหมอายุยืนยาวมาก ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้นมักจะติดในความสุข สบาย เพลินๆ ไป มีอายุยืนมาก พวกเทพเขาก็ติดในกามกัน ทั้งมีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัสที่น่าเพลิดเพลิน น่าพอใจ มีความสุขมากไป ก็เหมือนพวกคนบางคน เขามีความสุข เขาไม่ภาวนา ไม่รู้จะภาวนาทำไม ชีวิตมีความสุขอยู่แล้ว อย่างพรหมอายุยืนยาวไปจนประมาท พวกเทพมีความสุขมากไปจนประมาท สัตว์นรกมีความทุกข์เกินไป จนไม่มีกำลังที่จะปฏิบัติ อสุรกายมันมีมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดต่างๆ นานา ก็ปฏิบัติไม่ได้ เปรตมีแต่ความอดอยาก หิวโหย มันก็ปฏิบัติไม่ได้ ใจมันเต็มไปด้วยโลภะ ต้องการ ขาดแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง ใจไม่มีความสงบสุข

สัตว์เดรัจฉาน ในภพภูมิทั้งหลาย ภพของพรหมมันสูง พวกที่ต่ำที่สุดคือเดรัจฉาน เราเห็นว่าหมาบางตัว โอ้ เจ้าของรัก อยู่ดี กินดี แต่ถึงสัตว์เดรัจฉานไปได้รับการเลี้ยงดูดีแค่ไหน สัตว์เดรัจฉานก็เต็มไปด้วยโมหะ เต็มไปด้วยความหลง ไม่มีความรู้สึกตัว ใจล่องลอยไปเรื่อยๆ สัญชาตญาณกระตุ้นให้วิ่งไปเรื่อยๆ ฉะนั้นพวกนี้ภาวนาไม่ได้ จิตมีโมหะรุนแรง ในขณะที่มนุษย์ เรามีทั้งดี มีทั้งชั่ว อายุเราก็ไม่ได้ยืนเกินไป จนกระทั่งคิดว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้า ร่างกายเราก็ไม่ได้แข็งแรงเกินไปที่จะอยู่ไปตั้งนานๆ ชีวิตเราก็เจอความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง ไม่ได้มีแต่ความสุขล้วนๆ ความสุขมากมาย จนกระทั่งประมาท

เวลาความสุขเกิดขึ้นก็เกิดไม่นาน เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็เกิดไม่นาน เวลาจิตใจมีกุศลก็อยู่ไม่นาน จิตใจโลภ โกรธ หลงขึ้นมาก็อยู่ไม่นาน ร่างกายของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงเร็ว แต่ว่าไม่ได้เร็วมากเกินไป อย่างสัตว์เดรัจฉานบางพวกอายุ 2 – 3 วันก็ตายแล้ว ไม่ทันพัฒนาจิตใจ มนุษย์อายุไม่ยืนจนกระทั่งประมาท และก็ไม่อายุสั้นเกินไป มันเป็นภพภูมิที่ดี มนุษย์มีสติ มีปัญญา สามารถที่จะพัฒนาจิตใจตนเองได้

 

ด่านสุดท้ายคือการปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม

การจะได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นของยากมาก โอกาสที่จะเป็นมนุษย์นั้นยากมากเลย แล้วเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างพวกเรา ก็ถือว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีร่างกายปกติ มีจิตใจปกติ ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แล้วมนุษย์อย่างพวกเราได้ฟังธรรมะ คนที่ร่างกายปกติ จิตใจปกติ มีส่วนน้อยจริงๆ ที่ได้ยินธรรมะ ได้ฟังธรรมะ อย่างต่างชาติเขาโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะน้อยเต็มที ชาวตะวันตกหลังๆ นี้หันมาสนใจพุทธศาสนา แต่เขาสนใจในเรื่องของสมาธิ ไม่ได้สนใจเรื่องปัญญา เขาได้ส่วนนิดเดียวของศาสนาพุทธ

เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นคนก็ยากลำบาก แล้วเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งกายทั้งใจอย่างนี้ ก็ยากลำบากมากขึ้น แล้วมีคนส่วนน้อยเท่านั้นได้ยินได้ฟังธรรมะ ในจำนวนคนส่วนน้อยที่ได้ยินได้ฟังธรรมะ มีส่วนน้อยลงไปอีกที่คิดว่าจะต้องตั้งใจปฏิบัติ เพราะฉะนั้นคนที่จะบรรลุมรรคผลได้ จะเข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ มันมีน้อยอย่างยิ่ง โบราณเขาเปรียบบอก “จำนวนคนเหมือนกับขนวัว วัวตัวหนึ่งมีขนไม่รู้กี่ล้านเส้น แต่คนที่เข้าถึงธรรมะมีแค่เหมือนเขาวัว” เขาวัวมี 2 เขาเอง เทียบกับจำนวนพวกที่ไม่มีโอกาส

พวกเราทั้งหลายได้เป็นมนุษย์แล้ว ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว เรามีศรัทธา เราเข้ามาใกล้พระ มาฟังธรรม เหลืออยู่อย่างเดียว เราปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เหลืออันสุดท้ายอันเดียวเท่านั้นพวกเรา ด่านที่ยุ่งยากเราได้ผ่านมาหมดแล้ว เหลือด่านสุดท้ายแล้ว คือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ไม่ใช่เอาเวลาไปวุ่นวายอยู่กับโลกมากมาย อย่างไปแย่งชิงอะไรกันในโลก มันจะอยู่นานสักแค่ไหน มีเงินหมื่นล้านแสนล้าน มันจะใช้ได้ตลอดไปหรือเปล่า ชีวิตมันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไรนักหนา

เพราะฉะนั้นเรามาหาสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารสูงสุด ให้กับตัวเราเอง ให้สมกับที่เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่มีบุญวาสนา มีศรัทธา ได้เข้าใกล้พระ ได้ฟังธรรม เหลืออันสุดท้ายปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ตื้นเกินไป การปฏิบัติธรรมก็คือ การปฏิบัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกให้ทำ ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ท่านบอกว่าอย่าทำ ท่านบอกอย่าทำกรรมชั่วให้ทำกรรมดี กรรมดีของเราก็คือทาน ศีล ภาวนา เราพยายามสะสมของเราไป

การทำทาน ทำเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว อย่างเรามีเหลือเฟือ อย่างเสื้อผ้าของเรา บางคนมีเสื้อผ้าเยอะ มีตั้งหลายตู้ ตอนนี้ก็เริ่มหนาวแล้ว ลองไปค้นที่บ้านดู อันไหนส่วนเกินให้กับคนที่ขาดแคลนไป อันนั้นมีประโยชน์ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เห็นสวยๆ ก็ซื้อมา พักเดียวมันก็ตกยุคแล้ว ไม่กล้าใส่ ใส่แล้วเชย เอาไปให้คนซึ่งเขาลำบากกว่าเรา รู้จักให้ ไม่ได้เห็นแก่ตัวเองจะหาผลประโยชน์อย่างเดียว รู้จักให้บ้าง ใจเราก็จะสูงขึ้น เพราะว่าเราสามารถลดละกิเลส คือความเห็นแก่ตัวได้

แล้วต้องรักษาศีล นั่นคือการปฏิบัติธรรมอีกอย่างหนึ่ง การทำทานก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง มีผลในทางลดละกิเลส การรักษาศีลก็เป็นการปฏิบัติธรรม เราไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมตามใจกิเลส ขัดเกลาจิตใจตัวเองให้มันเข้มแข็งขึ้น อย่างเรามีความโลภอยากได้ของคนอื่น เราก็ต้องข่มใจตัวเองไว้ รู้จักต่อสู้ไม่ตามใจกิเลส การที่เราคอยอบรมจิตใจตัวเอง ให้มันเข้มแข็ง แรกๆ มันยาก แรกๆ ยาก แต่ต่อไปๆ จิตใจมันคุ้นเคยที่จะรักษาศีล การรักษาศีลจะเป็นของง่าย การทำผิดศีลจะเป็นของยาก มันจะกลับข้างกัน

อย่างเราไม่เคยรักษาศีล แต่ก่อนเราก็ทำอะไรชั่วๆ เหมือนที่สัตว์ทั้งหลายมันทำอย่างนั้น นี้พอเรามาหัดรักษาศีลเข้า เวลาเราคิดจะทำชั่ว มันไม่กล้าทำ มันละอายใจ ละอายใจไม่อยากทำ เบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนสัตว์อื่นสักนิดหนึ่งก็ไม่อยากทำ มันมีความเมตตา มีความสงสารเกิดขึ้น ใจมันมีพัฒนาการที่จะสูงขึ้นๆ จิตใจที่เคยเต็มไปด้วยโลภ โกรธ หลง ก็ลดลง เกิดจิตใจที่มีเมตตากรุณาเกิดขึ้นมาแทนที่ มีหิริโอตัปปะ ละอายที่จะทำบาป เกรงกลัวผลของการทำบาป มันจะไม่กล้าทำชั่ว ค่อยๆ ฝึกตัวเองให้สะอาดหมดจดขึ้น ทำทานก็เพื่อฝึกจิตใจให้มันไม่เห็นแก่ตัว รักษาศีลก็ฝึกตัวเองให้มันสะอาดหมดจดมากขึ้นๆ

 

ก้าวขึ้นสู่การภาวนา

พอถึงขั้นภาวนา ภาวนามี 2 ขั้นตอน ก็มีการฝึกให้จิตมันสงบนี้อันหนึ่ง ฝึกให้จิตมันฉลาดมีปัญญา เข้าใจความเป็นจริง นี่อีกอันหนึ่ง 2 อัน ฝึกจิตให้สงบ ให้ตั้งมั่น เรียกว่าสมถกรรมฐาน ฝึกจิตให้มีสติ มีปัญญาแก่กล้า เข้าใจความเป็นจริงเรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้นงานก็มี 2 งานในการฝึกจิตจริงจัง การทำทาน ถือศีล เป็นการวางพื้นฐานที่ดี เพื่อวันหนึ่งเราจะก้าวขึ้นมาสู่การภาวนา การภาวนาเบื้องต้นคือสมถกรรมฐาน ทำอย่างไร น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข แล้วอารมณ์นั้นต้องเป็นอารมณ์ที่ไม่กระตุ้นกิเลส เช่นเราทำความสงบอะไรไม่เป็น เราไหว้พระ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ สวดมนต์ในใจของเราไปเรื่อยๆ ขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ก็ยืนสวดมนต์ไปในใจเรา ดีกว่าวอกแวกฟุ้งซ่านไป ไม่จำเป็นต้องสวดยาว ไม่จำเป็นต้องสวดเยอะ หาธรรมะสักบทหนึ่งที่เราพอใจ เราก็สวดไป

อย่างหลวงพ่อแต่ก่อนก็สวด ชอบบทนี้ “พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว” บทนี้ ชอบ จะสวดยาวๆ ให้เต็มบทก็ได้ หรือจะบริกรรมมันอยู่แค่นี้ก็ได้ “พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดั่งห้วงมหรรณพ” สมมติเราเอาแค่นี้ แค่นี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสวดยาวๆ รัตนสูตร มงคลสูตร อาฏานาฏิยสูตร ไม่จำเป็น หรือสติปัฏฐานสูตร ยาวๆ ชินบัญชร ไม่จำเป็นต้องยาวอย่างนั้นหรอก สวดมันสั้นๆ สวดอะไรไม่ได้ “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ให้ใจอยู่กับคำบริกรรม อยู่กับการสวดมนต์ไปเรื่อยๆ แทนที่จะปล่อยให้มันคิดฟุ้งซ่านไปตามใจกิเลส ก็มาอยู่กับการสวดมนต์ของเรา ในใจเรา

ทำไปเรื่อยๆ จิตจะค่อยๆ มีแรง ค่อยๆ สงบ แล้วก็มีกำลังมากขึ้นๆ ชีวิตเราก็จะเริ่มเข้าใจคำว่า “สงบสุข” มากขึ้นแล้ว เราจะพบเลยว่า โอ้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีแต่ความวุ่นวาย ไม่เคยรู้จักคำว่าสงบสุขเลย เรามาสวดมนต์ในใจของเรา สวดไปเรื่อยๆ มีโอกาสเมื่อไรก็สวดไปเรื่อยๆ ใจเราก็ยังสงบสุขได้ มันมีคุณค่ามากกว่า การไปแย่งชิงอะไร ได้มาแล้วก็มีความสุข แป๊บเดียว เดี๋ยวความสุขก็หายไปแล้ว อันนี้ไม่ต้องแย่งกับใคร ไม่ต้องไปขอใคร ไม่ต้องแย่งใคร ไม่ต้องง้อใคร

เราสามารถพัฒนาจิตใจตนเอง ให้มันร่มเย็นเป็นสุขอยู่ด้วยตัวเองได้ สวดไป ชอบบทไหนก็สวดไปเรื่อยๆ ทั้งวัน สวดไป ตื่นนอนมายังไม่ทำอะไรก็สวดในใจเราไป จะอาบน้ำ จะกินข้าวอะไรก็สวดของเราไปเรื่อยๆ ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่นานหรอกจิตเราจะมีกำลังขึ้นมา ที่จริงแล้วสมถกรรมฐานมีมากมาย นับจำนวนไม่ถ้วน อารมณ์กรรมฐานมีเยอะแยะ แต่หลักการมีอันเดียว คือน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง อารมณ์นั้นต้องไม่ยั่วกิเลส แค่นั้น จะใช้กรรมฐานอะไรก็ใช้หลักอันนี้ สมถกรรมฐานมีตั้ง 40 อย่าง ตามตำรา แต่เอาเข้าจริงมีเกินตำรามากมาย ง่ายไปหมด อะไรก็ได้ถ้าเราได้หลัก ง่าย อย่างองค์หนึ่งท่านขยี้ผ้าขาว ขยี้ๆๆ บริกรรมไปเรื่อยๆ “ระโช หะระณัง ระชัง หะระติ” “ระโช หะระณัง ระชัง หะระติ”

อันนี้พระพุทธเจ้าให้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งกับท่าน เป็นผ้าขาว แล้วบอกให้ท่านไปนั่งขยี้ผ้าไปเรื่อยๆ แล้วบริกรรม “ระโช หะระณัง ระชัง หะระติ” แปลว่า “ผ้าเช็ดฝุ่น ย่อมเช็ดฝุ่น” บริกรรม ท่านทำไป แล้วท่านเกิดหยิบผ้าขึ้นมาดู ผ้าที่เคยขาว เคยสะอาด สกปรกไปแล้ว เปื้อนขี้มือไปแล้ว เปื้อนเหงื่อ เปื้อนอะไร ท่านก็เห็นเลยร่างกายนี้ไม่ใช่ของสวยของงาม เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ จากการที่นั่งบริกรรม ขยี้ผ้าขาวแล้วบริกรรมไปเรื่อยๆ กับจิตมันพลิกเข้ามา เห็นร่างกายเป็นปฏิกูลอสุภะ จิตก็ได้สมาธิขึ้นมา พอจิตมีสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนทางไกล ตอนนั้นพระพุทธเจ้าไปอยู่ในงานนิมนต์ พระจูฬปันถกะนั่งขยี้ผ้าอยู่ที่วัด ไม่ได้ไปนิมนต์กับเขาด้วย

พระพุทธเจ้าท่านก็สอนทางไกลมาให้ เหมือนเรา Zoom อย่างนี้ แต่ท่าน Zoom ด้วยจิต ไม่ต้อง Zoom ด้วยเครื่องมือ อย่างพระรุ่นเรา Zoom ด้วยเครื่องมือแล้ว ใช้กล้อง ใช้จอ ถ้าใช้ ท่านที่ทรงฤทธิ์ ทรงฌาน ท่าน Zoom ด้วยพลังของจิต ไปปรากฏขึ้นต่อหน้าเลย แล้วแสดงธรรมให้พระจูฬปันถกะฟัง บรรลุพระอรหันต์ บรรลุได้เลย ฉะนั้นเราอย่าดูถูกกระทั่งคำบริกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขอให้ทำไปเถอะ มีตัวอย่างที่ดีให้เราเห็นอยู่ไม่ใช่น้อย ครูบาอาจารย์จำนวนมาก เริ่มต้นท่านก็บริกรรมพุทโธๆ นั่นล่ะ บางองค์ก็พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วแต่เราจะชอบ พอบริกรรมไป จิตมันมีสมาธิ อันนี้ก็เดินปัญญาได้ ถ้าจิตมีกำลังมากพอ สะกิดนิดเดียวก็เดินปัญญาได้

เมื่อก่อนหลวงพ่อก็สงสัย พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่หนึ่ง แล้วท่านไปปรากฏพระองค์สอนคนที่นั่นที่นี่ มันเป็นไปได้หรือ เป็นคนซึ่งเชื่อแต่วิทยาศาสตร์ แต่ว่าก็ศรัทธา คงจะมีอะไรที่เราไม่เข้าใจอยู่ ต่อมาอยู่ในแวดวงของครูบาอาจารย์ ก็รู้มันไม่ใช่เรื่องแปลก ครูบาอาจารย์หลายองค์ที่ท่านทำอย่างนั้นได้ บางองค์คนไปภาวนาในวัด ถ้ากลางคืนขี้เกียจ จะนั่งๆ นอนๆ ถ้ายุคนี้คงเล่นมือถือ อันนั้นไม่ตั้งใจภาวนา ก็มองเห็นท่าน เห็นท่านเดินขึ้นมาหน้าประตูห้อง ถือไม้เท้ามา เห็นท่านมาชะโงกมอง ก็ตกใจรีบลุกขึ้นภาวนา ตอนเช้าแทบไม่กล้ามองหน้าท่านเลย ครูบาอาจารย์ที่ท่านเล่นอย่างนี้ มี แต่ท่านไม่ได้ทำเพื่ออวดอิทธิฤทธิ์อะไรหรอก ทำเพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือ เกื้อกูล ฉะนั้นไม่แปลกระดับพระพุทธเจ้าทำไมจะทำไม่ได้ ระดับสาวกรุ่นที่เราทันๆ กันอยู่ บางองค์ท่านยังทำได้เลย

ฉะนั้นพวกเราตั้งอกตั้งใจ อยู่กับเครื่องอยู่ของเราไป ทำอย่างอื่นไม่ได้ ก็ท่องสวดมนต์ในใจไปเรื่อยๆ เดี๋ยวใจก็มีกำลังขึ้นมา ภาวนาของเราไปเรื่อยๆ แล้วถ้าจิตเรามีกำลัง ตั้งมั่น เด่นดวงดีแล้ว ก็เจริญปัญญา การเจริญปัญญา อันแรกเลยพยายามรู้สึกตัวเข้าไว้ การเจริญปัญญาคือการเรียนรู้ความจริงของกาย คือการเรียนรู้ความจริงของใจ กายกับใจของเรานี้ ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา มันเป็นของเรา อย่างเหนียวแน่น เราจะมาเจริญปัญญาให้เห็นความจริงของกาย ให้เห็นความจริงของใจ เราก็ต้องเห็นกายเห็นใจให้ได้เสียก่อน

ก่อนที่จะเห็นความจริงของกายของใจ มี 2 สเต็ป เราจะรู้ความจริงของกายของใจได้ ขั้นแรกเลยเราต้องรู้กายรู้ใจให้ได้ รู้สึกกาย รู้สึกใจ ถ้าเราไม่รู้สึกกาย ไม่รู้สึกใจ จิตเราหลงไปอยู่ในโลกของความคิด มีกายก็ลืมกาย มีใจก็ลืมใจ มันภาวนาไม่ได้ เจริญปัญญาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามรู้สึกตัวเอาไว้ คอยรู้สึกกายรู้สึกใจไว้ เมื่อวานหรือเมื่อวานซืน หลวงพ่อยังสอนพระองค์หนึ่งเลย พระในนี้ จะสึก หลวงพ่อบอกว่า “เอาไปทำนะ 2 อันให้เกี่ยวกับกาย”

 

แค่รู้สึก

ข้อหนึ่งรู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย แค่รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย ไม่ใช่ไปนั่งเพ่งกาย อย่างนี้เราก็รู้สึกได้ถึงความมีอยู่ของกาย อันที่สองรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย ทีแรกเรารู้สึกอย่างนี้ มันมีกายอยู่ แล้วเราก็รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย เป็นสเต็ปที่ 2 เช่น ร่างกายหายใจออก รู้สึก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก ร่างกายยืน รู้สึก ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน รู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก ร่างกายคู้ ร่างกายเหยียด รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึก เกี่ยวกับกายนี้เราทำ 2 อัน อันหนึ่งรู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย อันที่สองรู้สึกเท่าทัน ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

คอยรู้คอยดู นี้พูดภาษามนุษย์ธรรมดาในยุคนี้ ถ้าพูดภาษาบาลีอะไรต่ออะไร ฟังแล้วต้องแปลเป็นไทย พอแปลแล้ว ก็ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกรอบหนึ่ง เพราะภาษาที่เราแปลบาลีนั้น เป็นภาษาสมัยรัชกาลที่ 5 เราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจความหมาย ถ้าพูดง่ายๆ เลย รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของร่างกาย คอยรู้สึกๆ ไปเรื่อย ต่อไปปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นเลยร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นอนัตตา

ในส่วนของการเจริญปัญญาทางจิตใจทำอย่างไร ก็มีหลัก 2 ตัวเหมือนกัน รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายอะไรมีอยู่ รู้สึก จิตใจมีอยู่ รู้สึก รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ นี่อีกช็อตหนึ่ง ดูกายแล้วก็รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย ดูจิตเรารู้สึกถึงความมีอยู่ของจิต รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิต ง่ายๆ ยากไหม ที่จะรู้สึกว่าเรามีร่างกายอยู่ในขณะนี้ ยากไหมที่จะรู้สึกว่าร่างกายกำลังนั่งอยู่ แค่รู้สึก ไม่ได้นั่งเพ่ง ถ้านั่งเพ่งเครียดๆ ทำผิดแล้ว

หลวงพ่อใช้คำว่า “รู้สึก” แค่รู้สึก เลี่ยงคำว่า “เห็น” เลี่ยงคำว่า “ดู” เพราะพวกเราพอบอกให้ดู ก็ดูเอาเป็นเอาตาย มันกลายเป็นเพ่ง ให้เห็นก็พยายามจะเห็น สอดส่ายใหญ่ จิตใจยิ่งวุ่นวาย ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รู้สึก รู้สึกไหมว่าเรามีร่างกายอยู่ ใครไม่รู้สึกว่ามีร่างกายอยู่ ไปหาหมอโรคจิตเลย แค่นี้รู้สึกไม่เป็น รู้สึกไหมร่างกายเคลื่อนไหว แค่รู้สึก แค่รู้สึกไม่ใช่ต้องมากำหนด คันหัว กึกๆๆ เคลื่อนมาทางนี้ยังไม่ถึงหัวเลย หัวหายคันไปแล้ว ไม่ได้กินหรอกอย่างนั้น

สรุปก็คือ ถ้าเราอยากเจริญปัญญา รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจ จิตใจเราก็เคลื่อนไหว เดี๋ยวก็เคลื่อนไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวเคลื่อนไปคิด เคลื่อนไปเพ่ง เคลื่อนไปแสวงหาว่าจะดูอะไรดี เคลื่อนไปอดีต เคลื่อนไปอนาคต อันนี้พูดคำว่า “เคลื่อน” พูดในลักษณะที่เรารู้สึกอย่างนั้น ในความจริงแล้วมันไม่มีการเคลื่อน จิตเกิดที่ไหนดับที่นั้น แต่ว่าอันนั้นเอาไว้ค่อยเรียนทีหลัง ตอนนี้เราเห็นเท่าที่เราเห็นได้ เราเห็นว่าจิตเราเคลื่อนไปทางตา เคลื่อนกลับมา เคลื่อนไปทางหู เคลื่อนกลับมา เคลื่อนไปอดีตแล้วก็กลับมา เคลื่อนไปอนาคตแล้วก็กลับมา นี่เราเห็นความเคลื่อนไหวของมัน เห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์ เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย คอยรู้สึกไปอย่างนี้

เพราะฉะนั้นเรามีกาย เราก็รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย ไม่ลืม เวลาเราใจลอย กายเราก็มีอยู่แต่เราไม่รู้สึก อย่างนั้นไม่ได้เรื่อง แล้วก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกาย ในทางจิตใจ เราก็รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ เห็นมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ เราก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ รู้สึกไปเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งปัญญามันจะปิ๊งขึ้นมา โอ้ กายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวเราในร่างกายนี้ ไม่มีตัวเราในจิตใจนี้ ไม่มีตัวเราในที่ไหนเลย

นี่พูดภาษาของปีนี้ ปีต่อไปก็อาจจะเปลี่ยน เพราะต้องเปลี่ยนภาษาไปเรื่อยๆ ตามพัฒนาการทางภาษา อย่างศัพท์หลายคำเป็นคำที่ดีๆ พัฒนาไปสู่ความย่ำแย่มาเป็นลำดับๆ อย่างเวียนเทียน เวียนเทียนเมื่อก่อนเป็นกิจกรรมดี เอามาใช้ในทางเสียหาย “มโน” แปลว่า “ใจ” ก็เอามาใช้เป็นเรื่องคิดเอาเอง ฟุ้งซ่าน ศัพท์ธรรมะเสียหายไปหมดเลย ส่วนศัพท์ที่ไม่ดีก็เอามาทำให้ดี อย่างคำว่า “มานะ” เป็นชื่อของกิเลส ความถือตัว เราก็ไปคิดว่ามานะนี้ดี คนเราต้องมีมานะ พยายามอะไรอย่างนี้ ภาษามันเคลื่อน ฉะนั้นเราอยากสื่อกับคนในรุ่นไหน เราก็ใช้ภาษาของคนรุ่นนั้น มันก็สื่อกันได้ ถ้าไปใช้ภาษาคลาสสิก ภาษาในคัมภีร์ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง ลองไปอ่านดู ฟังยาก ต้องแปล

สรุปง่ายๆ รู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของกาย รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจ รู้สึกไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งปัญญามันจะเกิด กายนี้ ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวเราตรงไหน ที่เราบังคับได้สักอย่างเดียวเลย กายไม่ใช่เรา รู้สึกลงไปในกายที่หายใจอยู่เคลื่อนไหวอยู่ มันรู้สึกทันที ถ้าจิตเราตั้งมั่นขึ้นมา มีสมาธิ มันเห็นทันทีเลยร่างกายไม่ใช่เรา อันนี้ง่ายที่สุดเลย ที่ยากคือการเห็นว่าจิตใจไม่ใช่เราต่างหาก

 

งานยิ่งใหญ่ที่เราต้องทำ

เพราะฉะนั้นคนไหนเรียนไม่เก่ง ก็เรียนไปตามลำดับ เรียนชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมศึกษา ถ้าเรียนเก่งก็สอบเทียบเอา พรวดเดียวจบปริญญาไปแล้ว ถ้าเรียนตามลำดับก็ดูกายดูอะไรไป ค่อยๆ ดูเป็นชั้นๆ ไป จนกระทั่งเข้าใจกายแล้วก็มาดูเวทนา เข้าใจเวทนาแล้วก็มาดูสังขาร เข้าใจสังขารแล้วมาดูจิตไป แต่ถ้าเรามีกำลังพอ เราดูเข้ามาเลย รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิต รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิต รู้สึกเรื่อยๆ พอมันปิ๊งขึ้นมา จิตไม่ใช่เรา พอเห็นตรงนี้เท่านั้น ขันธ์ 5 จะไม่เป็นเราแล้ว เพราะขันธ์ 5 นั้นมันเกิดขึ้นมาด้วยจิต

โลกนี้ จักรวาลนี้มีขึ้นมาได้ก็เพราะจิตไปรับสัมผัสเข้า ถ้าจิตไม่ใช่เราแล้ว ศูนย์กลางของจักรวาลคือจิตนั่นล่ะ ไม่ใช่เราแล้ว ทั้งจักรวาลมันก็ไม่ใช่เรา มันก็จะล้างความเห็นผิด ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในขันธ์ 5 ไม่มีเรานอกเหนือจากขันธ์ 5 ไม่มีเราที่ไหนเลย ตรงนี้เราจะได้ธรรมะขั้นต้นเป็นพระโสดาบันแล้ว ต่อไปเราก็ดูอย่างเดิมนั่นล่ะ ดูไปเรื่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ สติปัญญามันแก่กล้าขึ้น มันก็จะเห็นความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ร่างกายที่ว่ามันไม่ใช่เรา แล้วมันเป็นอะไร ร่างกายที่มันไม่ใช่เรานั้น มันเป็นอะไร มันเป็นทุกข์ พอเห็นตรงนี้เท่านั้น มันวางกายเลย ปล่อยวางกายได้ อันนี้ภูมิธรรมของพระอนาคามี

ปล่อยวางกาย มันก็วางตา หู จมูก ลิ้น กายด้วย เมื่อตายังวางรูปมันก็วาง เมื่อหูมันวางเสียงมันก็วาง มันก็วางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายไปหมด เมื่อมันไม่ยินดียินร้าย มันวางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันวางรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะคือสิ่งสัมผัสกายแล้ว ความยินดีคือกามฉันทะในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ไม่มี ความยินร้ายคือปฏิฆะในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ไม่มี นั่นล่ะคือภูมิธรรมของพระอนาคามี

ในขั้นสุดท้ายมันจะมาแตกหักลงที่จิต เราก็อาจจะปฏิบัติเหมือนเดิม ดูกายของเราถ้าเราถนัดดูกาย ก็ดูไปเรื่อยๆ ท่านพระอานนท์ ในคืนสุดท้ายที่จะบรรลุพระอรหันต์ ท่านยังอยู่กับกายเลย ดูกายๆๆ ท่านแจ่มแจ้งแล้วว่ามันคือทุกข์ ดูมันไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่ง ท่านก็เห็นจิตมันก็ทุกข์เหมือนกัน ก็วาง วางทั้งกาย วางทั้งจิต ก็จบกิจในพระพุทธศาสนาตรงที่วางได้ ฉะนั้นจุดสุดท้ายของเราคือวาง พอวางแล้วก็เข้าถึงความสุข ความสงบ เข้าถึงความว่าง ความว่างไม่ใช่ว่างเปล่า ความว่างเปล่ามันแห้งแล้ง หรือว่างแบบสมาธิ มันก็แบบ แหม เคลิ้มมีความสุข อย่างนั้นยังไม่ว่าง ความว่างที่แท้จริงนั้น มันไม่มีอะไรเปรียบ

ค่อยๆ ฝึก แล้วค่อยๆ พัฒนาตัวเองไป เส้นทางนี้ยาวไกล เส้นทางนี้ยากลำบาก ต้องอดทน แต่ไม่เหลือวิสัยที่คนธรรมดาอย่างพวกเราจะทำได้ เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมะที่พอดีที่มนุษย์ที่ใฝ่ดีจะทำ ทำได้ ทำไมพระพุทธเจ้าเลือกเกิดในภูมิของมนุษย์ เกิดในภพมนุษย์ ทำไมต้องมาเกิดภพนี้ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ไปตรัสรู้ที่อื่น มาตรัสรู้ในภพของมนุษย์ มันเป็นภพกลางๆ อย่างที่บอกแล้ว เป็นภพที่ง่ายต่อการปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ท่านสอนเรา เป็นสิ่งซึ่งมนุษย์ที่ใฝ่ดีจะขวนขวายปฏิบัติได้

เพราะฉะนั้นงานสุดท้ายของพวกเรา คือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ตั้งอกตั้งใจเข้าไป วันหนึ่งเราก็จะได้ของดีของวิเศษ เราจะรู้เลยสิ่งที่คนในโลกเขาแย่งชิงกันนั้น โง่ที่สุดเลย อย่างสมมติว่าแย่งสาวงาม มันแย่งอะไร มันแย่งหนังหุ้มกระดูก ข้างในเต็มไปด้วยของสกปรก แย่งกันแทบเป็นแทบตาย หรือพยายามหลอกลวงตัวเอง หน้าเหี่ยวก็ไปฉีด Botox หนังหน้ายานไปก็ดึงให้ตึง จมูกไม่โด่งก็ไปผ่าตัด ไปทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ มันหลอกตัวเองได้ แต่มันหลอกความแก่ไม่ได้ รูปร่างยังดูเป็นสาวอยู่ แต่เครื่องในมันทรุดโทรม หลอกไม่ได้จริง

ฉะนั้นคนในโลกเขาก็หลงๆ ไป เราลูกหลานพระพุทธเจ้า อย่าไปหลงกับมัน ทรัพย์สินเงินทองมีพออยู่พอกินได้ดีที่สุดแล้ว วางแผนเผื่ออนาคตด้วย ไม่ใช่บอกปล่อยวาง อนาคตเป็นอย่างไรช่างมัน นั้นไม่ใช่ เป็นฆราวาสต้องรู้จัก พระพุทธเจ้ายังสอนให้รู้จักอดออม รู้จักลงทุน รู้จักอะไร ฉะนั้นเราก็ทำตามหน้าที่ของเรา แล้วพัฒนาตัวเองไป เราอยู่ในโลกนี้ชั่วคราว เรามาอยู่ในโลกนี้เพื่อพัฒนาจิตใจตนเอง ให้พ้นจากวงเวียนวัฏฏะของความทุกข์ทั้งหลาย

เรามีงานที่ยิ่งใหญ่ที่เราจะต้องทำ เราผ่านความยากลำบากมามากมายแล้ว จนกระทั่งได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีศรัทธา ได้เข้าใกล้ครูบาอาจารย์ ได้ฟังธรรม ทำชิ้นสุดท้ายของเราให้ดี ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม อย่างที่ว่ามาทั้งวันตั้งแต่เช้านี้ ฟังไม่ทันก็ไปดู YouTube เอา สักประเดี๋ยวเขาก็จะเอาไปขึ้นให้ฟังแล้ว ฟังแล้วฟังอีก ปกติสิ่งที่หลวงพ่อสอนแต่ละครั้ง เกือบทั้งหมด ธรรมะแต่ละกัณฑ์เกือบๆ ทุกๆ กัณฑ์ เกือบ ไม่ทั้งหมดหรอก กัณฑ์เดียวเรื่องเดียว พอจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เพราะสิ่งที่สอนไม่ได้มีการเก็บออม ซ่อนเร้น เคล็ดวิชาชั้นสูงเอาไว้ ไม่ได้ซ่อนไว้ ให้หมดแล้ว อยู่ที่เรารับได้แค่ไหนต่างหาก ไปทำเอา ชีวิตจะได้ร่มเย็นเป็นสุข

 

 

วันนี้พวกที่อยู่ในห้อง ส่วนใหญ่ก็โอเค จิตใจก็สดชื่นมีเรี่ยวมีแรง บางคนก็เบื่อ ไม่รู้มาทำไม ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาทสักเรื่องเดียวเลย อย่างเราทำมาหากินอยู่ ตอนนี้เราทำมาหากินได้ เราก็ไม่ประมาทว่ามันจะต้องได้รายได้ดีตลอด ก็รู้จักเก็บออม รู้จักลงทุนอะไรที่มันดีๆ ไม่ใช่เป็นเหยื่อให้เขาหลอก ไม่ประมาทในวัยของเรา จะหนุ่มสาวตลอดกาล ก็เป็นไปไม่ได้

ไม่ประมาทในความแข็งแรง มีโยมคนหนึ่งเพิ่งได้ข่าว แข็งแรง กล้ามเป็นมัดๆ เลย เจอ โอ้โห ฟิตเปรี๊ยะ แข็งแรงมากเลย ตายแล้ว อายุ 59 ปีหัวใจวายไปแล้ว เราไม่ประมาทในวัย ยังหนุ่ม ยังสาว วันเวลาผ่านเร็วมากเลย แป๊บเดียวก็แก่แล้ว ไม่ประมาทในชีวิตเรา ตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ฉะนั้นเราไม่ประมาท อยู่กับโลก อยู่กับความเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทันมัน ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวังตลอดหรอก เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ไป เท่าทันมันไป

ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือชั่ว จะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไม่ว่าตัวไหนผ่านเข้ามา รู้มันเข้าไป มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แล้วใจลำพอง รู้ทัน ประมาทไม่ได้หรอก มันเสื่อมได้ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ใจท้อแท้ รู้เข้าไป มันคงไม่เลวทรามตลอดไปหรอก เพราะมันไม่มีอะไรเที่ยง กระทั่งความทุกข์ มันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน อันนี้คือทุกขเวทนา

ถ้าทุกขสัจจะ ทุกข์แน่นอนถ้ามีขันธ์ ตรงที่มีความสุขอยู่ก็ทุกข์ อันนั้นเป็นอีกระดับหนึ่ง ฉะนั้นธรรมะระดับที่อยู่กับโลก ก็ดูไปทุกอย่างมันชั่วคราว เวลามีความทุกข์ก็ดูไป ทุกข์นี้ก็ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่างโควิด มาทีแรกเมื่อปี 2563 ต้นปีตั้งแต่นั้น ทีแรกเราก็คิดว่าไม่กี่เดือนคงหมด เดี๋ยวมีวัคซีนแล้วคงหาย คงสบาย มันก็ไม่สบายมาเรื่อยๆ มันเข้าปีที่ 3 ปีที่ 4 มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แล้วมันก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงวันหนึ่งมันก็ต้องผ่านไป

ถ้าเราอยากให้โรคระบาดหายไปทันที เป็นความอยากที่ไร้เดียงสา ฉะนั้นดูอยู่กับมัน ไม่ว่าอะไร จะดีหรือจะชั่ว จะสุขหรือจะทุกข์ อยู่กับมันอย่างเท่าทันมัน เท่าทันในแง่ที่ว่า ทุกอย่างมันไม่ยั่งยืนหรอก ถ้าเราอยู่อย่างนี้เรียกว่าเราไม่ประมาท ถ้าเราอยู่แบบไม่เข้าใจมันนั่นล่ะ ดำเนินชีวิตด้วยความประมาท

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
29 ตุลาคม 2565