หมอนั่งภาวนาดีนะ รู้สึกไปธรรมดา ดีแล้ว ไม่ไปบีบไปเค้นจิต นักปฏิบัติเกือบทั้งหมด ก็เป็นพวกบังคับกายบังคับใจ ใม่ใช่รู้สึกกายรู้สึกใจ เราจะรู้สึกโดยไม่บังคับได้ ใจต้องไม่มีตัณหา อยากดี อยากสุข อยากสงบ อยากได้มรรคผล พอมีความอยากเกิดขึ้น ใจก็ถูกดัดแปลง กระทั่งการหายใจ ยังถูกแทรกแซง เราจะเห็นความจริงของกายของใจได้ เราต้องรู้ด้วยจิตใจธรรมดาๆ
ถ้าเป็นจิตใจที่ถูกบังคับให้เคร่งเครียด บางคนบอกว่าก็เห็นไตรลักษณ์แล้ว เห็นทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไป แสดงไตรลักษณ์หมดเลย แล้วมันไม่ถูกตรงไหน มันไม่ถูกตรงที่จิตมันไม่แสดงไตรลักษณ์ จิตมันนิ่งๆ ทื่อๆ คงที่อยู่อย่างนั้นนานๆ จิตที่มันนิ่งคงที่อยู่นานๆ มันจิตของพรหม เราต้องปล่อยให้จิตมันเป็นธรรมดา อยากรู้ความเป็นธรรมดาของร่างกาย ก็อย่าไปบังคับร่างกาย รู้สึกร่างกายเอา อยากเห็นธรรมดาของจิตใจ ก็อย่าไปบังคับจิตใจ ก็รู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจด้วยใจธรรมดาๆ
คนทั่วไปมันธรรมดาไม่เป็น คนทั่วไปที่ไม่เคยฝึก ไม่เคยปฏิบัติ จิตมันหลงตลอดเวลา ถูกกิเลสลากเอาไปตลอดเวลา เดี๋ยวก็ราคะ เดี๋ยวโทสะ เดี๋ยวโมหะ มันลากทั้งวัน อันนั้นไม่ใช่จิตธรรมดา มันจิตที่ตกเป็นทาสของกิเลส ไม่ธรรมดา
ส่วนนักปฏิบัติ อยากดี อยากสุข อยากสงบ อยากได้มรรคผล เริ่มต้นด้วยความอยาก ตัณหามันก็ก่อภพ สร้างภพขึ้นมา ภพอะไร ก็ภพของนักปฏิบัติ ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ใจจะนิ่งๆ ทื่อๆ ตัวนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ตราบใดที่จิตเราไม่มีสัมมาสมาธิ รู้ตื่นเบิกบาน เป็นจิตที่ไม่ถูกกิเลสครอบงำ ตราบใดที่เรายังไม่มีจิตอย่างนี้ เดินปัญญาไม่ได้จริงหรอก ถึงเราจะไปนั่งสมาธิ สงบ สว่าง สงบ โล่ง มีความสุข แล้วเพลิดเพลิน เพลิดเพลินไป ก็ไม่เห็นความจริงหรอก
หลักต้องแม่น อุบายใช้เป็นครั้งเป็นคราว
เมื่อเช้ามีผู้ช่วยสอนคนหนึ่งมาส่งการบ้าน เพิ่งไปทำงานใหญ่เพื่อพระศาสนา รวมกลุ่มกันไปเปิดคอร์สที่มาเลเซีย มีคนหลายประเทศที่ใช้ภาษาจีน 300 กว่าคนมาเข้าคอร์ส แล้วก็สอนกันได้ดี แต่ละคนกลับมามีความสุข คนจีนที่เรียนที่มาเลเซียตามมาที่นี่ตั้งหลายสิบคน หลวงพ่อเห็นทีมพวกนี้ตั้งแต่วันพฤหัสบดี ทีมคนจากมาเลเซีย มาจากหลายประเทศ เขาก็ดีเหมือนกัน ส่วนตัวทีมงานที่ไปทำพวกผู้ช่วยสอนพวกอะไร ใจมีความสุขเบิกบาน เมื่อเช้าผู้ช่วยสอนคนหนึ่ง เขามาส่งการบ้าน ว่าใจมีความสุข สว่าง เบา บอกความสุขอันนี้มันเกิดจากบุญ เราไปทำงานเผยแพร่ โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรทั้งสิ้น ทำถวายพระพุทธเจ้า ใจเราเป็นบุญเป็นกุศล
บุญเป็นชื่อของความสุขที่ได้ทำดี ใจมีความสุข แต่จิตมันไม่ได้เข้าฐาน จิตมันไม่ได้เข้าฐาน มันเลยมีความสุขเพลินๆ อยู่ข้างนอก ตรงนี้มันมีนันทิราคะ นันทิราคะคือความเผลอเพลิน มีความสุข เหมือนๆ กับรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ แต่จริงๆ เป็นรู้ออกนอก บอกลองย้อนเข้ามาข้างในดูสิ ถ้าอยู่ตรงนั้นมีความสุข แต่ไม่เห็นทุกข์ มีความสุขแต่จะไม่เห็นทุกข์ ต้องโอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา ให้จิตมันตั้งมั่นถึงฐานจริงๆ ตรงที่จิตมันไปข้างนอก แล้วเราไม่รู้ไม่เห็น เราก็ต้องมีอุบาย อุบายที่หลวงพ่อบอกผู้ช่วยสอนคนนี้ ก็คือกำหนดจิตลงไปที่กระดูก ต่ำกว่าต้นคอลงไปอีก สักฝ่ามือหนึ่งลงไป กำหนดจิตลงไป พอกำหนดลงไป จิตมันก็เข้าฐานมา
แล้วผู้ช่วยสอนเขาถามหลวงพ่อ ว่าต่อไปใช้วิธีนี้ได้ไหม คำตอบคือไม่ได้ อุบายใช้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว กิเลสมันพัฒนาตัวเองรวดเร็ว เราใช้อุบายซ้ำๆ กิเลสมันเปลี่ยนรูปโฉมไปแล้ว เหมือนเราผลิตวัคซีนขึ้นมา แต่เชื้อมันกลายพันธุ์ไปแล้ว กิเลสกลายพันธุ์เร็ว เร็วมากๆ เลย ฉะนั้นเราเอาอุบายเดิมไปต่อสู้ จะไม่สำเร็จหรอก ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่องค์หนึ่ง หลวงตามหาบัว ท่านบอกว่ามันต้องใช้สติ ใช้ปัญญาสดๆ ร้อนๆ ใช้ของแห้งๆ ของซ้ำๆ อุบายพวกนี้ใช้ไม่ได้
ต้องแยกให้ออก ระหว่างหลักของการปฏิบัติ กับอุบายในการปฏิบัติ 2 อย่างนี้ไม่เหมือนกัน หลักในการปฏิบัตินั้นแก้ไขไม่ได้ ถ้าเราอยากให้จิตสงบ ก็น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว ที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง และอารมณ์นั้นต้องไม่กระตุ้นกิเลส เราจะได้ความสงบ ถ้าเราอยากให้จิตตั้งมั่น หลักของมันก็คือมีสติ ใช้สติ ไม่ใช่ใช้สติน้อมลงไปอยู่ที่ตัวอารมณ์ แต่มีสติรู้ทันจิตตัวเอง ทำกรรมฐานไป จิตหนีไปแล้วรู้ จิตจมลงไปในอารมณ์กรรมฐานก็รู้
คอยรู้ทันจิตไว้ ทันทีที่รู้ทันจิต จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา เพราะจิตนั้นมันไหลไปไหลมา แล้วเราไม่เห็น เราไม่ต้องไปทำให้มันตั้งมั่น ไม่มีใครทำได้ อาศัยสติรู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลงไปคิด จิตหลงไปเพ่ง สติรู้ทันจิตที่หลง จิตที่หลงจะดับ เกิดจิตที่รู้ตื่นเบินบาน ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา มันตั้งมั่น แต่เด่นดวงนี่ต้องตั้งมั่นบ่อยๆ มันจะเด่น ทรงตัว แต่ไม่ใช่เด่นอย่างที่เรานึกหรอก จิตมันมีกำลังตั้งอยู่ โดยไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น อันนั้นล่ะมีกำลังจริง
ถ้าเราจะเจริญปัญญา หลักของมันคือให้เรามีสติรู้รูปนามกายใจ ตามที่รูปนามกายใจเป็น เราจะเห็นรูปนามกายใจอย่างที่มันเป็นได้ เราต้องมีสัมมาสมาธิ คือเห็นด้วยจิตที่ตั้งมั่น พอเห็นแล้วก็ต้องเป็นกลาง หลักเหล่านี้จะภาวนาด้วยวิธีใดๆ หลักอันนี้ก็อย่างนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่อุบายเอาไว้ใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อันนี้ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ แต่อย่ามัวหลงอุบายจนลืมหลัก ส่วนใหญ่จะวิ่งหาอุบายจนลืมหลักของการปฏิบัติ อันนั้นจะล้มเหลวสิ้นเชิง
เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านเป็นพวกที่จิตว่องไวมากเลย อยู่สุรินทร์ แล้วก็เวลาเห็นโยมภาวนาจะบอกเลย กำหนดจิตไว้ตรงนั้น กำหนดจิตไปตรงนี้ พอกำหนดปุ๊บ จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมาตามที่ท่านบอก คราวนี้ก็จำไว้ ว่าต้องกำหนดอย่างนี้ กลายเป็นมาตรฐาน เป็นหลักของการปฏิบัติ สุดท้ายก็ผิด อุบายเราใช้เมื่อจำเป็น
อย่างเราจะทำสงคราม สมัยโบราณจะทำสงคราม จุดสำคัญเลย ต้องเตรียมเสบียงอาหารไว้ให้พอ รบกันใครเสบียงน้อยกว่าก็แพ้ ใครหาเสบียงเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ก็ชนะ จุดสำคัญอยู่ที่การหาเสบียง รวบรวมไว้ก็ป้องกันตัวเอง ข้าศึกเข้มแข็งก็รักษาที่มั่นเชิงเทิน ข้าศึกเผลอก็เข้าโจมตี ไม่ให้มันได้พักผ่อน ส่งคนไปโจมตีค่ายมัน ตีหลอกๆ ไม่ตีจริงหรอก ให้มันไม่ได้นอน อันนี้เป็นอุบายแล้ว ถ้าอุบายนี้ใช้ซ้ำซากทุกคืนเลย ส่งไปที่เดิม ข้าศึกมันก็ล้อมฆ่าตายหมด ฉะนั้นอุบายใช้ทุกวันไม่ได้ ใช้ได้เป็นครั้งเป็นคราว แต่หลักต้องแม่น
หลักก็ไม่มีอะไรมาก อย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ ทำสมถะเพื่อความสงบ เลือกอารมณ์ที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข แล้วก็น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันนั้น ไม่บังคับจิต ถ้าบังคับจิต จิตจะไม่มีความสุข จิตจะไม่สงบ อย่างหลวงพ่อถ้าอยากสงบ หลวงพ่อก็หายใจ เวลาหายใจแล้วมีความสุข ไม่ต้องยุ่งอะไรกับใคร พอมีความสุข หายใจ 2 – 3 ทีจิตก็สงบแล้ว ไม่วอกแวกไปเที่ยวที่อื่น
ถ้าจะให้จิตตั้งมั่น ก็ไม่ไปทำจิตให้ตั้งมั่น แค่รู้ทัน มีสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น เห็นไหม ไม่ใช่อยู่กับอารมณ์แล้ว แต่รู้ทันจิตแล้ว จิตหลงไปคิด รู้ทัน จิตถลำลงไปเพ่งไปจ้อง รู้ทัน จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไร มันตั้งขึ้นมาเอง แล้วถ้าจะเจริญปัญญา ก็มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงไป จะรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงได้ ต้องมีจิตที่ตั้งมั่นแล้วก็เป็นกลาง หลักมันมีเท่านี้ล่ะ แต่ แต่ละวันบางทีเราภาวนา ก็ต้องมีอุบายอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าไม่ชำนาญจริง ก็ไม่ต้องไปหาอุบายอะไรมาก แล้วก็ไม่ต้องถามคนอื่นมาก ดูที่ตัวเอง
เมื่อวานก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนฟุ้งซ่านอย่างรุนแรง หลวงพ่อก็บอกอย่าไปยุ่งกับคนอื่น อย่าไปทำกิจกรรมเยอะ ให้เอาเวลาทั้งหมดมาภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรมไป เขาก็ปฏิบัติได้วันหนึ่ง 6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง จิตที่ฟุ้งซ่านก็สงบระงับลงไป แต่มันเหนื่อยมาก พอเหน็ดเหนื่อยมาก พยายามมาพูดโน้มน้าวให้หลวงพ่อบอกว่าแค่นี้ก็พอแล้ว ต่อไปนี้ไปเดินปัญญาได้แล้ว หลวงพ่อก็ไม่พูดสักทีเลย บอกให้ทำอีก ยังไม่พอ ต้องทำอีก
พอเหนื่อยมากๆ ก็หาทางออก ไปถามผู้ช่วยสอนคนหนึ่ง ผู้ช่วยสอนนั้นบอกออกมาเจริญปัญญาเลย ติดสมาธิมากไปแล้ว ออกเจริญปัญญา ไอ้ที่ทำมาจิตสงบ เละเลย เรียนกับคนหลายคน มันจะมีปัญหาตรงนี้ล่ะ จะบอกให้ว่าพระอาจารย์อ๊าได้ดิบได้ดีมา หลวงพ่อให้ทำความสงบอยู่หลายปี เพราะว่าพระอาจารย์อ๊ามีโมหะมาก ผู้หญิงคนนั้นก็โมหะมากคือฟุ้งซ่าน ส่วนพระอาจารย์อ๊ามีโมหะมากคือเซื่องซึม ต้องฝึกสมาธิจนจิตมันมีกำลังแกร่งกล้าขึ้นจริงๆ การเดินปัญญาจะสั้นนิดเดียว
แต่ถ้ากำลังไม่พอ เหนื่อยเต็มทีแล้วขี้เกียจ แล้วก็เลี่ยงไปทำอย่างโน้นไปทำอย่างนี้ ที่ฝึกมามันก็จะล้มเหลวไป ฉะนั้นเวลาเรียนกรรมฐาน เรียนกับใครก็เรียนให้มันจริงจังไป อย่างครูบาอาจารย์ที่ควบคุมการปฏิบัติของเรา เห็นพวกเรามาตั้งแต่เริ่มต้น รู้ว่าจริตนิสัยจริงๆ ของเราเป็นอย่างไร แล้วก็รู้ด้วยว่าที่มาเสนอ อยากเปลี่ยนวิธีนั้นเพราะอะไร รู้ไส้นั่นล่ะ ฉะนั้นครูบาอาจารย์ก็จะควบคุมการปฏิบัติให้เดินไปข้างหน้าได้
อยากได้ดีต้องอดทน
เมื่อก่อนที่หลวงพ่อจะบวช ก็มีพี่คนหนึ่ง สามีแกทำงานด้วยกันกับหลวงพ่อ พี่คนนี้เขาอยากเรียน หลวงพ่อก็สอนให้ ให้เดิน เดินจงกรม เดินๆๆ จนเท้าบวมเลย เดินมาก หลายชั่วโมง เดินอยู่นั่นล่ะ แกก็คอยคิด เมื่อไรจะพอ บอกไม่พอ เดินไป บางวันแกอยู่ที่บ้าน แกก็เริ่มอู้ เริ่มอู้ไม่ยอมเดิน หลวงพ่อก็โทรศัพท์ไปหา บอกเดินได้แล้ว ไปเดิน แกก็เดิน เดินจนเท้าแกบวม แกใส่รองเท้าหุ้มเท้าไม่ได้ เท้ามันบวม แล้วขึ้นบันไดไม่ได้ ขึ้นชั้น 2 ไม่ได้แล้ว เท้าบวม แกถามว่าแกพอหรือยัง ไม่พอ เดินไปเถอะ ถ้าจะต้องตายจากการเดินจงกรมนี้ ก็เดินไปเถอะ ตายก็ตาย ชาตินี้มันเรียนยากนัก ชาติหน้ามันก็ง่าย แกก็เดินจริงๆ เดินๆๆๆ ไป จนกระทั่งเห็นจิตมันย้อนเข้ามาดูกายดูใจ มันเห็นแต่ของที่มันไม่ใช่ตัวเราของเรา นี่ภาวนา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ละคน
ผู้ช่วยสอนคนหนึ่ง ผู้หญิงเหมือนกัน ทำงานเยอะ ทำธุรกิจดูแลบริษัทฯ หลายแห่ง ตกกลางคืน กลับจากที่ทำงาน ยังมาดูแลที่บ้านอีก ดูแลทุกคน ได้กินข้าว ได้ดูแลทำความสะอาดบ้าน ควบคุมให้คนงานทำ กว่าจะเสร็จธุระ 4 – 5 ทุ่ม แล้วเขาทำอะไรต่อ นอนไหม ถ้าเป็นเรา เราเหนื่อยมาแต่เช้า เราก็นอน รายนี้ไม่ เดินจงกรม ทำไมต้องเดิน ถ้านั่งนี่หมดแรงแล้ว มันหลับเลย ก็เดิน เดินถึงตี 2 ตี 2 นอน ตี 4 ลุกขึ้นมาเดินจงกรมอีกแล้ว คนที่เขาเอาจริง เขาอยากปฏิบัติ เขาสู้มาทั้งนั้น
ส่วนพวกบางท่าน บางคน เขาภาวนาง่ายๆ บางทีนอนกระดิกเท้าอยู่ เห็นร่างกายนี้ไม่มีสาระแก่นสาร ปล่อยวางกายไปเลย นอนกระดิกเท้าอยู่ ทำไมเขาทำได้ ก่อนที่เขาจะง่าย เขายากมาแล้วทั้งนั้น เหมือนเรื่องพระพาหิยะ ลองไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตดู ไปอ่านเรื่องพระพาหิยะดู ประวัติของท่าน ท่านเป็นเอตทัคคะทางรู้ได้เร็ว พระพุทธเจ้าสอนไม่กี่ประโยค บรรลุพระอรหันต์แล้ว ท่านสอน “ดูกร พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อได้ฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ถ้าท่านไม่มีในอดีต ไม่มีในอนาคต ไม่ยึดถืออยู่กับปัจจุบัน แล้วที่สุดของทุกข์อยู่ตรงนี้” ฟังแค่นี้เป็นพระอรหันต์แล้ว เราฟังอีก 1,000 รอบก็ไม่เป็น ลองไปดูประวัติท่าน ท่านสู้มาขนาดไหน
ชาติก่อนๆ ท่านภาวนา ยอมตายเลย ยอมตายเลยเพราะว่าภาวนาแล้วเอาดีไม่ได้ เพื่อนฝูงกันรวมกัน 5 องค์ ท่านเกิดในยุคปลายศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อน พระกัสสปพุทธะ ศาสนามันเสื่อมแทบจะหมดสภาพแล้ว 5 องค์เพื่อนกัน บอกว่า โอ้ ถ้าเราอยู่วัดในบ้านในเมืองอย่างนี้ คงเอาดีไม่ได้ คงตายเปล่า ก็พากันออกจากวัด ขึ้นภูเขาไป ทำบันไดขึ้นไป ถีบบันไดทิ้งเลย ขึ้นยอดเขาแล้วก็ภาวนากัน
วันแรกองค์หนึ่งก็บรรลุพระอรหันต์ วันต่อมาก็อีกองค์หนึ่ง ต่อมาก็มีองค์หนึ่งได้พระอนาคามี ส่วนพระพาหิยะนั้นไม่ได้อะไรเลย อดตายอยู่บนภูเขา องค์ที่ท่านได้แล้ว ท่านก็ไปจากภูเขา พาหิยะไม่ยอมท้อถอย เพื่อนเอาข้าวมาให้กินก็ไม่กิน บอกว่า “นับแต่นี้ไปจะไม่กินข้าว ที่เพื่อนสหธรรมิกหามาให้แล้ว ถ้าไม่มีคุณธรรมในตัวเอง ก็ไม่ไปบิณฑบาตแล้ว” ท่านสู้ตาย เพราะท่านสู้ตายอย่างนี้ พอมาในชาตินี้ ท่านฟังธรรมไม่กี่ประโยค ท่านก็บรรลุพระอรหันต์แล้ว
เห็นไหมว่าคนที่ก่อนที่เขาจะง่าย เขายากมาแล้ว ส่วนพวกเราบางคนอินทรีย์อ่อน ยอมลำบากไว้ก่อน ยากไปก่อน อย่าเพิ่งห่วงสังขารร่างกาย ยังมีกำลังที่จะปฏิบัติ ปฏิบัติไปก่อน มีแรงเดิน เดินไปก่อน มีแรงนั่ง นั่งไปก่อน ต้องสู้ อย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอยอมแพ้กิเลส อยากจะยอมแพ้ก็เที่ยวถามคนโน้น ถามคนนี้ เขาไม่ได้รู้ภูมิหลัง เขาไม่รู้ว่าที่ถามนี้เพราะอะไร เขาก็สอน ตอนนี้สมาธิเยอะไปแล้ว ติดสมาธิ ฉะนั้นต่อไปนี้เดินปัญญา พอเริ่มเดินปัญญา ฟุ้งเละเลย มันยังไม่พอ
เพราะฉะนั้นฝึกกันนานกว่าจิตจะมีกำลังตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ถ้าเราจะทำพอเป็นนิสัย เรียกพอเป็นนิสัย ก็ทำบ้างหยุดบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเรื่อยๆ สะสมไปหลายๆ ชาติ ต่อไปพระเมตไตรยมาตรัสรู้ เราก็ไปเรียนกับท่าน แล้วนิสัยอ่อนแอโหลยโท่ยอย่างนี้ ไปเจอพระศรีอาริย์ มันก็นิสัยเหลวไหลเหมือนเดิม อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อพูด ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่า บอกบางคน บอก โอ๊ย ค่อยๆ ทำไปนิดๆ หน่อยๆ สะสมเอาไว้ เดี๋ยวไปเจอพระศรีอาริย์ค่อยเอาจริง หลวงปู่ดูลย์บอก คนชนิดนี้มันไม่เอาจริงหรอก มันเหลวไหลตั้งแต่ชาตินี้ เจอพระศรีอาริย์มันก็เหลวไหลอีก เพราะมันเคยแต่เหลวไหล
เพราะฉะนั้นเราจะผ่านพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วน ที่เราเวียนว่ายตายเกิดมายาวนานขนาดนี้ ผ่านพระพุทธเจ้ามานับจำนวนไม่ถ้วน ก็เพราะนิสัยเหลวไหลนี่ล่ะ นิสัยไม่สู้ ยอมให้กิเลสมันลากมันจูงเราไป มันต้องสู้ ต้องสู้ ยอมลำบากเสียก่อนแล้วสบายทีหลัง บอกเลยว่าภาวนาแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มันมหาศาล มันมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน ความสุข มันมีความสงัดอยู่ภายใน ไม่ใช่สงบนะ มันสงัดอยู่ข้างใน จิตมันทรงสมาธิอัตโนมัติอยู่ มันสงัดอยู่ภายใน แล้วมันก็สงบ สงบ ความสุขมันล้นเอ่อขึ้นมา โดยจิตไม่ติดมัน ถ้าจิตยินดีพอใจเมื่อไร ก็แสดงว่ายังไม่ใช่ ยังบรรลุมรรคผลไม่พอ ต้องทำอีก ก็ต้องฝึก ของฟรีไม่มี ธรรมะก็อยู่ใต้กฎแห่งกรรม ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ของฟรีไม่มี ของฟลุกไม่มี
เมื่อก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ยอมภาวนา ชอบมาฟังหลวงพ่อเทศน์ กะว่าวันหนึ่งฟังแล้ว จะได้ยินวรรคทอง วรรคทอง พอได้ยินวรรคทองปุ๊บ บรรลุเลย ความคิดอย่างนี้ล้มเหลว ตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว มันจะเอาแต่สุข เอาแต่สบาย ถ้ารักสุขรักสบายก็ทำความดีไป ผลที่ได้ก็เป็นความสุขความสบาย ทำบุญไป แล้วสิ่งที่ได้คือความสุขความสบาย แต่ต้องทำให้เป็น ไม่ใช่ไปกู้เงินมาบริจาคสร้างโน่นสร้างนี่ อันนี้เรียกทำบุญไม่เป็น ทำแล้วตัวเองเดือดร้อน ตอนก่อนจะทำจิตใจมีศรัทธาร่าเริง ระหว่างทำก็ร่าเริง พอทำเสร็จแล้วหงอยเลย เป็นหนี้เป็นสิน บางคนขายบ้านไปทำบุญ ไม่มีบ้านอยู่ มันตกนรกตั้งแต่ยังไม่ตายแล้ว อันนี้ทำบุญไม่เป็น โง่ ทำบุญไม่ประกอบด้วยปัญญาเลย ไม่รู้ว่าอันไหนควร อันไหนไม่ควร อันนั้นก็ใช้ไม่ได้ ทำบุญก็ต้องรู้จักทำ คือฝึกความเสียสละของเรา ถ้าทำทาน
สมัย 40 ปีก่อน หลวงพ่อเข้าไปตามวัดครูบาอาจารย์ ไม่เห็นท่านเรี่ยไรทำอะไรเลย สมัยนั้นวัตถุน้อย ในวัดมีวัตถุน้อย แต่การภาวนามีมาก การภาวนาเข้มแข็ง นี้ตอนหลังๆ วัตถุมาก การภาวนามันเลยน้อย ย่อหย่อนลงไป เมื่อก่อนลำบาก ไปภาวนาตามวัดครูบาอาจารย์ กินข้าวมื้อเดียว บางวันก็มีให้กิน บางวันก็ไม่มี อิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง ไม่อิ่มก็กินน้ำไป ไม่มีให้แล้ว วันหนึ่งมีครั้งเดียว ที่หลับที่นอนไม่ใช่จะสบายนักหรอก
หลวงพ่อเอาทั้งนั้นล่ะ นอนใต้ต้นไม้หลวงพ่อก็ทำมาแล้ว กุฏิที่โยมพัก ส่วนใหญ่เป็นกุฏิใหญ่ๆ คนนอนกันหลายสิบคนได้ บางคนก็เมาแอ๋มา บางคนก็คุยกันไม่เลิก เราจะภาวนาเงียบๆ มันทำไม่ได้ หลวงพ่อก็ไม่เอา ไปอยู่โคนต้นไม้ภาวนา ผ่านกลางคืนไป อยู่ใต้ต้นไม้นั่นล่ะ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แต่ตอนหัวค่ำก็ยอมอยู่ในกุฏิก่อน ยุงมันออกหัวค่ำ ฉะนั้นถ้ามันผ่านช่วงหัวค่ำไปแล้ว มันไม่มียุงแล้ว
เราก็นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไรของเราสบาย อยู่ มีกินก็กิน มีที่นอนก็นอน ไม่มีก็ไม่ต้องนอน ฝึกมาอย่างนี้ ไม่ใช่ฝึกมาสบายๆ หรอก เส้นทางนี้เป็นเส้นทางของผู้กล้า คนอ่อนแอทนไม่ได้ก็ถอยไป อันนี้พูดกับพระ กับโยมหลวงพ่อก็รู้ว่าโยมมีขีดจำกัด ไม่ได้เร่งรัดมากหรอก อย่างคนที่มาบวชที่นี่จะรู้เลย ว่าหลวงพ่อสอนพระกับสอนโยมไม่เหมือนกัน สอนพระนี่เข้มมากเลย ไม่ตามใจ บางคนมาถึง โอ๊ย เจ็บเท้าเดินไม่ได้ เดินไม่ได้ก็ไม่ต้องกินข้าว ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ไหว ก็สึกไปเถอะ
ฉะนั้นพวกที่เหลืออยู่นี้จะแกร่ง แกร่ง เป็นเหล็กดี เหล็กดีถูกเผาไฟไล่สนิมมันหมดแล้ว ถูกทุบแล้วทุบอีก จนกลายเป็นมีดที่คมๆ ในนี้ก็มีมีดคมๆ หลายเล่ม ดี แต่ถ้าสอนโยม หลวงพ่อรู้ขีดจำกัดของโยม คนไหนตั้งอกตั้งใจเอาจริง หลวงพ่อก็เอาจริงด้วย คนไหนต้องการแค่สะสมบุญบารมีก็ให้แค่นั้น แต่คนไหนวุ่นวายมากก็ไม่เอาด้วย พวกวุ่นวายเป็นอย่างไร ชอบทำกิจกรรม จะมาชวนทำกิจกรรมโน่นนี่นั่น ไม่เอา เสียเวลา ทำมาเยอะแล้ว ไม่ทำอีกแล้ว อยากได้ดีต้องอดทน เรียนให้รู้หลัก แล้วก็อดทนทำ ทำเหตุให้สมควร ผลมันก็สมควรแก่เหตุ
ทำเหตุให้สมควร ผลมันก็สมควรแก่เหตุ
อย่างหลวงพ่อฝึกสมาธิตั้งแต่ 7 ขวบ ไปหาท่านพ่อลี ตอนนั้นเล็กๆ ตัวนิดเดียว ท่านเมตตาเด็ก ท่านก็จับมานั่งตัก หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 1 หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 2 นะ นับไปถึง 10 แล้วก็นับลงมา 9 8 อะไรอย่างนี้ สอนอย่างนี้ ทำทุกวัน แต่นับถอยหลังไม่เป็น ก็เลยนับมัน 1 – 100 แล้วก็เริ่ม 1 ใหม่ รู้จักพลิกแพลงให้เข้ากับตัวเอง ยังเป็นเด็กเล็ก นับเลขถอยหลังไม่เป็น นับแล้วต้องคิด ถ้านับแล้วต้องคิด ไม่ชอบ ตอนนั้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถ้านับต้องคิด จิตยังต้องทำงานอีก มันจะไม่สงบหรอก แต่ตอนนั้นไม่รู้เหตุผล เพียงแต่ว่า เอ้ย อย่างนี้ไม่สะดวก ไม่เหมาะกับเรา ก็ Apply นิดหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 1 หายใจอยู่ไม่กี่วัน จิตก็รวมแล้ว ตั้งมั่นขึ้นมา
รวมแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ไม่มีครูบาอาจารย์สอนต่อ มันก็เสื่อมไป เสื่อมแล้วก็ทำอีก ทำอย่างนี้ ทำเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมไปเรื่อยๆ จนอายุ 10 ขวบไฟไหม้ข้างบ้าน ตกใจ ตกใจก็รีบวิ่งจะไปบอกพ่อ ก้าวที่ 1 ตกใจ ก้าวที่ 2 ตกใจ ก้าวที่ 3 สติมันย้อนมาเห็นความตกใจ ความตกใจขาดสะบั้นเลย จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงเป็นผู้รู้ขึ้นมา ตรงนั้นจับสภาวะของจิตผู้รู้ได้ชัดเจน ครั้งแรกประมาณ 10 ขวบ แล้วภาวนาไป มันก็จะเข้ามาตรงนี้ แต่ไม่รู้มันจะใช้อะไร ไม่รู้วิธีที่จะใช้ประโยชน์จากจิตที่ตั้งมั่น จะไปถามครูบาอาจารย์ เราก็เด็ก ผู้ใหญ่ก็ไม่พาไป เราก็ไปไม่ได้
ท่านพ่อลี ประมาณปี 2506 ท่านก็สิ้นแล้ว อายุ 50 กว่าปี อายุน้อย ยุคนั้นไม่มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็อยู่ทางตะวันออก ทางเหนือ ทางอิสาน ทางใต้ เราไปไม่ได้ ก็ทำแต่สมาธิให้จิตสงบ จิตสงบ บางวันก็สงบ บางวันก็ไม่สงบ บางวันก็ตั้งมั่น บางวันก็ไม่ตั้งมั่น ฝึกเรื่อยๆ จนมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านให้ดูจิตเอา ก่อนที่หลวงปู่จะบอกให้หลวงพ่อดูจิต การดูจิตตรงนี้เป็นการเจริญปัญญาแล้ว เห็นความเกิดดับของจิตนานาชนิด
ก่อนที่ท่านจะบอกประโยคนี้ ท่านเข้าสมาธิก่อนที่จะตอบ ท่านเข้าสมาธิอยู่สัก 40 หรือ 45 นาทีถึงลืมตาขึ้นมา แล้วก็บอก ไม่ใช่แบบเจอหน้าปุ๊บบอกปั๊บ ไม่ได้ แต่ยุคนี้มันยุคอุตสาหกรรม ให้หลวงพ่อมานั่งดูพวกเราคนละชั่วโมง ไม่ไหว พวกเรามีเป็น 100 เป็น 1,000 ใครจะไปดูได้ ก็เลยสอนหลักให้ไปดูเอาเอง ที่หลวงพ่อภาวนา ที่หลวงปู่ให้ดูจิต เห็นจิตมันทำงานไปได้เลย เพราะท่านรู้แล้วว่าจิตเราตั้งมั่นแล้ว เพียงแต่ตั้งอยู่เฉยๆ แล้วไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไร ท่านก็ต่อยอดให้ เพราะฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านต่อยอดให้ เราก็ทำ จิตก็ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อัตโนมัติอยู่อย่างนั้น แล้วจิตที่ตั้งมั่นแบบนี้ยังมี 2 ลักษณะ อันหนึ่งตั้งแล้วก็สงบ มีความสุขอยู่เฉยๆ อีกอันหนึ่งจิตก็ตั้งมั่น แล้วก็เจริญปัญญา
มาภาวนาจนพอจะรู้เรื่องบ้างแล้ว ก็เลยไปอ่านอภิธรรมดู ตำราอภิธรรมเขาก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าก่อนจะไปอ่านอภิธรรม ควรจะภาวนาให้เป็นก่อน ไปเรียนอภิธรรมก่อน ไม่ค่อยภาวนาแล้วมันจะคิดนำตลอดเลย จิตตรงนี้เป็นวิถีจิต ตัวนี้ชื่อว่า ตัวนี้ชื่อนี้ แล้วถัดจากนี้จะเป็นจิตอย่างนี้ อันนั้นจิตฟุ้งซ่าน มันภาวนาไม่ได้จริง พอภาวนาเป็นแล้วก็ไปดูตำรา มันตรงกัน ตัวจิตผู้รู้ ในตำราเรียกว่าเป็นมหากุศลจิต อสังขาริกัง ไม่เจตนาให้เกิด เป็นมหากุศลจิต ลักษณะของจิตที่เป็นมหากุศล เบา อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ควรแก่การงาน
อยากทำสมถะก็รู้ว่าทำอย่างนี้ อยากทำวิปัสสนา จิตนี้ก็ควร ใช้ได้ ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ จิตตัวนั้นไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง นี่ลักษณะของจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ อันแรกเลย เป็นจิตที่เป็นกุศล แล้วก็เป็นจิตที่เป็นกุศล ชนิดที่ไม่ได้เจตนาให้เกิด เราต้องฝึกฝนจิตตนเอง จนกระทั่งเราเป็นผู้รู้อัตโนมัติ ตำราเขาเรียกอสังขาริกัง ไม่ต้องบิลด์ตั้งมั่นเอง ถ้าจิตเราไปอยู่ข้างนอก แล้วเราพยายามหาทางแก้ หาอุบายแก้ มาดูตรงนี้ เอ้า ตั้งขึ้นมาแล้ว อันนี้จงใจทำขึ้นมา เป็นจิตที่ตั้งมั่นที่มีกำลังอ่อน เดินปัญญาไม่ค่อยได้เรื่องหรอก มันอยู่ ทรงตัวอยู่ไม่ได้จริง เดี๋ยวก็ไหล
แล้วจิตตัวนี้ที่ตั้งมั่นนี้ มันมี 2 อัน อันหนึ่งเจริญปัญญา เรียกว่าญาณสัมปยุต อีกอันหนึ่งไม่ได้เจริญปัญญา รู้ตัวตั้งมั่นเฉยๆ เรียกว่าญาณวิปปยุต ญาณก็คือปัญญา สัมปยุตก็คือประกอบด้วยปัญญา ฉะนั้นจิตผู้รู้บางดวงประกอบด้วยปัญญา บางดวงไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ไม่ได้ประกอบด้วยกิเลส เพราะมันเป็นจิตที่เป็นกุศลอยู่แล้ว เป็นมหากุศลจิต ญาณสัมปยุตหรือญาณวิปปยุต อสังขาริกัง ในจำนวนจิต 80 กว่าดวง ต้องฝึกให้ได้จิต 2 ดวงนี้ คือจิตที่เป็นผู้รู้ แล้วเดินปัญญาได้ กับจิตที่เป็นผู้รู้ แต่ทรงตัว ไม่เดินปัญญา
เพราะฉะนั้นในขณะที่เรามีจิตผู้รู้ เราเจริญปัญญา มันเจริญปัญญาไปช่วงเดียว จิตมันจะหยุดการเจริญปัญญา มันจะหยุดกลับเข้ามาทรงตัว สงบรู้อยู่เฉยๆ จิตรวมโดยไม่ได้เจตนาให้รวม เพราะฉะนั้นเราเดินปัญญาไป ถึงจุดหนึ่งจิตรวมเอง ไม่ได้เจตนาให้รวม มันรวมอัตโนมัติลงมา มันอยากรวมมันก็รวม เพราะจริงๆ ไม่ใช่เราหรอก เราจะเห็น เออ จิตมันทำงานได้วิจิตรพิสดาร
พอมีจิตเป็นผู้รู้ เห็นสภาวะเกิดดับไปช่วงหนึ่ง จิตรวมมาอยู่นิ่งๆ แล้ว นิ่งอยู่ช่วงหนึ่ง จิตเคลื่อนออกมา แต่ตั้งมั่น แต่มันส่งกระแสของความรับรู้ ออกไปกระทบ อะไรเกิดขึ้นในกาย สติรู้ แต่จิตตั้งมั่นเป็นคนรู้ โดยที่ไม่ได้รักษาไว้ ถ้ารักษาไว้ ไม่ใช่อสังขาริกัง ฉะนั้นถ้าเรารักษาตัวผู้รู้ไว้ ส่วนใหญ่ที่พวกเราฝึกแล้วบอกมีตัวรู้ ตัวรู้ของเราเป็นตัวรู้ที่เรารักษาเอาไว้ ยังใช้ไม่ได้ เรียกสสังขาริกัง ยังปรุงแต่งมันอยู่ สังขาร ส (สะ) แปลว่าร่วม มีประกอบด้วยสังขาร ด้วยความปรุงแต่ง แต่งให้มันเกิดขึ้น อันหนึ่งไม่ได้แต่งให้มันเกิดขึ้น
จิตผู้รู้ที่ดี ที่มีกำลัง เป็นจิตผู้รู้ที่เราไม่ได้แต่งให้เกิดขึ้น แต่มันเกิดเองจากการที่เราคอยมีสติ ทำกรรมฐานไป จิตเคลื่อน รู้ทันจิต ไม่ใช่รู้อารมณ์ แต่รู้ทันจิต แล้วจิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา ที่พูดนี้ไม่ได้มโนพูด ไม่ได้กางตำราพูด เพราะอ่านตำราทีหลังจากที่ภาวนาแล้ว ที่พูดมาเต็มปากเต็มคำ เพราะหลวงพ่อทำผิดมาเยอะเลย ก่อนที่จะมาพูดกับพวกเราได้ ทำผิดมาเยอะเลย แล้วอาศัยใบบุญของครูบาอาจารย์ ท่านก็ประคับประคอง เกื้อกูลให้เดินอยู่ในร่องในรอย แล้วเราเองมีความอดทนที่จะปฏิบัติ
หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ หลวงพ่อโง่ ไม่ใช่คนฉลาดกว่าพวกเราหรอก โง่ในมาตรฐานเดียวกับพวกเราล่ะ อย่านึกว่าตัวฉลาด ถ้าฉลาดแล้วพ้นทุกข์ไปนานแล้ว หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่ง แต่หลวงพ่ออดทนที่จะเรียนรู้ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำเรื่อยๆ อย่าท้อแท้ อย่าอ่อนแอ เอาไว้ชาติที่ไม่มีพระพุทธศาสนา จะท้อแท้อ่อนแอบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเคยฝึกไว้ดีแล้ว ถัดไป ศาสนาพุทธสิ้นไปแล้ว จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว มันจะหาทางเดินต่อ มันไม่ทิ้งหรอก แล้วพอต่อไป ไปเจอพระเมตตไตรย ท่านสอน สะกิดเรานิดเดียว เราก็พ้นแล้ว
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ค่อนข้างดุเดือดนิดหน่อย ฟังแล้วฮึกเหิมไหม หรือฟังแล้วห่อเหี่ยว ฟังหลวงพ่อเทศน์ไม่มีใครห่อเหี่ยว มีแต่ฮึกเหิม แต่พอออกจากศาลาก็ห่อเหี่ยวต่อ มันต้องอดทน ต้องทำของเราเอง จนกระทั่งจิตมันมีกำลังตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
วัดสวนสันติธรรม
20 เมษายน 2567