อดทนให้เด็ดเดี่ยวลงไป

เมื่อเช้าก็เห็นทีมงานคนหนึ่งดูสดใส จิตมีกำลังตั้งมั่น ไม่ได้บังคับไว้ เลยเข้าไปถามว่าไปทำอะไรมา บอกเขายุ่งกับโลกน้อยลง พยายามยุ่งกับโลกน้อยๆ แล้วก็เพิ่มการทำในรูปแบบ การทำในรูปแบบ มันจะเพิ่มพลังของจิต จะทำให้สมาธิดีขึ้น จิตตั้งมั่นขึ้นโดยที่เราไม่ต้องบังคับมัน หลวงพ่อพูดอยู่บ่อยๆ ฆราวาสจุดอ่อนคือสมาธิไม่พอ นี่ข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่งคือทำไม่ต่อเนื่อง บางทีขยัน จิตมีกำลังขึ้นมาแล้วก็ขี้เกียจ ก็เลิก ก็ไปไหนไม่ได้เสียที ก้าวไปข้างหน้า 2 ก้าว ถอยมาข้างหลัง 3 ก้าว ถอยไปถอยมาอยู่อย่างนี้

การปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้เรื่องยากอะไรหรอก แค่อดทนให้มันเด็ดเดี่ยว ทำในรูปแบบทุกวันๆ ศีลต้องรักษาอยู่แล้ว 5 ข้อเท่านั้น ไม่ต้องรักษาเยอะ ทำในรูปแบบทุกวันๆ ไป ทำให้ถูก บางคนทำก็ทำผิด บางทีบางคนภาวนาตั้งหลายสิบปี ทำไม่ถูก ก็ได้แค่นั้น ก็ได้แค่ทำ ถ้าทำถูกแล้วทำมากพอ จิตมันจะพัฒนาให้เห็น รู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยน ตัวเองเปลี่ยน ตัวเองรู้ มันตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอก “วิญญูชนรู้ด้วยตนเอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” วิญญูชนรู้ด้วยตนเอง

 

ชีวิตเป็นของที่ไม่แน่นอน

หลวงพ่อบอกพวกเราบ่อยๆ หลวงพ่อไม่ได้เก่งกว่าพวกเราหรอก หลวงพ่อมีสิ่งหนึ่งที่พวกเราไม่ค่อยมี หลวงพ่อทน ตั้งแต่เด็ก 7 ขวบก็ภาวนาแล้ว พ่อพาไปกราบท่านพ่อลี ท่านก็สอน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 1 หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 2 แล้วเอามาทำทุกวัน ไม่มีใครเขาสั่ง ทำ จิตใจมันชอบที่จะปฏิบัติ มันขยันภาวนา มีเวลาเมื่อไรก็ทำ บางทีวิ่งเล่นอยู่ มีเวลานิดหนึ่ง รู้สึกก็หายใจไป เห็นเลยเวลาซนๆ เหนื่อยๆ ลมหายใจมันเปลี่ยนจังหวะ ก็รู้สึกขึ้นมา อดทนๆ

มาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านบอกให้ดูจิต ก็ขยันดู ครูบาอาจารย์ไม่ต้องสั่งครั้งที่สอง ไม่ต้องมาคอยเชียร์ ไม่ต้องมาคอยปลอบให้ดู ท่านสั่งให้ดูจิต สอนให้เราดูจิตก็ดู เห็นจิตมันเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทุกวัน แล้วก็ดูแทบทั้งวันเลยที่มีเวลา จนมันเคยชิน บางทีไม่ได้เจตนาดู พอจิตมันเปลี่ยนแปลง เช่น มันมีสุขมีทุกข์อะไรขึ้นมา หรือมีกิเลสอะไรเกิดขึ้นมา สติมันระลึกได้เอง

สตินั้นมันมีหน้าที่เหมือนกับเป็นคนเฝ้ายาม เป็นรปภ. สติเป็นตัวคอยเฝ้าระวัง มีอะไรแปลกปลอมเข้ามาในกายในใจเรา สติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่มามันอยู่ชั่วคราวแล้วมันก็ไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มีแต่คำว่ามาแล้วก็ไปทั้งหมด

ความเป็นเด็กมาแล้วก็ไป ความเป็นวัยรุ่นมาแล้วก็ไป ความเป็นหนุ่มเป็นสาวมาแล้วก็ไป ความแก่มาแล้วก็ไปอีกล่ะ ก็ไปจนได้ล่ะ อยู่ไม่ได้ ในชีวิตบางทีก็มีความสมหวัง มาแล้วก็ผ่านไป ความผิดหวังมาแล้วก็ไปเหมือนกัน ไม่มีใครผิดหวังตลอด อย่างบางคนอกหัก คิดว่าชีวิตนี้มืดมนตลอดกาลแล้ว จริงๆ ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก อกหักครั้งแรกก็อาจจะเจ็บนานหน่อย แต่วันหนึ่งก็หาย ไม่ต้องตกใจ พออกหักหลายๆ ครั้งเข้า ชิน ไม่เจ็บแล้ว เฉยๆ ฉะนั้นความทุกข์ก็ของชั่วคราวอีกล่ะ มันมาได้ มันก็ไปได้ ไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก

เราค่อยๆ สังเกต ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราล้วนแต่ของชั่วคราวทั้งหมดเลย คนที่เราเคยรู้จัก คนที่เราเคยรักอะไรอย่างนี้ อย่างบางคน พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายตายๆๆๆ ไป คนที่อายุมากๆ หน่อย อยู่มานานอย่างนี้ คนที่เคยรู้จักล้มหายตายจากไปเยอะแยะแล้ว รักแค่ไหน วันหนึ่งก็ต้องจาก หวงแหนกันแค่ไหน วันหนึ่งก็ต้องจาก ความจริงของชีวิตมันเป็นอย่างนี้ ความแข็งแรงของร่างกาย วันหนึ่งก็ต้องจากเราไป เนื้อหนังก็เหี่ยวย่น เคยสวยเคยงามก็ไม่สวยไม่งาม ความสวยงามก็ไม่ยั่งยืน

ค่อยดู ชีวิตจริงๆ เรา เราจะเห็นเลยว่ามันไม่ได้มีสาระแก่นสารอะไรหรอก หรือบางทีมีลาภ มีผลประโยขน์ บางช่วงก็เสียผลประโยชน์ ได้มาก็เสียไปๆ มียศ มีตำแหน่ง ถึง 30 กันยายนอย่างนี้ ข้าราชการเคยใหญ่เคยโตเกษียณ ก็เป็นตาแก่เป็นยายแก่ ไม่มีความหมายอะไร คนเคยกลัวเคยเกรง ก็ไม่กลัวไม่เกรงแล้ว แต่ถ้าเป็นคนดี เกษียณออกไป คนยังคิดถึง เจอเขาก็ยังไหว้อยู่ ถ้าตอนมีอำนาจอยู่ ทำชั่วไว้เยอะ พอหมดอำนาจ คนเขาไม่มองหรอก เขาหลีกหนี หลบ ไม่อยากเจอ

ชื่อเสียงเกียรติยศมันก็ไม่ยั่งยืนหรอก แย่งกันแทบเป็นแทบตาย แย่งตำแหน่งกัน แย่งกันอุตลุดเลย บางทีเพื่อนกับเพื่อนก็พิฆาตกัน ตอนเรียนหนังสือก็ยังรักกันอยู่ พอจบใหม่ๆ ก็ยังผูกพัน เป็นรุ่นเดียวกัน เป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน ช่วยเหลือกัน ช่วยเหลือไปทำอะไร ไปแข่งกับคนอื่น กับคณะอื่น กับมหาวิทยาลัยอื่น พอสุดท้ายโตๆๆ ขึ้นไป สู้กันเองแล้ว ความเป็นเพื่อนก็ไม่ยั่งยืน ก็มีที่ยั่งยืน ยั่งยืนได้ถ้าผลประโยชน์ไม่ขัดกัน

ฉะนั้นทุกอย่างในชีวิตเราเป็นของที่ไม่แน่นอน เป็นของที่ไม่ยั่งยืน อย่าไปหลงกับมันมาก ถ้าเราหลงกับมันมาก เราก็เหนื่อยมาก อย่างเราหลง อยากได้ผลประโยชน์ใช่ไหม อยากมีเงินล้านหนึ่ง พอมันได้ล้านหนึ่ง มันไม่พอ ก็อยากได้อีก ทั้งปีทั้งชาติมีแต่ความเหน็ดเหนื่อย ทำมาหากิน หาเงินไปเรื่อยๆ ลำบาก บางคนคอร์รัปชัน พอหมดอำนาจไปโดนตามเช็คบิล ติดคุก ที่หลวงพ่อรู้จักก็มี ผู้หลักผู้ใหญ่มีอำนาจ ถึงวันหนึ่งติดคุกไม่มีคนไปเยี่ยม

ในชีวิตมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปหลงในผลประโยชน์ว่ามันจะต้องแน่นอนเสมอไป อย่าไปหลงตำแหน่งหน้าที่ ชื่อเสียง เกียรติยศ มันของสมมติ วันหนึ่งก็กลายเป็นของคนอื่นไป ความสุขในชีวิตใช่ไหม มีขึ้นมาได้ก็หมดได้ ในโลกมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเข้าใจมันเราก็จะรู้ว่าที่เราเหน็ดเหนื่อยมากมายเพื่อจะแย่งของซึ่งไม่ยั่งยืน มันฉลาดหรือมันโง่ ทำไมไม่หาสิ่งซึ่งมันยั่งยืน

 

ถ้าเราภาวนา เราจะค้นพบความสุขที่ยั่งยืนในตัวเอง

ธรรมะตอบโจทย์เราได้ คือถ้าเราภาวนาเราจะค้นพบความสุขที่ยั่งยืนในตัวเอง ความสุขที่ไม่ต้องอิงอาศัยคนอื่น ไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งอื่น ไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลย ฉะนั้นศาสนาพุทธบางคนก็บอกไม่ใช่ศาสนาหรอก ไม่มีองค์ประกอบความเป็นศาสนาเลย ไม่มีพระเจ้า ไม่มีอะไรทั้งสิ้นเลย มีแต่คำว่าเหตุกับผล ทำเหตุอย่างนี้ มีผลอย่างนี้ ไม่ทำเหตุอย่างนี้ก็จะไม่มีผลอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นแทนที่เราจะไปหลงกับของซึ่งไม่ยั่งยืน เรามาเรียนรู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ยั่งยืน

พวกเราอาจจะไม่รู้สึก แต่หลวงพ่อรู้สึกมาตั้งนานแล้ว สมัยยังหนุ่มๆ อยู่ตระเวนไปกราบครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ ก็เข้าไปกราบ บางองค์ท่านแก่มาก ชรามาก ไม่สบาย ป่วยมากเลย แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นก็คือท่านมีความสงบสุข ในขณะที่เรายังหนุ่มยังแข็งแรง แต่ทำไมเราไม่มีความสงบสุขอย่างท่าน ยังนึกถ้าเรามีความสงบสุขอย่างท่าน เราคงมีความสุขเยอะจริงๆ หลายองค์ที่เข้าไปกราบแล้ว ดูท่านมีความสงบสุขทั้งๆ ที่ท่านแก่ ท่านเจ็บ

อย่างองค์หนึ่ง หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ หลวงพ่อเจอท่านตั้งแต่ท่านยังแข็งแรงแล้วต่อมาท่านรถคว่ำเป็นอัมพาต มาเจออีกทีหนึ่งท่านชราแล้ว อยู่บนรถเข็น เป็นมากถึงขนาดกลืนน้ำลายไม่ได้ พระลูกศิษย์ต้องคอยดูดน้ำลายให้ท่านเรื่อยๆ มีเครื่องดูดดูดเป็นระยะๆ เพราะท่านกลืนน้ำลายไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ต้องมีคนอุ้มลุกอุ้มนั่งอะไรอย่างนี้ เราดู หูย ถ้าเราเป็นอย่างท่าน เราทุกข์มาก

ตอนนั้นพรรษาแรก หลวงพ่อบวชพรรษาแรก ก็นึกถึงท่านๆ แล้วก็ท่านใกล้จะสิ้นแล้ว ก็เลยขึ้นไปกราบท่านๆ พระก็เข็นท่านออกมา เข้าไปกราบ ท่านก็ฉันยาอะไรต่ออะไรเข้าไปเยอะแยะ ท่านเบลอ ท่านอย่างนี้ (หลับตา) ออกมา ครึ่งหลับครึ่งตื่นออกมา เข้าไปกราบท่านแล้วบอก หลวงปู่ครับ พ่อแม่ครูอาจารย์ให้ผมดูจิต ท่านก็ หือ (ลืมตา) บอกผมก็ดูแล้วผมก็วางลงไป ท่าน หือ (เอนตัวมาข้างหน้า) ขยับได้เลย ตาโตเลย แล้วผมก็หยิบมันขึ้นมาอีก วางแล้วกลับไปหยิบอีก ท่านพิงเก้าอี้เลย เก้าอี้ท่าน เฮ้อๆ ก็คุยธรรมะกัน เสร็จแล้วคนอื่นก็ไป หลวงพ่อก็นั่งอยู่กับท่าน ท่านก็ยิ้มๆๆ ท่านบอก “สุขแท้หนอๆ” เราก็มอง ถ้าเป็นเรา เราก็ทุกข์แท้หนอ ไม่ใช่สุขแท้หนอ ทำไมท่านสุข

เราเห็นเลยครูบาอาจารย์จะแก่จะเฒ่าจะเจ็บจะป่วย ก็มีความสุข หลวงปู่ดูลย์ไม่สบาย ไปเยี่ยมท่านอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ อะไรอย่างนี้ เข้าไปกราบ นอน ก็ดูมีความสุข หลวงพ่อกิมไปผ่าลำไส้ ลำไส้อุดตันไปผ่าที่บุรีรัมย์ แล้วก็ลำไส้มันไม่ติด ต้องส่งมาที่ศิริราช ไปเยี่ยมท่าน ก็ดูท่านมีความสุข ใส่ท่ออะไรต่ออะไรเยอะแยะ แล้วก็มรณภาพ ตอนจะมรณภาพท่านให้พาท่านกลับสุรินทร์ พอไปถึงกุฏิท่าน ทีแรกหมอบอกว่าไม่รอดหรอก ให้เดินทางท่านต้องมรณภาพกลางทาง จากศิริราชไปสุรินทร์ ท่านให้พาไป จนกระทั่งไปถึงกุฏิท่านพระอุปัฏฐากก็บอกตอนนี้มาถึงกุฏิท่านแล้ว แล้วท่านก็มรณภาพไป

เห็นหลายองค์ เยอะเลย ทางระยองก็มีเคยเข้าไปกราบ หลวงปู่คร่ำๆ วัดวังหว้า คนนึกว่าเป็นแค่พระเกจิเสกของเก่งอะไรอย่างนี้ ที่จริงภาวนาเก่ง จิตใจร่มเย็นมีความสุข มีความสงบ ท่านไม่สบาย อายุตั้งร้อยกว่าปี แต่ท่านก็มีความสุข เราดูตัวเอง ทำไมเราไม่มีความสุขอย่างท่าน เราแข็งแรงกว่า เรามีเงิน เราอยากได้อะไร เราก็ซื้อได้ เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวโลกเขามีกัน แต่ทำไมเราไม่มีความสุข ใจมันเห็นอย่างนี้ ใจมันก็เด็ดเดี่ยว วันหนึ่งเราก็ต้องทำอย่างท่านให้ได้ จะต้องพัฒนาจิตใจของตัวเองตามอย่างครูบาอาจารย์ไปให้ได้

 

“ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยบอกว่า กิเลสมันทนสติปัญญาไม่ได้หรอก
กิเลสมันอยู่ที่จิตเรานี้ มีสติมีปัญญาซักฟอกลงไปที่จิต
วันหนึ่งมันก็เข้าไปสู่ความสะอาดหมดจดจนได้ล่ะ”

 

เพราะฉะนั้นจะไม่มีคำว่าขี้เกียจปฏิบัติ บางครั้งท้อใจ ภาวนาแทบเป็นแทบตายทำไมช่วงนี้ไม่พัฒนาเลย ท้อใจ ท้อก็รู้ว่าท้อ แต่ไม่เลิก ภาวนาของเราต่อไปนี้ล่ะ ภาวนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งให้มันสิ้นสงสัยๆ ในพระพุทธศาสนา ค่อยภาวนาไป ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าสิ้นสงสัยมันเป็นอย่างไร มันสิ้นสงสัยอะไร สิ้นสงสัยในอริยสัจ สิ้นสงสัยในจิต

อดทนๆ บางครั้งความรู้สึกขี้เกียจก็เกิด ขี้เกียจก็ปฏิบัติ บางครั้งก็ท้อแท้ ท้อแท้ก็ปฏิบัติ หลวงพ่อใช้หลักอย่างนี้ โง่ๆ ของหลวงพ่อมาอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นอัจฉริยะที่ฟ้าประทานในรอบพันปีอะไรแบบหนังจีน แต่อดทนเอา สู้ไม่เลิก ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยบอกว่า กิเลสมันทนสติปัญญาไม่ได้หรอก กิเลสมันอยู่ที่จิตเรานี้ มีสติมีปัญญาซักฟอกลงไปที่จิต วันหนึ่งมันก็เข้าไปสู่ความสะอาดหมดจดจนได้ล่ะ มันคงไม่โง่ถึงขนาดแพ้ตลอดกาล ทำสงครามบางทีก็แพ้ บางทีก็ชนะ แพ้มันก็ไม่ได้แพ้ตลอดไปหรอก ถ้าไม่ยอมเลิก ไม่ยอมแพ้ คราวนี้แพ้ก็รวบรวมกำลังขึ้นมาสู้ใหม่ ชนะ ถ้าเป็นการชนะคนอื่น ชนะในสงครามอย่างนี้ ชัยชนะนั้นก็ไม่ได้ยั่งยืนเท่าไร

 

ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นไร แต่ไม่ยอมแพ้

สังเกตดูในประวัติศาสตร์ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อะไรทั้งหลายพอมาถึงรุ่นลูกเละเลย อย่างจิ๋นซีฮ่องเต้ พอตัวเองตายก็หมดสภาพ ยิ่งใหญ่แค่ไหนสุดท้ายไปไม่รอด บุเรงนอง พอถึงรุ่นลูกเท่านั้นอาณาจักรก็แตกสลายแล้ว ฉะนั้นอดทน ต่อสู้เอา ไม่ยอมแพ้ คนเขาทำสงคราม เขาแพ้แล้วแพ้อีกก็มี บางคนแพ้แล้วแพ้อีก ชนะครั้งเดียวก็ชนะคู่ต่อสู้ไปหลายร้อยปีเลย อย่างของจีนก็มีราชวงศ์ฮั่น ตัวต้นราชวงศ์ ฮั่นโกโจรบกับฌ้อปาอ๋อง เจ้าแคว้นฌ้อ รบแล้วก็แพ้ๆๆ อยู่นั่นล่ะ ชนะครั้งเดียว ปกครองเมืองจีนต่อมาตั้งหลายร้อยปี ฉะนั้นเราอย่ายอมแพ้ ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นไร แต่ไม่ยอมแพ้

ต้นตระกูลพระเจ้าอโศก ทีแรกชื่อจันทรคุปต์ก็พยายามรวบรวมชาวบ้านต่อสู้กับกษัตริย์ทรราชย์ รบทีไรก็แพ้ทุกที วันหนึ่งแกแตกทัพ เหลือตัวคนเดียว ซมซานหนีไป ไปหลบอยู่ข้างกระท่อมของผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงนี้เขามีลูกเล็กๆ เขาทำขนมเบื้อง ของคนไทยไปเรียกขนมเบื้อง คนแขกมันก็เป็นแป้งจาปาตี แป้ง ทำแป้งร้อนๆ พอทำเสร็จสุกปุ๊บ เด็กมันตะกละ งับโครมเข้าไป ร้องจ๊ากเลย มันร้อน

แม่ก็ด่าบอก “อีโง่เอ๋ย ทำไมเอ็งไม่กินริมๆ ก่อน งับเข้าไปตรงกลางก้อน มันก็ร้อนสิ โง่เหมือนโจรจันทรคุปต์เลย” จันทรคุปต์อยู่ข้างฝานั่นได้ยิน ปิ๊งเลย ที่ผ่านมารวมกำลังเข้าตีเมืองหลวง ตีทีไรแพ้ทุกที คราวนี้เล่นชนบท ชนบทล้อมเมืองเข้ามา เหมาเจ๋อตุงไม่ได้วิเศษอะไรหนักหนาหรอก ก็ใช้วิธีเดียวกับจันทรคุปต์นี่ล่ะ ตีจากชนบทจนกระทั่งได้กำลังเยอะแล้วก็ยึดเมืองได้ ตั้งราชวงศ์ขึ้นมา

สังเกตดูบรรดาวีรชน วีรบุรุษผู้กล้าทั้งหลายไม่ใช่ชนะตลอด แพ้แล้วแพ้อีก ล้มลุกคลุกคลานแต่ไม่ท้อถอย ของเราก็ทำศึกเหมือนกัน แต่เราทำศึกนี้เป็นศึกภายใน ไม่ใช่ศึกภายนอก พวกนั้นทำศึกภายนอก ชนะคนอื่นๆ ได้ พอถึงช่วงหนึ่งรุ่นลูกรุ่นหลานอะไรก็แพ้เขาอีกแล้ว ไม่ชนะถาวร เราทำศึกภายใน ถ้าเราชนะกิเลสตัวเองได้ จิตใจเรามีความสุข มีความสงบซึ่งไม่มีอะไรเหมือน มีความสุข ไม่รู้จะบอกอย่างไร ก็คือมันสุข มันสงบ มันสุข จิตมันหลุดออกมา มันพ้นจากวัฏฏะที่หมุนเวียนอยู่ มันสลัดวัฏฏะถล่มลงกลางอกเรานี้ล่ะ

สังเกตไหมว่ามันทุกข์ เวลาทุกข์ทุกข์มันแน่นอยู่ในอกรู้สึกไหม คนไทยโบราณเก่ง บอกสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พวกเราไม่ค่อยเจอสวรรค์ในใจ เจอนรกในใจ ใจมันเครียด ใจมันทุกข์ มันอึดอัด แล้วชีวิตเราจะอยู่แค่นี้หรือ มีเงินมากตัวนี้อึดอัดไหม อึดอัด มีเงินเป็นหมื่นๆ ล้านใช่ไหม ก็ไม่ได้มีความสุข ในโลกมันไม่ได้มีความสุขจริงๆ จิตใจมันยังมีความทุกข์อยู่ เราค่อยเจริญสติเจริญปัญญาไป

ตอนหลวงพ่อเห็นก้อนนี้ โอ๊ย ทำอย่างไรจะทำลายมันได้ ตอนนั้นยังไม่ได้บวช มันไหว มันหมุน มันไหว สะเทือนทั้งวันทั้งคืน แล้วช่วงที่ภาวนาดุเดือด กัดติดเลย เห็นมันสะเทือนอยู่ทั้งวันทั้งคืน นอนหลับอยู่ยังเห็นอยู่เลย จิตไม่ยอมหยุดการเจริญปัญญาแล้ว ไหว สะเทือนๆๆ โหย มันทุกข์ เหน็ดเหนื่อย ทำงานทางโลกว่าเคยเหนื่อยๆ เหนื่อยไม่เท่าการที่เห็นจิตมันทำงาน เฝ้ารู้เฝ้าดู ต่อมาจับเคล็ดลับได้ตรงที่ จุดที่จะทำให้เราได้พักไม่ใช่อย่างอื่นเลย คือสมถะ

ตอนนั้นจิตมันหมุนๆๆ มันทุกข์ๆ ทำไมมันทุกข์อย่างนี้หนอ ทั้งวันทั้งคืน ขึ้นไปกราบหลวงพ่อพุธที่วัดป่าสาละวัน กำลังมีงานวันบูรพาจารย์ ช่วงต้นธันวาคม 1 – 3 อะไรช่วงนี้ หลวงพ่อพุธจะต้องขึ้นไปเทศน์ ทั้งพระทั้งโยมมาเยอะแยะเลย หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิท่าน พระก็มาตามเป็นระยะๆ บอกถึงเวลาแล้ว ต้องไปเทศน์แล้ว ท่านบอกยังไม่ไป อันโน้นมันเทศน์ในพิธีการ แต่ตรงนี้จะต้องแก้กรรมฐานให้หลวงพ่อก่อน ใจท่านขนาดนี้ บอกพวกนั้นมันแบบพิธีการ ไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรหรอก

ท่านพยายามจะแก้ให้ สงสัยว่าทำไมมันหมุนยิบยับๆ อยู่ทั้งวันทั้งคืน ท่านก็บอกการปฏิบัติ พอถึงขั้นละเอียดแล้ว มันอย่างนี้ล่ะ มันยิบยับๆ อย่างนี้ล่ะ ท่านพูดอยู่เป็นชั่วโมง แก้ไม่ตกๆ ตอนนั้นกำลังเรายังไม่พอ สุดท้ายต้องบอกท่านว่านิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์เถอะ คนเขารอนานแล้ว ท่านก็เหนื่อย สู้กับเราคนเดียว เหนื่อย เวรกรรมอันนี้ทำให้หลวงพ่อต้องมาเจอพวกเรา เหนื่อยฉิบเป๋งเลย วันๆ หนึ่ง ทำครูบาอาจารย์เหนื่อยมากเลยคราวนั้น

เสร็จแล้วก็เลยเขียนจดหมายไปถามหลวงตามหาบัวว่ามันเป็นอย่างนี้จะแก้อย่างไร หลวงตาปกติเขียนจดหมายไปแล้วท่านจะตอบ เคยเขียนไปถามท่าน 2 – 3 ครั้ง ไม่รู้ไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว คราวนี้ท่านก็ให้หนังสือมา แล้วท่านบอกว่าท่านเขียนจดหมายสั้นๆ โน้ตสั้นๆ บอกว่า เราเพิ่งไปทำตามา ไปผ่าตาต้อ เราเพิ่งไปทำตามา เราเขียนหนังสือยาวไม่ได้ มองไม่สะดวก ให้ไปอ่านเอาเอง เล่มเบ้อเริ่ม ชื่อ หนังสือธรรมเตรียมพร้อม

หลวงพ่อไม่ชอบอ่านหนังสือเทศน์ อ่านแต่พระไตรปิฎก ไม่ชอบหนังสือเทศน์ รู้สึกมันเยิ่นเย้อ ทีนี้ครูบาอาจารย์ให้มา โห ตายแล้ว เราถามท่านนิดเดียว ท่านให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ทำอย่างไร เอาหนังสือวางไว้บนโต๊ะ ลงกราบเลย นึกถึงท่าน เอาล่ะ ท่านให้อ่านก็จะอ่านแล้ว หยิบหนังสือมาพลิก หน้าที่เปิดมาคือคำตอบ แล้วคำตอบที่ได้เหมือนที่หลวงพ่อพุธบอกว่า การปฏิบัติพอถึงขั้นละเอียดเหลือแต่ยิบยับๆ เรา โอ๊ย เหนื่อย ตรงนี้รู้อยู่ แต่เราจะผ่านตรงนี้ได้อย่างไร ไม่รู้

วันนั้นจะไปทำงาน เดือนกว่าๆ แล้วที่ติดสภาวะอันนี้อยู่ อดทนสู้ตายเลยทั้งวันทั้งคืน ไม่ยอมแพ้ วันนั้นจะไปทำงานตอนเช้า ไปที่ป้ายรถเมล์ ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ระหว่างรอรถเมล์ รู้สึก เห้อ เหนื่อยเหลือเกิน วันจันทร์แท้ๆ แต่เหนื่อยจนไม่รู้จะเหนื่อยอย่างไรแล้ว เพราะเรื่องภาวนา ก็นึกขึ้นวันนี้เราพักเสียหน่อยก็แล้วกัน เราทำแต่เจริญปัญญา เราไม่ได้พักเลย ก็กำหนดจิตหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับ 1 นับไปได้ 28 ครั้ง จิตรวมปุ๊บเลย ร่างกายหาย โลกธาตุหาย หายไปหมดเลย ไม่มีอะไร เหลือแต่จิตดวงเดียว แล้วอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนไม่รู้ ที่จริงไม่นาน

พอมันถอนออกมา จิตมันได้พักเต็มที่แล้ว มันก็ยังเห็นสภาวะที่ไหวๆ ก็เห็นปกติ แต่จิตไม่ยินดียินร้ายด้วย จิตตั้งมั่น เด่นดวง เป็นกลางขึ้นมา ฉะนั้นสมาธิสำคัญ เดินปัญญารวดไปเลย เหนื่อยแสนสาหัส แต่ถ้าเรารู้จักถึงเวลานี้สมควรทำสมถะ เราก็ทำ จิตได้พักผ่อน เราก็มีกำลังภาวนาของเราต่อไป ยิบยับๆ ค่อยภาวนาไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็ค่อยเข้าใจหรอก มันก็คือสังขารที่ละเอียด ความปรุงของจิตที่ละเอียด แต่มันไม่ใช่จิต เป็นแค่สังขารละเอียดเท่านั้นเอง

รากเหง้าของมันก็มาจากอวิชชา “อวิชชา ปัจจยา สังขารา” อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ คือจิต วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป พอมีจิตขึ้นมาแล้ว รัศมีของจิต ความรู้สึกแผ่ออกกระทบนามธรรม นามธรรมก็ปรากฏ แผ่อีกช็อตหนึ่ง ขยายตัวออกไปอีกช็อตหนึ่งกระทบรูปธรรม รูปธรรมก็ปรากฏ กระทบโลกธาตุ โลกธาตุก็ปรากฏ ทั้งโลก ทั้งจักรวาลปรากฏขึ้นมาได้ด้วยกำลังของจิตดวงเดียวเท่านั้นเอง

 

เรียนธรรมะต้องสู้ ต้องอดทน ต้องเด็ดเดี่ยว

ค่อยภาวนา ลำบากเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ยอมแพ้ ท้อใจ รู้ว่าท้อ ภาวนาต่อ ขี้เกียจ รู้ว่าขี้เกียจ ภาวนาต่อ มันจะแพ้ตลอดไป ให้มันรู้ไป ถ้าชาตินี้ทำแล้วยังแพ้ ชาติหน้าจะทำอีก หลวงพ่อเคยไปกราบครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เคยอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกท่านกลัวหลวงปู่มั่นมากเลยตอนที่ไปอยู่ด้วย ตอนเย็นๆ ท่านบอกต้องคอยฟังเสียงรองเท้าแตะ รองเท้าของหลวงปู่มั่น เวลาถึงเวลาที่หลวงปู่มั่นจะลงมากวาดลาน ท่านจะโยนรองเท้าลงมาก่อน ได้ยินเสียงรองเท้า พระทุกองค์จะต้องออกจากกุฏิมากวาดวัด เป็นสัญญาณ ไม่มีระฆังมาเคาะ ถึงเวลากวาด พระต้องคอยฟัง ออกมากวาด

เวลากวาดวัด หลวงปู่มั่นท่านจะพิจารณา วันนี้ท่านจะสอนองค์ไหน ท่านจะเดินประกบ เข้าไปประกบองค์นั้น แล้วก็กวาดไปสอนไป องค์นี้ท่านกลัวๆ ท่านจะคอยสังเกตว่าหลวงปู่มั่นจะไปทางไหน ถ้าไปทางนี้ท่านจะไปอีกทางหนึ่ง หลบหลีกอย่างนี้ แล้ววันหนึ่งเห็นหลวงปู่มั่นไปที่อื่นแล้ว ท่านก็กวาดของท่านมาทางนี้ สักพักได้ยินเสียงไม้กวาดตามหลังมา หันไป โอ๊ย หลวงปู่มั่นมาแล้ว บอกกลัวๆ แต่ไปอยู่กับท่านทำไมก็ไม่รู้ถ้ากลัว

กลัว พอกลัวทำอย่างไร รีบกวาดใหญ่เลย กวาดๆๆ จะไปให้เร็ว จะหนี ท่านบอกหลวงปู่มั่น เดิน 3 ก้าว เอาไม้กวาดกวาดพื้นทีหนึ่ง 3 ก้าว กวาดทีหนึ่ง เข้ามาจนทัน แล้วหลวงปู่มั่นก็สอนท่านบอก “พระน้อย การปฏิบัติมันต้องค่อยๆ ทำ เหมือนกวาดตาดนี้ล่ะ รีบกวาดพรวดพราดๆ อะไรนี่ มันไม่สะอาดหรอก มีแต่ฝุ่นฟุ้งไปหมด ต้องค่อยๆ กวาด การภาวนาก็เหมือนกัน เรากวาดกิเลสในใจเรา ค่อยๆ ทำไป ไม่ใช่รีบร้อน” พวกเราภาวนาบางคนภาวนาแล้วรีบร้อนสู้กิเลส ตะลุมบอนอุตลุดเลย ใจไม่เย็นพอ ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นสอนท่านอย่างนี้

จนท่านอายุเยอะ หลวงพ่อเคยเจอท่านครั้งแรกที่วัดป่าสาลวัน ท่านไปกราบหลวงพ่อพุธ แล้วก็ไปเจอท่านตอนท่านอาพาธมากแล้ว อยู่โรงพยาบาล เข้าไปท่านก็พูดถึงการปฏิบัติ แล้วท่านก็น้ำตาคลอเลย ท่านบอกว่ารุ่นเดียวกันเขาพ้นทุกข์กันไปหมดแล้ว เหลือท่านองค์เดียวยังไม่ได้อะไรเลย แต่ท่านไม่ท้อถอยหรอก อีกกี่ร้อยชาติท่านก็จะภาวนาต่อไป ท่านไม่ยอมแพ้ หลวงพ่อได้ยิน หลวงพ่อลงกราบท่านเลย นี่ก็ธรรมะสำคัญ สู้ตาย ตายแล้วตายอีกก็ยังสู้ ไม่ยอมเลิกหรอก

จิตใจของนักปฏิบัติ มันต้องเข้มแข็งอย่างนั้น ไม่ใช่อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ท้อใจ บางคนครูบาอาจารย์สอนอะไรนิดหนึ่งก็ท้อใจแล้ว บางคนงอน น้อยใจอะไรอย่างนี้ ทำไมครูบาอาจารย์สอนคนนั้นละเอียด สอนเราหยาบๆ อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นหลายคนที่เคยได้ยิน แต่หลวงพ่อไม่เป็นหรอก หลวงพ่อคืนท่านเคยบอกท่านน้อยใจหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์สอนท่าน บอกให้พิจารณาผมเส้นเดียวๆ 2 เส้นไม่ได้ ให้พิจารณาผมเส้นเดียว

ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวชผมก็ยาวหน่อย ท่านบอกน้อยใจมากเลย บอกหลวงปู่สอนคนอื่นละเอียดยิบเลย สอนท่านผมเส้นเดียว บอกน้อยใจ ไม่ทำเลย ไปทำอย่างอื่น ตลอดพรรษาทำมาไม่ได้ผลอะไรเลย ไปทำอยู่ที่หินหมากเป้ง ไปภาวนาทั้งพรรษาไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับมาสุรินทร์ออกพรรษาแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องไปหาหลวงปู่ดูลย์แล้ว คราวนี้ทำอย่างไรดี หลวงปู่บอกให้ไปดูผมเส้นเดียว ยังไม่เคยดูเลยเพราะมัวแต่งอนหลวงปู่ เอาวะ ดูเสียหน่อย เผื่อท่านถามจะได้บอกว่าดูแล้ว

ท่านก็ดูผม ผมมีรูปร่างอย่างนี้ มีสีอย่างนี้ มีกลิ่นอย่างนี้ ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ไม่สะอาด พิจารณาผม พิจารณาผมเส้นเดียว พิจารณาอยู่ไม่นานเลย แป๊บเดียวจิตรวมเลย ได้สมาธิขึ้นมาแล้ว พิจารณาผมเส้นเดียวสิ่งที่ได้คือสมาธิ คือสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนา แล้วก็คราวนี้เข้าไปหาหลวงปู่ ไปเรียนธรรมะต่อก็เข้าใจธรรมะขึ้นมา กระทั่งระดับครูบาอาจารย์ท่านก็เคยน้อยใจครูบาอาจารย์ของท่านอีกต่อหนึ่ง

บางทีพวกเราก็น้อยใจหลวงพ่อไม่พูดด้วยอะไรอย่างนี้ อย่างกับน่าพูดด้วย บางคนไม่น่าพูดด้วย พูดแล้วเวียนหัว บางคนหลวงพ่อไม่อยากพูดด้วย มีเหมือนกันพวกมาถามเล่น ถามๆ ไปแต่ไม่ทำ ถ้าถามแล้วเอาไปทำ ผิดหรือถูกไม่สำคัญ ขอให้อดทน ให้ทำเถอะ ให้พยายามเถอะ อันนี้หลวงพ่อไม่ทอดทิ้ง บางคนมันถามเล่นๆ เสียเวลาเรา แบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก เสียเวลา หรือบางคนจะมาให้หลวงพ่อโอ๋ ไม่โอ๋หรอก มาบอก “หนูไม่มีกำลังใจ หนูมาขอกำลังใจ” บอก “ไปเถอะ ไปขอที่อื่นเถอะ อย่ามาขอ เดี๋ยวกำลังใจหลวงพ่อหมด” หมดตรงไหน หมดตรงเห็นเธอนี่ล่ะ หมดกำลังใจที่จะสอน รู้สึกอะไรวะ ไม่ได้เรื่องเลย ไม่สู้เลย

 

อดทนให้เด็ดเดี่ยวลงไป

เพราะฉะนั้นเรียนธรรมะต้องสู้ ต้องอดทน ต้องเด็ดเดี่ยว ทนอะไรบ้าง อันแรกเลยทนต่อการสั่งสอนของครูบาอาจารย์ บางทีสิ่งที่ท่านสอนมันกระเทือนกิเลสเรา มันทรมานใจของเรา สิ่งที่ท่านบอกแต่ละอย่าง คือท่านไม่มาประคบประหงมเชียร์ไปเรื่อยๆ ให้เราสบายใจ อย่างนั้นไม่ใช่ ครูบาอาจารย์จริงๆ จะขัดเรา ถ้ากิเลสเราหยาบหนามาก ก็ลงตะไบ รู้จักตะไบไหม อย่างนี้ หรือถ้าหนากว่านั้นก็เอาขวานถากๆ มันหนามาก

พอภาวนาไปเรื่อย จิตใจละเอียดประณีต ครูบาอาจารย์ก็เอาตะไบ เอากระดาษทรายแต่งนิดๆ หน่อยๆ แต่งๆ นิดหนึ่ง ตรงนี้นิดหนึ่งๆ มันอยู่ที่เรานั่นล่ะจะได้ธรรมะระดับไหน อยู่ที่ตัวเราเอง แต่ว่าสิ่งที่ได้จากครูบาอาจารย์มีประโยชน์ทั้งนั้นล่ะ อย่ามัวแต่น้อยอกน้อยใจ มาขอกำลังใจขออะไร เสียเวลา หลวงพ่อไม่ชอบคนขี้อ้อน เพราะหลวงพ่อไม่เคยอ้อนครูบาอาจารย์ มีแต่สู้เอา ฉะนั้นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อก็ต้องต่อสู้ ความอ่อนแอท้อถอยอะไร ไม่มีใครห้ามได้หรอกถ้ามันจะท้อ แต่ท้อแล้วก็ไม่เลิก สู้มัน ขี้เกียจก็ได้ แต่ขี้เกียจแล้วก็สู้มัน ไม่มาคร่ำครวญ

การโอดครวญ คร่ำครวญ เสียหาย จิตใจจะยิ่งอ่อนแอ แล้วถ้ายิ่งมีคนคอยโอ๋ๆๆ จะยิ่งเคยตัว เราไม่ใช่เด็กเล็กๆ ต้องคอยปลอบคอยโอ๋ โตแล้ว ก็ต้องสู้เอาสิ ชีวิตในโลกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานมากมาย จะพ้นจากโลกอดทนหน่อย ถูกดุถูกด่า ต้องอดทนต่อคำสั่งสอน ต้องอดทนต่อความขี้เกียจของตัวเอง ต้องอดทนไม่ตามใจกิเลส เห็นไหมต้องอดทนหลายอย่าง อดทนไม่ตามใจกิเลส กิเลสชวนนอน ถ้ายังไม่ถึงเวลาสมควรนอนก็อย่าเพิ่งนอน กิเลสชวนกิน ชวนเที่ยว ยังไม่สมควรกิน ไม่สมควรไปเที่ยวก็ไม่ไป

ต้องอดทน ไม่ใช่มีสิ่งเร้านิดๆ หน่อยๆ กระโดดโลดเต้นไปแล้ว ได้ยินเสียงกลอง เสียงอะไรอย่างนี้ก็กระโดดแล้ว เต้นแร้งเต้นกาแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่นักปฏิบัติ อดทน สารพัดจะทนหน่อย อดทนต่อคำสั่งสอน อดทนต่อกิเลสของเรา อดทนต่อความขี้เกียจความท้อแท้อะไรพวกนี้ ต้องทน ทนต่อความยากลำบากทางร่างกาย ทนต่อกิเลส อันนี้เป็นความยากลำบากทางจิตใจ อย่างทางร่างกาย ควรจะต้องเดินจงกรม มันเมื่อย เมื่อยก็ต้องเดิน

เมื่อก่อนหลวงพ่อมีลูกศิษย์คนหนึ่งผู้หญิง ทำกรรมฐานอะไรนี่ไม่ได้เลย ต้องเดินๆ อย่างเดียวเลย แกเดินจนแกขาบวม มาทำงานใส่รองเท้าแตะมา เพราะใส่รองเท้าหุ้มอะไรอย่างนี้ หุ้มเท้ามาไม่ได้ เท้ามันบวม แล้วแกบอกแกขึ้นชั้นสองไม่ได้แล้ว ขอไม่เดินบ้างได้ไหม ขอนั่งได้ไหม หลวงพ่อบอกถ้าอยากได้ดี เดิน ถ้าเดินไม่ได้ให้คลานไป เดินจงกรมไม่ได้ให้คลานจงกรม

อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลวงพ่อคิดเอง ครูบาอาจารย์ท่านสอนหลวงพ่อมาอย่างนี้ หลวงพ่อพุธท่านเล่าให้ฟัง บอกมีพระเดินจงกรมจนเท้าแตกแล้วเดินไม่ได้ อันนี้อยู่ในธรรมบท ท่านก็คลานเอา คลานจนหัวเข่าแตก มือแตก ท่านต้องลงไปนอน ท่านก็นอนพลิกตัวไปมา ขยับไปขยับมา แล้วก็เห็นรูปเห็นนามมันทำงาน เห็นทุกข์เห็นโทษของกายของจิตอะไรอย่างนี้ ท่านก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ คนนี้หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็ญ เดิน ก็อดทน เดินจนเดินจะไม่ไหวก็ยังเดิน เขาก็เดินจนได้ดี

ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนละคน คนนี้ก็เดินๆ ขยัน เดินสู้เอา ทำงานหนัก ทำงานหลายบริษัท ทำธุรกิจ ตกค่ำไปดูแลบ้าน ดูแลลูก ดูแลสามี กว่าจะเสร็จภาระทั้งหมด 5 ทุ่ม ถ้าเป็นพวกเราเหนื่อยทั้งวัน เรานอน เขาเดินจงกรม ทำไมต้องเดิน ถ้านั่งแล้วหลับ มันเหนื่อยเต็มทีแล้ว เขาสู้ เขาสู้จนเขาได้ดี ดีมาเป็นลำดับๆ ไม่ใช่ของฟรีของฟลุก ไม่ได้ไปจุดธูปขอใครมา ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ อดทนต่อความลำบากทางร่างกาย ทางจิตใจ สู้

ฉะนั้นวันนี้สอนเรื่องอดทน ครูบาอาจารย์สอนก็ทน อย่ามาน้อยอกน้อยใจ สอนแล้วให้ทำอะไรก็รีบๆ ไปทำเข้า หลวงพ่อเรียนกับท่านพ่อลี ท่านให้ภาวนาหายใจ หลวงพ่อทำอานาปานสติทุกวัน เดี๋ยวนี้ยังทำอยู่เลย ตั้งหลายสิบปีมาแล้ว 60 กว่าปีแล้วยังทำอยู่ หลวงปู่ดูลย์ให้ดูจิต ก็ดูมาเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดหรอก ดูไปเรื่อยๆ อดทน ทนต่อความลำบากทางกาย ทนต่อความลำบากทางจิตใจด้วยอำนาจของกิเลส สู้มัน มันคงไม่แพ้ตลอดกาลหรอก เดี๋ยววันหนึ่งก็สู้ได้ แต่ถ้าไม่สู้ก็แพ้แน่นอน

ถ้าสู้แรกๆ อาจจะผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แต่สุดท้ายจะชนะ แล้วเราจะได้อะไร เราได้รางวัลสำคัญในชีวิต อะไรจะสำคัญกว่าสันติสุขในใจของเรา ทุกวันนี้ที่ดิ้นรนหา หาความสุขนั่นล่ะ แต่มันดิ้นรนไปตามสติปัญญา แค่นี้สุขๆ แล้วมันก็ไม่สุขจริง ถ้าเราภาวนา เราเข้าถึงสันติสุขที่แท้จริงได้ มันมีความสุขจริงๆ บอกไม่ถูก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
23 ตุลาคม 2565