เรียนรู้กายใจด้วยใจปกติ

อย่าให้จิตออกนอก รู้สึกไหมมันออกมาทางหลวงพ่อกัน ธรรมะอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ได้อยู่ที่ครูบาอาจารย์ ไม่ได้อยู่ที่วัด ธรรมะก็มีทั้งธรรมะที่เป็นความปรุงแต่ง เขาเรียก “สังขตธรรม” และธรรมะที่พ้นความปรุงแต่งเขาเรียก “อสังขตธรรม” เรียกนิพพาน เป็นอันเดียว ในสังขตธรรมก็ยังแยกอีกเป็นรูปธรรมนามธรรม ในรูปธรรมนามธรรมนั้นก็ยังแยกเป็นกุศล เป็นอกุศล กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม ธรรมไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล อย่างร่างกายเรานี่ไม่ได้เป็นกุศลอกุศลอะไร

อย่างการที่เราจะรู้สึกรูปธรรม อย่างร่างกายเราอย่างนี้ ขณะนี้ร่างกายเราหายใจออกหรือขณะนี้ร่างกายเราหายใจเข้า ไม่เห็นจะรู้ยากตรงไหนเลย เราละเลยที่จะรู้เท่านั้นเอง อย่างตอนนี้รู้ไหมหายใจออกหรือหายใจเข้า ยากไหมที่จะรู้ รู้ด้วยใจปกติเลย อย่าไปทำใจให้ผิดปกติ นี่ใจไม่เป็นปกติแล้ว รวบจิตเข้ามานิ่งๆ ทื่อๆ จิตใจปกติในการที่เราจะใช้ปฏิบัติธรรม จิตปกติของเราพระพุทธเจ้าท่านเรียกจิตเดิม จิตธรรมดาของเรานี่เอง มันประภัสสรอยู่แล้ว มันผ่องใส แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา แค่อยากปฏิบัติมีโลภะเกิดขึ้น จิตก็ผิดปกติแล้ว

ฉะนั้นเราจะใช้จิตใจของคนธรรมดานี่ล่ะ ปกติอย่างนี้ เรียนรู้กายเรียนรู้ใจ อย่างร่างกายเราหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ไม่ต้องวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ ต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอะไร นี่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเลย เสียเวลา อย่างขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ไม่เห็นยากเลย ตอนนี้ขยับส่ายหัวอย่างนี้ ส่ายหน้า รู้สึก รู้สึกด้วยใจปกติใจธรรมดา ฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากเพราะเรามีความเห็นที่ว่าการปฏิบัติต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ไม่ถูก สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส การปฏิบัติถือศีลบำเพ็ญพรตทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ถึงจะดี แทนที่จะรู้กายอย่างที่กายเป็นรู้ใจอย่างที่ใจเป็น ต้องทำอะไรที่ไม่ธรรมดา

อย่างเราดูร่างกาย ร่างกายเราหายใจมาตั้งแต่เกิด หายใจไม่เหนื่อย พอเราคิดถึงการปฏิบัติเราก็ไปควบคุมการหายใจ กำหนดลงไปต้องหายใจตรงนี้ กระทบตรงนี้ กระทบตรงนี้อะไร อันนั้นเป็นเรื่องของสมถะ สมถกรรมฐาน มันก็ได้สมาธิชนิดสงบไปเฉยๆ ทีนี้สมาธิไม่ได้มีแค่นั้น สมาธิชนิดสงบไปเฉยๆ มีมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก เรามาสร้างสมาธิที่เอื้อต่อการเจริญปัญญา สมาธิตัวนี้เกิดจากสติ ไม่ใช่เกิดจากการน้อมจิตเข้าไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวนิ่งๆ นานๆ สบายใจอยู่แค่นั้น อันนั้นมีก่อนพระพุทธเจ้าอีก

 

สมาธิที่เอื้อต่อการเจริญปัญญาเกิดจากสติ

สมาธิที่เกิดจากสติไม่ได้ยากอะไร ฝึกให้ได้สติก่อน คอยรู้สึกกายไปบ่อยๆ รู้สึกได้ดีเดี๋ยวสติก็เกิด รู้สึกถึงนามธรรมทั้งหลาย อย่างความรู้สึกสุขความรู้สึกทุกข์อะไรอย่างนี้ ถ้ารู้ได้ดีเดี๋ยวสติก็เกิด กุศลอกุศลถ้าเรารู้ หัดรู้เรื่อยๆ เดี๋ยวสติก็เกิด ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร หัดรู้สภาวะไป ร่างกายหายใจออกรู้สึก ร่างกายหายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ร่างกายยืน ร่างกายเดิน ร่างกายนั่ง ร่างกายนอน รู้สึกด้วยจิตปกติ อย่าไปเกร็งขึ้นมา ส่วนใหญ่ชอบไปเกร็งขึ้นมา คิดว่าต้องไม่ธรรมดา ตรงที่คิดว่าต้องไม่ธรรมดามันกลายเป็นสีลัพพตปรามาส งมงาย ลูบๆ คลำๆ การปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติที่ดีอะไรนักหนาหรอก แต่ก็ดีกว่าไม่ปฏิบัติเลยเท่านั้นล่ะ

ขณะนี้นั่งอยู่รู้สึกไหม ขณะนี้ร่างกายเราไหวเล็กๆ ขยับเล็กๆ รู้สึกไหม ขยับอยู่ตลอดเวลา อย่างท้องเรานี่ หายใจท้องก็กระเพื่อมๆ หน้าอกเราก็กระเพื่อม หรือนั่งอยู่หันซ้ายหันขวา ร่างกายก็เคลื่อนไหว การที่เราคอยรู้สึกร่างกายหายใจเข้าหายใจออกอะไรนี่เขาเรียกว่าอานาปานสติ อยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การที่เรามีสติรู้ร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน อันนี้เรียกว่าอิริยาบถ ก็อยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การที่เราเห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นร่างกายหยุดนิ่ง เป็นสัมปชัญญะก็อยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานมันมีหลายหมวด อานาปานสติ อิริยาบถ สัมปชัญญะ เป็นหมวดพื้นๆ คนไม่ได้เล่นฌานไม่ได้เล่นอะไร รู้สึกไปๆ แล้วสมาธิมันเกิดเองล่ะ อย่างถ้าเราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้าเรื่อยๆ หรือเห็นร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน เรื่อยๆ ใจไม่วอกแวกหนีไปไหน รู้สึกอยู่ที่ร่างกายนี่ อันนี้ก็คือจิตอยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่อยู่ในร่างกาย รู้สึกที่ร่างกาย แล้วต่อไปพอร่างกายมันเคลื่อนไหว เราไม่ได้เจตนาจะรู้ มันรู้อัตโนมัติขึ้นมา อย่างนั้นเรียกเรามีสติแล้ว เราได้สติแล้ว ไม่ได้เจตนาจะรู้สึก รู้สึกได้ ร่างกายขยับ รู้สึกๆ กำลังใจลอยอยู่แล้วเกิดขยับตัวนิดเดียว รู้สึกตัวแล้ว เอ๊ย เมื่อกี้หลงแล้ว ตรงที่รู้สึกขึ้นมานั่นล่ะ จิตจะอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา สมาธิจะเกิดอัตโนมัติแล้ว เป็นขณิกสมาธิเกิดชั่วขณะ

นอกจากการดูกายดูอย่างอื่นก็ยังได้ อย่างเราดูเวทนา เวทนาคือความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ในร่างกายเรามีเวทนาอยู่เรื่อยๆ ตรงไหนไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วย เรารู้สึกร่างกายเรามีความสุข ตรงไหนมันเจ็บ มันป่วย มันคัน รู้สึกมันทุกข์ ความรู้สึกในร่างกายอย่างนี้มีอยู่ตลอดเวลา อย่างอากาศหนาวๆ ร่างกายสั่นขึ้นมา ร่างกายไม่ค่อยสบายแล้ว มีความทุกข์ขึ้นในร่างกาย เจ็บไข้ได้ป่วย มีความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกาย

ตอนไหนไม่ได้หนาวจัดร้อนจัด ไม่ได้หิวจัด ไม่ได้กระหายน้ำมาก ไม่ได้ง่วง ไม่ได้เพลีย เราก็หลงว่าร่างกายเรากำลังมีความสุข ที่จริงมันเป็นแค่ช่วงที่ทุกข์มันลดลง ทุกข์น้อยๆ เราจะรู้สึกว่าสุข พอทุกข์เยอะๆ เราจะรู้สึกว่าทุกข์ เหมือนพวกน้ำหอมอะไรอย่างนี้ก็คล้ายๆ กันล่ะ หรือดอกไม้ ดอกไม้บางอย่าง กลิ่นฉุน กลิ่นแรง เราได้กลิ่นไกลๆ เบาๆ เราก็รู้สึกหอม พอเข้าไปดมใกล้ๆ แทบสลบเลยก็มี อย่างดอกราตรี เคยรู้จักไหม ที่วัดก็ปลูก ราตรี

คอยรู้สึก รู้สึก ร่างกายเป็นสุขก็รู้ ร่างกายเป็นทุกข์ก็รู้ รู้สึกไป แล้วต่อไปจะรู้ความจริงที่ลึกซึ้งเข้าไป ร่างกายนี้ไม่ใช่มีแต่สุขกับทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ไม่ใช่มีสุขกับทุกข์ เหมือนกลิ่นดอกไม้ที่ว่า กลิ่นมันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ พอมันเข้มข้นขึ้นมามันเหม็นเลย น้ำหอมอย่างนี้ น้ำหอมเข้มข้นมากไปเรารู้สึกเหม็น ถ้าพอดีๆ แล้วก็ไม่เหม็น ร่างกายนี้โดยธรรมชาติมันทุกข์โดยตัวของมันเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีอารมณ์อื่นมาดึงความสนไจไป มันก็ไม่รู้สึก ไม่รู้สึกว่ามันทุกข์อยู่ หรือเวลามันทุกข์น้อยๆ เรารู้สึกมันสุข นี่ความเข้าใจผิดมันมีแทรกอยู่เรื่อยๆ

หรือเราจะดูเวทนาทางใจก็ได้ คนที่ไม่ได้เล่นฌานหลวงพ่อแนะนำให้ดูเวทนาทางใจ ดูเวทนาทางกายเดี๋ยวสติแตกทนไม่ไหว อย่างครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง แต่ละองค์ที่หลวงพ่อเรียนด้วยท่านทรงฌาน มีฤทธิ์ มีพลังของจิตเข้มแข็ง อย่างท่านนั่งสมาธิ นั่งบนแคร่ไม้ไผ่ ไม้ไผ่พอนั่งลงไปมันจะยุบ แล้วก็พอนั่งยุบปุ๊บแล้วมันก็หนีบกลับเลย ท่านบอกท่านนั่งสมาธิท่านตั้งใจว่าจะนั่งโต้รุ่งเลย พอขึ้นบนแคร่นี่ นั่งปุ๊บมันหนีบ ท่านเจ็บเลย แล้วท่านก็ดูร่างกายก็อันหนึ่ง ความเจ็บปวดก็อันหนึ่ง ถ้าเป็นเรา เราทนไม่ไหว เราไม่ได้ทรงฌานอย่างท่าน อูย โดนหนีบก้นทีเดียวร้องจ๊ากเลย ลุกขึ้นมา บางทีลุกไม่ได้มันหนีบอยู่ ลำบาก

ฉะนั้นเวทนาทางกายนี่ถ้าเราไม่ได้ทรงฌานจริง เล่นยาก เวลาเจ็บเวลาปวดอะไรนี่ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง คนบาดเจ็บล้มตายไม่ค่อยมียา หลวงปู่แหวนท่านเป็นฝี ก็มีทหารเสนารักษ์ เขาไม่ใช่หมอจริงก็ไม่ได้ฝึก ได้อะไรบ้างนิดหน่อย การทำแผลอะไรพวกนี้ ก็ไปผ่าให้ท่าน ไม่มียาชาก็ผ่า บอกว่านี่ผมขออนุญาตผ่าแล้ว ท่านบอกเดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวถ้าท่านส่งสัญญานแล้วก็ผ่าได้ ท่านก็เข้าสมาธิ พอเข้าสมาธิแล้วถอยออกมานิดหนึ่ง เอ้าผ่าได้ละ ไม่มียาชา นอนนิ่งๆ ให้เขาผ่าไป ถ้าเราไม่ได้ทรงฌานอย่างครูบาอาจารย์ เราร้องป่าแตกเลย ร้องบ้านแตกเลย

 

การปฏิบัติ ถนัดอันไหนเราเอาอันนั้น

ฉะนั้นเวทนาทางกายคนที่จะเล่นได้ดีต้องทรงสมาธิทรงฌานจริงๆ แต่เวทนาทางใจไม่จำเป็น เวทนาทางใจอย่างพวกเราทำได้ทุกคน เราก็แค่สังเกตขณะนี้ใจเรามีความสุข หรือว่าใจเรามีความทุกข์ หรือใจเราเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ สังเกตแค่นี้เอง ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้มีความสุขหรือไม่มีความสุข ไม่เห็นยากเลย มันก็ง่ายๆ เหมือนอย่างตอนนี้หายใจออกหรือหายใจเข้านั่นล่ะ ธรรมดา ง่ายๆ

เพราะฉะนั้นตอนนี้ใจเรามีความสุขก็รู้ ใจเราเป็นทุกข์ก็รู้ ใจเราเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ ภาวนาอย่างอื่นไม่เป็น รู้แค่นี้ล่ะ วันหนึ่งก็จะได้มรรคผลนิพพานได้เพราะเจริญเวทนานุปัสสนา เราดูเวทนาทางใจเราไปเรื่อยๆ ท่านพระสารีบุตรก็ได้ฟังธรรมเกี่ยวกับการเจริญเวทนา เวทนานุปัสสนานี่ มีหลานท่านชื่อทีฆนขะ ทีฆนขะชื่อจริงชื่ออะไรไม่รู้ แต่เรียกทีฆนขะแปลว่านายเล็บยาว คงไม่ยอมตัดเล็บ นายนี่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เขาคิชฌกูฏที่ถ้ำสุกรขาตา แล้วก็ไปทูลพระพุทธเจ้าบอกว่า อะไรๆ ก็ไม่ควรแก่ข้าพระองค์ หมายถึงไม่ยึดถืออะไรเลย ผมไม่ยึดถืออะไรสักอย่างแล้ว อะไรๆ ก็ไม่สมควรที่จะยึดถือเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าก็ยังยึดถือความเห็นว่าจะไม่ยึดถือ แล้วท่านก็สอนเกี่ยวกับการรู้เวทนา

ท่านพระสารีบุตรนั่งพัดให้พระพุทธเจ้าอยู่ นั่งอยู่ข้างหลังฟังไปเรื่อยๆ เรื่องเวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ พอเวทนาเกิด อะไรตามมา กิเลสก็จะแทรกตามเวทนา อย่างเวลามีความสุขเกิดขึ้นก็มักจะมีราคะแทรกเข้ามา เวลามีความทุกข์โดยเฉพาะถ้าเป็นความทุกข์ทางใจมีโทสะแน่นอน มีโทสะแทรก ท่านก็ฟังไปเรื่อยๆ เรื่องเวทนา ไม่ใช่แค่รู้หยุดอยู่แค่ว่าตอนนี้สุขหรือตอนนี้ทุกข์หรือตอนนี้เฉยๆ ตรงที่ท่านเจริญปัญญาดูเวทนานี่ ท่านดูลึกลงไปเรื่อยๆ ก็เห็นเวทนาเกิดขึ้นจากผัสสะ มีการกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เกิดความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ขึ้นมา แล้วกิเลสก็แทรกตามเวทนามา

พอมีกิเลสมามันจะผลักดันให้เกิดตัณหาเกิดอยาก อย่างเวลามีความสุขก็อยากให้อยู่นานๆ อยากให้ความสุขอยู่นานๆ ด้วยอำนาจของโลภะ ความสุขหายไปก็หิวโหย อยากได้มาซึ่งความสุข ตรงที่ความสุขยังไม่มี อยากให้มันมาก็เป็นความอยาก อยาก เรียกว่ากามตัณหา อยากได้ความสุข พอมีความสุขก็อยากให้มันคงอยู่เรียกว่าภวตัณหา พอเจอความทุกข์ก็อยากให้มันหมดไปสิ้นไปเรียกว่าวิภวตัณหา พอตัณหาเกิดก็จะผลักดันให้จิตทำงานสร้างภพสร้างชาติสร้างทุกข์ขึ้นมา นี่ท่านพระสารีบุตรท่านฟังๆ แล้วท่านบรรลุพระอรหันต์

ฉะนั้นการปฏิบัติไม่ใช่ว่าต้องสตาร์ตที่กายหรือสตาร์ตที่จิต ไม่ใช่หรอก เราถนัดอันไหนเราเอาอันนั้นล่ะ บางท่านดูกายเป็นหลักแล้วก็บรรลุพระอรหันต์ อย่างท่านพระอานนท์ท่านดูกาย ท่านพระสารีบุตรท่านดูเวทนา บางท่านก็ดูจิต จิตเป็นกุศลอกุศลอะไรอย่างนี้ท่านรู้ หรือพระอนุรุทธ พระอนุรุทธะท่านดูจิตใจ บางท่านเจริญธัมมานุปัสสนา อย่างพระพุทธเจ้าเราเจริญธัมมานุปัสสนาในหมวดที่เรียกว่าสัจจบรรพ เพราะฉะนั้นเรารู้เราเห็นสภาวะ รู้กายก็รู้ด้วยใจธรรมดา รู้เวทนาก็รู้ด้วยใจธรรมดานี้เอง แล้วเราจะเห็นเลยอย่างจิตใจเรามีความสุขมีความทุกข์ มันจะดิ้นรน ก็ปรุงแต่งต่อ ก็มีสติตามรู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็รู้แจ้งแทงตลอด

หลวงพ่อตอนที่หัด หลวงพ่อทำอานาปานสติ เป็นสมถะไม่ใช่วิปัสสนาตอนนั้น อานาปานสติทำวิปัสสนาก็ได้ อย่างขณะนี้เราเห็นร่างกายหายใจออกหายใจเข้า ร่างกายที่หายใจออกไม่เที่ยง ร่างกายหายใจเข้าไม่เที่ยง ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก อันนี้เราเดินปัญญา แต่หลวงพ่อตอนหัดทีแรกเรียนจากหลวงปู่ดูลย์ท่านให้ดูจิต หลวงพ่อเลยเดินปัญญาด้วยการดูจิต ตัวแรกที่เห็นคือจิตโกรธ เพราะว่านิสัยหลวงพ่อขี้โมโห อย่างแค่ใครมาคุยด้วยแล้วคุยยาวไม่เลิก รำคาญๆ พูดอะไรยาวๆ เสียเวลา ชีวิตคนเราสั้นนิดเดียวเอาเวลามานั่งคุยยาวๆ อย่างนี้ไม่ไหว เสียเวลา เสียดายเวลา

ฉะนั้นจะเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ฉะนั้นเวลาเราภาวนาสภาวะที่เกิดบ่อยคือความหงุดหงิด หลวงพ่อก็เห็นตาเห็นรูป เห็นรูปอันนี้ก็หงุดหงิด อย่างเรานั่งรถไปเห็นรถติดเยอะๆ หงุดหงิดแล้ว เป็นไหม ใครเป็นบ้าง อยู่บนถนนเห็นรถติดเยอะๆ ใจมันหงุดหงิด หรือว่าเกิดเบิกบาน มีไหม ยกมือให้ดูสิ ใครรถติดแล้วเบิกบานก็เก่ง เก่งแบบไม่เหมือนชาวบ้าน

หลวงพ่อตาเห็นรูปก็หงุดหงิด ได้ยินเสียงก็หงุดหงิด กลางคืนบ้านในเมือง บ้านก็ใกล้ๆ กัน แต่เป็นหลังๆ บ้านข้างๆ เลี้ยงหมา หมากลางวันนอนเงียบๆ ไม่มีเสียง กลางคืนจะตื่นวิ่งไปวิ่งมา หน้าบ้าน หลังบ้าน ข้างบ้าน แล้วเห่าไปเรื่อยๆ ลมพัดใบไม้ไหวมันก็เห่า มีอะไรมันก็เห่าไปเรื่อยๆ เห็นจิ้งจกตุ๊กแกอะไรมันก็เห่า เราจะนอนมันได้ยินเสียง เวลาเราจะนอนแล้วมีเสียงรบกวนอย่างนี้ สดชื่นไหม แต่บางคนได้ยินเสียงแล้วสบายใจก็มี อย่างบางคนเปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายใจ ฟังแล้วสบายใจก็ได้ เห็นไหม หูได้ยินเสียงมีความสุขก็ได้

แต่หลวงพ่อเป็นคนขี้รำคาญกระทั่งฟังเพลง ถ้าฟังเพลงยาวๆ หลายๆ เพลง รำคาญ ฟังทำไมเสียเวลา จะรู้สึกหงุดหงิด นี่หูได้ยินเสียง ใจหงุดหงิดแล้ว ก็รู้ทันว่าใจหงุดหงิด จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสอะไรมันพร้อมจะหงุดหงิด เพราะนิสัยชอบหงุดหงิด คุ้นเคยอย่างนั้น คุ้นเคยกับโทสะ นี่เป็นพวกตกนรกมาเกิด พวกโทสะครอบงำบ่อยๆ บางทีไม่มีอะไรใครไม่มีมากระทบภายนอก ความคิดกระทบใจเรายังหงุดหงิดเลย เวลาใจเราฟุ้งซ่าน รำคาญไหม

นั่งสมาธิใจมันฟุ้งไม่ยอมสงบเลย รำคาญ หงุดหงิดอีกแล้ว หลวงพ่อปฏิบัติไม่ใช่ฝึกให้หายหงุดหงิด แต่จิตหงุดหงิดรู้ว่าหงุดหงิด จิตรำคาญรู้ว่ารำคาญ แล้วเราต่อไปพอฝึกไปเรื่อยๆ ก็เห็น ความหงุดหงิดใจความรำคาญใจไม่ใช่จิตหรอก มันเป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งที่แทรกเข้ามาในจิต จิตไปรับรู้มันเท่านั้นเองมันก็หมดสภาพ ถ้าจิตรู้ไม่ทันความหงุดหงิดโทสะนี้ก็ครอบงำจิต จิตก็เดือดร้อนดิ้นรนไปตามอำนาจของมัน

 

สติทำหน้าที่จับ ปัญญาทำหน้าที่ตัด

หลวงพ่อหัดดูจิตๆ แรกๆ ตัวแรกที่เห็น ตัวโทสะนี่ล่ะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์จะมีความหงุดหงิดเกิดขึ้น ก็ตามรู้ตามเห็นไป แล้วเราก็จะเห็นความหงุดหงิด เราไม่ได้เจตนาให้เกิด มันเกิดเอง เวลามันกระทบอารมณ์หรือมันไม่พอใจ กระทบอารมณ์ อารมณ์ที่ไม่ถูกใจอย่างนี้ ความหงุดหงิดก็เกิดขึ้น บางทีอารมณ์ถูกใจ อย่างเช่นบางทีฟังเพลง แหม เพลงแรกนี่เพราะถูกใจ เพลงที่สาม เพลงที่สี่ รำคาญ เห็นไหมจิตมันพลิกไปพลิกมา เราตามเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อยๆ ธรรมดานี่เอง เห็นไหมไม่ใช่เรื่องพิสดารเลย

ถ้าใจเรามีความโกรธเราก็รู้ไป แล้วต่อไปปัญญามันเกิด ความโกรธไม่ใช่จิต ความโกรธเป็นแค่สภาวธรรมอีกอันหนึ่งที่ผ่านเข้ามาสู่ความรับรู้ของจิต ถ้าเราภาวนาไม่เป็น เวลาโกรธเราจะรู้สึกว่าเราโกรธ แต่ถ้าเราภาวนาเป็น เราแยกขันธ์ได้เราจะเห็นว่าความโกรธก็ส่วนหนึ่ง จิตที่รับรู้ความโกรธก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง จิตไม่เคยโกรธ จิตเป็นแค่ตัวรับรู้ นี่ความโกรธมันแยกออกจากจิต แล้วทันทีที่สติรู้ทันว่ามันโกรธ แล้วจิตแยกผางออกมาตั้งมั่นขึ้นมา ตรงที่จิตแยกตัวออกมาตั้งมั่นขึ้นมาเรียกว่ามันมีสัมมาสมาธิ

สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ปัญญาทำหน้าที่ตัด ทำหน้าที่ตัด สติทำหน้าที่จับ ปัญญาทำหน้าที่ตัด อย่างพอความโกรธผุดขึ้นมาสติจับได้เลย อยู่นี่ล่ะ แล้วปัญญาตัดโครมเลย ขาดสะบั้นทันทีเลย ขาดสะบั้น ถ้าจิตเราตั้งมั่น ถ้าจิตเราไม่ตั้งมั่นเราก็ฟุ้งๆๆ ไป แล้วจะมาสงสัย เอ มีสติรู้สภาวะรู้อกุศลแล้วทำไมไม่ดับ สติยังอ่อนไป ถ้าสติถูกต้องแข็งแรง สัมมาสมาธิอัตโนมัติจะเกิด พอมีสัมมาสมาธิ ปัญญามันเกิด สติระลึกรู้อะไรปุ๊บ ปัญญาเห็นไตรลักษณ์ตรงนั้นเลย สภาวะอันนั้นขาดสะบั้นเลย

เพราะฉะนั้นการที่เรามีจิตที่ตั้งมั่นแล้วเห็นไตรลักษณ์เป็นเรื่องใหญ่ ที่เขาภาวนากันแทบเป็นแทบตายแล้วไม่ได้ผล อันแรกเลยสติไม่ถูก เมื่อสติไม่ถูก สมาธิมันก็ไม่ถูก สติไม่ถูกเป็นอย่างไร สติมีหน้าที่ระลึกรู้ รู้อะไรมาก็รู้ คล้ายๆ เราจับอารมณ์นี้ได้ ไม่ได้หลงสะเปะสะปะเรื่อยเปื่อยไป มันจับอารมณ์นี้ได้ มันรู้สึก ความโกรธผุดขึ้นรู้สึก ทีนี้เวลาที่ภาวนากันส่วนใหญ่แทนที่จะรู้สึกกายอย่างที่กายเป็น รู้สึกจิตใจที่ทำงาน สุข ทุกข์ ดี ชั่ว อะไรเกิดแทนที่จะรู้สึก ไม่หรอก เพ่งลูกเดียวเลย กำหนดลงไป กำหนดลงไป รู้ลมหายใจก็ต้องกำหนดที่ลมหายใจ กำหนดคือกดเอาไว้ กดอะไร กดจิตตัวเองให้มันอยู่กับลม จิตพอถูกกดจิตก็เครียด จิตเครียดจิตก็ไม่เกิดสมาธิ เพราะว่าความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ

พอเริ่มต้นก็ผิดแล้ว เริ่มต้นด้วยการบังคับข่มเอา ใจก็เครียด มันก็ไม่ถูก ชอบเอา ชอบไปเพ่งจ้อง เกือบร้อยละร้อยของนักปฏิบัติ รู้ลมหายใจก็เพ่งลมหายใจ จิตก็ถลำลงไปที่ลมหายใจ ดูท้องพองยุบจิตก็ถลำลงไปที่ท้อง เดินจงกรมบางทีจิตถลำลงไปอยู่ที่เท้า บางคนก็มาอีกแบบ ถอดจิตขึ้นไปอยู่เหนือหัวขึ้นไปสักวาหนึ่งหรือศอกหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับมองลงมาจากข้างบน นี่ไม่ใช่การเจริญสติอะไรเลย เป็นเรื่องการดัดแปลงจิต เห็นไหมจิตไม่ธรรมดา จิตถอดออกจากร่างกาย

ต้องใช้จิตธรรมดาๆ แล้วรู้สึกไป รู้สึกร่างกายหายใจออกหายใจเข้า ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง รู้สึกถึงความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกเฉยๆ ในใจ เห็นสุขทุกข์เฉยๆ เป็นของถูกรู้ไม่ใช่เรา ร่างกายก็เป็นของถูกรู้ไม่ใช่เรา นี่จิตมันตั้งมั่น ปัญญามันถึงเกิด มันจะเห็นไตรลักษณ์ได้ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นเวลาเรารู้กายจิตจมลงไปในกาย แต่ถ้าจิตเราตั้งมั่นเวลารู้สึกร่างกาย สติระลึกรู้กาย จิตมันตั้งมั่นเป็นแค่คนดู ดูอยู่ห่างๆ จะเห็นว่าร่างกายกับจิตนั้นคนละอัน แล้วร่างกายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตก็ตกอยู่ไตรลักษณ์

ดูเวทนา สติระลึกรู้เวทนาจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา แล้วมันก็เห็นเวทนาก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ อย่างหลวงพ่อหัดดูโทสะอย่างนี้ ทีแรกก็เป็นเราโกรธ ต่อมาสติเร็วขึ้น พอความโกรธเกิดขึ้น มันรู้โดยไม่เจตนาจะรู้ว่ากำลังโกรธละ ความโกรธเกิดขึ้นละ พอรู้โดยไม่เจตนาจะรู้จิตตั้งมั่นปั๊บเลย จิตไม่หลงไปในความโกรธ จิตไม่ไหลเข้าไปจมอยู่ในความโกรธ จิตถอนตัวตั้งมั่นขึ้นมา ปัญญาก็เกิดทันทีเลย พอสติระลึกรู้โทสะ ระลึกอย่างถูกต้อง ไม่จงใจระลึก ถ้าจงใจไปเพ่งโทสะ ไม่ใช่สัมมาสมาธิเลย ต้องสติระลึกรู้โดยไม่ได้เจตนา

ค่อยๆ ฝึก ไม่ใช่โลภ ถ้าเริ่มด้วยความโลภไปไม่รอดแล้ว ฉะนั้นต้องฝึกแต่ทีแรกต้องโลภก่อน ก็จงใจฝึกไปก่อน จงใจรู้สึกไปก่อน แล้วก็ต่อมาค่อยๆ สังเกตนี่จงใจเยอะไปมันแน่น จงใจมากจะอึดอัด มันจะค่อยๆ คลายออก แล้วต่อมาเราไม่เจตนาจะรู้ มันรู้ อย่างถ้าเราเคยฝึกขยับร่างกายแล้วรู้สึกๆ อย่างนี้ พอเราเผลอตัว พอเราขยับปั๊บนี่ สติเกิดเองเลย สติระลึกรู้ร่างกายโดยไม่เจตนาเลย ไม่มีโลภะแทรก สัมมาสมาธิเกิด จิตจะดีดตัวผางขึ้นมาตั้งมั่นขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นขึ้นมาปุ๊บมันจะเห็นว่าโทสะกับจิตคนละอันกัน แล้วโทสะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เดี๋ยวมันก็แยกออกมาจากอารมณ์ เดี๋ยวมันก็จมลงไปในอารมณ์ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป

นี่ถ้าเราดูจิต จิตตานุปัสสนา ดูจิตที่เป็นกุศลอกุศล ก็ดูอย่างนี้ ให้สติระลึกรู้ ไม่ใช่ไปนั่งจ้อง อย่างที่หลวงพ่อบอกว่าจะดูจิตอย่าไปจ้องจิต อย่าไปเพ่งจิต ให้ความรู้สึกเกิดแล้วค่อยรู้ อย่าไปรอดู อย่าไปดักดู จะดูจิตแล้วไปจ้องเมื่อไรความรู้สึกมันจะเกิด ไปจ้อง มันก็เฉยๆ ไม่เกิดหรอก เพราะขณะนั้นไปเพ่งไว้ ไปกดเอาไว้ ไปบังคับเอาไว้ จิตก็นิ่งๆ

ฉะนั้นเวลาที่เราจะดูจิตดูใจ ธรรมดามากเลย คนเขาด่าเรา ใจเราโกรธ เราก็เห็นความโกรธมันผุดขึ้นมา ถ้าเราไปนั่งเพ่งไว้ ให้ด่า 3 วัน 3 คืน ก็ไม่โกรธ ผิดธรรมชาติแล้ว ทีนี้เราอย่าไปนั่งถลำลงไปจ้อง เอาสติไปเพ่งไปจ้อง ใช้ไม่ได้ ไม่เดินปัญญาหรอก แต่ถ้าถูกเขาด่า โทสะพุ่งขึ้นมา เห็นโทสะเกิดขึ้น สติระลึกรู้โทสะ จับอารมณ์ได้แล้ว จับตัวนี้ไม่ได้จับแบบเอาเป็นเอาตาย หมายถึงมันรู้ทันแล้วมีตัวนี้เกิดขึ้น สติเป็นตัวรู้ทัน จิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติ เรียกว่ามีสัมมาสมาธิแล้ว พอมีสัมมาสมาธิแล้วปัญญาจะเกิด เพราะสัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา สติไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา สัมมาสมาธิทำให้เกิดปัญญา

 

กิเลสเกิดให้รู้ ไม่ใช่ให้ละ

ฉะนั้นนั่งเอาสติไปเพ่งๆๆ เป็นสติที่เป็นมิจฉาสติ ก็ได้มิจฉาสมาธิ ก็ไม่มีปัญญา ถ้ามีก็มีความหลงผิด ฉะนั้นที่หลวงพ่อทำก็คือจิตมันโกรธก็เห็น ไม่ใช่ไปรอดูว่าเมื่อไรจะโกรธ ถ้ารอดูก็ผิดอีกแล้ว ให้ความโกรธมันเกิดขึ้นมาแล้ว อ๋อ โกรธแล้ว พอเห็นอย่างนี้ปุ๊บ สติมันรู้ปั๊บ จิตมันตั้งมั่นเองเลย สัมมาสมาธิเกิดอัตโนมัติ แล้วปัญญาจะเกิดเห็นความโกรธกับจิตนี่เป็นคนละอันกัน แยกออกจากกันเลย

ทีนี้พอแยกตัวแรกได้แล้ว ต่อไปก็แยกตัวอื่นได้ จะไม่ยากแล้ว ฉะนั้นอย่างเราจะหัดดูนามธรรม ไม่ต้องดูทีเดียว 52 ตัว ตัวเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตมีตั้ง 52 ชนิด เราไม่ต้องดูทั้งหมดหรอกเพราะเราก็ไม่ได้มีทั้งหมด อย่างเจตสิกบางตัวเป็นของคนทรงฌาน เราไม่ได้เล่นฌานเราก็ไม่มี ฉะนั้นเรามีไม่ทั้งหมดหรอก เรามีตัวไหนเราก็ดูตัวนั้น ตัวไหนเกิดบ่อยเอาตัวนั้นเป็นหลัก ใช้ตัวนั้นเป็นหลัก

อย่างหลวงพ่อโทสะเกิดบ่อยก็ใช้โทสะเป็นหลัก โกรธแล้วรู้ โกรธแล้วรู้ไปเรื่อย เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอก ภิกษุทั้งหลาย จิตมีโทสะให้รู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีโทสะรู้ว่าไม่มีโทสะ นี่เอาตัวเดียวก่อน ตัวที่มันเยอะๆ ตัวที่มันบ่อยๆ ทีนี้พอหลวงพ่อเห็นโทสะเป็นแล้ว ต่อไปโลภะเกิดเราก็เห็น เพราะมันก็เป็นสิ่งแปลกปลอมขึ้นในจิตในลักษณะเดียวกับโทสะนั่นเอง เกิดมาแบบเดียวกัน กระทบอารมณ์แล้วมันจะตีความได้ว่าอารมณ์นี้น่าพอใจ จิตมันพอใจ ราคะก็แทรกขึ้นมา แล้วจะเห็นราคะมันผุด สติรู้ราคะที่มันผุดขึ้นมาโดยไม่ได้จงใจ ไม่ได้มีโลภะที่จะรู้ ราคะผุดปุ๊บมีสติรู้ สัมมาสมาธิความตั้งมั่นเกิดอัตโนมัติเลย แล้วเราก็เห็นว่าโลภะหรือราคะอะไรกับจิตคนละอันกัน

แล้วโลภะนี่เราไม่ได้เจตนาให้เกิด มันมีเหตุคือมันกระทบอารมณ์ที่พอใจมันก็เกิด พอมันไม่ได้กระทบอารมณ์ที่พอใจ อย่างเรามีสติรู้ทัน เราไม่ได้ไปสนใจที่ตัวอารมณ์ที่มากระทบแล้ว แต่เรารู้ทันจิตใจตัวเองว่ากำลังมีโลภะ เห็นไหมจิตมันเปลี่ยนอารมณ์ สมมติทีแรกเห็นสาวงาม พอเห็นสาวงามแล้วจิตเกิดราคะ แล้วเรามีสติรู้ว่าราคะเกิด ขณะนั้นสิ่งที่เป็นอารมณ์ให้จิตรู้คือราคะ ไม่ใช่สาวงามแล้ว สาวงามเป็นอดีต เป็นอารมณ์ในอดีตที่จบไปแล้ว

ฉะนั้นเราเห็นราคะปุ๊บ ราคะจะดับอัตโนมัติ จิตตั้งมั่นขึ้นมา สติระลึกรู้ราคะ สติถูกต้องก็เกิดสัมมาสมาธิ มีสมาธิถูกต้อง มันแยกตัวออกมา มันเห็นว่าราคะกับจิตนี่เป็นคนละอัน ราคะไม่ใช่จิต ราคะมีเหตุราคะก็เกิด คือกระทบอารมณ์ที่พอใจ พอหมดเหตุราคะก็ดับ อย่างเราเห็นสาวงามนี่เป็นเหตุให้เกิดราคะ แล้วพอเราเห็นราคะ อันนี้เราไม่ได้ดูสาวงามแล้วนึกออกไหม เราเปลี่ยนแล้ว จิตเราเปลี่ยนมาดูที่ราคะนี่ ราคะเป็นอารมณ์ที่เราชอบไหม กิเลสพอเห็นปุ๊บ ของแปลกปลอม เป็นของแปลกปลอมจิตไม่เอาหรอก จิตมันไม่เอากิเลสเอง

ฉะนั้นถ้าเราหัดภาวนาเป็น หัดดูจิตเป็น เราไม่ต้องละกิเลส หลวงพ่อบอกตรงๆ เลย เราไม่ต้องละกิเลส สติเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิเกิดเมื่อไร ปัญญาทำลายล้างกิเลสดับไปแล้วเรียบร้อย แล้วปัญญาก็ลึกซึ้งไปเรื่อยๆ ค่อยๆ สะสมๆ เรื่อยๆ แล้วมันก็จะรู้ กิเลสไม่ใช่จิตหรอก นี่ปัญญาเบื้องต้น ต่อไปก็จะเห็นกิเลสมีเหตุก็เกิด กิเลสหมดเหตุมันก็ดับ นี่ก็เป็นปัญญาที่เขยิบขึ้นมาอีกหน่อย รู้เหตุรู้ปัจจัยของมัน แล้วดูต่อไปอีกเราก็เห็นมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับ มันเป็นไปเอง มันเป็นอนัตตา แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันเกิดมาแวบเดียว พอรู้ทันมันก็ดับ เราไม่ต้องดับมัน ฉะนั้นเวลาถ้าเราทำสมถะแล้วมันเกิดกิเลสนี่ เราแก้ไขจิตพยายามละกิเลส แต่ถ้าเราเจริญวิปัสสนาเจริญปัญญานี่ เราไม่ละกิเลส กิเลสเกิดให้รู้ ไม่ใช่ให้ละ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีราคะให้รู้ว่ามีราคะ เห็นไหมไม่มีตรงไหนเลยบอกให้ละราคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีโทสะรู้ว่าไม่มีโทสะ จิตหลงก็รู้ จิตรู้สึกตัวไม่หลงก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตหดหู่ก็รู้ มีแต่คำว่ารู้

เพราะฉะนั้นเวลากิเลสเกิด สติเราระลึกรู้ รู้ปั๊บสมาธิจะเกิดเอง แล้วขันธ์มันแยก กิเลสกับจิตจะแยกตัวออกจากกัน แล้วมันก็จะเห็นต่อไป กิเลสมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตามที่เราสั่งได้ มันจะเกิดขึ้น หรือมันจะตั้งอยู่ หรือมันจะดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ ตรงนี้เราขึ้นวิปัสสนาแล้ว ถ้าเราสามารถเห็นไตรลักษณ์ได้ ถ้าคิดเรื่องไตรลักษณ์ยังไม่เป็นวิปัสสนา อย่างเราคิดว่าร่างกายเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อันนี้ยังเป็นสมถะอยู่ เราก็ข่มราคะได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าเป็นวิปัสสนาไม่ได้คิดเอา แต่เห็นเอา รู้สึกเอา แล้วรู้สึก เออ ราคะมันก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มันมาแล้วมันก็ไป มันอยากมามีเหตุมันก็มา ไม่มีเหตุมันก็ไม่มา มันมีเหตุมันก็มา พอหมดเหตุมันก็ไป

อย่างราคะเราเห็นสาวสวยจิตมีราคะ พอเราเปลี่ยนอารมณ์ไม่ได้ไปดูสาวสวย ไปดูอย่างอื่นแทนปุ๊บ อย่างเราดูกิเลสตัวเองปุ๊บ หรือเราดูลมหายใจ หรือเราดูอย่างอื่นก็ตาม เราเปลี่ยนอารมณ์แล้ว ไม่ได้เป็นอารมณ์ที่ทำให้มีราคะ ราคะก็ดับ เห็นไหมเราบังคับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เรียนเพื่อบังคับตัวเอง ไม่ได้เรียนเพื่อบังคับจิต ไม่ได้เรียนเพื่อละกิเลส แต่เราจะเรียนจนกระทั่งเราเข้าใจความจริง ขันธ์ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งหมด ถ้าเห็นอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าเราเจริญปัญญาได้

พอเข้าใจไหม พยักหน้าเห็นไหมตัวนี้กระดุกกระดิก รู้สึกไหมตัวนี้ไม่ใช่เราหรอก ตัวนี้ทำไมมันเคลื่อนไหวได้ มันก็มีเหตุ เหตุอะไร จิตมันสั่งให้มันเคลื่อนไหว มันก็เคลื่อนไหวก็แค่นั้นเอง ดูเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา สุขทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา ดีชั่วไม่ใช่ตัวเรา สุดท้ายมันจะเห็นกระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา ค่อยๆ ฝึกไป

 

วันนี้สมควรแก่เวลา เลิกก่อน 5 นาที เพราะว่าหลวงพ่อเริ่มก่อน 5 นาทีพอดี ปีใหม่ก็ขออวยพรให้พวกเราทุกๆ คนให้ขยันภาวนา สังเกตกายสังเกตใจตัวเอง อย่าขี้เกียจ วันข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตเรา เราไม่รู้ ฉะนั้นเราต้องเตรียมความพร้อมให้พร้อมที่สุดเลย ประเภทถ้าเราจะต้องตายวันนี้ก็ตายได้ ไม่กลุ้มใจ ไม่ห่วงหน้าห่วงหลัง ไม่ว่าอะไรจะเกิดในชีวิตเรา เราต้องมีความสุขได้ทุกๆ วัน คือถ้าเรามีสติรู้กายรู้ใจอยู่อย่างนี้ เราเห็นกายเห็นใจมันเป็นทุกข์ แต่จิตใจมันสงบสุข ฉะนั้นเราจะมีความสุขอยู่ได้ทุกๆ วันเลย เจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังมีความสุขได้ จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็มีความสุขได้ เจอคนนี้หรือไม่ได้เจอคนนี้ จิตใจก็ยังมีความสุขได้

เพราะฉะนั้นเราภาวนาบ่อยๆ มีสติรู้กายรู้ใจไป ถนัดรู้อะไรเอาอันนั้น ให้รู้ อย่าเพ่ง เพ่งแล้วมันเหนื่อย เครียด นี่คำอวยพรหรือเปล่า ฟังแล้วแปลกๆ ให้อวยพรบอกว่าให้มีความสุขความเจริญร่ำรวย อวยพรไม่เป็น เราถือศีลเดี๋ยวศีลข้อ 4 ด่างพร้อย ขอให้ทุกคนรวย มันจะรวยได้อย่างไร บางคนก็รวย บางคนก็ไม่รวย ให้สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ไข้ จริงไหม ไม่จริง ฉะนั้นหลวงพ่อเลยพูดไม่ออก อวยพรแบบนั้นรู้สึกมันมุสาวาทนิดๆ แต่ด้วยเจตนาดี ให้กำลังใจ ให้กำลังใจแล้ว ความทุกข์ขณะนี้ทุกข์อยู่ ข้างหน้าก็มีทุกข์รออยู่อีก สู้นะ นี่ให้พร

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
26 มกราคม 2568