บ้านที่แท้จริง

วัตถุมงคลที่ดีที่สุดตอนนี้คือมาสก์ กับพวกแอลกอฮอล์ เจลล้างมืออะไรพวกนี้ แล้วก็สติของเรา รอบคอบ ที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือมีสติ ไม่ใช่แค่รู้ทันความเคลื่อนไหวของร่างกาย ต้องรู้เท่าทันใจของเราด้วย อย่าเครียด ถึงเราจะเครียดโรคมันก็ไม่ได้หายไป เพราะความเครียดของเรา แต่เราจะป่วยทางจิตใจเข้าไปอีกทางหนึ่ง ฉะนั้นรักษาใจของเราไว้ให้ดี ถ้าเราระวังเต็มที่แล้วอะไรจะเกิดมันก็แล้วแต่กรรม ถ้าเราทำกรรมดีเต็มที่แล้ว เรามีสติมีปัญญารักษาตัวเอง ถ้าต้องเป็นอะไรขึ้นมา ก็เป็นเรื่องของกรรมแล้ว

เราพยายามฝึกตัวเองตอนนี้ ทางหมอสาธารณสุขอะไรพวกนี้ เขาก็แนะนำข้อปฏิบัติ อันนั้นสำหรับดูแลร่างกายเราไม่ให้ติดเชื้อหรือติดเชื้อแล้ว ไม่ให้เป็นมาก ไม่ให้ตาย ในทางใจไม่มีใครมารักษาให้เราได้ เราต้องรักษาของเราเอง ถ้ามีสติรู้ทันจิตใจตัวเองได้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อย่างบางคนติดเชื้อแก่แล้วเข้าไอซียู ยังมีสติอยู่ ใช้เครื่องช่วยหายใจ ยังไม่ตาย ลมไหลเข้าไปในกายก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ ไม่ตกใจ ไม่คร่ำครวญ มีสติ ป่วยด้วยความมีสติอยู่ มีจิตตั้งมั่นเห็นร่างกายมันป่วย ใจเป็นแค่คนรู้คนดู ฝึกตัวเองอย่างนี้ ถ้าตายก็ไปสุคติได้

 

หัดทิ้งหัดวาง

อย่างถ้าเราไปสุคติไปเป็นเทวดา เราจะรู้เลยว่าชีวิตมนุษย์สั้นนิดเดียว ไม่น่าหวงเท่าไร ไม่น่าเสียดายเท่าไร อยู่ร้อยปีสั้นนิดเดียว พวกเทวดาอย่างชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งคืนหนึ่งเท่ากับร้อยปีมนุษย์ ในตำราเคยมีนางฟ้าออกมาเที่ยวสวนอยู่กับพระอินทร์ แล้วแกเกิดตาย มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในโลกหลายสิบปี มีลูกมีหลานเยอะแยะเลย แล้วแกตายอีกทีจากมนุษย์กลับขึ้นไป ยังอยู่ในสวนเลย ยังไม่ได้ออกจากสวนเลย พรรคพวกก็เห็นว่าหายไปแป๊บเดียว ฉะนั้นชีวิตมนุษย์จริงๆ สั้นนิดเดียว ถ้าจะต้องสูญเสียจริงๆ ก็อย่าไปตกใจ ตั้งใจภาวนาไปมีสติไป บุญบารมีมากพอ หายใจแขม่วๆ อยู่ เห็นธาตุเห็นขันธ์มันทำงาน เห็นธาตุเห็นขันธ์มันไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา ตอนตายอาจจะได้ธรรมะ สมัยพุทธกาลก็มีฆราวาสนี่ล่ะ ขณะที่จะตายบรรลุพระอรหันต์มีตั้งหลายองค์อันนั้นเขาตายเป็น ตายด้วยความมีสติ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เห็นร่างกายมันตายจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูไป ไม่เศร้าโศก ไม่ยึดถือ

 

ร่างกายนี้มันเป็นของดีของวิเศษจริงหรือ
หรือว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
มาหัดทิ้งหัดวางเสียก่อนจะตาย
ตอนจะตายจะได้ไม่เสียดาย เพราะวางได้ก่อนแล้ว

 

ที่จริงแล้วเราอยู่กับโลก ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไป ก่อนจะถึงวันที่ถูกบังคับให้ทิ้งด้วยความตาย เรามาฝึกทิ้งบ้าง ฝึกทิ้งเสียก่อน เป็นการฝึกซ้อม สังเกตดูเรายึดเราถืออะไรเหนียวแน่น หัดทิ้งหัดวางมันบ้าง อย่างบางคนก็ยึดถือหวงแหนในร่างกายนี้เหลือเกิน ก็มาดูร่างกายนี้มันเป็นของดีของวิเศษจริงหรือ หรือว่ามันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มาหัดทิ้งหัดวางเสียก่อนจะตาย ตอนจะตายจะได้ไม่เสียดายเพราะวางได้ก่อนแล้ว ฝึกไปเรื่อยๆ อย่างเรารักใคร่หวงแหนอะไร เราก็พิจารณาลงไปเลย สิ่งที่เรารัก สัตว์ที่เรารัก คนที่เรารัก มันจะอยู่กับเราได้ตลอดกาลไหม ค่อยๆ สอนใจไป อย่างบางทีพิจารณาพ่อแม่เรา คงไม่อยู่กับเราตลอดหรอกวันหนึ่งก็ต้องตาย คิดพิจารณา ฉะนั้นเวลาพ่อแม่จะตายจริงๆ เกิดติดโควิดปุบปับจะตายจริงๆ เราเคยฝึกใจของเรามาแล้ว เคยฝึกทำใจเรียนรู้มาแล้ว ใจมันยอมรับได้ก็ไม่เสียใจ ไม่ทุกข์ร้อน

สิ่งที่เรารักและหวงแหนที่สุดเลยคือตัวเราเอง แต่เราดูยาก ของที่รองลงมาคือลูกของเรา คนที่มีลูกจะยึดถือเหนียวแน่นที่สุด อย่างคนที่มีลูกไม่กล้าคิดหรอก ไม่กล้าพิจารณาว่าลูกจะตายก่อนเรา ถ้าให้พิจารณาว่าพ่อแม่เราจะตายก่อนเรานี่ทำได้ แต่แค่ให้คิดว่าลูกจะต้องตายก่อนเรา ทำไม่ได้ใจไม่กล้าพอ เพราะฉะนั้นเวลาแต่ละบ้านลูกตายขึ้นมา มันทุกข์แสนสาหัสเลย มันไม่เคยคิด ไม่เคยนึก ไม่อยากจะคิด ไม่อยากจะนึกเลย ฉะนั้นความทุกข์นั้นจะรุนแรงมาก ถ้าเราคอยพิจารณา มีสติ มีใจอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เข้าข้างตัวเอง คือมีสมาธิแล้ว พิจารณาลงไปเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ของที่อยู่ห่าง ของที่อยู่ห่างมันก็วางง่ายหน่อย อย่างเพื่อนฝูง ญาติมิตรอะไรอย่างนี้ มันล้มตายไปเราไม่เสียใจอะไรเท่าไร เสียใจนิดหน่อยเพราะเรารู้สึกมันอยู่ห่าง เราค่อยๆ สอนใจให้มันเข้ามาหาตัวเอง ดูคนอื่นสิเขาก็ตาย เขาก็เจ็บ เขาก็พลัดพรากจากสิ่งที่รัก เขาเจอสิ่งที่ไม่รัก เขาเจออย่างนี้ สิ่งที่เรารักก็เหมือนกัน พิจารณาไป

อย่างบ้านเรา เราเช่ามาหรือเราซื้อมาก็ตาม คนทั่วไปก็คิดว่าบ้านเราๆ แต่ถ้าเราไม่ประมาท เราพิจารณา ที่อยู่อาศัยทั้งหลายไม่ว่าจะดีวิเศษแค่ไหน ไม่ว่ากรรมสิทธิ์ทางกฎหมายจะเป็นของใคร ที่จริงแล้วก็คือที่ๆ เราอาศัยอยู่ชั่วคราว บางคนก็รักบ้านมาก หวงแหนบ้าน ตายแล้วมันก็เป็นผีเฝ้าบ้านอยู่อย่างนั้น ใครจะมาอยู่มันก็คอยหลอกเขาอะไรอย่างนี้ คอยก่อกวน อันนั้นมันทำใจไม่ได้ บางทีทำความดี ครูบาอาจารย์ท่านมีประสบการณ์ หลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ไป ท่านเจอผี 2 ตัวพี่น้องกันมาเฝ้าพระเจดีย์อยู่ คือเขาสร้างเจดีย์แต่สร้างยังไม่ทันจะเสร็จ เขาตายเสียก่อน จิตใจก็ห่วงกังวลอยู่ที่เจดีย์ ก็เลยมาเป็นเปรตอยู่ที่เจดีย์นี้ แทนที่ว่าจะได้บุญกลายเป็นสร้างแล้วก็ยึดติดอยู่ ก็ต้องมาติดอยู่ตรงนี้ แล้วท่านก็สอนบอกว่า เรื่องของโลกมันผ่านไปหมดแล้ว ให้รู้จักวางเสีย เขาวางได้เขาก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไป เปลี่ยนภพไปไม่ใช่ภูมิ ยังอยู่ภูมิเดิมคือกามาวจรภูมิ เปรตก็ขึ้นไปเป็นเทวดาอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่รู้จักปล่อยไม่รู้จักวาง ตายไปก็เป็นเปรตอยู่นั่นล่ะ ห่วงลูกห่วงหลานตายไปก็ไม่ได้ไปเกิดที่ดี ก็เป็นเปรตอยู่คอยเฝ้าห่วง ชะเง้อชะแง้ดู ดูลูก ดูหลาน หวงสมบัติ

หวงบ้านก็เป็นเปรตเฝ้าบ้านอยู่ ดูแล้วน่าอเนจอนาถใจ ถ้าเราภาวนาเราก็พิจารณาลงไปเลย บ้านนี้เป็นที่เราอยู่ชั่วคราว วันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งไป ความรู้สึกที่ว่าอยู่ตรงไหนก็ที่ชั่วคราว อยู่ตรงไหนก็ที่ชั่วคราว แล้ววันหนึ่งต้องทิ้ง หลวงพ่อเป็นมาแต่เด็กเลย ตอนเด็กๆ อยู่ในบ้านพ่อบ้านแม่ เราก็รู้สึกเลยนี่ไม่ใช่บ้านเราหรอก เดี๋ยววันหนึ่งเราก็ต้องออกจากบ้านไป ไปทำมาหากิน ไปมีบ้านของตัวเอง ออกไปก็ไปซื้อบ้านผ่อนส่งอะไรอย่างนี้ ซื้อได้ 1 หลัง 2 หลังอะไรก็ซื้อไป แต่ไม่ว่าจะไปอยู่บ้านไหน เข้าไปอยู่ทีแรกรู้สึกสบายใจ เรามีบ้านของเราเองแล้ว แต่อยู่สักพักเดียวในใจลึกๆ มันก็รู้สึกที่นี่ไม่ใช่ บ้านนี้ยังไม่ใช่ เป็นที่ๆ เราอยู่ชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งเราก็ต้องไปจากที่นี่อีก นี่ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา ไปซื้อบ้านให้สบายกว่าเก่าอีก ไปอยู่ทีแรกก็สบาย ไม่กี่วันใจมันก็รู้สึกอีก ตรงนี้เราก็อยู่ชั่วคราว ไม่นานเราก็ต้องจากไป ความรู้สึกอันนี้มีอยู่ตลอดเวลาเลย

จนกระทั่งมาบวช บวชทีแรกหลวงพ่ออยู่ที่สวนโพธิญาณอรัญวาสี ของหลวงปู่ สุจินต์ ไปอยู่ที่นั่นอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ไปอยู่ที่นั้นเป็นที่ดินว่างเปล่า คนเขาถวายหลวงปู่สุจินต์ไว้แต่ก็ไม่ได้สร้างอะไร ต้นไม้ก็ไม่มี สิ่งปลูกสร้างอะไรก็ไม่มี หลวงพ่อจะบวชหลวงพ่อก็ไปสร้างตรงนั้นขึ้นมา มีพรรคพวกเพื่อนฝูงมาร่วมทุนช่วยกันสร้างหลายคน พอสร้างเสร็จแล้วที่พักสงฆ์อันนี้ เราสร้างมากับมือ แต่ใจมันรู้สึกว่านี่อยู่ชั่วคราว ที่อยู่ชั่วคราว ใจลึกๆ มันรู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลา ใจที่มันไม่ประมาท มันพิจารณาอยู่เรื่อยๆ นี่ก็ชั่วคราวๆ นี่ก็ชั่วคราวมาเรื่อยๆ จนภาวนามาเรื่อยๆ ใจมันฉลาดขึ้นมา มันก็ไม่เข้าไปยึดถือว่าตรงนี้ที่ของเรา วัดของเราอะไรอย่างนี้ มันก็รู้ว่านี่เป็นที่ เป็นโลก เราอาศัยอยู่กับโลก ไม่นานเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง บ้านที่แท้จริงของเรา ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน ถ้านอกนั้นยังเป็นที่ที่ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ต้องหมุนเวียนอยู่ ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง

 

ในโลกไม่มีบ้านที่แท้จริง ถ้าเราภาวนาเราจะเห็น บ้านที่แท้จริงของเราคือพระนิพพาน
ใจที่มันไม่หลงโลกมันเตือนตัวเอง อะไรๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมด

 

บ้านนี้ก็ชั่วคราว คนที่เราอยู่ด้วยรอบๆ ตัวเราก็อยู่กันชั่วคราว จะรักหรือจะเกลียดก็อยู่ชั่วคราว อะไรๆ ในโลกเห็นมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย ทั้งวัตถุสิ่งของทั้งผู้คน สุดท้ายกระทั่งร่างกาย สติปัญญามันสอดส่องลงมาในร่างกาย ร่างกายเป็นบ้านของจิต บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านชั่วคราว มันชำรุดทรุดโทรมตรงนั้นตรงนี้ เราก็มีวัตถุเข้าไปเสริมเข้าไปแต่ง เพื่อประคับประคองให้ร่างกายนี้มันอยู่ได้ อย่างร่างกายมันหิว มันอิดโรย มันอดน้ำอะไรอย่างนี้ อดอาหารอดน้ำเราก็ซ่อมแซมร่างกาย กินข้าวกินน้ำ ค่อยๆ สะสมคล้ายๆ ซ่อมบ้านอย่างนี้ เวลาไม่สบายไปหาหมอ กินยา ผ่าตัดทำโน้นทำนี้ ก็คือการซ่อมบ้าน ใจมันรู้สึกอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นบ้านหลังหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ ถ้าภาวนาดีๆ เราจะรู้สึกนี่เป็นบ้านหลังสุดท้ายแล้ว ก่อนที่เราจะทิ้งบ้านหลอกๆ นี้ ไปสู่บ้านที่แท้จริง เรายังไม่รู้สึกหรอกพวกเราว่านี่คือบ้านหลังสุดท้าย ร่างกายนี้คือบ้านหลังสุดท้ายแล้วนี่ไม่รู้สึก เพราะเรายังมีบ้านอย่างนี้อีกเยอะ ยังมีกิเลสอยู่ก็ยังไปสร้างบ้านใหม่ บ้านเก่าพังไปก็สร้างบ้านใหม่ ไปเกิดในภพใหม่ ก็มีกายใหม่ขึ้นมาอีก เป็นบ้านใหม่ พออยู่ชั่วคราวก็พังอีก

ฉะนั้นจะเป็นบ้าน วัตถุสิ่งของ หรือกระทั่งร่างกาย ก็เป็นบ้านที่เราอยู่อาศัยได้ชั่วคราว อย่างบ้านที่เราซื้อเป็นที่อาศัยของร่างกาย เพราะร่างกายก็เป็นบ้านที่อาศัยของจิตใจ ฉะนั้นตัวเจ้าของบ้านที่แท้จริง ก็คือตัวจิตใจนั่นเอง ต้องค่อยๆ ฝึก จิตใจให้มันค่อยฉลาดๆ ขึ้น มันค่อยคลายความยึดถือ ทีแรกมันก็คลายของที่อยู่ห่างก่อน มันคลายง่าย คลายความยึดถือง่าย ของที่มาถึงตัวเราเองมันคลายยาก ต้องอาศัยสติอาศัยปัญญามาก มีใจตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว เรียกว่ามีสมาธิที่ถูกต้อง พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว มีสติคอยระลึกรู้อยู่ในร่างกายในจิตใจนี้เรื่อยๆ ไป เราก็จะเห็นว่านี่มันเป็นบ้านหลังหนึ่ง ร่างกายนี้เป็นโพรง เป็นถ้ำ เป็นที่อาศัยของจิต แล้วก็เป็นเครื่องมือไปทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ เพื่อสนองความต้องการของจิต จิตมันใช้ร่างกายไปทำงาน สิ่งที่มันอยากได้คือความสุข

 

จากหยาบสู่ละเอียด

ถ้าเราสติปัญญาละเอียดขึ้นมาเราจะเห็นอีก ความสุข ความสงบ ความดีทั้งหลายก็เป็นบ้านของจิตเหมือนกัน เป็นบ้านชั้นละเอียด อย่างร่างกายเราเป็นบ้านของจิตในกามาวจร แล้วร่างกายที่เป็นทิพย์ เป็นบ้านของจิตในรูปาวจร ในรูปพรหม หรือในเทวดา กายก็เป็นทิพย์ก็เป็นบ้านของจิต ถ้าภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะเห็นตัวเจตสิกธรรมทั้งหลาย ตัวความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ตัวความจำได้หมายรู้ ตัวสังขารความปรุงดีปรุงชั่ว มันเป็นบ้านของจิตอีกชั้นหนึ่ง อยู่ละเอียดข้างในอีกชั้นหนึ่ง เราค่อยๆ เรียนจากของหยาบเข้าสู่ความละเอียดเป็นลำดับ จากของที่อยู่ข้างนอกเรียนเข้ามาสู่ข้างใน จากของที่อยู่ไกลเรียนเข้ามาสู่ที่ใกล้ จากของที่หยาบเรียนเข้าสู่ความละเอียด

บ้านที่ละเอียดที่สุดเลยก็คือฌานสมาบัติ ฌานสมาบัติไม่ใช่ร่างกาย มันเป็นอารมณ์ทางใจ ปีติ สุข เอกัคคตา อุเบกขาอะไรพวกนี้ เป็นบ้านที่จิตเข้าไปทรงอยู่ เวลาอยู่ในรูปฌาน อรูปฌาน ตัวอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ของฌาน องค์ฌานทั้งหลายนั้นคือบ้าน อันนี้เป็นบ้านชั้นในแล้ว บ้านชั้นในจริงๆ แล้ว ร่างกายหยาบๆ นี่เป็นบ้านชั้นนอก บ้านเรายิ่งห่างออกไปอีก โลกทั้งโลกที่บ้านเราตั้งอยู่ยิ่งห่างออกไปอีก จักรวาลที่โลกนี้ตั้งอยู่ก็ยิ่งห่างออกไปอีก เป็นบ้านเป็นชั้นๆๆๆ ออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างดาวที่ไหนมันจะระเบิดแตกไปสักดวง เราไม่ได้เดือดร้อนอะไรมันไกลเกินไป ถ้าบ้านเราถูกพายุพัดพัง เดือดร้อนแล้ว รู้สึกมันใกล้ตัว ถ้าบ้านคนอื่นถูกพายุพัดพัง ยังไม่เดือดร้อนเท่าไร สงสารก็ช่วยเหลือกันไป แต่ถ้าบ้านเราที่ซื้อมาเช่ามาพังไปนี้เดือดร้อน ถ้าร่างกายนี้จะผุพังไป เดือดร้อนมากกว่าที่บ้านจะพังอีก

ค่อยภาวนาจะเห็นเหมือนเรามีบ้านที่ซ้อนๆๆ กันไปจากไกลเข้ามาสู่ใกล้ จากหยาบมาสู่ความละเอียด บ้านที่ละเอียดก็คือตัวเจตสิกธรรมทั้งหลายนี่ล่ะ เป็นที่อาศัยอยู่ของจิต เราภาวนาต่อไปเราก็จะเห็นความสุขก็พึ่งไม่ได้ ความทุกข์ก็ห้ามมันไม่ได้ ความดีก็พึ่งไม่ได้ ความดีเราจะรักษาไว้ก็ไม่ได้ ความชั่วเราก็พึ่งมันไม่ได้ จะรักษามันไว้หรือจะปฏิเสธมันก็ทำไม่ได้ สติปัญญามันเห็นไตรลักษณ์ เห็นบ้านอันนี้ที่เป็นนามธรรม มันก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกับรูปธรรมทั้งหลาย เหมือนกับโลกข้างนอกทั้งหลาย ฉะนั้นการเห็นไตรลักษณ์นี้จะทำให้เราเข้าใจ แล้วเราก็ค่อยๆ วาง วางจากสิ่งที่หยาบไปสู่การวางอย่างละเอียด แล้วสิ่งที่ละเอียดที่สุด เวลาเราภาวนาเราจะรู้ สิ่งที่ละเอียดที่สุดคือตัวจิตผู้รู้นั่นล่ะ ตัวจิตผู้รู้นั้นละเอียดที่สุดเลย ฉะนั้นถ้าเราเห็นจิตผู้รู้เป็นไตรลักษณ์ เราก็จะวางจิตผู้รู้ลงไป คราวนี้เราจะไม่เอาขันธ์ 5 มาเป็นบ้านของเราอีกต่อไปแล้ว

ขันธ์ 5 ท่านบอกว่าเป็นโลก เป็นที่อาศัย ค่อยวางๆ รูปไป ร่างกายอาศัยไม่ได้ เดี๋ยวมันก็แก่ มันก็เจ็บ มันก็ตาย เวทนา สัญญา สังขารอะไรก็อาศัยไม่ได้มีแต่ความแปรปรวน มีแต่การควบคุมบังคับไม่ได้ ตัวจิตก็ยึดถืออะไรไว้ไม่ได้แปรปรวนเหมือนกัน เดี๋ยวก็มีผู้รู้ เดี๋ยวก็มีผู้หลง ผู้หลงก็มีตั้งเยอะแยะ ผู้หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปคิดนึกทางใจ หลงไปเพ่งทางใจ ผู้หลงมีเยอะแยะเลย ผู้รู้มีหลายแบบเหมือนกัน ผู้รู้บางตัวมีแต่สติไม่มีปัญญา ผู้รู้บางตัวมีทั้งสติทั้งปัญญา แล้วบางทีเรารู้ตัวขึ้นมา จิตอยู่กับผู้รู้ รู้เฉยๆ อยู่อย่างนั้น มันไม่มีปัญญา ผู้รู้บางตัวมันเจริญปัญญาได้ สติระลึกรู้ลงในรูปจิตเป็นผู้รู้ ก็เกิดญาณทัสสนะเข้าใจว่ารูปทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สติระลึกรู้ในเวทนา สัญญา สังขาร หรือในตัวจิตเองคือวิญญาณ ผู้รู้ตั้งมั่นเป็นคนรู้คนดูอยู่ก็จะเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นดับทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา

พอเสร็จแล้วมันจะเข้ามาที่ตัวผู้รู้เอง ตรงนี้อย่าจงใจเข้ามามันต้องเข้ามาเอง ถ้าจงใจเข้ามาดูผู้รู้จะติดสมาธิที่แก้ยาก คือติดสมาธิชนิดอรูป แก้ยากเพราะมันละเอียด มันประณีตมาก มันมองให้เห็นทุกข์ยากที่สุด เราก็ต้องใช้วิธีอย่าไปเพ่งตัวผู้รู้ แล้วเห็นผู้รู้นี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป กลายเป็นผู้ดู ผู้ฟัง ผู้ดมกลิ่น ผู้ลิ้มรส ผู้หลงไปสัมผัสทางกาย ผู้หลงไปคิดนึกทางใจ หรือไปเป็นผู้เพ่งอารมณ์กรรมฐานต่างๆ รู้ทันไปเรื่อยๆ จะเห็นวิญญาณ หรือตัวจิตที่เกิดทางทวารทั้ง 6 เอาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้ ก็วางมันลงอีก ตรงที่เราเพ่งตัวผู้รู้ไว้ เราเอาตัวผู้รู้เป็นบ้าน ตัวนี้เป็นบ้านที่ละเอียดที่สุดแล้ว

บ้านข้างนอกนี้ดูง่าย โลกข้างนอกดูง่าย ร่างกายก็ดูยากขึ้น เจตสิกคือเป็นบ้านของจิตก็ดูยากขึ้น สุดท้ายตัวผู้รู้มันยังเป็นบ้าน มันเป็นบ้านของอะไร เป็นบ้านของอวิชชา เป็นที่ๆ อวิชชาแฝงอยู่ ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้ จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริง ว่าตัวจิตผู้รู้ยังเป็นบ้านอยู่อีก เรานึกว่านี่คือเจ้าของบ้านตัวจริง นี่ยังเป็นบ้าน บ้านของอวิชชา ไม่รู้ความจริงของอริยสัจ ไม่รู้ว่าตัวรู้นี้ก็ยังเป็นตัวทุกข์ พอเราล้างอวิชชาได้ตัวรู้ก็สลายตัวลงไป เป็นธาตุ ธาตุรู้มีอยู่ ธาตุรู้ไม่เป็นบ้าน เพราะไม่มีเจ้าของบ้าน ไม่มีเจ้าของบ้านอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้นเวลาท่านผู้ใดท่านบรรลุถึงพระนิพพานแล้ว ไปถามท่านว่านิพพานใครเป็นเจ้าของ ไม่มีเจ้าของ นิพพานแล้วไปไหน จิตไปไหน ไม่มีคำถามอย่างนั้น ถามได้แต่ไม่มีคำตอบให้ เพราะไม่มีการไปการมาอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่นิพพานแล้วจิตพระอรหันต์ไปอยู่ที่ไหน นั่นเป็นความรู้สึกของพวกเราที่ยังต้องมีบ้านอยู่ กระทั่งตัวจิตผู้รู้ที่เราคิดว่าคือตัวเราที่แท้จริง ยังเห็นเลยมันคือบ้านอีกหลังหนึ่ง แล้วเป็นบ้านที่ของอวิชชาอยู่ พอฆ่าอวิชชาตายแปรสภาพขึ้นเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้นี้ไม่มีเจ้าของแล้ว เพราะฉะนั้นพระนิพพานไม่มีเจ้าของ ธาตุรู้ไม่ใช่พระนิพพาน ธาตุรู้ทรงพระนิพพานไว้ สัมผัสพระนิพพาน พระนิพพานนั้นมีความสุข ธาตุรู้ทรงอยู่กับพระนิพพาน ธาตุรู้นี้ก็มีความสุข ถ้าถามว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ไม่มีคำตอบ ถ้าไปถามว่าท่านบรรลุพระอรหันต์แล้วหรือ ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น พระอรหันต์ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เพราะมันไม่มี มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตนอีกต่อไปแล้ว

สิ่งเหล่านี้วันหนึ่งพวกเราจะเห็นด้วยตัวของเราเอง เราภาวนาไป วันนี้เราแค่เห็นว่าร่างกายเป็นบ้านที่จิตอาศัยอยู่ จิตก็ชอบใช้บ้านหลังนี้ เป็นสถานประกอบความชั่วทั้งหลาย ก่อกรรมทำชั่วทั้งหลายก็อาศัยอยู่ในบ้านนี้ อาศัยอยู่ในกายนี้ ไปลัก ไปขโมย ไปจี้ ไปปล้น ไปข่มขืนเขา ไปโกหกหลอกลวงเขา ก็อาศัยบ้านนี้เป็นสถานประกอบการ ฉะนั้นเราพยายามฝึกตัวเองเรื่อยๆ ไป บางทีพวกเราใจร้อนเกินไป ชาวพุทธเรา เราอยากนิพพานเราก็วาดภาพพระนิพพานเอาไว้เสียพิลึกพิลั่น วาดภาพไว้มากมาย สิ่งที่เราวาดภาพขึ้นมาไม่ใช่นิพพาน ให้วาดเก่งแค่ไหนก็ไม่ใช่นิพพาน มันคือความปรุงแต่งของจิตเท่านั้นเอง

มีคนชอบส่งหนังสือธรรมะมาให้หลวงพ่อ มีมาเรื่อยๆ สำนักโน้นสำนักนี้ มีอยู่สำนักหนึ่งเขาบอกว่า ตอนนี้พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับอยู่ที่สำนักของเขาแล้ว นิพพานแล้วไม่ได้ไปไหนหรอก มาอยู่ที่สำนักของเขาเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เมื่อท่านนิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จะหาท่านไม่เจออีกแล้ว เทวดาและมนุษย์จะหาไม่เจออีกแล้ว เพราะฉะนั้นที่ว่าเจอพระพุทธเจ้า เจอพระพุทธเจ้า นั้นคือสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมาเอง พระพุทธเจ้าที่แท้จริงที่ท่านนิพพานไปแล้ว เราไม่สามารถ ทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์หาท่านไม่เจออีกแล้ว แต่ถ้าเราภาวนาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว เราจะพบว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรานี่ล่ะ ถ้าเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วจะเจอ แล้วตรงนั้น ตรงความบริสุทธิ์นั้นล่ะ ตรงพระนิพพาน ตรงมหาสุญญตา แล้วแต่จะเรียก

 

ภาวนาเป็นลำดับ

ค่อยๆ ฝึก ตอนนี้เรียนของที่เรียนได้ก่อน ดูกาย ดูร่างกายไป ร่างกายเป็นบ้านที่จิตอาศัยอยู่ ความรู้สึกสุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย ก็เป็นบ้านชั้นในให้จิตอาศัยอยู่อีก ค่อยๆ ดูอย่างนี้ไป ยังไม่ต้องไปดูตัวผู้รู้ว่าเป็นบ้านของอวิชชา อันนั้นข้ามขั้นเกินไป ภาวนาก็ทำไปเป็นลำดับ ความรู้ถูกความเข้าใจถูกแก่กล้าขึ้น มันก็ค่อยวางมากขึ้นๆ พอมันวางได้ หรือพิจารณาลงมาเรื่อย มันเข้าใจแล้วร่างกายเป็นบ้าน ถึงวันหนึ่งก็ต้องผุพังไป พระพุทธเจ้าท่านในพระไตรปิฎกท่านไม่ได้พูดถึงว่า ร่างกายเป็นบ้าน ท่านเปรียบเทียบอีกอย่าง ท่านบอก ร่างกายของท่านเหมือนเกวียน คนรุ่นนั้นใช้เกวียน ท่านบอกท่านเหมือนเกวียนที่เก่าคร่ำคร่าแล้ว ผุใกล้จะพังแล้ว ร่างกายของท่านเป็นแบบนั้น ของเราตอนนี้ถ้ามาเปรียบกับเกวียน เรานึกไม่ออก บางคนชาตินี้ยังไม่เคยเห็นเกวียนเลย ก็มาเอาสิ่งที่เรารู้จักได้

อย่างบ้านเรามันเก่าคร่ำคร่าแล้วอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็พัง ยังซ่อมได้ก็ซ่อมอยู่ ซ่อมไม่ได้บ้านก็พังอยู่ต่อไปไม่ได้ ร่างกายนี้ยังซ่อมได้ ยังบำรุงรักษาอยู่ได้ก็ทำไป ทีแรกก็ซ่อมด้วยตัวเอง กินข้าว ขับถ่ายอะไรอย่างนี้ ซ่อมด้วยตัวเองทุกวัน พอมันพังมากขึ้นก็ต้องให้หมอมาช่วยซ่อม พอพังเต็มที่หมอก็ช่วยไม่ไหว พัง บ้านก็ถล่มทลายหายไป เราค่อยๆ ดูร่างกายก็เป็นอย่างนั้น วันหนึ่งบ้านหลังนี้ก็จะต้องแตก ถ้าตรงนี้ยอมรับตรงนี้ได้ เราจะอยู่กับโควิดแบบไม่กังวลหรอก โควิดมันทำอะไรได้มากที่สุด ก็ทำให้บ้านหลังนี้คือกายนี้แตก ทำมากกว่านั้นไม่ได้ เรายังเหลือบ้านชั้นในอยู่อีกหลายหลัง

ฉะนั้นค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ เห็นความจริงไป คนที่เรารัก สิ่งที่เรารักอะไรอย่างนี้ล้วนแต่เป็นความไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปทั้งสิ้น อันไหนจะดับก่อนอันไหน ไม่แน่ ลูกอาจจะตายก่อนเรา เราอาจจะตายก่อนพ่อแม่เราอะไรอย่างนี้ ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น คนที่เรารักอาจจะตาย แต่คนที่เราเกลียดเราจะรู้สึกทำไมมันอายุยืนจัง ทำไมมันไม่ตายเสียที อันนี้เราอยากให้มันตายมันจะรู้สึกช้า ถ้าเราอยากให้มันอยู่จะรู้สึกมันตายเร็ว ฉะนั้นตัวช้าตัวเร็ว มันเป็นของที่สัมพัทธ์ ใจเราอันไหนที่เราอยากให้อยู่นานๆ มันจะรู้สึกมันหมดไปเร็ว อันไหนที่เราอยากให้มันดับไปเร็วๆ เรารู้สึกมันช้า ไม่ยอมดับเสียที อยู่ที่ใจเราอยากนี่ล่ะ

เรียนรู้ตัวเองไป แล้ววันหนึ่งเราจะเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่สำนักใดๆ ทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าไม่ได้มีรูปร่างหน้าตา มีขันธ์ 5 แบบที่พวกเรานึก สังเกตไหมเวลาเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็นึกถึงต้องมีแขน มีขา มีหัวอะไรเหมือนพวกเรา ก็เหมือนมนุษย์ทั้งหลายเวลานึกถึงพระเจ้า พระเจ้าก็หน้าตาเหมือนมนุษย์อีกล่ะ วาดภาพไว้ อย่างมุสลิมเขาไม่ให้วาดภาพพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ใช่วัตถุอย่างนี้ แต่ศาสนาอื่นๆ พระเจ้ามีหน้าตาเป็นคนนั่นล่ะ เพราะเราวาดภาพพระเจ้ามาจากตัวเราเอง มนุษย์สร้างพระเจ้าขึ้นมาก็เลยเหมือนมนุษย์

 

ร่างกายนี้เป็นบ้าน เป็นสมบัติของโลก มีประโยชน์ถ้าเราเอามันมาสร้างคุณงามความดี
สะสมคุณงามความดีไว้ ถึงเวลาที่มันจะแตกดับไม่เสียใจ

 

เรียนความจริง ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มันจะต้องผ่านไป ร่างกายนี้อยู่ชั่วคราวแล้วก็ต้องผ่านไป ความสุขทั้งหลายที่เราดิ้นรนแสวงหา ชื่อเสียง เกียรติยศ ญาติมิตร อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงวันหนึ่งต้องผ่านไป อย่างพอเราตายปุ๊บ คนที่รักกับเรา ญาติมิตรที่รักกับเรา ครอบครัวเรา รีบเอาเราไปป่าช้า รีบเอาไปวัด เอาใส่กล่องไว้แล้วไม่อยากดูแล้ว รักแค่ไหนก็ไม่เอาแล้ว แถมบอกด้วยอย่ามาห่วงเลยนะ ให้ไปที่ชอบๆ แปลว่าห้ามกลับบ้าน เขาไม่เอาแล้ว ที่เรารักเขาแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายเขาไม่เอาหรอก เขารีบพาไปทิ้งเลย ฉะนั้นเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต อะไรจะเกิดขึ้นกับโลก กับสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ คนที่เรารัก ลูก เมีย สามี พ่อแม่อะไรอย่างนี้ เพื่อนฝูง ล้วนแต่ของอยู่ชั่วคราว เราไม่ทิ้งเขา เขาก็ทิ้งเรา อย่างเวลาคนที่เรารักตายเราก็ทิ้งเขา เราเอาไปส่งไว้ที่วัด เราไม่เอาแล้ว หรือเอาไปฝังดิน เราไม่เอาแล้ว นี่เราทิ้งเขา ถึงวันของเราเองเขาก็ทิ้งเราเหมือนกัน บอกให้เราไปที่ชอบๆ

ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่กลัว เราจะไม่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพียงแต่เราไม่ประมาท ร่างกายนี้เป็นบ้าน เป็นสมบัติของโลก มีประโยชน์ไหม มีประโยชน์ถ้าเราเอามันมาสร้างคุณงามความดี เพราะฉะนั้นเราไม่ได้รีบให้มันตายไปหรอก มันยังอยู่ได้ก็ให้มันอยู่ไป แล้วก็ใช้ร่างกายนี้สร้างความดีไปเรื่อยๆ สะสมคุณงามความดีไว้ แต่ถึงเวลาที่มันจะแตกดับไม่เสียใจ เราได้ใช้มันเต็มที่แล้ว ไม่น่าเสียดายแล้ว ถึงเวลาต้องสละทิ้ง ฝึกตัวเอง ฝึกมองอย่างนี้เรื่อยๆ ไป มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ถึงเราได้มาวันหนึ่งเราก็ต้องเสียไป สอนมันไปทุกเรื่องเลย ตั้งแต่ของนอกจนถึงของภายใน.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
4 กันยายน 2564