สัจฉิกิริยา

วันวิสาขบูชาเป็นวันที่เราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตำราบอกเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แต่เขานับทางจันทรคติ 15 ค่ำ เดือน 6 แต่ละปีไม่ตรงกันกับปฏิทินสุริยคติ เมื่อเป็นวันสำคัญที่จะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็ตั้งใจถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ อย่าแบ่งแยกความสนใจไปที่สิ่งอื่น บางคนบอกวันนี้ไม่ใช่วิสาขะธรรมดา เป็นวันเพ็ญพุธด้วย เป็งปุ๊ดใช่ไหม วันนี้วันพุธใช่ไหม ฉะนั้นต้องไหว้พระอุปคุตด้วย ไม่รู้จะพูดอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนให้เราลดละกิเลส อย่างเราก็ไปไหว้พระอุปคุตหวังให้มีโชคมีลาภ ขอให้เป็นชาวพุทธแท้ๆ สักวันหนึ่งเถอะ

การตรัสรู้ การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยากมาก กว่าท่านจะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านสร้างบารมีมานานแสนนาน ด้วยความกรุณาของท่านต่อสัตว์ทั้งหลายต่อพวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้นวันสำคัญอย่างนี้ให้แน่วแน่ลงไป จะบูชาท่าน การมีดอกไม้ธูปเทียนก็เป็นอามิสบูชา เราไม่มีดอกไม้ธูปเทียน เรามีใจที่ระลึกถึงท่าน อันนั้นเป็นปฏิบัติบูชา ให้ใจมันแนบแน่นจริงๆ ระลึกถึงจริงๆ

วันประสูติของท่านก็คือจุดเริ่มต้นที่แสงสว่างจะเกิดขึ้นในโลก วันตรัสรู้ของท่านเป็นวันที่แสงสว่างเกิดขึ้น วันประสูติก็แล้วไปเถอะ ลองมาสนใจวันตรัสรู้ ท่านตรัสรู้อะไร ท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 ท่านบอกตราบใดที่ท่านยังไม่รู้อริยสัจ 4 มีวงรอบ 3 มีอาการ 12 ท่านจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า อริยสัจ 4 มีเรื่องที่เราต้องเรียน 2 ส่วนใหญ่ๆ สัจจะทั้ง 4 มีอะไรบ้างก็ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

 

ทันทีที่เรารู้ทุกข์ เราก็จะละสมุทัยอัตโนมัติ

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือความบีบคั้นทางกายทางใจของเรานี่เอง สมุทัยคือตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธคือความดับสนิทแห่งทุกข์ มรรคก็คือเป็นหนทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่าสัจจญาณ สัจจญาณปัญญาหยั่งรู้ความจริง 4 ประการ ลำพังท่านรู้ความจริง 4 ประการ ท่านยังไม่ปฏิญาณตัวเป็นพระพุทธเจ้า

ท่านรู้ต่อไปอีกเรียกว่ากิจจญาณ กิจจญาณก็คือกิจต่อทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค กิจต่อทุกข์คือรู้ เรียกปริญญาญกิจ ปริญญากิจ ทุกข์ให้รู้ สมุทัยเรียกปหานะกิจให้ละ นิโรธทำให้แจ้ง เรียกว่าสัจฉิกิริยากิจ หน้าที่ต่อนิโรธต่อนิพพานต่อความดับทุกข์คือการเข้าถึง มรรคก็ภาวนากิจ แปลว่าเจริญ ต้องเจริญมรรคมีองค์ 8 ประการ เราต้องเจริญขึ้นมาให้ได้

ทีนี้พอท่านรู้สัจจะ 4 ประการ รู้กิจหน้าที่ที่เราต้องทำต่อสัจจะ 4 ประการ แล้วอันสุดท้ายก็คือท่านได้ทำกิจทั้ง 4 สำเร็จแล้ว ทุกข์ท่านได้รู้แล้ว สมุทัยท่านได้ละแล้ว นิโรธท่านทำให้แจ้งแล้ว มรรคท่านได้ทำให้เจริญเต็มที่แล้ว อันนี้เรียกว่ากตญาณ ได้ทำงานอันนี้เสร็จแล้ว เมื่อท่านมีญาณทั้ง 3 นี้ คือสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ท่านถึงไปปฏิญาณตนเป็นพระพุทธเจ้าได้

พวกเราก็เรียนรู้คำสอนของท่าน เรียนอริยสัจ 4 อะไรเป็นทุกข์ ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ย่อลงมาก็คือรูปธรรมนามธรรมนี้เป็นทุกข์ คือเป็นของที่ถูกบีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา อาการที่ปรากฏออกมา อย่างทางรูปธรรมก็มีความแก่ความเจ็บความตาย ทางนามธรรมก็มีความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ความปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ได้สิ่งนั้น อันนี้เป็นความบีบคั้นทางใจ เราก็ต้องเรียนรู้ รู้ทุกข์ ไม่ใช่ละทุกข์

ทำไมภาวนาแล้วไม่เคยสำเร็จเลย เพราะไม่ค่อยยอมรู้ทุกข์ แต่อยากละทุกข์ เวลาทำบุญก็อธิษฐานขอให้ไกลจากความทุกข์หมื่นโยชน์แสนโยชน์ ก็คือไกลจากสัจจะ เราต้องห้าวหาญเข้มแข็งที่จะเรียนรู้ความจริงของร่างกายของจิตใจตัวเอง มันไม่ใช่ของดีของวิเศษ แต่มันคือตัวทุกข์ พวกเรายังไม่สามารถเห็นได้ว่า กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ เรารู้แต่ว่ามันเป็นของดีเป็นของวิเศษของเรา ถ้าต้องสูญเสียไปก็คือสูญเสียทุกอย่าง เราก็รักใคร่หวงแหน พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทุกข์ รู้ว่าจริงๆ นี่ร่างกายนี้มันสุขหรือมันทุกข์ จิตใจนี้มันสุขหรือมันทุกข์

ถ้าเราไม่ได้ภาวนา เราก็จะเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง จิตใจเราก็เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ถ้าเรามีสติตามรู้สึกกายมีสติตามรู้สึกจิตใจไป เราก็จะเห็นร่างกายมีแต่ทุกข์ ทุกข์มากกับทุกข์น้อย เวลาทุกข์น้อยคนไม่มีปัญญาก็บอกว่าสุข ก็หลง คนมีปัญญาก็จะเห็นร่างกายนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ถ้าเห็นก็สามารถละสมุทัยได้ หมดความรักใคร่หวงแหนในร่างกาย หมดความอยากที่จะให้ร่างกายนี้คงทนถาวร หมดความอยากที่จะให้จิตใจมีแต่ความสุข แล้วตัณหาความอยากเกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ทุกข์นั่นล่ะ

ฉะนั้นเราต้องมาคอยรู้กายคอยรู้ใจตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปแกล้งบอกว่ามันเป็นทุกข์ ดูของจริง ถ้ายังเห็นว่ามันสุขก็รู้ว่าเห็นอย่างนั้น ไม่ต้องแกล้งทำเป็นว่า โอ้ย ทุกข์ๆ แล้วใจมันไม่เห็นทุกข์จริง มันเห็นแต่ความคิด ได้เรียนปริยัติแล้วก็บอกว่าขันธ์ 5 เป็นทุกข์ แต่ยังไม่ได้เห็นของจริง ก็ยังละสมุทัยไม่ได้ ให้เราพยายามเรียนรู้กายเรียนรู้ใจของตัวเอง รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น จนเรารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ขันธ์ 5 คือรูปนามกายใจ ไม่มีอย่างอื่นเลย มีแต่ทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป

เมื่อเราเห็นทุกข์แจ่มแจ้งแล้ว สมุทัยคือตัณหาก็เป็นอันถูกละอัตโนมัติ ทันทีที่เรารู้ทุกข์ เราก็จะละสมุทัยอัตโนมัติเลย เพราะเรารู้ความจริงแล้วขันธ์ 5 มันทุกข์ เราจะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ทำไม มันเป็นความอยากที่ไร้เดียงสา เราจะไปอยากให้ขันธ์ 5 มีแต่ความสุขได้อย่างไร มันเป็นความอยากที่ไร้เดียงสา เพราะจริงๆ มันคือตัวทุกข์

เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนารู้ทุกข์เข้าไปเถอะ ถ้ารู้พอแล้วมันละสมุทัยเอง ทันทีที่สมุทัยคือตัณหาคือความอยากถูกละไป จิตจะเข้าถึงนิโรธ อันนี้สัจฉิกิริยา วิธีจะเข้าถึงสัจฉิกิริยาก็ไม่มีอะไร ก็รู้ทุกข์นั่นล่ะ พอรู้ทุกข์ จนละสมุทัย แล้วก็แจ้งนิโรธ ไปสัมผัสพระนิพพาน นิพพานไม่ใช่อย่างที่คนในโลกคิด คนในโลกเป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนมากของพวกเราชาวพุทธ เราเป็นสัสสตทิฏฐิ เราคิดว่ามันต้องมีอะไรบ้างอย่างที่อมตะ จิตนี่เป็นอมตะ

แล้วเข้าถึงนิพพาน นิพพานก็ยังมีรูปธรรมมีนามธรรม พระพุทธเจ้าก็ยังมีร่างกาย มีความรู้สึกนึกคิดต่างๆ มาช่วยเราได้บ้าง มาสั่งงานเราบ้าง อันนี้เป็นความคิดของคนซึ่งติดอยู่ในมิจฉาทิฏฐิชนิดสัสสตทิฏฐิ คิดว่ามีบางอย่าง กระทั่งนิพพานแล้วก็ยังมีรูปธรรมนามธรรมอยู่ อันนี้ยังภาวนาไม่พอ ต้องภาวนาอีก แล้วเราจะเข้าใจเลยว่าเวลาพระพุทธเจ้าท่านนิพพาน ท่านบอกว่าจะไม่มีใครเห็นท่านได้อีกต่อไปแล้ว ทีนี้อย่างบางท่านภาวนา จิตสะอาดหมดจดอะไรอย่างนี้ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เหมือนสัมผัสพระพุทธเจ้าอยู่

ก็คล้ายๆ พวกเรา สมมติรักพ่อรักแม่มาก พ่อแม่เราตายเรานึกถึง ก็เหมือนเรายังอยู่ด้วย ก็ยังเหมือนเราอยู่ด้วย เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า สังเกตไหมว่าที่นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นองค์ๆ สุดท้ายก็คืออยากให้ท่านช่วยโน้นช่วยนี่นั่นล่ะ เอาท่านมาใช้งานผิดประเภท ท่านทำงานที่ท่านควรทำสำเร็จไปแล้ว ท่านปรินิพพานดับขันธ์ไปแล้ว จะให้ท่านเอาอะไรมาเชื่อมต่อกับเรา เมื่อไม่มีปฏิสนธิ ไม่เกิด ไม่มีกระทั่งจุติจิต เมื่อไม่มีตายก็ไม่มีเกิด เมื่อไม่ตายไม่เกิดก็ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วมีอะไร ก็มีแต่ธรรมล้วนๆ เลย เป็นความสุขความสงบในการที่เข้าถึงธรรมล้วนๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องกับโลกอีกแล้ว ตัดสายสัมพันธ์กับโลก สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็คือคุณงามความดีของท่านที่เราจะระลึกถึง

 

ระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า

อย่างวันวิสาขะนี่เรามาระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน อิติปิโสภะคะวา บทนี้บทที่สอนพุทธคุณ ถ้าเราย่อลงมาก็คือ 3 อัน ก็อยู่ในบทนะโม ท่านตรัสรู้ด้วยตนเอง ท่านมีปัญญา แล้วท่านมีกรุณา แล้วท่านก็ขวนขวายปฏิบัติมาจนกระทั่งตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง นี่คือปัญญา แล้วท่านก็เอาธรรมะมาให้เราตามปณิธานของท่าน อันนั้นเป็นปณิธาน ใจไม่ได้มีตัณหาที่อยากเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มี ใจไม่ได้มีตัณหา แต่เป็นความเคยชิน ตั้งปณิธานมานานแสนนานที่จะสงเคราะห์สัตว์โลก ท่านก็มาสงเคราะห์ สงเคราะห์เต็มที่จนถึงวาระที่ธาตุขันธ์ท่านแตกท่านดับ ภาระของท่านก็หมดแล้ว ก็เหลือแต่พวกเรา

เหมือนเราเป็นลูกมีพ่อมีแม่อย่างนี้ พ่อแม่เราตายแล้ว สิ่งดีๆ ที่พ่อแม่เราสอนไว้ เราก็ทำต่อ พระพุทธเจ้าก็สอนเราไว้ให้ทำต่อ ให้ทำอะไร เจริญมรรคมีองค์ 8 นั่นล่ะ สัมมาทิฏฐิมีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง คือรู้ว่าเราจะต้องรู้ทุกข์ จนละสมุทัย จนแจ้งนิโรธ จนเกิดอริยมรรค นี่คือตัวสัมมาทิฏฐิ ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิถูกต้อง เราก็จะมีสัมมาสังกัปปะ มีความเห็นถูกแล้วก็เลยมีความคิดถูก ถ้าเราอยากพ้นทุกข์ เราก็ต้องไม่คิดไปในทางที่จะติดโลกเรียกว่ากามวิตก ไม่ได้คิดในทางขุ่นเคืองขัดข้องต่อโลกก็เรียกพยาบาทวิตก ไม่ได้เบียดเบียน ไม่ได้คิดเบียดเบียนด้วยความไม่รู้ด้วยโมหะ คนเบียดเบียนด้วยโมหะเยอะแล้วน่ากลัวมากเลย

อย่างเบียดเบียนตนเองด้วยโมหะ มีลัทธิมีอุดมการณ์อดข้าวตายอะไรอย่างนี้ น่าสงสารๆ ชีวิตแทนที่จะอยู่ทำประโยชน์ได้ก็ไม่ได้แล้ว น่าเสียดาย นี่เบียดเบียนกระทั่งตนเอง ถ้าเป็นชาวพุทธเราก็ไม่ได้เบียดเบียนตนเอง ถ้าเรามีลัทธิอุดมการณ์ เราก็ต้องบอกให้คนอื่นฟัง ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามค่อยๆ ทำไป เขาเห็นดีเห็นงามเขาก็เชื่อ ถ้าไม่ดีไม่งามจริงเขาก็ไม่เชื่อ จะไปบังคับให้ทุกคนเชื่อเหมือนกัน อันนี้ก็ไม่เข้าใจ การที่จะบังคับให้คนอื่นเขาเชื่อตามเรา มันเบียดเบียน เป็นการเบียดเบียนอย่างหนึ่ง เบียดเบียนด้วยโมหะก็เป็นวิหิงสาวิตก

พอเรามีความเห็นถูก มีความคิดถูก คำพูดของเราก็ถูก ก็มีสัมมาวาจา เมื่อเราคิดถูก พูดถูก การกระทำของเราก็ถูก การเลี้ยงชีวิตของเราก็ถูก แล้วความคิดคำพูดการกระทำการเลี้ยงชีวิตทั้งหลายเป็นไปเพื่อลดละกิเลส เป็นไปเพื่อเจริญกุศลให้ถึงพร้อม กุศลคือความฉลาดรู้ความจริง ตรงที่เรามีความเพียรตัวนี้เรียกสัมมาวายามะ ทีนี้ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก มีความคิดถูก มีคำพูดถูก มีการกระทำถูก มีการเลี้ยงชีวิตถูก มีความเพียรถูก เพียรลดละกิเลส เพียรเจริญกุศลไป สติของเราก็จะดีขึ้นๆ

สัมมาวายามะเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ขึ้นมา แล้วการที่เรามีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรม สัมมาสตินี่เป็นสติปัฏฐานนั่นล่ะ สติที่ระลึกรู้รูปรู้นามนี่ล่ะ ถ้าเราทำให้มากเจริญให้มาก สัมมาสมาธิจะบริบูรณ์ขึ้นมา อย่างเมื่อเช้าหลวงพ่อก็สอน ว่าให้เรามีสัมมาสติรู้สภาวธรรมที่กำลังมีกำลังเป็น แล้วจิตเราจะตั้งมั่นขึ้นอัตโนมัติ

เพราะฉะนั้นสัมมาสติระลึกรู้รูปธรรมรู้นามธรรมให้ต่อเนื่องบ่อยๆ ไป จิตเราจะตั้งมั่น พอสัมมาสมาธิเรามีแล้ว สติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรมแต่จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน สัมมาญาณคือปัญญาก็จะเกิดขึ้น แล้วสุดท้ายสัมมาวิมุตติคือมรรคผลก็จะเกิดขึ้น เราจะต้องเดินไปในเส้นทางนี้ อริยมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา พูดเต็มที่ก็คืออริยมรรคมีองค์ 8

ฉะนั้นเราก็ตั้งใจ ตั้งแต่นี้ไปเราจะตั้งใจรักษาศีล ตั้งแต่นี้ไปเราจะคลุกคลีกับโลกน้อยๆ เอาเวลามาเรียนรู้กายเรียนรู้ใจตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ววันหนึ่งเราก็จะได้ของดีได้ของวิเศษ เราก็จะเดินตามพระพุทธเจ้าไปได้ เราจะไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไปอยู่ที่ไหน ถ้าใจเราพ้นกิเลสจริงๆ เราจะรู้เลยว่าพระอรหันต์นิพพานแล้วท่านรู้สึกอย่างไร ไม่มีอะไร ก็แค่ท่านจะรู้สึกแค่ว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป จบ ไม่ต้องมีอะไรพูดต่อแล้ว ไม่มีสิ่งที่จะต้องพูดต่อไปแล้ว ถ้าต่อไปคือมโน คิดๆ เอาล่ะ ด้วยอำนาจของมิจฉาทิฏฐินานาชนิด

ถ้าคิดว่านิพพานแล้วยังมีรูปนามอยู่ก็เข้าใจผิด ถ้าคิดว่านิพพานแล้วสูญก็เข้าใจผิด นิพพานไม่ใช่มีอยู่หรือสูญไป นิพพานเป็นธรรมะซึ่งมีประจำโลกอยู่แล้ว ไม่เคยสูญไปไหนเลย เพียงแต่เราเข้าไม่ถึง หน้าที่ของเราก็คือรู้ทุกข์จนกระทั่งละสมุทัยได้ ละสมุทัยได้เราก็แจ้งพระนิพพานได้ เรียกว่ามีสัจฉิกิริยาสำเร็จแล้วตรงที่เรารู้ทุกข์นั่นล่ะ จะรู้ได้ดีก็ต้องเจริญมรรค เจริญมรรคตรงรู้ทุกข์มีสัมมาญาณะนั่นล่ะ ก็มีองค์มรรคทั้ง 8 ทำให้เรารู้ทุกข์ได้แจ่มแจ้ง วันนี้เทศน์ให้ฟังพอสมควร

ทีแรกทีมงานเขาก็หวาดเสียวว่าหลวงพ่อเตรียมไปพาพวกเราไปเวียนเทียนที่โบสถ์ เป็นการใช้งานโบสถ์ครั้งแรก ฉะนั้นพวกเราที่เวียนเทียนวันนี้ ก็คือคนที่ได้ใช้ประโยชน์โบสถ์นี้เป็นครั้งแรก ยังไม่มีใครได้ใช้เลย ฟังแล้วดีใจไหม ดีใจแล้วทำอย่างไร ดีใจแล้วรู้ว่าดีใจ ไม่ใช่ดีใจแล้วเดี๋ยวกูจะไปลงเฟซบุ๊กบอกเพื่อน วันนี้วันของพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าให้จริงๆ หน่อย อย่าวอกแวกไป พระอุปคุตท่านเป็นสาวก คุณของท่านไม่เท่าพระพุทธเจ้าหรอก ฉะนั้นเราระลึกถึงสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่า ถ้าจะนึกถึงพระอุปคุต นึกถึงในแง่ที่ว่าท่านขัดเกลามารให้ยอมศิโรราบต่อพระพุทธเจ้า พระอุปคุตไม่มีในพระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ชั้นหลังๆ หรอก

ตอนที่พระเจ้าอโศกทำสังคายนา หัวหน้าพระที่นำการสังคายนาที่ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา น่าจะพระโมคคัลลีบุตรติสสะ แล้วท่านแต่งคัมภีร์ขึ้นอันหนึ่งชื่อกถาวัตถุ โต้แย้งกับลัทธิเพี้ยนๆ ที่แทรกอยู่ในพระพุทธศาสนา ไม่มีเรื่องพระอุปคุตหรอก แต่ถ้าเราเชื่อว่ามีก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ต้องรู้จักเคารพพระอุปคุตให้เป็น ถ้าพระอุปคุตเป็นพระอรหันต์ท่านคงไม่บิณฑบาตกลางคืนหรอก พระอรหันต์เคารพพระพุทธเจ้าเคารพพระธรรมวินัย

ในตำราเขาพูดถึงพระอุปคุต ตำราชั้นหลังว่าท่านทรมานพญามารจนสำเร็จแล้ว แล้วท่านก็ขอร้องมาร บอกช่วยแสดงตัวคือแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้าให้หน่อย ท่านไม่เคยเห็น ท่านไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า ช่วยแปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า พญามารบอกแปลงก็ได้ แต่ท่านต้องตกลงกับผมก่อน ผมแปลงเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านอย่าไหว้นะ เดี๋ยวท่านมากราบผม ไม่ดี ท่านก็รับปากว่าท่านจะไม่ไหว้พญามาร มารก็แปลงตัวเป็นพระพุทธเจ้า

พระอุปคุตเห็นก็เกิดปีติซาบซ่านลงกราบ มารก็รีบกลับมาเป็นพญามาร บอกท่านมากราบผมทำไม ไม่ได้กราบมาร กราบพระพุทธเจ้า เห็นไหมพระอุปคุตนับถือพระพุทธเจ้าขนาดไหน แค่อยากเห็นรูปพระพุทธเจ้า ได้เห็นขนลุกขนพอง ปีติมีความสุขอิ่มเอิบ แล้วท่านเป็นสาวก พวกเราตั้งหลักให้ดี กิเลสของเราหาทางจะใช้พระอุปคุต ใช้โน้นใช้นี้ไม่ถูกหรอก ที่แถมเรื่องพระอุปคุตเพราะวันนี้เป็นวันเป็งปุ๊ด เขาเรียกวันเป็งปุ๊ด วันเพ็ญพุธ เป็นชาวพุทธดีๆ เป็นชาวพุทธแท้ๆ เสียทีเถอะ ต่อไปนิมนต์คณะสงฆ์สวดถวายพรพระ พวกเรานั่งสมาธิฟังสวดระลึกถึงพระพุทธเจ้าไป

 

 

รอบนี้เลยเสร็จเร็ว รอบก่อน 6 โมงกว่า นี่ยังไม่ 5 โมง โบสถ์ใช้เวลาสร้างมา 13 ปี ออกมาสวยงาม กว่าจะออกมาเป็นรูปร่างอย่างนี้ก็บอบช้ำไปกันเยอะ กว่าจะผ่านด่าน เริ่มตั้งแต่ไม่รู้จักว่าสถาปัตยกรรมไทยเป็นอย่างไร ค่อยๆ แกะ ค่อยๆ ทำ เก่งทำมาจนได้ วันนี้เราก็ได้ใช้งานครั้งแรก ข้างในยังไม่เสร็จ เหลือปิดทองประดับกระจกอะไรพวกนี้ งานรายละเอียด งานตกแต่ง งานก่อสร้างเสร็จแล้ว

อาจารย์อ๊าไปทำเรื่องขอวิสุงคามสีมาไว้แล้ว ก็ต้องรอไปเรื่อยๆ ไม่รู้เมื่อไร ถ้าขอวิสุงคามได้ก็หมดธุระเรื่องโบสถ์แล้ว ก็ไปฝังลูกนิมิตอะไรพวกนี้ เราทำมาพอใช้เท่านั้น ในตัวโบสถ์ข้างในเล็กนิดเดียว ทำไว้สำหรับพระไม่เกิน 30 องค์ ไว้ทำสังฆกรรม เราไม่ได้คิดรับพระเป็นร้อยๆ รับไม่ไหว ทีนี้ดูโตขึ้นมาเพราะว่ามีระเบียง โบสถ์ขนาดนี้ก็พอใช้งานแล้ว พวกเราเวียนเทียนก็ไม่นานก็เสร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างใหญ่โตมากมายอะไร เอาแค่พอใช้ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนมาอย่างนั้น ทำกุฏิทำศาลาทำอะไรท่านเอาแค่พอใช้

สิ่งสำคัญมากกว่าวัตถุก็คือธรรมะ ภาวนาให้มันจริงจัง อย่าขี้เกียจ เราภาวนาเราไม่ได้ไปสู้กับใคร เราสู้กับความเห็นผิดของตัวเอง เห็นผิดคือเห็นไม่ถูกธรรมะไม่ถูกหลักของอริยสัจ 4 นั่นล่ะ ฉะนั้นพยายามดำรงชีวิตให้เกื้อกูลกับการรู้แจ้งอริยสัจ 4 ทำทานก็ทำ มีโอกาสทำก็ทำ ทำเพื่อลดละความเห็นแก่ตัว ถือศีลนี่เพื่อเอาไว้กำราบใจของเราเอง ซึ่งกิเลสมันรุนแรงมันจะมาครอบงำให้ใจเราทำผิด สมาธิฝึกเอาไว้ข่มกิเลส ศีลเป็นเครื่องข่มใจไม่ให้ทำตามกิเลส สมาธิเป็นเครื่องข่มกิเลสไม่ให้มีอำนาจเหนือใจ ปัญญานั้นเป็นตัวชี้ขาด มีศีลดี มีสมาธิดี แต่เจริญปัญญาไม่เป็น ก็ไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ 4 ได้ ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญาเป็นของสำคัญ

ต้องเรียนแล้วลงมือปฏิบัติให้จริงจัง ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เห็นไหมคนนั่งเครื่องบินมา อยู่ๆ เครื่องบินไม่ได้ตกแต่ตาย เป็นปรากฏการณ์ เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตเราเมื่อไร ถ้าเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร เราต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ถ้าเราหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ ชีวิตเราดีแล้ว เราไม่ได้หายใจทิ้งเปล่าๆ ตายไปเปล่าๆ

วันนี้พวกเราเวียนเทียนเสร็จเร็ว หลวงพ่อเลยคุยด้วยอีก 5 นาที บุญของพวกเราสำเร็จแล้ว ก็ให้พวกเราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลของเราให้ใครก็ให้ไป เดี๋ยวพระอาจารย์นำแผ่ส่วนบุญ

เสร็จภารกิจ ขอให้กลับบ้านปลอดภัย ให้ธรรมะรักษาเรา เรารักษาธรรมะ ธรรมะรักษาเราจะได้มีความสุข

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
22 พฤษภาคม 2567 (ช่วงบ่าย)