ถ้าจิตตั้งมั่นจะเห็นไตรลักษณ์

วันนี้วันตรุษจีน พวกเราก็แต่งแดงๆ กันหลายคน ทีมงานอุตส่าห์จัดดอกไม้ ก็ต้องแดง คล้ายๆ รู้จักกาลเทศะ วันตรุษจีนเขาก็อวยพรกัน พวกเรามีพรในตัวเองอยู่แล้ว เราภาวนา มีศีลมีธรรม ตัวเราก็มีพรอยู่แล้ว เราอวยพรให้คนอื่นได้

การที่เราทำความดีเป็นการให้พรตัวเอง พอจิตใจเราสงบสุข มั่นคง ไม่ถูกกิเลสรุกราน ใจเราก็มีความดีมากมาย ล้น เราก็ส่งความปรารถนาดีไปให้คนอื่น อวยพรคนอื่น ให้เขามีความสุข ถ้าใครมีความทุกข์ก็ให้พ้นจากความทุกข์ ใครมีความสุขสบายอยู่แล้ว ก็ให้มีความสุขสบายต่อไป จุดสำคัญคืออวยพรเขาให้เขาสร้างความดีมากๆ เขาจะได้ให้พรตัวเองได้บ้าง

 

มีชีวิตอยู่กับความเมตตาไว้
คนแรกที่ได้ประโยชน์คือตัวเราเอง

เราพยายามแผ่ความปรารถนาดีต่อคนอื่น ต่อสัตว์อื่นออกไป ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จิตใจเราจะเปิด จิตใจเราจะกว้างขวางออกไป สมาธิมันจะเกิดขึ้น อย่างถ้าเราแผ่ความอาฆาตมาดร้ายออกไป จิตใจเรายิ่งคับแคบ ไม่มีความสุข ไม่มีความสงบ ไม่สามารถรองรับคุณงามความดีได้

เราแผ่ความปรารถนาดีออกไป ยิ่งถ้าแผ่แบบไม่มีกำหนดเลย ไม่มีประมาณเป็นอัปปมัญญา อันนี้ใจเราจะเปิดกว้างมากเลย ร่มเย็น ความร่มเย็นก็แผ่ออกไป ถ้าเราแผ่แบบเจาะจงให้คนนี้ ให้กลุ่มนี้ ก็เป็นเมตตาพรหมวิหาร จะต่างกันกับเมตตาอัปปมัญญา อัปปมัญญานั้นไม่มีขอบเขต ใจกว้างจริงๆ ถึงจะทำได้

อย่างถ้าเราจะแผ่ความปรารถนาดีแบบไม่มีขอบเขต บางทีเราแผ่ไม่ออก เราไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็แผ่แบบเจาะจงตัวบุคคลก่อนก็ได้ หรือกลุ่มบุคคล อย่างช่วงหลังๆ หลวงพ่อบอกว่าช่วยกันแผ่ความปรารถนาดีไปให้องค์ภาฯ อย่างนี้เจาะจงตัวบุคคล หรือวันนี้วันตรุษจีน เราในเมืองไทยมันก็ลูกหลานจีนเสียเป็นส่วนมากอยู่แล้ว เราก็แผ่ความปรารถนาดีให้ลูกหลานจีนในเมืองไทย แผ่ไปถึงต้นกำเนิด ต้นทางของแม่น้ำสายนี้คือประเทศจีน

คนจีนกำลังลำบาก โควิดระบาดมาก เขาเริ่มช้ากว่าเรา ของเราบริหารจัดการได้ดี เราเสียหายน้อย เทียบกับชาติอื่นๆ เราเสียหายน้อยมากเลย เราตายไป 6 หมื่นกว่าคน คนที่ตายก็แบบสมควรตายอยู่แล้ว ส่วนมากไม่แข็งแรง อายุมาก เมืองจีนเขาเพิ่งเปิดทีหลังเรา ก็กำลังระบาดหนัก ใช้เวลาสัก 6 เดือน

ช่วงนี้เราก็แผ่ความปรารถนาดีไป อวยพรเขา คนไหนมีความสุข ก็ขอให้มีความสุข คนไหนมีความทุกข์ ก็ให้พ้นจากความทุกข์ ความปรารถนาดีของเรา เขาจะรับได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ตัวเขาเอง แต่คนที่ได้ทันทีคือตัวเรา เพราะใจเราร่มเย็นทันทีเลย มีความสุข เพราะฉะนั้นเราพยายามมีชีวิตอยู่กับความเมตตาไว้

ทุกวันนี้มีแต่การเบียดเบียนกัน วุ่นวาย ปลิ้นปล้อน หลอกลวงสารพัดรูปแบบ เบียดเบียน ฉะนั้นเราพยายามฝึกจิตใจของเรา ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่เบียดเบียนตัวเอง คนส่วนใหญ่มันเบียดเบียนตัวเองโดยไม่รู้ตัว อย่างการที่ปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่าน มันเป็นการเบียดเบียนตัวเองอย่างร้ายแรง ไม่เห็น ไม่เข้าใจ คือมันสะสมโมหะให้เกิดขึ้นในจิตใจ นี่มันเบียดเบียนตัวเองอย่างร้ายแรงเลย ทำตัวเองให้มีโมหะ

ฉะนั้นเราพยายามมาฝึกตัวเอง อย่าเบียดเบียนตัวเองด้วยการตามใจกิเลส อย่าเบียดเบียนคนอื่นด้วยการทำตามใจกิเลส อย่าเบียดเบียนสัตว์อื่นตามกิเลสของเรา ดูแลรักษาจิตใจของเราให้มันดี ถ้าจิตใจเราดี จิตใจเราร่มเย็น เรานึกถึงใคร กระแสของความสงบสุข ความร่มเย็นก็แผ่ออกไป ถ้าเขามีบุญพอ เขาก็รับได้

อย่างครูบาอาจารย์ท่านแผ่เมตตาวันหนึ่ง นับจำนวนไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แผ่อยู่เรื่อยๆ ล่ะ สงสารสัตว์โลก ก็แผ่ไปเรื่อยๆ ถ้าใจเราเปิด ใจเรามีสมาธิพอ เราระลึกถึง มันจูนกันติด เราจะได้รับพลังงานทันทีเลย จิตใจกำลังวุ่นวาย กำลังเดือดร้อนอะไรอย่างนี้ เราระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าได้ กระแสของความร่มเย็น ความสงบสุข มันจะแผ่มาสู่ใจเราทันทีเลย เป็นวิธีที่เราจะได้สมาธิแบบง่ายๆ เรานึกถึงคนดี นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงอะไรอย่างนี้ ใจเราจะร่มเย็น มันเป็นวิธี

ถ้าคนไหนใจปิด ใจมันมืดบอด ครูบาอาจารย์ท่านแผ่เมตตากันวันๆ หนึ่งมากมาย รับไม่ได้ คนไหนจิตใจมันเปิด มันก็รับได้ เมื่อก่อนมีคนอังกฤษคนหนึ่งไม่สบายมาก คิดถึงว่าในโลกนี้มีใครจะช่วยเขาได้บ้าง เขาเห็นพระองค์หนึ่งไป คือท่านเจ้าคุณนรฯ เห็นท่านเจ้าคุณนรฯ ไปโบกมือใส่ ลูบหัวอะไร อาการเขาดีขึ้น หาย หายแล้วมาเมืองไทย ไม่รู้จักว่าพระองค์นี้คือใคร

วันหนึ่งไปเห็นรูปในบ้านเพื่อน รูปเจ้าคุณนรฯ บอกองค์นี้ล่ะที่ส่งพลังไปช่วย คนนั้นไปถามเจ้าคุณนรฯ ว่าท่านส่งพลังไปช่วยหรือ ท่านบอกท่านไม่รู้เรื่อง ท่านทำหน้าที่อย่างเดียว ท่านแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไป แล้วแต่ใครจะรับได้ จิตที่มันมีความเต็มแล้ว เมตตามันเต็ม กระแสเมตตามันแผ่ออกไปทั้งวัน ท่านบอกมันเหมือนสถานีวิทยุ ท่านส่งวิทยุไป ที่สถานีไม่รู้หรอกว่าใครรับคลื่นอันนี้ได้บ้าง มันอยู่ที่คนรับจะเปิดเครื่องรับหรือเปล่า ถ้าใจมันชั่วมากเลย มันเปิดเครื่องรับไม่ได้

อย่างถ้าใจเรามีศีลมีธรรม เรานึกถึงครูบาอาจารย์ เราเปิดเครื่องรับได้ทันทีเลย สมาธิจะเกิดทันทีเลย เวลาชีวิตลำบาก อย่างเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอย่างนี้ ไม่มีที่พึ่ง จิตใจว้าวุ่นอะไรอย่างนี้ นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงคนดีๆ ใจเราจะมีพลังขึ้นมา อย่างเจ็บป่วยอยู่ ก็อาจจะทุเลา บรรเทาลงได้ ฉะนั้นเรื่องของพลังงานจิต พวกเราพยายามฝึกตัวเอง ให้จิตมันมีพลัง ทำสมาธินี่ล่ะ จิตมันจะเกิดพลัง แล้วถ้าเราต้องการส่งพลังออกไป เราก็ส่งความปรารถนาดีออกไป

ที่จริงคำว่า ชาติๆ มันก็มีจริงหรือไม่มีจริงก็ไม่รู้เหมือนกัน คำว่า ชาติ ชาตินั้นชาตินี้ ชาติไทย คนไทยจริงๆ ไม่มีหรอก คำว่า ไทย มันเป็นชื่อของภาษา ชื่อของกลุ่มภาษา คนหลายพวกที่ใช้ภาษาไทย กลายเป็นคนไทยอะไรอย่างนี้ อย่างคนในเมืองไทยสำรวจดีเอ็นเอ สำรวจอะไร พวกหนึ่งเป็นมอญ พวกหนึ่งเขมร พวกหนึ่งลาว ผสมกัน แล้วรุ่นหลังก็มีจีน ปนกันเยอะแยะเลย

ฉะนั้นเรามันเหมือนทะเลตรงนี้ แม่น้ำหลายสายไหลลงมาที่ทะเลอันเดียวกัน ใจเรากว้างขวาง เราก็ไม่แบ่งแยก ทะเลไม่เคยแบ่งแยกว่าน้ำอันนี้มาจากแม่น้ำสายไหน ใจที่เปิดกว้างมันเหมือนทะเล เหมือนมหาสมุทร แม่น้ำแต่ละสายก็ไหลลงมา ก็รวมเข้าด้วยกัน ไม่แบ่งแยก ไม่เลือก เราภาวนาไปเรื่อยๆ ใจเรากว้างขวาง ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา แล้วก็ร่มเย็น มันจะมีความสุขมากเลย

ฉะนั้นตรุษจีนเราก็ส่งความปรารถนาดีให้คนจีนก็ได้ หรือคนไทยบางช่วง ช่วงสงครามเวียดนามอะไรอย่างนี้ ฝรั่งเข้ามาเยอะ แล้วมีลูกครึ่งผสมฝรั่งก็เยอะ คนที่แผ่นดินนี้ ใครมาเรากลมกลืน อยู่ด้วยกันได้อย่างร่มเย็น ศาสนาอะไรก็อยู่ด้วยกันได้ ที่ผ่านมาตั้งเป็นพันปี ศาสนาต่างๆ มาอยู่ตรงแผ่นดินนี้ อยู่ภายใต้ปกครองอันเดียวกัน ก็อยู่ด้วยกันได้

ฉะนั้นพยายามฝึกใจตัวเอง อย่าแบ่งเขาแบ่งเราให้มากนัก มองคนอื่น มองสัตว์อื่นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ของเรา เขาจะประเทศไหนก็ตาม มันก็เพื่อนร่วมทุกข์ของเรา อย่างบางประเทศ เราไปดูข่าว บางทีเรารำคาญ เอะอะก็บอกอันนี้ของมันๆ เราก็รู้สึกอย่างนี้ โขนก็ของฉัน ชุดละครก็ของฉัน ดนตรีก็ของฉัน อย่างนี้แคบ ใจไม่มีความสุข

ฉะนั้นปีใหม่ทั้งที ตรุษจีนก็คือปีใหม่ของคนกลุ่มหนึ่ง เป็นเวลาของการอวยพรกัน เราก็ทำใจของเราให้กว้างขวาง ทำใจของเราให้มีเมตตา คือความรู้สึกเป็นมิตร ก็แผ่ความปรารถนาดีออกไป คนแรกที่ได้ประโยชน์คือตัวเราเอง ได้ทันที ลองทำดู แล้วสมาธิจะเกิดอย่างง่ายดายเลย บางคนบอกทำสมาธิไม่สำเร็จเลย ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ บอกลองแผ่เมตตาไป สมาธิก็เกิด

เคยมีเคสที่หลวงพ่อเคยเจอ เรื่องแผ่เมตตา เกิดคุณประโยชน์แบบที่คนทั่วๆ ไปนึกไม่ถึง มีลูกศิษย์เขาเป็นเกย์ แล้วเป็นเกย์เขาต้องสำส่อน เพราะสำส่อนนั่นล่ะเลยมาเป็นเกย์ ก็กลับข้างกันไป กลับข้างกันมา ทำไมเขาต้องสำส่อน เพราะเขารู้สึกว่าใจของเขาไม่เต็ม ใจของเขาขาด ใจของเขาต้องการความรักความอบอุ่น ฉะนั้นเที่ยวแสวงหาไปเรื่อย หาอย่างไรก็ไม่อิ่ม หาอย่างไรก็ไม่เต็ม

หลวงพ่อเลยแนะนำเขาบอก แทนที่จะเที่ยวแสวงหา ลองให้บ้าง ให้ความรู้สึกเป็นมิตร ให้ความรู้สึกเมตตากับคนอื่น ลองทำดูสิ ความสำส่อนจะลดลง แปลกมากเลย พอใจมันอิ่มมันเต็ม มีความเมตตากรุณาเกิดขึ้น ความรู้สึกว่าตัวเองขาดหายไป เมื่อตัวเองไม่ขาดก็ไม่เห็นจะต้องวิ่งเที่ยวหาอะไรวุ่นวายมาเพิ่มภาระให้ตัวเอง ฉะนั้นเรื่องเมตตามันอัศจรรย์ ทำอะไรได้หลายๆ อย่าง แก้ไขปัญหาชีวิตได้เยอะแยะเลย กระทั่งความสำส่อน เจริญเมตตาเข้า หายได้เหมือนกัน ทดลองมาแล้ว ให้ลูกศิษย์บางคนลองทำดู ก็ทำได้

 

เห็นรูปนามกายใจไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อจิตมีพลังที่ถูกต้อง

พอเราฝึกจิตใจของเราให้ร่มเย็น เราก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้ ความดีแค่ที่จิตใจร่มเย็นยังไม่พอ มันร่มเย็นได้ แต่มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็แปรปรวนได้อีก เราก็ต้องพัฒนาคุณงามความดีที่สูงขึ้นไปอีก การที่จิตใจเรามีสมาธิก็เป็นความดีที่ยิ่งใหญ่มาก ความดีที่เหนือกว่าสมาธิก็คือปัญญา ที่สอนพวกเราทุกวันๆ คือเรื่องปัญญา แต่ก่อนที่พวกเราจะเจริญปัญญาได้ จิตเราต้องมีพลังก่อน จิตใจต้องมีสมาธิตั้งมั่น

วิธีที่เราจะทำจิตใจให้มีสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา คือทำกรรมฐานที่เราถนัด กรรมฐานอะไรก็ได้ ที่เราถนัด แล้วเป็นกรรมฐานที่ทำแล้วสบายใจ มีความสุข เราก็อยู่กับกรรมฐานชนิดนั้นไป แล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเอง เช่นอย่างหลวงพ่อถนัดหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ครูบาอาจารย์สอนมาแต่เด็ก มันชินอย่างนี้ ถนัด ฉะนั้นเวลาจะทำสมาธิ หลวงพ่อก็หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ วางจิตให้ถูก ไม่ได้มีความอยากให้สงบ ถ้าอยากสงบ จิตไม่สงบ

ใช้จิตปกติ ใช้จิตธรรมดาๆ อย่างนี้ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป ไม่นานก็สงบเอง ทำทุกวันๆ จิตจะมีพลัง ทำวันเดียว จิตยังไม่มีพลัง ต้องทำสม่ำเสมอทุกวันๆ จิตจะมีพลังขึ้นมา อย่างพวกเรามาให้หลวงพ่อเห็นหน้า หลวงพ่อดูปุ๊บ หลวงพ่อก็รู้เลยว่าคนไหนภาวนาสม่ำเสมอ คนไหนทำบ้างไม่ทำบ้าง คนไหนไม่ทำเลย ดูปุ๊บก็รู้เลย ไม่ใช่อัศจรรย์อะไรเลย ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์วิเศษวิโส มีฤทธิ์มีเดชถึงจะดูออก มันดูไม่เห็นจะยากอะไรเลย เห็นหน้าก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องมีฤทธิ์มีเดชอะไรหรอก

บางคนเราเห็นปุ๊บ เราก็รู้เลย จิตของเขามีพลัง ส่วนจะมีพลังเพราะสมาธิชนิดไหน จะอานาปานสติ หรืออย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้ เจริญเมตตา จิตก็มีพลังได้ เจริญเมตตาไปแล้วก็รู้ทันจิตตัวเอง เดี๋ยวจิตก็มีพลังขึ้นมาได้ ถ้าเจริญเมตตาไปเรื่อยๆ แผ่ๆๆ ออกไป ไม่รู้ทันจิตตัวเอง จิตไหลออกไป ไม่มีพลัง จิตจะมีพลัง จิตต้องตั้งมั่น จิตที่ไหลๆๆ ไป ไม่มีพลัง

เพราะฉะนั้นเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตไหลแล้วรู้ ไหลไปในโลกของความคิด รู้ทัน ไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ อยู่ที่มือ ที่เท้า ที่ท้องอะไรอย่างนี้ รู้ทันไป ตรงที่เรารู้ทันนั่นล่ะ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา พอตั้งบ่อยๆ จิตจะมีกำลัง พอจิตมีกำลังแล้ว มันจะถึงขั้นที่จะเจริญปัญญาได้แล้ว ถ้าจิตไม่มีกำลังอย่าไปเจริญปัญญาเลย มันทำไม่ได้

ฉะนั้นที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญพวกเราหนักหนาเรื่องหลงไปแล้ว เป็นการเตือนพวกเราให้รู้ว่าหลงมันหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง อาการเป็นอย่างนี้เองที่จิตมันหลงไป หลงไปคิดมันเป็นอย่างนี้ หลงไปเพ่งมันเป็นอย่างนี้ พอเรารู้จักลักษณะของมัน พอมันหลงปุ๊บ สติมันจะเกิดเอง ทันทีที่สติเกิด สมาธิที่ถูกต้องจะเกิด สะสมไปเรื่อย สติก็เร็วขึ้นๆ อัตโนมัติขึ้น สมาธิก็ตั้งมั่น อัตโนมัติขึ้น พอสติเราว่องไว จิตเรามีพลัง ตั้งมั่นแล้ว มันก็พร้อมจะเจริญปัญญา

เมื่อเช้าก็มีกรรมการมูลนิธิสื่อธรรมฯ คนหนึ่งมาให้หลวงพ่อเจอหน้า เห็นหน้าเราก็รู้แล้ว เด็กนี้ภาวนาสม่ำเสมอ จิตมีพลัง ตั้งมั่น หลวงพ่อก็ถาม เห็นไหมว่าร่างกายกับจิตมันคนละอัน บอกเห็น แล้วรู้ด้วยว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา หลวงพ่อถามต่อไป แล้วเห็นไหมว่าเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ มันก็ถูกรู้เหมือนกัน มันไม่ใช่เรา เขาก็เห็น จิตตั้งมั่นแล้ว มันเห็นง่ายๆ อย่างนี้ ถามเขาว่าแล้วเห็นไหมกุศล อกุศลทั้งหลายมันถูกรู้ถูกดู มันไม่ใช่เรา เขาก็เห็น

ฉะนั้นอย่างเขาเห็น สติระลึกรู้กาย เห็นกายไม่ใช่เรา สติระลึกรู้เวทนา ก็เห็นเวทนาไม่ใช่เรา สติระลึกรู้สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว ก็เห็นสังขารไม่ใช่เรา มันเหลือจิตเป็นเราอันเดียว เดี๋ยวค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวมันก็เห็นว่าไม่ใช่เราหรอก จิตนี้ เดี๋ยวก็เจริญ เดี๋ยวก็เสื่อม

อย่างสมัยหลวงพ่อภาวนาใหม่ๆ จะเห็นจิตมันมีวงรอบของมัน ประมาณ 7 วัน จากจุดต่ำสุดขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วตกลงมาจุดต่ำสุดอีก รอบหนึ่ง 7 วัน หรือจะสตาร์ตตรงจุดสูงสุดก็ได้ แต่ดูยาก ตรงจุดต่ำสุดดูง่ายกว่า เพราะฉะนั้นจากเสื่อมอยู่ เจริญขึ้นไป กลับเสื่อมลงมาที่เดิม 1 รอบ หลวงพ่อใช้ 7 วัน พวกเราส่วนใหญ่ก็จะประมาณนั้นล่ะ บวกลบนิดๆ หน่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ประมาณ 7 วัน

การที่เราเห็นจิตมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ ถึงวันหนึ่งมันปิ๊งขึ้นมาๆ ในใจเลย จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา เจริญมันก็เจริญเอง เสื่อมมันก็เสื่อมได้เอง มันไม่เที่ยง เจริญก็ไม่เที่ยง เสื่อมก็ไม่เที่ยง เจริญก็เจริญได้เอง เสื่อมก็เสื่อมได้เอง ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ พอเห็นอย่างนี้ มันจะปิ๊งขึ้นมา จิตนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้นมันหมดแล้ว มันเห็นว่าร่างกายก็ไม่ใช่เรา สุขทุกข์ไม่ใช่เรา ดีชั่วไม่ใช่เรา จิตใจก็ไม่ใช่เรา เฝ้ารู้เฝ้าดู สุดท้ายมันก็ล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตนได้

การที่จะเจริญปัญญาแล้วเห็นธาตุเห็นขันธ์ เห็นรูปนามกายใจไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรื่องยากหรอก ขอให้จิตมีพลังพอเท่านั้น ถ้าจิตมีพลังพอแล้วสติระลึกรู้อะไร อันนั้นไม่เป็นเราทันทีเลย ไม่ต้องคิดเลย มันเห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา มันไม่ใช่เราๆ เพราะฉะนั้นการเจริญปัญญาจะไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องคิดเอา แต่มันเห็นเอา รู้สึกเอา

เราจะเห็นได้ รู้สึกได้ จิตต้องมีพลัง แล้วเป็นพลังงานที่ถูกต้อง ไม่ใช่นั่งสมาธิ จิตมีพลังออกรู้ออกเห็นอะไรข้างนอก ไม่ได้เห็นกายเห็นใจตัวเอง รู้หมดเลย ใครไปทำอะไรที่ไหน ใครเป็นอย่างไร จิตใจใครเป็นอย่างไร รู้หมดเลย แต่มันไม่ย้อนมาที่กายที่ใจตัวเอง อย่างนี้มีแต่จะฟุ้งซ่าน ดูออกข้างนอก ดูคนอื่น โอกาสพลาดจะสูง หลวงปู่ดูลย์ถึงย้ำบอก อย่าส่งจิตออกนอก ให้ย้อนมาดูตัวเองไว้

ถ้าดูตัวเอง โอกาสพลาดมันก็น้อยลง ดูคนอื่นโอกาสพลาดเยอะ มันจะหลงลืมตัวเองไป แล้วมันจะเกิดกิเลส กูเก่งๆ รู้สารพัดจะรู้ แต่ถ้าดูตัวเอง โอกาสพลาดมันน้อย มีไหมโอกาสพลาดเวลาดูตัวเอง มี คือไปเพ่งอยู่ มันจะดูร่างกาย ก็ไปเพ่งร่างกาย จ้อง จิตใจถลำลงไปจ้อง อันนี้ผิดแล้ว พลาดแล้ว แต่ว่าพลาดอย่างนี้ ยังพลาดอยู่ข้างในนี้ ถ้ารู้ทันว่าเพ่งอยู่ มันก็คลายออก ก็ถูก แต่ออกข้างนอก ยากมาก

แต่ถ้าสมาธิดีพอ ดูออกข้างนอกก็เห็นไตรลักษณ์ อยู่ตรงที่สมาธิเราพอ แล้วถ้าสมาธิเราเต็มที่จริงๆ ดูโลกทั้งโลก ดูจักรวาลทั้งจักรวาล จักรวาลทั้งหมดเริ่มจากกายจากใจของเรานี้ แผ่กว้างออกไป เป็นคนรอบข้าง เป็นสัตว์รอบข้าง เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นโลก เป็นจักรวาล ทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกันหมด เราเห็นทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งรูป ทั้งนามตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์เหมือนกัน จะเห็นอย่างนี้ ถ้าจิตมีพลังพอ ตั้งมั่นพอ ดูออกไปข้างนอกก็เห็นไตรลักษณ์ ไม่ได้คิดเอา ถ้าจิตออกข้างนอกแล้วไปคิดเรื่องไตรลักษณ์ อันนั้นคือความฟุ้งซ่าน

ตัวที่จะตัดสินว่าตอนนี้ฟุ้งซ่าน หรือตอนนี้เจริญปัญญา ฟุ้งซ่านกับเจริญปัญญาใกล้เคียงกันมากเลย เวลาจิตมันทำงานขึ้นมาก็ฟุ้งซ่าน แต่ถ้าเมื่อไรเรารู้ทัน เรามีสมาธิพอ เราเห็นจิตมันทำงาน หรือเห็นโลกธาตุ ปัญญามันจะเกิด แต่ถ้าสมาธิเราไม่พอ จิตเราฟุ้งซ่าน ดูกายดูใจตัวเอง มันก็ฟุ้งซ่าน ดูโลกข้างนอกมันก็ฟุ้งซ่าน

 

สมาธิเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องทำให้ถูกวิธี

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ สมาธิเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ต้องทำให้ถูกวิธี ถ้ามิจฉาสมาธิมันจะดูออกข้างนอกไป จิตไม่เข้าบ้าน จิตไม่เข้าฐาน ก็ต้องมาฝึกจิตให้มันตั้งมั่นจริงๆ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตเคลื่อนไปไหนก็รู้ จิตหลงไปคิดก็รู้ จิตถลำลงไปเพ่งก็รู้ รู้อย่างนี้เยอะๆ จิตมันจะค่อยตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา คราวนี้ไม่ได้เจตนาเลย แล้วพอจิตมันตั้งมั่น สติระลึกรู้กาย เห็นเลยกายไม่ใช่เรา ระลึกรู้เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา ระลึกรู้สังขาร สังขารไม่ใช่เรา สุดท้ายก็ระลึกรู้จิต จิตก็ไม่ใช่เรา หรือถ้าชำนาญจริง สมาธิพอ ดูโลกข้างนอก จักรวาลข้างนอก โลกข้างนอก คนอื่นๆ ตัว ร่างกาย จิตใจนี้ มันอันเดียวกัน มันก็คือวัตถุ มันคือก้อนธาตุอันเดียวกันนั่นล่ะ เหมือนกันหมด เสมอกันหมด มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เสมอกันหมด

เพราะฉะนั้นในสติปัฏฐาน 4 ถ้าเราไปสังเกตให้ดี ท่านจะพูดถึงสภาวะภายใน สภาวะภายนอก ธรรมภายใน ธรรมภายนอก ธรรมในที่ใกล้ ธรรมในที่ไกล ภายในก็คือตัวเราเองนี้ ภายนอกก็คือนอกตัวเราออกไป ในที่ใกล้ก็คือในกายในใจนี้ ในที่ไกลก็คือสิ่งที่อยู่ข้างนอกออกไป ดู ที่จริงแล้วถ้าสมาธิพอ จิตตั้งมั่นพอ อันไหนก็ได้ เพราะไม่ว่าภายในหรือภายนอกก็แสดงธรรมะอันเดียวกันนั่นล่ะ แต่ครูบาอาจารย์จะเน้นให้ดูตัวเอง เพราะดูข้างนอกความเสี่ยงสูง

อย่างเราจะไปดูผู้หญิงสักคน แทนที่เราจะเห็นอสุภะ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เห็นมันสวยอย่างนี้ ราคะที่ยังไม่เกิดก็เกิด ที่เกิดแล้วก็รุนแรงขึ้นอะไรอย่างนี้ หรือเราไปเห็นคนที่เราเกลียด โทสะที่ยังไม่เกิดมันก็เกิด โทสะที่เกิดแล้วก็แรงขึ้น ฉะนั้นให้ย้อนมาดูตัวเองไว้ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด เอาไว้ชำนิชำนาญในการปฏิบัติจริงแล้ว กิเลสเบาบางแล้ว จะดูภายใน ดูภายนอก มันก็อันเดียวกันหมดล่ะ เพราะว่าตัวเราไม่มี กายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา ใจมันวางแล้ว โลกข้างนอกเสมอกันเลย

เพราะฉะนั้นการภาวนา ขอแนะนำทำกรรมฐานไว้อย่างหนึ่ง ศีล 5 ต้องรักษาเป็นพื้นฐาน ทั้งพระทั้งโยมต้องมีศีล 5 ไม่ใช่มีศีล 227 แล้วลืมศีล 5 เยอะ ไม่ใช่ หลวงปู่ดูลย์ท่านบ่นเลยว่าพวกพระชอบบอกว่ามีศีล 227 ลืมศีล 5 ศีล 5 สำคัญ เพราะฉะนั้นอันแรก พวกเราถือศีล 5 ไว้ อันที่สองทำในรูปแบบไว้ ทุกวันต้องทำ ให้มันเด็ดเดี่ยวลงไปเลย จะเป็นจะตายก็ต้องทำ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งที่เราถนัด ทำแล้วมีความสุข ทำไปเถอะ แล้วก็มีสติคอยรู้เท่าทันจิตใจตนเองไว้

ทำไปเรื่อยๆ วันแรกไม่รู้สึกอะไรหรอก เดือนหนึ่ง 2 เดือน 3 เดือน มันจะเริ่มเห็นผล จิตมันจะเริ่มตั้งมั่น มีกำลังมากขึ้น สติมันจะว่องไวขึ้น แล้วจิตมันตั้งมั่นจริงๆ แล้วคราวนี้สติระลึกรู้อะไร ก็จะเห็นไตรลักษณ์ของสิ่งนั้นทันทีเลย ระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์ของกาย ระลึกรู้เวทนา ระลึกรู้สังขาร ระลึกรู้จิต ก็เห็นแต่ไตรลักษณ์

ฉะนั้นจุดสำคัญที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญพวกเรามากเลย คือเรื่องสมาธินั่นเอง ต้องทำสมาธิให้ถูก ทำไมจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องนี้ เพราะหลวงพ่อฝึกมาแต่เด็ก หลวงพ่อแยกแยะสมาธิได้ตั้งหลายแบบ สมาธิที่เป็นมิจฉาสมาธิกับเป็นสัมมาสมาธิ ไม่เหมือนกัน มิจฉาสมาธิไม่มีสติ สัมมาสมาธิต้องประกอบด้วยสติเสมอ

แล้วในสัมมาสมาธิก็ยังแยกออกไปได้อีก 2 ชนิด อารัมมณูปนิชฌานให้ความใส่ใจที่ตัวอารมณ์ เช่น เรารู้ลมหายใจเข้าออก มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก จะได้สมาธิชนิดจิตสงบ เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน อารัมมะก็คืออารมณ์นั่นล่ะ ให้ความสำคัญกับตัวอารมณ์ อารมณ์แปลว่าสิ่งที่ถูกรู้ อย่างเราหายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก ให้ความสำคัญกับการหายใจ กับลมหายใจ ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก อย่างนี้ให้ความสำคัญกับร่างกาย อันนี้เรียกว่าอารัมมณูปนิชฌาน

สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิชนิดที่สองเรียกลักขณูปนิชฌาน ลักขณูก็คือเห็นลักษณะ เห็นลักษณะก็คือเห็นไตรลักษณ์ได้ สมาธิที่เห็นไตรลักษณ์ได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือสมาธิชนิดนี้เกิดกับจิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นกุศล จะมีลักษณะเบา อ่อนโยน นุ่มนวล คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ซื่อตรงในการรู้อารมณ์ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่อยากรู้ ไม่ใช่ไม่ได้อยากรู้ ไม่หลงลืม แล้วจิตมันจะตั้งมั่น เด่นดวงอยู่ เป็นกุศลอยู่ โดยที่ไม่ได้เจตนา เพราะฉะนั้นจะเป็นมหากุศลจิต ญาณสัมปยุต อสังขาริกัง สามารถเดินปัญญาได้แล้วก็ไม่ได้เจตนา ก็ต้องฝึก

 

วิธีฝึกสมาธิ

วิธีฝึกก็คือคอยรู้ทันจิตตัวเองไว้นั่นล่ะ แล้วมันจะได้สมาธิ อย่างถ้าเราจะทำมิจฉาสมาธิ ทิ้งจิตไปเลย ขาดสติไปเลย เห็นโน่นเห็นนี่อะไรไป มิจฉาทั้งหมดเลย แต่ถ้าเรามีสติอยู่ แล้วเราต้องการพักผ่อน เราน้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง จิตเราสงบเลย มีสติอยู่ ไม่ขาดสติ แต่มีสติแล้วสงบลงไปด้วยความมีสติ

ถ้าเราจะเจริญปัญญา เราก็รู้จักพลิกแพลง จิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา สติ ระลึกรู้รูปรู้นามไปอะไรอย่างนี้ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ที่หลวงพ่อใช้บอกว่ามีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางนั่นล่ะคือจิตที่ได้ลักขณูปนิชฌาน มันเกิดจากการที่เรามีสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่นและจิตที่ไม่เป็นกลาง จิตที่ไม่ตั้งมั่นก็คือจิตที่ไหลไปไหลมา

ฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่าง แล้วรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา แล้วมันจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วเวลาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไปกระทบอารมณ์ ยินดี ให้รู้ทัน ยินร้าย ให้รู้ทัน เราจะได้จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลาง จิตตัวนี้ล่ะพร้อมสมบูรณ์แล้วที่จะเจริญปัญญาอย่างแท้จริง ไม่ได้เจตนาเจริญปัญญา สติระลึกรู้กายก็เห็นไตรลักษณ์เอง สติระลึกรู้เวทนาก็เห็นไตรลักษณ์เอง สติระลึกรู้จิตก็เห็นไตรลักษณ์เอง ระลึกรู้สังขารก็เห็นไตรลักษณ์เอง ไม่ได้เจตนา ไม่ได้คิด ถ้าคิดอยู่ยังไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาต้องเห็นเอา ไม่ได้คิดเอา มันจะเห็นได้ง่าย ถ้าจิตเรามีกำลังพอ ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา

อย่างเด็กเมื่อเช้าที่มาให้หลวงพ่อดู มารายงานตัวว่าเป็นกรรมการใหม่ของมูลนิธิฯ เขาฝึกของเขาทุกวัน จิตมันมีพลัง ตั้งมั่น แล้วเขาเห็นทันทีเลย ขันธ์แต่ละอัน สติระลึกรู้อะไร อันนั้นไม่เป็นเราสักอันหนึ่ง ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก พวกเราทุกคนสามารถทำได้ ถ้าเราทำ ทุกคนทำได้ถ้าทำ ถ้าไม่ทำก็คือไม่ได้ แค่นั้นเอง ยุติธรรมมากเลย กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ กระทั่งการปฏิบัติก็ยังมีคำว่ากฎแห่งกรรม ถ้าเราขยันภาวนา ภาวนาถูกต้อง ผลมันก็ถูกต้อง ภาวนาผิด ผลมันก็ผิด ภาวนาแล้วขี้เกียจ มันก็ได้ผลเล็กน้อย เจริญแล้วก็เสื่อมไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีกำลัง หมดเรี่ยวหมดแรง

อย่างหลายคนภาวนาหลายๆ ปี หลายสิบปี หมดกำลังแล้ว อย่างพระนี่ตัวดีเลย บวช ถ้าบวชนานๆ บางทีท้อแท้ใจ ภาวนาไม่ขึ้น เลิกภาวนาไปเลย ฉะนั้นเราอย่ารอให้ถึงวันที่จิตหมดกำลังใจ อดทนในวันที่ยังแข็งแรงอยู่ ทุกวันต้องรักษาศีล 5 ทุกวันต้องทำในรูปแบบ ในรูปแบบคือทำกรรมฐานที่เราถนัดสักอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิต จิตไหลไปคิดก็รู้ จิตไหลไปเพ่งก็รู้ ฝึกไว้ ในที่สุดจิตจะตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา แล้วคราวนี้สติระลึกรู้รูปรู้นามอะไรก็จะเห็นไตรลักษณ์แล้ว จะเห็นเอง ไม่ได้คิดเอา คิดเอาไม่ใช่วิปัสสนา

ยากไปไหม หลวงพ่อว่าไม่ยาก คนอื่นทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้ คนอื่นที่ท่านบรรลุมรรคผล เมื่อก่อนท่านก็คนอย่างพวกเราล่ะ ก็อ่อนแอมาก่อน ท้อแท้มาก่อน เป็นทุกคนล่ะ ทุกท่านล่ะ ไปดูประวัติแต่ละองค์ สู้ตายมาแล้วทั้งนั้น บางท่านเราไปดู อย่างสาวกครั้งพุทธกาล อย่างเราดู เอ๊ะ ทำไมบางองค์ ดูท่านง่ายจัง บารมีท่านเยอะเหลือเกิน

อย่างพระมหากัสสปะ ตั้งแต่หนุ่มไม่เคยคิดจะมีเมีย แต่ว่าผู้ใหญ่บังคับให้แต่งงานก็แต่งกัน อยู่กับภรรยาท่าน นอนเตียงเดียวกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อะไรกัน เพราะทั้งคู่บารมีเต็มแล้ว อยากจะพ้นทุกข์แล้ว ไม่ได้อยากอยู่กับโลกแล้ว ทั้งคู่ไม่ได้อยากแต่งงานด้วย พอพ่อแม่ตายแล้ว พ่อแม่พระมหากัสสปะตายแล้ว ท่านก็คุยกับเมียท่านว่าถึงเวลาแล้ว จะได้ออกไปปฏิบัติหาทางพ้นทุกข์กันแล้ว

ตอนนั้นยังไม่มีภิกษุณี ยังไม่เกิดภิกษุณีขึ้น 2 องค์นี้ท่านก็มีทรัพย์สมบัติ ท่านแจกหมดเลย คนยากคนจนท่านให้ไปหมด แล้ว 2 คนก็ออกบวช เดินไป เจอทางแยก มีทาง 2 ทาง ทางแยก 2 แพร่ง ท่านก็ปรึกษากันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะแยกกันแสวงหาความหลุดพ้น ใครจะไปทางไหนดี ภรรยาท่าน ภัททกาปิลานี ก็บอกว่าท่านเป็นผู้ชาย ให้เกียรติ ให้เดินไปทางขวา ตัวท่านจะเดินไปทางซ้าย ก็แยกกันไป

พระมหากัสสปะเดินไปเจอพระพุทธเจ้า ฟังธรรม ไม่นานเลยบรรลุพระอรหันต์ เราฟังประวัติอย่างนี้ ทำไมง่ายจังเลย ไม่ไปดู ก่อนที่ท่านจะง่าย ท่านยากอะไรมาแล้ว ลำบากมาตั้งเยอะแยะแล้ว ท่านสะสมบารมี 1 อสงไขยแสนมหากัป อสงไขยเท่ากับสิบยกกำลัง 148 ประมาณนั้น นั่นตัวเลขของอสงไขย แล้วอสงไขยหนึ่ง ตัวเลขหนึ่งคือการที่จักรวาลเกิดแล้วก็สลาย มีบิกแบง แล้วก็รวมตัวสลายไปอีก ครั้งหนึ่งเรียกว่ากัปหนึ่ง ใช้เวลายาวนาน ฉะนั้นบารมีท่านเยอะ

ไปดูองค์อื่นๆ เหมือนกัน อย่างพระสารีบุตรบำเพ็ญบารมีมากมาย ไม่ใช่ พระมหากัสสปะบารมีท่านแสนมหากัปๆ ถ้าพระสารีบุตร 1 อสงไขยแสนมหากัป หลวงพ่อจำตัวเลขผิดพลาด ขอถอนๆ ท่านประธานที่เคารพ ขอถอน อย่างพวกสาวกผู้ใหญ่ที่เป็นเอตทัคคะ บารมีแสนมหากัป อัครสาวก 1 อสงไขยแสนมหากัป พระปัจเจก 2 อสงไขยแสนมหากัป พระพุทธเจ้าอย่างต่ำ 4 อสงไขยแสนมหากัป

อย่างพระศรีอริยเมตไตรย 16 อสงไขยแสนมหากัป ทำไมนานเหลือเกิน เพราะท่านเดินด้วยวิริยะ เดินด้วยวิริยะ ลองผิดลองถูกพากเพียรไป พระโคตม พระพุทธเจ้าของเราใช้เวลาสั้นที่สุด 4 อสงไขยแสนมหากัป เพราะเดินด้วยปัญญา ฉะนั้นถ้าเรามีความเพียร เราก็เพียรถูลู่ถูกังไป ใช้เวลานาน ถ้าเราไปด้วยปัญญา เดินด้วยเหตุด้วยผล ค่อยๆ สังเกตตัวเองด้วยเหตุด้วยผล ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้อดทนไว้ล่ะ

จริตนิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเวลาภาวนา กิเลสมันแรงก็ต้องปฏิบัติลำบาก ประเภทอดนอนผ่อนอาหาร เดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำอะไร มิฉะนั้นกิเลสมันฟัดเราตายเลย ฉะนั้นพวกกิเลสแรง การปฏิบัติมันจะโน้มไปทางทุกขาปฏิปทา ถ้ากิเลสเบาบาง มันจะโน้มไปทางสุขาปฏิปทา ภาวนาง่ายๆ เอ้า แป๊บๆ หลุดไปแล้ว สบาย แต่หลุดเร็วหลุดช้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ากิเลสแรง จะภาวนาลำบาก ถ้ากิเลสไม่แรง ภาวนาสบาย ส่วนบรรลุเร็ว บรรลุช้า ถ้าบารมีมาก อินทรีย์แก่กล้าบรรลุเร็ว ถ้าอินทรีย์อ่อน บารมีอ่อน บรรลุช้า ก็จะเป็น 2 กลุ่ม

 

ศักดิ์ศรีของชาวพุทธ

เพราะฉะนั้นบางคนปฏิบัติลำบากแล้วยังบรรลุช้าด้วย บางคนปฏิบัติลำบาก บรรลุเร็ว บางคนปฏิบัติสบาย บรรลุเร็ว บางคนปฏิบัติสบาย บรรลุช้า แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราไม่ต้องดูคนอื่น เราดูตัวเราเอง เราปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ก็แล้วกัน ไหนๆ ก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าทั้งทีแล้ว สู้ตาย สู้ให้เต็มฝีมือเลย ไม่ใช่เห็นกิเลสก็ท้อแท้ เห็นข้าศึกก็ยอมแพ้แล้ว มันไม่ได้มีศักดิ์ศรีของชาวพุทธเลย

เพราะฉะนั้นเราต้องสู้ อดทนไว้ แล้วก็พากเพียรไป ทุกวันต้องรักษาศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จะเป็นจะตายอะไรก็ต้องทำ อย่าให้เสียสัจจะ อย่าให้เสียความตั้งใจ ในขณะที่ทำกรรมฐานนั้น ก็คอยสังเกตจิตตัวเองไป จิตหลงไปคิด รู้ จิตหลงไปเพ่ง รู้ เราจะได้สมาธิที่ดี ถัดจากนั้นก็คือการเจริญปัญญา เจริญปัญญาที่ดี เจริญอยู่ข้างนอกนี้ล่ะ ในชีวิตประจำวันนี้ล่ะ หรือถ้าถนัดสมาธิจริงๆ เจริญปัญญาในฌานก็ได้ แต่พวกเรายุคนี้ไม่ค่อยมีคนได้ฌาน จะอยู่ข้างนอกเสียเป็นส่วนใหญ่

ฉะนั้นเราอยู่ข้างนอกเจริญปัญญาได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจกระทบอารมณ์ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จิต อย่างตาเห็นผู้หญิงสวย จิตมีราคะ รู้ทัน หูได้ยินเขาด่า จิตมีโทสะ รู้ทัน คอยรู้ทันที่จิตตนเองไปเรื่อยๆ อย่าจ้อง ให้กระทบอารมณ์ แล้วความเปลี่ยนแปลงเกิดที่จิตใจตัวเองคอยรู้ไป ทั้งวันดูไป แล้วตอนไหนดูไม่ได้ ก็กลับมาทำสมถะ ถนัดอะไรก็เอาอันนั้นล่ะ แต่ทำไปเพื่อให้จิตได้พักผ่อน ไม่ใช่ทำเพื่อให้จิตตั้งมั่น ถ้าเวลาเหนื่อยๆ ทำไปเพื่อให้จิตพักผ่อน ให้มันหยุดการทำงาน ให้มันหยุดการเจริญปัญญาชั่วคราว

อย่างหลวงพ่อถ้าต้องการพักผ่อน หลวงพ่อก็มาอยู่กับพุทโธ ลมหายใจอะไรอย่างนี้ พวกเราก็ดูเอา ของเราจะพักตรงไหน ถ้าพักพอสมควร จิตสดชื่น มีเรี่ยวมีแรง ก็พลิกจิตนิดหนึ่ง ให้เป็นจิต จากจิตที่สงบ ให้เป็นจิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา พลิกกันนิดเดียวเอง คือ alert ขึ้นมา พร้อมที่จะทำงาน จิตที่พักผ่อนคล้ายๆ อย่างนี้ พักอย่างนี้ เวลามันพักพอสมควร มีแรงแล้ว ก็ปล่อยออกมา alert ขึ้นมา ตื่นตัวขึ้นมาสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสเข้าไป แล้วมีความเปลี่ยนแปลงของจิตใจเกิดขึ้น รู้ทันไป

เราฝึกเรื่อยๆ เราจะสามารถพลิกแพลงจิตใจของเราได้สารพัดเลย ของเล่นเยอะตรงนี้ ไม่สอนดีกว่า ถ้าขืนสอนเดี๋ยวเอาแต่เล่น ไม่ได้ของจริง หลวงพ่อเรียนจากหลวงปู่ดูลย์ ทางสุรินทร์ของเล่นเยอะๆ พระบางองค์ลวดลายมากมาย หลวงพ่อหรุ่นอะไรพวกนี้ เล่น เล่นเยอะ ทีนี้บางคนเล่นมากไป คุมตัวเองไม่ได้

มีเณรคนหนึ่ง ฉายาเณรสังฆราช รู้มาก อะไรๆ ก็รู้หมดเลย เช้าขึ้นมา เที่ยวเดินบอกพระทั้งวัด พระตั้ง 50 กว่าองค์ เมื่อคืนท่านทำไมทำอย่างนี้ๆ ไปว่าเขาทั้งวัดเลย หลวงปู่ดูลย์ท่านก็เตือนว่าอย่าส่งจิตออกนอก หลวงปู่เตือนก็หดเข้ามา 2 – 3 วันออกไปอีกแล้ว เที่ยวไปรู้ข้างนอก จนกระทั่งไม่สามารถกลับเข้ามาที่ตัวเองได้แล้ว

แล้วพอสิ้นหลวงปู่ สุดท้ายเป็นบ้า รักษาหาย ไปเข้าโรงพยาบาลบ้า หายแล้วกลับมาบวชอีก พอเริ่มภาวนาก็เที่ยวออกไปดูข้างนอกอีกแล้ว แล้วก็บ้าอีก หลายรอบ บ้าแล้วหาย หายแล้วบ้า สุดท้ายผูกคอตายไปเลย ตกนรกอีกนานอย่างนั้น ฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายบาปมาก อย่านึกว่าร่างกายเป็นของเรา ฆ่าทิ้งไม่เป็นไร ร่างกายไม่ใช่ของเรา ร่างกายเป็นสมบัติของโลก พ่อแม่ให้เรามา ไปฆ่าทิ้ง บาป

ฉะนั้นเราพยายามฝึก ทุกวันต้องฝึกให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าออกข้างนอก รู้ข้างนอกไม่ยากหรอก รู้ตัวเองยากกว่า ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจิตมันก็รู้แจ้งแทงตลอด มันก็ปล่อยวางได้ รู้แจ้งในรูป ก็ปล่อยวางรูป รู้แจ้งนาม ก็ปล่อยวางนาม รู้แจ้งจิต ก็ปล่อยวางจิต ที่สุดของทุกข์ก็อยู่ตรงนั้นล่ะ

วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ฉลองตรุษจีน

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
22 มกราคม 2566