ความรู้สึกตัวเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญ

เมื่อวันเสาร์ก่อน หลวงพ่อไปเทศน์ที่กระบี่ คนแน่น 500 คน เต็มห้อง ไปเครื่องบินจากสุวรรณภูมิ ขากลับ กลับที่ดอนเมือง สุวรรณภูมิคนแน่น ฝรั่งเยอะ บนเครื่องบินนั้นส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง ไม่มีใครใส่แมสก์แล้ว ลูกเล็กเด็กแดงอะไรเขาก็ไม่ใส่กันแล้ว เขาติดกันมาจนชำนาญแล้ว ไม่กลัว พวกที่ใส่ก็มีแต่คนไทยยังใส่กัน ตอนนี้ฝรั่งมาเมืองไทยกันเยอะแยะ ค่าครองชีพถูกกว่าอยู่บ้านของเขา เศรษฐกิจเขาไม่ดี แล้วบางคนก็ไม่อยากอยู่ประเทศของตัวเอง เลือกมาอยู่เมืองไทย มาอยู่ยาวๆ กะมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองไทย เยอะ

คนไทยก็อยากไปอยู่เมืองนอก มันไม่พอใจสิ่งที่ตัวเองมี สิ่งที่ตัวเองเป็น ดิ้น เด็กทำงานกะว่าเรียนหนังสือ เรียนจบแล้วจะไปอยู่เกาหลี มันเพ้อ ไม่เคยไปต่างประเทศจริง ถ้าไปแล้วจะรู้เลย ชาติที่เขาเจริญแล้ว เขาค่อนข้างเหยียดหยาม ดูถูก ยิ่งพวก Caucasian พวกฝรั่ง ดูถูกผิวสี ไปก็ไปเป็นพลเมืองชั้นสอง เคยเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง ก็จะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง อยู่ชั้นหนึ่งไม่พอใจ ไปพอใจชั้นสอง เป็นไปไม่ได้ เด็ก ไร้เดียงสา ไม่มีประสบการณ์ จะเห็นต่างชาติ อยากมาอยู่เมืองไทยกัน เยอะแยะเลย

 

ถ้าเราสามารถรู้สึกกายรู้สึกใจได้
เราก็จะสามารถเรียนรู้ความจริงของร่างกายของจิตใจได้

คนสนใจการปฏิบัติก็มากพอสมควร ฟังที่หลวงพ่อเทศน์ก็หัดทำเอา จำนวนหนึ่งก็ทำเป็น อีกส่วนหนึ่งก็ยังไม่เป็น เรื่องธรรมดา จุดแรกเลยที่จะต้องภาวนาให้ได้ คือปลุกจิตให้ตื่นขึ้นมา ให้จิตตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ถ้าจิตใจเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เราปฏิบัติไม่ได้จริง เพราะว่าเราปฏิบัติธรรม เพื่อจะให้เห็นความจริงของตัวเรา คือกายกับใจ ถ้าจิตใจเราหนีกายหนีใจไป มันจะไปเห็นความจริงที่ไหนได้ ไม่รู้ความจริงได้หรอก เพราะฉะนั้นจุดตั้งต้น เราจะต้องฝึกตัวเองให้ตื่นขึ้นมา ให้จิตมันตื่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ถ้าจิตของเราเป็นผู้หลับผู้ฝันอยู่ มันก็ลืมตัวเอง อย่างเวลาเรานอนหลับ เราฝัน เรามีร่างกายเราก็ลืม เรามีจิตใจเราก็ลืม ลืมตัวเอง คนส่วนใหญ่ตื่นนอนมา มันตื่นเฉพาะร่างกาย จิตมันก็ยังฝันอยู่เหมือนเดิม หลงอยู่ในโลกของความคิดตลอดเวลา ตราบใดที่ยังฝันอยู่ ก็จะไม่สามารถเห็นความจริง อย่างตอนเรานอนหลับฝัน เรามีร่างกายเราก็ลืมร่างกาย เรามีจิตใจเราก็ลืมจิตใจ พอเราตื่นขึ้นมา มันตื่นแต่ร่างกาย จิตใจมันก็ยังอยู่ในโลกของความคิดความฝันอยู่ มีกายมันก็ลืมกาย มีจิตใจมันก็ลืมจิตใจ แบบเดียวกัน

ทีนี้เราจะปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ได้ ก็ต้องหมดความยึดถือในรูปนามกายใจนี้ เราจะหมดความยึดถือในรูปนามกายใจได้ ต่อเมื่อเราเห็นความจริงของรูปนาม ของกายของใจ มันไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไรหรอก เป็นของชั่วคราว แล้วมันไม่เที่ยง มันกำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลายอยู่ตลอดเวลา เรียกว่ามันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ มันเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่ตามที่เราต้องการ อันนั้นเรียกว่าอนัตตา

ถ้าเราสามารถเห็นความจริงของกายของใจได้ ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นมุมใดมุมหนึ่งก็พอแล้ว มันก็จะปล่อยวาง เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอก “เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือจึงหลุดพ้น ปล่อยวางได้” เราจะสามารถเห็นความจริงของกายของใจได้ จิตเราต้องตื่น ถ้าจิตเราไปหลงอยู่ในโลกของความคิดความฝัน มันก็ไม่เห็นกายเห็นใจ มีกายลืมกาย มีใจลืมใจ

เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัว เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญที่สุดเลยสำหรับการปฏิบัติ พวกเราต้องรู้สึกตัวให้ได้ หลุดออกจากโลกของความฝัน มาอยู่ในโลกของความจริงให้ได้ มีกายก็ให้รู้สึกว่ามันมีร่างกาย มีจิตใจก็รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ ไม่ใช่มีกายก็ลืม มีใจก็ลืม คิดฝันเพ้อเจ้อตลอดเวลา ถ้าเราสามารถรู้สึกกายรู้สึกใจได้ เราก็จะสามารถเรียนรู้ ความจริงของร่างกายของจิตใจได้ ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา พอเราเห็นความจริงของกาย ความรักใคร่หวงแหนผูกพันในกายก็จะลดลงๆ สุดท้ายจิตใจก็หมดความยึดถือในร่างกาย

ถ้ามันยังรักใคร่หวงแหนอยู่ มันก็ยังยึดถืออยู่ มันรักใคร่หวงแหน เพราะมันคิดว่าร่างกายนี้เป็นของดีของวิเศษ ถ้าเรารู้สึกตัวรู้สึกกายไปบ่อยๆ เราจะเห็นร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษเลย ร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ ยืนอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์ นอนอยู่ก็ทุกข์ อย่างนอน เราก็ต้องนอนพลิกไปพลิกมา เพราะมันปวด มันเมื่อย นอนสบายๆ อยู่ประเดี๋ยวเดียว ร่างกายก็ถูกบีบคั้น มันทนอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถพลิกตัวได้ ไม่นานก็เป็นแผลกดทับ ติดเชื้อตายไปอีก เพราะฉะนั้นที่เราต้องพลิกซ้ายพลิกขวาอะไรไปเรื่อย เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย เพื่อหนีทุกข์

ถ้าเรามีสติรู้สึกอยู่ในร่างกาย รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ เราถึงจะเห็นความจริง ร่างกายนี้ไม่ใช่ของดีหรอก ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกตลอดเวลา เช่นหายใจเข้าแล้วก็หายใจออก หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า ธาตุมันก็เคลื่อน กินอาหารเข้าไป ดื่มน้ำเข้าไป แล้วก็ขับถ่ายออกมา ปัสสาวะออกมา ธาตุมันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้เอง ที่จริงแล้วสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวเรา ร่างกายนี้คือตัวเราๆ จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่วัตถุ เป็นวัตถุ เป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่ตัวเราของเราจริง เรายืมโลกมาใช้ ไม่นานเราก็ต้องคืนให้โลกไป คนอื่นก็เอาไปใช้ต่อ

อย่างร่างกายของเรา เรารัก เราหวงแหน พอเราตายไป เอาไปฝัง เอาไปทิ้ง หรือหนอนเอาไปกิน นกก็มากินหนอน คนไปกินนกอะไรอย่างนี้ หมุนเวียนไป หรือเอาไปเผา ดินก็ถูกเผาไป น้ำมันก็ระเหยไป ธาตุลมมันก็หยุด มันก็กลายเป็นเศษดินเป็นอะไรไป น้ำก็แยกไปเป็นน้ำ ดินก็แยกไปเป็นดิน ลมก็แยกไปเป็นลม ไฟก็แยกไปเป็นส่วนของไฟ ส่วนของพลังงาน นั่นก็คืนโลก คนอื่นก็เอาไปใช้อีก อย่างน้ำในร่างกายเรา น้ำเลือดอะไรของเรา ก่อนจะมาเป็นน้ำเลือดของเรา มันอาจจะเป็นน้ำเหลือง ศพใครก็ไม่รู้ เพราะว่าน้ำมันอยู่สมบัติของโลก ก็ผลัดกันใช้

ถ้าเรามีสติอยู่ เราตื่น เรารู้สึกตัวอยู่ แล้วสติระลึกรู้ร่างกายได้ มันก็จะเห็นความจริงของร่างกาย ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์บีบคั้น ร่างกายไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นสมบัติของโลก ที่เรายืมโลกมาใช้ชั่วคราว แล้วเราก็ต้องคืนเจ้าของ ถ้าเรารู้ตัวอยู่ มีความรู้สึกตัวอยู่ เรามีร่างกาย เราก็รู้สึกถึงร่างกาย แล้วต่อไปเราก็เห็นความจริงของร่างกาย แต่ถ้าเราใจลอย วันๆ หนึ่งเล่นแต่โซเชียล ด่าคนโน้น ชมคนนี้ กดโน้น กดนี้ เพลินๆ ไป เรามีร่างกายเราก็ลืม เราลืมร่างกายของตัวเอง เราลืมจิตใจของตัวเอง

เมื่อเราลืมกายลืมใจ เราไม่มีความรู้สึกตัวเหลืออยู่ แล้วเราจะไปเห็นความจริง ของร่างกายของจิตใจได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัว เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญมากของการปฏิบัติ ที่จะพ้นทุกข์ได้หรือไม่ได้ ถ้ารู้สึกตัวไม่เป็น ไม่มีทางหลุดพ้นหรอก ความรู้สึกตัว พูดแล้วง่าย มาฝึกให้เกิดไม่ใช่ง่าย อย่างพวกพระมาบวชอยู่กับหลวงพ่อนี้ บางองค์ปฏิบัติมาตั้ง 20 ปีแล้ว เป็นโยมอยู่ มาบวช 2 – 3 เดือนถึงจะรู้ว่า โอ๊ย ที่ผ่านมามันไม่เคยรู้สึกตัวเลย มันฝันอยู่ตลอดเวลา ไม่เคลิ้มฝันไป ก็นั่งเพ่ง นั่งจ้องร่างกายจิตใจ จ้อง เพ่งๆ เอาไว้ นั่นไม่ใช่ความรู้สึกตัว

 

ภาวะที่ไม่เผลอ ไม่เพ่ง ก็คือภาวะแห่งความรู้สึกตัว

ลักษณะของความรู้สึกตัว คือเราไม่เผลอ ลืมกายลืมใจของตัวเอง ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่ไปเพ่ง ไม่เพ่งกาย ไม่เพ่งใจ แล้วก็ไม่เพ่งสิ่งอื่นด้วย ฉะนั้นคำว่า “ไม่เผลอ” คำว่า “ไม่เพ่ง” ถ้าเรามีตัวนี้ เราจะรู้สึกตัวได้ ร้อยทั้งร้อย นี่พูดแบบตามใจที่คิดเลย ร้อยละร้อย ในโลกมันไม่มีคนรู้สึกตัว ในโลกมันมีแต่คนหลง หลงอยู่ในโลกของความคิดความฝัน มันตื่นแต่ร่างกาย แต่จิตมันฝันตลอดเวลา มโนเอา คิดโน้นคิดนี้ไป แล้วก็คิดว่าจริงจังขึ้นมา เรื่องที่คิดถูกบ้าง ผิดบ้าง ไม่มีสาระแก่นสารอะไร น้อยคนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมาได้

ทำอย่างไรเราจะรู้สึกตัว ถ้าเมื่อไรเรารู้จักสภาวะหลง หรือความลืมตัว ถ้าเรารู้ว่าลืมตัวเมื่อไร ความลืมตัวจะดับ ความรู้สึกตัวจะเกิด มันง่ายๆ มันเหมือนเหรียญอันหนึ่ง ไม่ออกหัวก็ออกก้อย ไม่หลงก็รู้สึก เราพยายามเรียนรู้ เรียนรู้ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วจิตหลงไปคิดให้รู้ทัน อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตมันหลงไปคิดเรื่องอื่น มันลืมพุทโธ ให้เรารู้ทัน มันลืมการหายใจ ให้เรารู้ว่า โอ้ นี่หลงไปคิดแล้ว ไปคิดเรื่องกุนขแมร์ อะไรอย่างนี้ มันหลงแล้ว ให้รู้ทัน ทันทีที่เรารู้ว่าหลง ความหลงจะดับ ความรู้สึกตัวจะเกิดขึ้นแทน จิตใจมันจะรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา

ศัตรูเบอร์หนึ่งของความรู้สึกตัวคือหลง หลงคืออะไร หลงก็คือลืม ลืมตัวเอง มีกายลืมกาย มีใจลืมใจ มัวแต่ไปคิดเรื่องอื่น ศัตรูเบอร์สองก็คือการเพ่งเอาไว้ จิตนั้นมันหลง เพ่ง จริงๆ แล้ว หลวงพ่ออยากใช้คำที่ตรงๆ เลย คำว่า “เพ่ง” ฟังแล้วยังไม่สะใจ คำที่ถูกต้องคือ “หลงเพ่ง” ไม่ใช่เพ่งธรรมดา แต่หลงไปเพ่ง อย่างเวลาเราทำกรรมฐาน แล้วเราหายใจ จิตเราหลงไปจ้องลมหายใจ จมลงไปที่ลมหายใจ แล้วเราไม่รู้ จิตมันหลงไปเพ่ง เราไม่รู้ ถ้ามันเพ่งแล้วเรารู้ว่าเพ่ง อันนั้นไม่เรียกว่าหลงเพ่ง

แต่ส่วนใหญ่เวลาทำกรรมฐาน อย่างดูท้องพองยุบ จิตไหลลงไปอยู่ที่ท้องแล้วไม่เห็น อันนั้นก็เรียกว่าหลงเพ่ง เดินจงกรมจิตไปกำหนดอยู่ที่เท้า หรือกำหนดอยู่ที่พื้น กำหนดออกข้างนอกไป อันนั้นก็คือหลงเพ่ง ขยับมือทำจังหวะ แล้วก็จ่อ จิตจ่อลงไปในมือ อันนั้นก็เรียกว่าหลงเพ่ง หลงก็เลยมี 2 หลง หลงลืมกายลืมใจ อันนี้ร้ายแรงที่สุด แล้วก็หลงเพ่ง จิตถลำลงไปจ้องนิ่งๆ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างรู้ลมหายใจก็ไปจ้องลม ดูท้องก็ไปจ้องท้อง จิตถลำลงไปอยู่ที่ท้องแล้วไม่เห็น อันนั้นเรียกว่าหลง ไม่ใช่ความรู้สึกตัว

บางคนบอก ฉันรู้สึกตัวตลอดเวลา ท้องฉันพองฉันก็รู้ ท้องฉันยุบฉันก็รู้ ไม่เห็นอย่างหนึ่งว่า จิตมันถลำลงไปเพ่งอยู่ที่ท้อง อันนั้นยังไม่ใช่ความรู้สึกตัวที่แท้จริง มันก็คือหลง ยังหลงอยู่ หลงเพ่ง หลงเผลอคือหลงลืม โอกาสจะไปอบายสูง หลงเพ่งไปสุคติได้ แต่ไปนิพพานไม่ได้ เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเอาไว้ เทวดาเคยไปถามพระพุทธเจ้าว่า “พระองค์ข้ามโอฆะ คือข้ามห้วงน้ำ ข้ามกิเลสได้อย่างไร” ท่านบอกว่า “เราข้ามโอฆะ ข้ามกิเลสได้ เพราะเราไม่เผลอ แล้วเราก็ไม่เพ่ง ถ้าเผลออยู่เราจะจมลง ถ้าเพ่งอยู่เราจะลอยขึ้น เราไม่เผลอ เราไม่เพ่ง เราข้ามโอฆะได้ด้วยวิธีนี้”

ภาวะที่ไม่เผลอ ไม่เพ่ง ก็คือภาวะแห่งความรู้สึกตัว ถ้าเรารู้สึกตัว จิตก็ไม่หลงสุดโต่งข้างเผลอ อันนี้ตามใจกิเลส เรียกว่า “กามสุขัลลิกานุโยค” พอเราตามใจกิเลส กิเลสก็ย้อมใจเรา เวลาตายเราก็ไปทุคติ เวลาเราเพ่ง เรากลัวบาป กลัวไม่ดี กลัวอย่างโน้น กลัวอย่างนี้ กลัวสิ่งที่ชั่วๆ ก็เพ่งเอาไว้ๆ เวลาตายก็ไปสุคติได้ ไปเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม พอจะไปได้ แต่ไม่นิพพาน เพราะอะไร เพราะยังมีการกระทำอยู่ ยังมีการกระทำก็คือมีกรรม มีเจตนา เจตนาตามใจกิเลสก็หลงไป เจตนาสู้กับกิเลสก็เพ่งเอาไว้ มีเจตนา ก็มีการกระทำกรรม คือตามใจกิเลส เดี๋ยวก็ทำกรรม วิ่งไปทางตา วิ่งไปดูรูป วิ่งไปฟังเสียง จิตทำงานหมุนติ้วๆๆ อยู่ ไม่เคยเห็น อันนั้นจิตมันก็สร้างภพสร้างชาติไปเรื่อยๆ

แล้วส่วนใหญ่มีธรรมชาติที่ไหลลงต่ำ เพราะตามใจกิเลส มันสะดวกสบาย ฝืนกิเลส มันต้องต่อสู้ ต้องเข้มแข็ง ฉะนั้นโดยธรรมชาติ จิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ ถ้าเราไม่ต่อสู้ จิตเราก็จะเลวลงไปเรื่อยๆ ดูตัวอย่างง่ายๆ เลย อย่างผู้หญิงสักคนเป็นกุลสตรี เรียบร้อย พอแต่งงานไป มีครอบครัว มีลูก มีเรื่องหงุดหงิดกวนใจเยอะแยะเลย เดี๋ยวลูกกวนตัว ผัวกวนใจ ก็เริ่มขี้บ่น เริ่มต่อสู้ด้วยการบ่น ทีแรกก็นานๆ บ่นที ต่อไปก็บ่นเก่งๆๆ พอแก่ๆ โห เป็นเอตทัคคะทางขี้บ่น เจออะไรก็บ่นไปหมดเลย อากาศร้อนก็บ่น เห็นหมาเดินผ่านหน้าบ้านก็บ่น บ่นไปได้ทุกเรื่อง มันสะสม จากความชั่วเล็กๆ มันจะค่อยๆ สะสม ตามใจมันไปเรื่อยๆ มันก็จะแรงขึ้นๆ

เหมือนพวกเรายุคนี้ ชอบเล่นโซเชียล เราไม่มีวินัยที่จะควบคุมจิตใจที่มันอยากเล่น ทีแรกก็ตั้งใจจะเล่น 15 นาที วันแรก 15 นาที วันที่สอง 30 นาทีแล้ว สุดท้ายก็เล่นทั้งวัน เหมือนที่พวกเราจำนวนมากเป็นอยู่ตอนนี้ ยุ่งกับโซเชียลทั้งวันเลย ถามว่ามันเป็นอกุศล หรือมันเป็นกุศล ขณะที่เราเล่นโซเชียล เห็นไหม จิตเราแกว่งขึ้นแกว่งลงตลอดเวลา เดี๋ยวก็เจอเรื่องที่ชอบใจ เดี๋ยวก็เรื่องไม่ชอบใจ เวลาชอบใจ เราก็หลงยินดี มีราคะเกิดขึ้น เวลาไม่ชอบใจ เราก็หลงยินร้าย มีโทสะเกิดขึ้น ยิ่งสะสมไป จิตมันยิ่งคุ้นเคยกับความชั่วมากขึ้นๆ จากเรื่องเล็กๆ ก่อนที่เราจะทำชั่วใหญ่ๆ ได้ เราทำชั่วเล็กๆ ก่อน แล้วก็ค่อยแก่กล้าขึ้น ก็ทำชั่วใหญ่ๆ ได้ ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นการปล่อยตัวปล่อยใจตามใจกิเลส สิ่งที่จะอยู่ข้างหน้าเราก็คือทุคติ ไม่ได้ไปดีหรอก ในขณะที่ถ้าเราคอยควบคุมกาย วาจา ใจของเรา คอยบังคับมันไปเรื่อยๆ มันก็เครียดๆ อยู่ แต่ว่าไม่ไปว่าใคร ไม่ไปฟุ้งซ่านเรื่องคนอื่น สนใจจ้องอยู่แต่ลมหายใจ หรือท้องของตัวเอง ก็ไม่ไปทำผิดศีลที่อื่น อันนั้นมันก็ไปสุคติได้ อย่างน้อยตอนที่นั่งเพ่งอยู่ มันก็ไม่ได้ผิดศีลอะไร แล้วการเพ่งๆ มันก็ได้สมาธิ แต่มันเป็นสมาธิชนิดมิจฉาสมาธิ คือจิตมันถลำลงไปแช่อยู่ในอารมณ์อันเดียว มิจฉาสมาธิทำไปแล้ว ไปสุคติได้ไหม ไปได้ พวกพรหมพวกอะไรก็ทำสมาธิเก่ง เขาก็เพ่งนิ่งๆ ลืมเนื้อลืมตัวอยู่อย่างนั้น สบายๆ ไป เพราะฉะนั้นเขาไปสุคติได้ แต่มันไม่ได้จะไปนิพพานได้

ฉะนั้นความรู้สึกตัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลย ความรู้สึกตัวคือภาวะที่ไม่เผลอ แล้วก็ไม่เพ่งเอาไว้ รู้สึกกายอย่างที่กายมีอยู่ รู้สึกจิตใจที่มันมีอยู่ แล้วต่อไปมันจะเขยิบขึ้นไปเดินปัญญา แล้วก็กายเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างไร มันเป็นไตรลักษณ์ อันนั้นขึ้นวิปัสสนา ในขั้นต้นที่เราจะรู้สึกตัว เรารู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ คือความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ความรับรู้ทั้งหลาย นั่นคือส่วนของนามธรรม หรือจิตใจ

เราจะต้องรู้ รู้ลงที่กาย รู้ลงที่ใจได้ จิตอย่าให้มันหลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟุ้งๆ ไปทั้งวัน อันนั้นไปทุคติ แล้วก็อย่าไปเพ่งกาย อย่าไปเพ่งใจ ให้มันเคร่งเครียด อันนั้นไปสุคติได้ แต่ไปนิพพานไม่ได้ เพราะอะไร เพราะปัญญามันไม่เกิด มันไม่เห็นไตรลักษณ์ อย่างเราเพ่งลมหายใจ จิตเราจมลงไปที่ลมหายใจ จะไม่มีทางเห็นไตรลักษณ์เลย หรือเราดูท้อง จิตเราจมอยู่ที่ท้อง ไม่มีทางเห็นไตรลักษณ์ จิตจะเห็นไตรลักษณ์ได้ จิตต้องตั้งมั่น ต้องรู้เนื้อรู้ตัว จิตถอนตัวจากผู้แสดงมาเป็นผู้เห็น เปลี่ยนจากผู้แสดง นักแสดง เปลี่ยนจากนักแสดง เปลี่ยนจากความเป็นผู้กำกับ เปลี่ยนจากการเป็นผู้เขียนบท เปลี่ยนจากการเป็นผู้วิจารณ์ มาเป็นคนเห็นเฉยๆ เห็นร่างกาย เห็นจิตใจ

มันยากไหม มันไม่ยากหรอก ขั้นแรกเลย พวกเราต้องทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง เอาที่เราคุ้นเคย กรรมฐานอะไรก็ได้ หายใจเข้าพุทออกโธก็ได้ ดูท้องพองยุบก็ได้ ยกเท้าย่างเท้า ขยับไม้ขยับมือ อะไรก็ได้ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แต่เคล็ดลับมันอยู่ตรงที่ ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร ให้รู้ทันจิตใจของตนเองไว้ อย่างเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหนีไปคิดเรื่องอื่น ให้รู้ทัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตหลง ถลำลงไปเพ่งลมหายใจ ให้รู้ทัน เราดูท้องพองยุบก็ดูไป แล้วก็รู้ทันจิต จิตหลงไปคิด รู้ทัน จิตถลำลงไปอยู่ที่ท้องแล้ว จมลงไปอยู่ที่ท้องแล้ว รู้ทัน

คอยรู้ทันสภาวะ 2 อย่าง คือสภาวะเผลอกับสภาวะเพ่ง เผลอก็คือ การที่มันลืมอารมณ์กรรมฐานอันนั้นไปแล้ว ส่วนมากก็จะหลงไปคิดโน้นคิดนี้ไป กับสภาวะที่เพ่งก็คือ จิตมันจมลงไปในอารมณ์กรรมฐานอันนั้น ไปนิ่งๆ ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น ให้คอยรู้ทันสภาวะหลงตัวนี้ล่ะ ก็หลงคิดหรือเผลอไป ก็รู้ หลงเพ่ง ก็รู้ ไปฝึกซ้อมตัวนี้ให้มาก ไปทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็ฝึกซ้อมที่จะรู้ จิตหลงไปคิดก็รู้ จิตหลงไปเพ่งก็รู้ ไปทำให้มากๆ แล้วต่อไป พอจิตมันหลงไปคิดปุ๊บ สติเกิด พอสติเกิด จิตจะตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาได้ทันที เราดูร่างกายอยู่ จิตหลงไปคิดปุ๊บ รู้ทัน หรือจิตไปเพ่งปุ๊บ รู้ทัน ความหลงก็จะดับ ความรู้เนื้อรู้ตัวก็จะเกิดขึ้นในฉับพลัน

 

ของฟรีไม่มี ต้องฝึกบ่อยๆ แล้วมันจะเป็น

เราสั่งให้ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นไม่ได้ เราสั่งไม่ได้แต่เราอาศัยการฝึก ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วคอยรู้ทัน เวลามันลืมตัวเอง จะลืมด้วยการเผลอไปคิด หรือเผลอไปเพ่งก็ตาม ถ้าเรารู้ว่าจิตมันหลงไป จิตมันเผลอไป จิตที่เผลอมันจะดับ จิตที่รู้มันจะเกิดอัตโนมัติ ทำบ่อยๆ ทีแรกก็เผลอยาว ต่อไปก็เผลอสั้นลงๆ จิตมันจำสภาวะความเผลอได้แม่น อ๋อ เผลอคิดไปอย่างนี้ เผลอเพ่งมันเป็นอย่างนี้ พอมันจำสภาวะได้แม่น ต่อไปพอสภาวะอันนั้นเกิดขึ้น เช่น ความหลงคิดเกิดขึ้น ความหลงเพ่งเกิดขึ้น สติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ทันทีที่สติเกิด สมาธิที่แท้จริง คือสัมมาสมาธิ คือความตั้งมั่น จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ มันตั้งมั่นอย่างไร สภาวะที่มันตั้งมั่น ก็คือมันไม่ไหลไปในโลกของความคิด รวมทั้งไม่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กายด้วย ไม่ไหลไปในโลกของความคิด อันนั้นส่วนหนึ่ง แล้วก็ไม่ไหลลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน นี้อีกอย่างหนึ่ง จิตมันจะตั้งมั่น มีสมาธิ คือมันไม่หลง มันไม่ไหล มันไม่โคลงเคลง มันไม่คลอนแคลน กระฉอกไปซ้าย กระฉอกไปขวา วิ่งไปอดีต วิ่งไปอนาคต วิ่งไปคิดดี วิ่งไปคิดชั่ว วิ่งไปดูรูป วิ่งไปฟังเสียง แล้วลืมตัวเอง วิ่งไปดมกลิ่น ลิ้มรส รู้สัมผัสทางร่างกายแล้วลืมตัวเอง

ง่ายๆ อย่างเรานั่งๆ อยู่แล้วยุงมากัดเรา สังเกตไหม เวลายุงกัด ความสนใจของเราไปที่ไหน ที่ร่างกายที่ถูกยุงกัด หรือความสนใจไปอยู่ที่ยุง เราต้องดูก่อนใช่ไหม ตัวนี้มันกัดเรา หนอยๆ บินหนีไปโน่นแล้ว ยังมองตามมันไปอีก มันหนีไปแล้วยังตามมันไป เห็นไหม ธรรมชาติของจิตมันอย่างนี้ มันไม่ยอมดูตัวเอง มันชอบไปดูของอื่น ยุงมากัด มองเห็นยุง ขยับ Concentrate อยู่ที่ยุง ยุงหนีไปก็รู้ กะตีให้ตายเลย จะไปแก้แค้นมันมากัดเรา ใจไปอยู่ที่ยุง ตายไปก็ไปทุคติ สมมติว่าไล่จับยุงอยู่ ตอนนั้นสะดุดหัวฟาดกำแพงตาย มันไปทุคติแน่นอน เพราะจิตกำลังมีโทสะอยู่ เราหัดรู้ หัดรู้สึก รู้ทันตัวเอง

ฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง จิตหลงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใจคือหลงคิดนั่นล่ะ แล้วรู้ทัน จิตหลงลงไปเพ่งอารมณ์กรรมฐาน รู้ทัน จิตก็จะไม่หลง ไม่ไหลไปทางโน้นที ไม่ไหลไปทางนี้ที จิตก็ตั้งมั่น นั่นล่ะจิตมีสมาธิขึ้นมา โดยที่เราไม่ได้ทำอะไร เราไม่ได้สั่งให้มันมีสมาธิ แต่สมาธิมันเกิดเอง เมื่อศัตรูของสมาธิ คือความฟุ้งซ่านไม่มี พอจะเข้าใจวิธีปฏิบัติไหม ไปทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเอง กรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราคุ้นเคย แต่อย่าทำตามที่คุ้นเคยในอดีต อย่างเราคุ้นเคยดูท้องพองยุบ แล้วจิตเราคุ้นเคย ที่จะลงไปนอนจมอยู่ที่ท้อง อันนี้เป็นความคุ้นเคยที่ไม่ดี แต่ดูท้องพองยุบแล้วรู้ทันจิต อันนี้เราจะพัฒนาตัวเองได้

ทันทีที่จิตเราตั้งมั่นขึ้นมานั่นล่ะ จิตใจมันจะอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่หลงไปในโลกของความคิดความฝัน ไม่ถลำลงไปเพ่งสิ่งใด จิตตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ นั่นล่ะคือความรู้สึกตัวมันจะเกิด ฉะนั้นความรู้สึกตัว อยู่ๆ มันไม่เกิดหรอก เราต้องสร้าง ต้องพัฒนามันขึ้นมา ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตใจตัวเอง หลงไปคิดก็รู้ หลงไปเพ่งก็รู้ ฝึกอย่างนี้เยอะๆ แล้วต่อไปความรู้สึกตัวมันจะชำนาญขึ้นๆ มีอะไรแปลกปลอมขึ้นในกายในใจปุ๊บ สติจะเกิดเองเลย

ตอนหลวงพ่อ 10 ขวบ ตอนนั้นบ้านเป็นตึกแถว อยู่ถนนบริพัตร ข้างๆ บ้าน เลยบ้านไปหน่อย มีตรอกมีซอยอันหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่าตรอกเขมร แต่ก่อนนี้พวกเขมรอยู่ที่นั่นเยอะ ติดตามนักองค์ด้วงเข้ามา แล้วเป็นชุมชนเขมร อันนี้ไม่พูดเรื่องเขมร พูดสถานที่ เล่นลูกหิน เป็นเด็กอยู่ตึกแถว ก็มาเล่นลูกหินอยู่กับเพื่อนบ้าน หน้าบ้าน บนฟุตบาท เล่นๆ อยู่แล้วเห็นไฟมันไหม้ตึกแถว แถวเดียวกันแต่ห่างออกไป 4 – 5 – 6 ห้อง จำจำนวนไม่ได้ ประมาณนั้น 5 บวกลบนิดหน่อย เห็นไฟมันไหม้พุ่งๆๆ ออกมา อันนั้นมันเป็น เขาใช้ห้องแถวเขา เป็นร้านซ่อมรถ แล้วทำท่าไหนไม่รู้ ไฟมันไหม้ขึ้นมา ควันมันพุ่งออกมา คนก็โวยวายกัน

หลวงพ่อเห็นก็ตกใจ อุ้ย ไฟไหม้ ตกใจ ก็คว้าลูกหินได้แล้วก็วิ่ง จะไปบอกพ่อก้าวที่หนึ่งตกใจ ก้าวที่สองตกใจ ก้าวที่สามมันเหมือนเปิดสวิตช์ขึ้นจากข้างในเลย มันตื่นปุ๊บขึ้นมาอัตโนมัติเลย มันแสดงว่าเราเคยฝึก เวลาฉุกเฉิน เวลาจำเป็น ตัวรู้มันดีดผางขึ้นมาเลย มันรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาทันทีเลย วิ่งได้ 3 ก้าว จิตมันก็ตื่นขึ้นมา คราวนี้ไม่ตกใจ คราวนี้เดินไปบอกผู้ใหญ่ว่าไฟไหม้ แล้วเห็นคนอื่นเขาตกใจ เราก็ยืนดู ความรู้สึกอันนั้นมันแปลก จิตใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว มันสบาย มันโปร่ง มันเบา เห็นแต่คนอื่นเขาตกใจแล้วเราไม่ตกใจ

ถ้าเราเคยฝึก เราพยายามฝึกของเราไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งเวลาฉุกเฉินอะไรขึ้นมา ความรู้สึกตัวมันจะเกิดขึ้นเอง อย่างพวกเราบางคน ชอบขับรถเร็ว เรียนกับหลวงพ่อ จิตไม่ยอมตื่นสักทีเลย วันหนึ่งรถคว่ำในมอเตอร์เวย์ รถคว่ำ หมุนๆๆ แล้วพลิกไปพลิกมา จิตมันดีดตัวออกมา ตั้งมั่น ไม่ตกใจ มันเห็นร่างกายกำลังกลิ้งไปกลิ้งมา เห็นรถหมุนไปหมุนมา จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาเป็นแค่คนเห็น มันไม่ตกอกตกใจ นั่นล่ะภาวะแห่งความตื่น มันตื่นขึ้นโดยเราไม่ได้เจตนาจะตื่น แต่ว่ามันอาศัยการฝึก ฝึกอย่างไร ก็ฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิต จิตเผลอคือหลงไปคิด ก็รู้ จิตถลำลงไปเพ่ง หลงเพ่ง เราก็รู้ ฝึกเรื่อยๆ แล้วต่อไปจิตมันจะตื่นขึ้นมาอัตโนมัติได้

ค่อยๆ ฝึก ของฟรีไม่มีหรอก ต้องทำเอาเอง ฝึกบ่อยๆ แล้วมันจะเป็น พอเรามีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว การเดินปัญญาจะไม่ใช่เรื่องยากแล้ว พอจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันจะแยกอัตโนมัติ พอจิตเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ เราจะเห็นเลย ร่างกายเป็นของถูกรู้ ร่างกายกับจิต มันคนละอันกัน อย่างพวกเราขณะนี้ ฟังหลวงพ่อแล้วจิตมันเกิดสมาธิ เวลาฟังหลวงพ่อเทศน์ เราจะมีสมาธิอัตโนมัติเกิดขึ้น ลองรู้สึกลงไปที่ร่างกายที่กำลังนั่งอยู่ รู้สึกเฉยๆ อย่าไปจ้อง อย่าไปเพ่ง แค่รู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกาย

รู้สึกไหม ร่างกายเรามีอยู่ นี่ช็อตที่หนึ่ง รู้ถึงความมีอยู่ของมัน แล้วถัดจากนั้น รู้ถึงความเป็นไตรลักษณ์ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่วัตถุอันหนึ่ง ที่มาตั้งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ เป็นวัตถุก้อนหนึ่งที่มาตั้งอยู่บนเก้าอี้นี้ จิตมันเป็นคนรู้ ร่างกายมันเป็นแค่วัตถุ มันเป็นแค่ก้อนธาตุ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ตรงนี้มันเดินปัญญา แต่ตรงที่จุดแรกก่อนที่มันจะเดินปัญญาได้ มันต้องรู้สึกถึงความมีอยู่ของกาย รู้สึกถึงความมีอยู่ของจิตใจ มันจะรู้สึกถึงความมีอยู่ของกายได้ จิตต้องตั้งมั่น ต้องรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ถ้าลืมตัวเมื่อไร มีกายก็ลืมกาย กายหายไป

เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สึกตัว ทำกรรมฐานแล้วคอยรู้ทัน เวลามันหลง มันไม่รู้สึกตัว หลงไปคิดก็รู้ หลงไปเพ่งก็รู้ แล้วต่อไปเราจะรู้สึกตัวขึ้นมา พอเรารู้สึกตัวขึ้นมา จิตมันมีสมาธิแล้ว แล้วเรา สติระลึกรู้ร่างกาย มันจะเห็น มันเป็นแค่วัตถุ ร่างกายมันเป็นวัตถุ ที่ยกเอามาตั้งไว้บนเก้าอี้นี้ มันไม่ใช่เรา มันเป็นแค่ก้อนวัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ ขั้นแรกรู้สึกมีร่างกายอยู่ แล้วร่างกายนี้ ช็อตที่ 2 มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่วัตถุ ตรงที่รู้สึกถึงความมีอยู่ของกายนี้ มีสมาธิแล้ว ขันธ์มันแยกได้แล้ว แล้วตรงที่เห็นกายมันเป็นไตรลักษณ์ อันนั้นขึ้นวิปัสสนา

 

จิตเราตั้งมั่นเมื่อไร การแยกขันธ์จะเป็นเรื่องง่ายที่สุด

เพราะฉะนั้นถ้าจิตเราตั้งมั่นเมื่อไร การแยกขันธ์จะเป็นเรื่องง่ายที่สุดเลย เพราะมันแยกเอง ไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าจิตเราไม่ตั้งมั่น จิตมันจะถลำไป หลงไปในความคิดบ้าง ถลำลงไปเพ่งจ้องในขันธ์ โดยเฉพาะในร่างกายบ้าง ฉะนั้นเราพยายามฝึกจนกระทั่งจิตมันตื่น มันตั้งมั่น มันรู้เนื้อรู้ตัว พอมันรู้ตัวได้ เรารู้สึกที่กาย มันรู้สึกเอง ไม่ใช่จงใจไปรู้สึก ถ้าจงใจจะรู้สึก นี้หลง หลงทางใจเรียบร้อยแล้ว อย่างเราพอจิตเราตื่น เรารู้สึก แล้วบางทีมันก็เห็น เออ สติระลึกรู้ในร่างกาย มันก็เห็น บางทีกำลังขยับแขนอยู่ บางคนแปรงฟันอยู่ กำลังแปรงฟันอยู่ จิตมันตั้งมั่นปุ๊บขึ้นมา มันเห็นเลย นี่มันไม่ใช่เราแล้ว

มันง่ายขนาดนี้ มันง่าย แต่มันจะทำได้ ต่อเมื่อจิตมันตั้งมั่นจริงๆ จิตมันรู้เนื้อรู้ตัว จิตมันไม่หลง มีความรู้สึกตัวอยู่จริงๆ เพราะฉะนั้นความรู้สึกตัว เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัติที่สำคัญที่สุดเลย ถ้าเรารู้สึกตัวได้แล้ว จะทำสมาธิก็ทำด้วยความรู้สึกตัว ให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว แต่ว่ารู้ตัวอยู่ ไม่ถลำลงไปจม ไปเพ่ง ให้เคร่งเครียดขึ้นมา จะทำวิปัสสนาก็ไม่ยากอะไร เรารู้สึกตัวอยู่ สติระลึกรู้ร่างกาย แล้วก็เห็นร่างกายมันถูกรู้ ร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา สติระลึกรู้เวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ มันก็เห็นว่าเวทนา สุขทุกข์นั้น ถูกรู้ เวทนาไม่ใช่ตัวเรา อะไรที่ถูกรู้ อันนั้นไม่ใช่เรา

สติระลึกรู้สังขาร ความปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงชั่ว เช่น โลภ โกรธ หลง สติระลึกรู้ พอระลึกรู้ไปก็เห็น โลภ โกรธ หลงอะไรพวกนี้ มันถูกรู้ จิตมันตั้งมั่นอยู่ มันก็จะเห็นโลภ โกรธ หลง เป็นของถูกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต มาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป เราจะเห็นความรู้สึกนึกคิด ทุกสิ่งทุกประการ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือจะชั่ว เป็นแค่ของที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จิตเราตั้งมั่นเป็นแค่คนเห็น นั่นล่ะปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นว่าร่างกายก็ไม่ใช่เรา เวทนาก็ไม่ใช่เรา สังขารก็ไม่ใช่เรา ต่อไปมันก็จะเห็นว่าจิตมันไม่ใช่เรา

ที่พวกเราภาวนาๆ พวกเราจำนวนไม่ใช่น้อยเลย ที่เห็นร่างกายไม่ใช่เรา เห็นสุขทุกข์ไม่ใช่เรา เห็นกุศลอกุศลไม่ใช่เรา เหลืออันเดียวยังเห็นว่าจิตเป็นเราอยู่ ส่วนใหญ่ก็มาถึงจุดนี้ ที่เรียนกับหลวงพ่อจำนวนมากเลย จะใช้ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ เพราะคนมาเรียนเพิ่มขึ้นทุกวัน คนที่เรียนไปช่วงหนึ่ง จำนวนมากจิตมันตั้งมั่นขึ้นมาได้ แล้วก็มันเริ่มแยกขันธ์ได้ เห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตอยู่ส่วนหนึ่ง แยกขันธ์ได้ เห็นเวทนาอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้อยู่ส่วนหนึ่ง เห็นสังขารอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้อยู่ส่วนหนึ่ง ทำอย่างนี้ได้ไม่รู้จำนวนเท่าไร ไม่ได้ประเมิน แต่ว่าเยอะ มีเยอะเลย ขอให้จิตตั้งมั่นเท่านั้นล่ะ ขันธ์มันแยกอัตโนมัติเลย

ตรงนี้ในอภิธรรมเขาสอนบอก “สัมมาสมาธิ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา” ปัญญาขั้นที่หนึ่ง คือการแยกรูปนาม แยกธาตุแยกขันธ์ได้ ก็ต้องอาศัยสัมมาสมาธิ คือสภาวะที่จิตตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ สภาวะที่ตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว แล้วขันธ์มันจะแยกให้ดูง่ายๆ อย่างพวกเราฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่ ลองรู้สึกลงที่ร่างกาย รู้สึกเฉยๆ ไม่ต้องทำจิตใจให้มันแข็งกระด้าง รู้สึกลงไป รู้สึกไหม ร่างกายมันถูกรู้ ช็อตที่หนึ่งเลย รู้สึกไหมตัวนี้มันถูกรู้อยู่ แล้วอีกช็อตหนึ่งมันจะเห็น ตัวนี้ไม่ใช่เรา มันเป็นวัตถุ เป็นของที่ถูกรู้ เป็นอันเดียวกับโลกธาตุข้างนอก ปัญญามันเกิด วิปัสสนาปัญญา

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า ท่านไม่เห็นธรรมะอะไรสำคัญเท่าความรู้สึกตัว ในการที่เราจะฝึกตัวเอง จนพ้นจากอาสวกิเลสทั้งหลาย ความรู้สึกตัวสำคัญที่สุด เป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญ มันก็คือสภาวะที่จิตตั้งมั่น มีสติระลึกรู้อะไร ด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่เป็นกลาง ไม่เข้าไปแทรกแซง ปัญญามันก็จะเกิด จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ก็ได้เป็นพระโสดาบันกันตรงนี้

ลองไปทำดูสัก 4 เดือน ลองไปทำดูอย่างที่หลวงพ่อบอก ทำให้ได้ทุกวัน ยุ่งกับโซเชียลให้น้อยๆ ไม่มีทางรอดเลยถ้ายุ่งกับโซเชียล อย่าว่าแต่โยมเลย พระก็ไม่รอด เมื่อเช้าก็มีพระองค์หนึ่งมาเล่าให้ฟัง วัดที่ท่านเคยอยู่ ทั้งพระ ทั้งเณร ก็เล่น เล่นเกมส์ออนไลน์ เล่นอะไร เล่นกันเองด้วย เล่นกับเด็กวัดด้วย ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้ภาวนาแล้วทำอะไร วันๆ หนึ่งกินข้าวชาวบ้าน อยู่กุฏิที่ชาวบ้านสร้าง นุ่งห่มผ้าที่ชาวบ้านบริจาค กินอาหารที่ชาวบ้านให้ เป็นหนี้นะ ติดลบไปเรื่อยๆ เรียกว่ายิ่งบวชยิ่งบาป

ฉะนั้นเรายิ่งเป็นพระ ยิ่งต้องระวัง มีความรู้สึกตัวไว้ พยายามรู้สึกตัวไว้ เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า ถ้าเรารู้สึกตัวไว้ แล้วมันจะพัฒนาตัวเองไปได้ อย่าหลงกับโลก โลกไม่มีอะไร โลกมีแต่หลอกให้คนหลง โยมก็เหมือนกัน โซเชียลอะไรไม่จำเป็น ก็อย่าไปยุ่งกับมันมาก เอาเวลามารู้สึกตัวให้มากๆ ไว้ ซ้อมไว้ แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น ค่อยสมกับการเป็นลูกพระพุทธเจ้าหน่อย

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันสวนสันติธรรม
25 มีนาคม 2566