ฉลาดรู้กรรมฐานที่ควรกับตัวเอง

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พวกเราหลายคนลำบากมาก ชีวิตมันต้องเปลี่ยนแปลงไปเยอะ มีคนมาเล่าอยู่เรื่อยๆว่าถ้าไม่ได้ธรรมะ ช่วงที่ผ่านมาอยู่ไม่ไหว อยากตายเลย มันคล้ายๆ สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นธรรมะจะช่วยเราเวลาเจอวิกฤตการณ์ของชีวิต ความทุกข์ ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ความทุกข์ทางร่างกาย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่กิน ไม่มีกิน ไม่มีใช้ อันนั้นทุกข์เยอะ เจ็บไข้ได้ป่วยติดเชื้ออะไรอย่างนี้ ทุกข์ทางร่างกาย กิจการเคยทำมาหากินคล่องก็ทำไม่ได้ ล้มละลายก็มีบางคน อันนั้นมันเป็นเรื่องปัญหาในชีวิต เวลาเผชิญปัญหาชีวิต คนซึ่งไม่เคยฝึกจิต ความทุกข์มันก็เข้ามาที่จิตตัวเอง เคยหากินคล่องๆ แล้วหากินไม่ได้ ใจก็ทุกข์ เคยแข็งแรงแล้วก็ติดเชื้อป่วยหนักอะไรอย่างนี้ก็ทุกข์อีก

เคยอยู่กันในครอบครัว กลับไปเยี่ยมปู่ย่าตายายเอาเชื้อไปติด คนแก่ตายอีก คนที่เรารักตายไปก็ทุกข์อีก ปัญหานานาชนิดที่เกิดขึ้น พอมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วใจมันทุกข์ไปด้วย เราภาวนาไม่ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตไม่มีปัญหา ชีวิตจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา มันอยู่ที่ว่ากุศลวิบากหรืออกุศลวิบากให้ผล แต่ปัญหามันจะนำความทุกข์มาถึงใจหรือเปล่า อันนี้อยู่ที่การฝึกของเรา เราสามารถเผชิญปัญหาได้โดยใจไม่ทุกข์

 

เผชิญปัญหาได้โดยใจไม่ทุกข์

ช่วงโควิดระบาด 2 ปีนี้ หลายคนลำบากมาก อกุศลวิบากให้ผลมาชีวิตลำบาก บางคนกุศลวิบากให้ผล มีมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน พอทำมาหากินอย่างอื่นไม่ได้ ปลูกต้นไม้ขาย บุญจะให้ผลเป็นต้นไม้ยอดฮิตขึ้นมา ขายได้ต้นหนึ่งหลายแสน กำไรมาก ในช่วงที่คนอื่นลำบากบางคนมีรายได้ดีกว่าเก่าอีก ฉะนั้นชีวิตมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาอยู่ที่วิบากของเรา ถ้าวิบากที่เป็นอกุศลให้ผลมา ชีวิตเราก็ลำบาก ในสถานการณ์อันเดียวกัน บางคนกุศลวิบากให้ผลมาเขาก็สบาย แต่ไม่ว่ากุศลหรืออกุศลให้ผลมา ถ้าเราเคยฝึกจิตใจภาวนาเป็น ตอนอกุศลวิบากให้ผลมา ชีวิตมีปัญหามากมาย จิตมันสามารถไม่ทุกข์ได้ หรือตอนที่กุศลให้ผลมาทุกอย่างดีไปหมดเลย แล้วเราเคยฝึกจิต เราก็ไม่ประมาท ความสุขอะไรมันจะนิรันดร มันก็ไม่แน่นอนเหมือนกันก็ไม่ประมาท

ฉะนั้นเราชาวพุทธ ชีวิตอาจจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่จิตจะทุกข์หรือไม่ทุกข์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราสามารถเผชิญปัญหาได้โดยจิตไม่ทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเคยเทศน์ไว้ว่า คนทั่วๆ ไปเวลามีความทุกข์เกิดขึ้นเหมือนถูกลูกศร ถูกยิงด้วยธนูดอกแรก เช่นร่างกายเจ็บป่วยเหมือนถูกยิงที่ร่างกาย แล้วคนที่ไม่ได้ภาวนามันจะโดนธนูลูกที่สอง มันจะเสียบเข้าที่ใจ ใจมันทุกข์ ส่วนสาวกของท่านถ้าโดนธนู อกุศลให้ผลมาชีวิตมีปัญหาขึ้นมา ความทุกข์มันจะลำบากอยู่ที่ร่างกาย แต่ใจมันไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ธนูดอกที่สอง

ฉะนั้นหน้าที่เราถ้าเราชีวิตเราไม่ประมาท เราก็ควรจะมาฝึกจิตใจตัวเองให้ดี ตั้งแต่ก่อนที่ปัญหาต่างๆ มันจะมาสู่ชีวิตเรา เราไม่รู้ว่าความลำบากจะมาถึงเราเมื่อไร ทำงานอยู่ดีๆ กิจการล่มไปเฉยๆ ก็มี หรือชีวิตครอบครัวเราดีทุกอย่างเลย หน้าที่การงานดี รายได้ดีอะไรๆ ก็ดีหมดเลย ปุบปับตัวเองไปตรวจร่างกายเป็นมะเร็งไปแล้ว เราก็ต้องมาเรียนรู้ว่าทำอย่างไร เราจะอยู่กับโลกซึ่งไม่แน่นอน ด้วยจิตใจที่ไม่ทุกข์ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจะต้องไม่ทุกข์ ความทุกข์เป็นส่วนเกินของชีวิต ปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่ความทุกข์มันเป็นส่วนเกิน

ความแก่ ความเจ็บ ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก จากคนที่รัก การต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก เจอคนที่ไม่รัก เป็นเรื่องธรรมดา มีลาภมีผลประโยชน์ มันก็เสื่อมไปก็เป็นเรื่องธรรมดา มีตำแหน่งหน้าที่แล้วก็ตกเก้าอี้ไปก็เรื่องธรรมดา มีคนยกย่องสรรเสริญ แล้วก็ถูกเขาด่า ถูกเขานินทาก็เรื่องธรรมดา มีความสุขแล้วก็มีความทุกข์สลับไปก็เรื่องธรรมดา ถ้าเมื่อไรเราสามารถปฏิบัติจนจิตใจเราฉลาด รู้ว่าปรากฏการณ์ทั้งหลาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ทั้งดีและชั่วมาแล้วก็ไปเหมือนกันหมด มาแล้วก็ไปทั้งนั้น มันเป็นธรรมดา เราจะไม่ทุกข์

ถ้าเรายอมรับไม่ได้ว่าสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานี้ เรายอมรับไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใจมันจะดิ้นรนทุรนทุราย ปฏิเสธสิ่งซึ่งกำลังมีกำลังเป็นอยู่ก็ทุกข์ ถ้าจิตมันฉลาดรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มันมีเหตุทั้งสิ้น เหตุที่เป็นกุศลหรือเหตุที่เป็นอกุศลส่งผลมา แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเหตุจากกุศลหรืออกุศล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ดับทั้งสิ้น เราพยายามฝึกตัวเองให้เห็นตรงนี้ให้ได้ พอเราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือเลว มาแล้วก็ไปเหมือนกัน จิตใจก็จะไม่ดิ้นรน เวลาปัญหาชีวิตเกิดขึ้น จิตใจก็ไม่ได้รังเกียจมันรู้สึกว่ามันธรรมดา สบายมาตั้ง 10 ปี 20 ปี 30 ปีแล้ว จะลำบากสัก 2 – 3 ปีมันก็เรื่องธรรมดา เรียนจนกระทั่งเห็นว่าทุกสิ่งในชีวิตเราที่ผ่านเข้ามา แล้วก็ผ่านออกไป ธรรมดาของชีวิตเป็นอย่างนั้น ธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น ถ้าเรายอมรับตรงนี้ได้ใจก็จะไม่ดิ้นรน ใจเมื่อมันไม่ดิ้นรน ใจมันก็ไม่ทุกข์ มันเข้าถึงความสงบสุข เรียกมีสันติสุขเกิดขึ้นในจิตใจเรา

 

ยอมรับความจริงได้ใจจะเข้าถึงความสงบสุข

ตัวสันติสุขคือตัวนิโรธ มีเป็นลำดับๆ ไป อย่างใจเราว้าวุ่นเรามาทำความสงบ ไหว้พระ สวดมนต์ พุทโธไป หายใจไป ใจเราสงบลงมาก็เป็นนิโรธชนิดหนึ่ง มันดับความฟุ้งซ่านวุ่นวายได้ด้วยอำนาจของสมาธิ ด้วยสมถะ หรือเราเจริญปัญญา เฝ้ารู้เฝ้าดูรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเข้ามาในจิตใจเรา จนจิตใจเรายอมรับความจริงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาล้วนแต่ต้องผ่านไปทั้งสิ้น ใจยอมรับตรงนี้ได้เราก็ถึงนิโรธอีกชนิดหนึ่ง เป็นนิโรธที่เกิดจากการเจริญปัญญา ทำวิปัสสนา นิโรธอีก 3 ชนิดก็คือ ความดับทุกข์ตอนที่เกิดอริยมรรค ความดับทุกข์ตอนที่เกิดอริยผล และก็พระนิพพาน พระนิพพานเป็นนิโรธที่สูงที่สุด เคยได้ยินใช่ไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นิโรธมี 5 ชนิด ดับทุกข์ลงไปด้วยสมาธิ ดับทุกข์ลงไปด้วยการเจริญปัญญา ดับทุกข์ลงไปด้วยอริยมรรค ด้วยอริยผล ดับสนิทแห่งทุกข์ พ้นจากรูปจากนามคือพระนิพพาน

สิ่งที่เราต้องฝึกก็คือ 2 อันแรก 2 ข้อแรกคือสมถะกับวิปัสสนา เราทำ 2 ข้อนี้ได้ถูกต้อง ทำได้มากพอ นิโรธ 3 ตัวหลังก็มาเอง เกิดมรรค เกิดผล สัมผัสพระนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนว่า ตัวมรรคสิ่งที่ต้องเจริญ ท่านบอกว่าการเจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานด้วยปัญญาอันยิ่ง คือตัวมรรค ที่หลวงพ่อสอนพวกเราทุกวี่ทุกวันก็ 2 เรื่องนี้เอง ฝึกสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐานฝึกให้จิตใจสงบ มีความสุข มีกำลัง มีเรี่ยวมีแรง แล้วดีขึ้นไปอีกก็คือฝึกจนกระทั่งจิตมันตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เราได้มาด้วยการทำสมถกรรมฐาน ส่วนการทำวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการใช้จิตซึ่งมันมีความตั้งมั่นแล้วมีกำลังแล้ว ไปเรียนรู้ความจริงของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะกายกับใจของเรานี้ เรียนรู้ให้มาก จนกระทั่งมันยอมรับความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกายเราก็เป็นของชั่วคราว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจเราก็เป็นของชั่วคราว สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา ใจมันยอมรับตรงนี้ก็มีปัญญาเกิดขึ้น ถ้ากำลังมันพอก็เกิดอริยมรรค อริยผล สัมผัสพระนิพพาน เมื่อจิตมันวางรูปธรรมวางนามธรรมลงไป จิตก็ไปสัมผัสพระนิพพาน มันมี 2 ทางเลือกว่าจิตวางรูปธรรมนามธรรม อันหนึ่งก็คือไปสัมผัสพระนิพพาน อีกอันหนึ่งก็คือไปหลงอยู่ในโลกของความคิด สุดโต่งไปข้างหลงไปเลย

อารมณ์มี 4 อย่าง อารมณ์บัญญัติ เรื่องราวที่คิด ส่วนใหญ่สัตว์ทั้งหลายมันก็หลงอยู่ตรงนี้ ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมารู้รูปรู้นาม เป็นอารมณ์อีก 2 อย่าง อารมณ์แปลว่าสิ่งที่ถูกรู้มีทั้งหมด 4 อย่าง อันแรกอารมณ์บัญญัติ คือเรื่องราวที่เราคิดนั่นล่ะ ใจคิดๆ ไป สงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง คิดบ้างเรื่องก็สงบ คิดบางเรื่องก็ฟุ้งซ่าน ก็ได้สมาธิ ได้สมถะ ทำได้ อย่างเราคิดว่าชีวิตเราไม่แน่นอน เดี๋ยวก็ตายแล้วอะไรอย่างนี้ คิดถึงความตายเรื่อยๆ จิตก็สงบได้ก็เป็นสมถะได้

แต่ถ้าจะเจริญวิปัสสนาก็ต้องใช้เรียนรู้อารมณ์รูปธรรมนามธรรม แล้วรูปธรรมนามธรรมจะแสดงไตรลักษณ์ให้เราดู ความคิดไม่มีไตรลักษณ์ให้เราดู มันคิดได้ทั้งวันทั้งคืน ฉะนั้นเราดูรูปธรรม ดูนามธรรม แต่ดูได้จิตต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู จะเห็นรูปนั้นเป็นของถูกรู้ถูกดู นามธรรมทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ ก็เฝ้ารู้อย่างนี้เรื่อยๆ ในที่สุดก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวเรา เป็นของถูกรู้ถูกดูเท่านั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ตรงนี้เรียกว่าเราเจริญปัญญา สิ่งที่ได้จากการเจริญปัญญา คือความรู้ถูกความเข้าใจถูก หรือตัวสัมมาทิฏฐิ

เราเรียนศาสนาพุทธ เรียนให้เต็มที่เลยแล้วเราจะพบ สิ่งที่เราเสียไปคือตัวมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่เราได้มาก็คือตัวสัมมาทิฏฐิ ความรู้ถูกความเข้าใจถูก พอเราภาวนาตามรู้ความจริงของกายของใจ จนเกิดความรู้ถูกความเข้าใจถูก ต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในร่างกาย มีปัญหาเกิดขึ้นทางร่างกายจิตใจก็ไม่ทุกข์ มีปัญหาเกิดขึ้นในจิตใจเกิดขึ้น เช่น เราต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักอะไรอย่างนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา จิตใจมันก็ไม่ทุกข์ ถึงเวลาต้องพลัดพราก อย่างบางคนสามีภรรยาอยู่ด้วยกันหลายสิบปี ฝากเป็นฝากตายอยู่ด้วยกัน ถึงวันหนึ่งคนหนึ่งตายไป คนยอมรับไม่ได้ อีกคนที่เหลือยอมรับไม่ได้ มันเหงา มันว้าเหว่ ก็จมอยู่ในความทุกข์ไป

ในขณะที่คนเคยฝึกกรรมฐาน สามีภรรยาที่เรารักตายไป หรือลูกเราตายไป มันจะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง รู้สึกว่าช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เขาได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว มาอยู่กับเราดูแลกันให้ความสุขกัน ชีวิตดี เขาได้ทำสิ่งที่ดีๆ ได้ทำหน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่เขาจะต้องแยกทางไปที่อื่นแล้ว ใจมันยอมรับได้ ใจมันไม่ทุกข์หรอก นี้ยอมรับไม่ได้ ทุกข์ โดยเฉพาะเรื่องลูก คนไหนลูกตาย โอ๊ย ทุกข์ที่สุดเลย ทุกข์หนักกว่าพ่อแม่ตายอีก พ่อแม่ตายเรารู้สึกมันธรรมดา แก่แล้วมันก็ต้องตายบ้าง แต่เด็กมาตายไปก่อนเรารู้สึกไม่ธรรมดา ยอมรับไม่ได้ ยอมรับไม่ได้ทุกข์ ถ้ายอมรับได้ใจไม่ทุกข์ กลไกของจิตใจมันอย่างนี้ คือยอมรับได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ทุกข์ ยอมรับไม่ได้แล้วทุกข์

 

ทำวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เห็นความจริง

การที่เรามาทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อเรายอมรับความจริงได้ ทำแล้วเราจะยอมรับความจริงได้ เพราะเราคอยมีสติระลึกรู้ในร่างกาย จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ เห็นร่างกายมันทำงาน เราจะรู้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายเราเป็นของชั่วคราว ร่างกายหายใจเข้าก็ชั่วคราว ร่างกายหายใจออกก็ชั่วคราว ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนก็ชั่วคราว ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่งก็ชั่วคราว ร่างกายจะมีความสุขก็ชั่วคราว ร่างกายจะมีความทุกข์ก็ชั่วคราว ร่างกายจะมีชีวิตอยู่ก็ชั่วคราว ต่อไปมันก็ยอมรับได้ ร่างกายจะแตกดับมันก็ชั่วคราว เรามาภาวนาทำวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นความจริง จนกระทั่งยอมรับความจริงได้ รู้สึกอยู่ในร่างกายจนกระทั่งยอมรับความจริงของร่างกายได้ มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตาย

เจริญวิปัสสนากรรมฐานอ่านจิตอ่านใจตัวเองไป มันจะเห็นเลยความสุขที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราว ความทุกข์ที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราว กุศลที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราว อกุศลที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราว ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเราในจิตใจเราเป็นของชั่วคราว นี่เห็นอย่างนี้ เฝ้ารู้ไป ต่อไปความสุขเกิดขึ้นใจมันก็ฉลาด มันรู้ว่าของชั่วคราว ใจก็ไม่ห่วงหาอาวรณ์ ว่ามันจะต้องอยู่กับเราตลอดไป รู้ว่ามันชั่วคราว ความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจ เราก็รู้ว่ามันของชั่วคราว ไม่เกลียดมันหรอกเดี๋ยวมันก็ไป ใจมันเป็นกลางต่อสุขและทุกข์ ต่อดีและชั่ว เมื่อใจมันเป็นกลาง ใจมันจะหยุดความดิ้นรน ตัวความดิ้นรนนั้นเรียกว่าภพ ถ้ามีภพมีทุกข์นั่นล่ะ เมื่อไรใจมันยอมรับความจริงได้ ใจก็หยุดความดิ้นรน พอใจหยุดความดิ้นรนได้ใจก็ไม่ทุกข์ อะไรจะเกิดขึ้นในร่างกาย ใจก็ไม่ทุกข์ อะไรจะเกิดขึ้นในจิตใจ ใจก็ไม่ทุกข์

ศาสตร์อันนี้พระพุทธเจ้าสอนมาตั้ง 2,600 ปีแล้ว คนส่วนน้อยที่จะเข้าใจ คนส่วนใหญ่เข้าใจไม่ถึง เข้าใจไม่ได้ มันเกินกว่าสติปัญญาจะเข้าใจ แต่วันนี้เราไม่เข้าใจไม่เป็นไร รู้วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว เราก็เจริญสติ เจริญปัญญาของเราไปเรื่อย ฝึกทุกวันๆ วันนี้ไม่เข้าใจวันหน้าก็เข้าใจ เวลาหลวงพ่อทำกรรมฐาน ตั้งแต่สมัยยังไม่ได้บวช เป็นโยมนั่นล่ะ ภาวนาไปบางทีมันเกิดสภาวะที่เราไม่รู้จัก มันมีเยอะแยะไปหมดเลยปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันเกิดขึ้นมา หลวงพ่อก็ใจเย็นวันนี้ไม่เข้าใจไม่เป็นไร เดี๋ยววันหน้าก็เข้าใจ ใจมันรู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นใจมันจะไม่ดิ้นรนค้นคว้าอะไร สภาวะใดเกิดขึ้นมา มันจะคืออะไรยังไม่รู้เลย เห็นสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น เห็นสิ่งนั้นดับไป แต่สิ่งนั้นคืออะไรไม่รู้ มีเยอะแยะเลยสภาวะแปลกๆ ที่เกิดขึ้น

บางทีภาวนาเราเห็นกลางหน้าอกไหวตัวยิบยับๆ ขึ้นมา ไม่รู้มันคืออะไร หรือบางทีเห็นมันหมุน มันหมุนๆ อยู่กลางอกเรานี่ ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่รู้ก็ไม่รู้ วันนี้ไม่รู้เดี๋ยววันหน้าก็รู้ ภาวนาไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ยังไม่มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ ไม่ได้ถามท่าน ก็ใช้ความอดทนดูไป ไม่ตื่นเต้น ไม่กังวล ภาวนาไปเรื่อยๆๆ ในที่สุดก็เข้าใจ ลักษณะของมันเป็นอย่างไร สภาวะอันนี้มันมีลักษณะอย่างไร มันทำงานอย่างไร มันทำงานขึ้นมาแล้วมันมีผลอะไรเกิดขึ้น ค่อยๆ เห็นไปแล้วสุดท้ายมันปิ๊งขึ้นมาเลย สภาวะอันนี้มันเกิดจากอะไร พอเรารู้ถึงจุดที่ว่ามันเกิดมาได้อย่างไร จิตจะวางสภาวะนั้นเลย จะรู้ชื่อหรือไม่รู้ชื่อไม่สำคัญแล้ว แต่รู้จักแล้ว ชื่อเป็นแค่สมมติบัญญัติ

ฉะนั้นอย่างเราภาวนาแล้วเราเห็นตัวนี้ไหวขึ้นมา หรือเราเห็นจิตมันวิ่งไปวิ่งมา หรือเห็นสภาวะแปลกๆ เกิดขึ้น อย่างแสงสว่างเกิดขึ้น เห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นอดีต เห็นอนาคต หรือเราได้ยินเสียง มีเสียงอะไรแปลกๆ ก็ได้ยินอะไรอย่างนี้ ถ้าเราสงสัย เราก็ถูกหลอกให้ไปดิ้นรนค้นคว้า ฉะนั้นถ้าเราไม่โง่ มันก็แค่มายาที่จิตสร้างขึ้นมา เราไม่หลงตาม ตั้งสติ มีจิตตั้งมั่น เฝ้ารู้เฝ้าดูมันไป สักวันหนึ่งก็เข้าใจ สภาวะบางอย่างหลวงพ่อใช้เวลาตั้ง 20 ปีถึงจะเข้าใจ ใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ แล้วก็ไม่ดิ้น ไม่ได้ดิ้นรน ถึงเวลาที่เราภาวนามันถึงจุดหนึ่งก็เข้าใจเอง เราเข้าใจเราก็วาง ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไม่วาง ฉะนั้นเรียนจนกระทั่งรู้ถูกเข้าใจถูก เข้าใจแล้ว แล้วมันจะวาง ถ้ามันยังไม่รู้ถูกไม่เข้าใจถูก มันยังไม่วาง ยังสงสัยอยู่ ยังดิ้นรนค้นคว้าอยู่ ฉะนั้นการที่เราทำวิปัสสนา สิ่งที่เราได้มาคือตัวสัมมาทิฏฐิ ความรู้ถูกความเข้าใจถูก พอเรารู้ถูกในเรื่องร่างกาย มันก็ปล่อยวางร่างกายได้ พอรู้ถูกในเรื่องของจิตใจ มันก็ปล่อยวางจิตใจได้ ก็ไม่มีอะไรให้ยึดแล้ว

หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟัง นั่งอยู่กับท่าน เวลาเรียนธรรมะกับหลวงปู่ดูลย์อย่าพูด นั่งเฉยๆ ภาวนาไป เดี๋ยวท่านพูดของท่านเอง พอวันหนึ่งอยู่กับท่านๆ ก็พูดขึ้นมา “เราพิจารณาดูแล้ว ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ส่วนใหญ่เป็นแค่ผีใหญ่” ผีใหญ่ก็คือไปเป็นพรหม ก็นึกว่าถึงที่สุดแล้ว นึกว่าถึงที่สุดแล้ว จิตว่าง สว่าง ไม่มีกิเลสเลย อยู่เฉยๆ ว่างๆ สบายทั้งวันทั้งคืน พึงพอใจอยู่ตรงนี้แล้วก็รักษาจิตให้ทรงฌานอยู่เรื่อยๆ ไป ยังมีงาน งานคืองานรักษาจิตให้ทรงสมาธิอยู่ เพื่อจะได้สงบสุข ตัวนี้ที่หลวงปู่ดูลย์ท่านเรียก ผีใหญ่ บอก ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ว่าดีๆ มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่ก็อยู่ตรงนี้ รักษาตัวจิตเอาไว้ ได้ยินท่านพูดอย่างนี้ ฟังก็รับฟังเฉยๆ ไม่เข้าใจ

ครั้งสุดท้ายที่เข้าไปกราบท่าน ก่อนท่านมรณภาพ 36 วัน เข้าไปกราบท่านวันที่ 24 กันยายน 2526 ท่านก็สอน “พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จิตจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” ฟังตรงนี้ก็ไม่เข้าใจได้แต่ทรงจำไว้ แล้วภาวนาไปเรื่อยๆ ตัวผู้รู้เรามี เราฝึกจิตให้มันมีผู้รู้ ทำไมท่านให้ทำลายผู้รู้ เราจะทำลายได้อย่างไร มีสติอยู่มันก็มีผู้รู้ขึ้นมา มีสมาธิที่ถูกต้องอยู่มันก็มีผู้รู้ขึ้นมา เจริญปัญญาอย่างถูกต้อง เห็นรูปธรรมนามธรรมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ มันก็ยังมีผู้รู้อยู่ แล้วจะทำลายมันได้อย่างไร ดูไม่ออก

ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าใจที่ท่านสอนเป็นลำดับๆ ไป คลานเตาะแตะๆ ไปเรื่อย หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่ง แต่หลวงพ่ออดทนในการที่จะทำตามคำสอนของครูบาอาจารย์ ตั้งแต่เด็กเรียนกับท่านพ่อลี ท่านสอนให้หายใจเข้าพุทออกโธ หลวงพ่อทำตลอด ทำทั้งๆ ที่ไม่เห็นว่ามันจะพ้นทุกข์ตรงไหน ทำอยู่ 22 ปีแล้วมาเจอหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกให้ดูจิต ดูทุกวันเลยไม่เคยเลิกเลย ดูไปเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ จิตมันก็ตัวทุกข์ กายก็ตัวทุกข์ จิตก็ตัวทุกข์ ค่อยๆ ฝึกถ้าเข้าใจแล้วใจก็ไม่ดิ้นรน ถ้ายังไม่เข้าใจ ใจก็ดิ้นรน ใจก็ทุกข์ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นเราจะพ้นความดิ้นรนได้ ก็ต้องเกิดปัญญา

 

รู้กรรมฐานที่ควรกับตัวเอง

ทำวิปัสสนากรรมฐานไป เวลาทำวิปัสสนานั้น ไม่มีใครทำวิปัสสนาตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ เวลาทำวิปัสสนาจิตมันใช้พลังงานเยอะ ไม่นานพลังงานก็หมด เราก็ต้องทำสมถกรรมฐาน ให้จิตได้พักผ่อนอยู่ในอารมณ์อันเดียว ไม่ต้องทำงาน ทำได้หลายอย่างแล้วแต่ภูมิจิตภูมิธรรมของเรา อย่างละเอียดเลยก็คือ พอวางความปรุงแต่งทั้งหลายของจิตลง กระทั่งความคิด ความนึก ความปรุง ความแต่งอะไร วางทิ้งหมดเลย จิตก็สงบ สบาย อยู่ในสภาวะที่ไม่ปรุงแต่ง ทำตรงนี้ยังไม่ได้ก็อยู่กับความปรุงแต่งที่ดี ไม่สามารถพักอยู่ในสภาวะที่ไม่ปรุงแต่งได้ ก็พักอยู่ในสภาวะที่ปรุงแต่งที่ดี เช่น อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจ อย่างนี้ปรุงดี อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน ให้ใจมันได้พักผ่อนอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่เป็นกุศล อารมณ์ที่ดีๆ อยู่กับมัน ใจจะมีกำลังขึ้นมา ทำได้หลายแบบ

เมื่อวันพฤหัสฯ หลวงพ่อว่างๆ ตอนเช้า ออกไปเดินข้างหน้าศาลา มีโยมมาหลายคน บางคนก็รวย บางคนก็จน คนรวยๆ มา เขากราบแล้วหลวงพ่อก็เออๆ ก็เดินไปหาคนๆ หนึ่ง เขาบอกว่าเขาจนมาก เขาจน เขาอยากได้พระนิพพาน เขาไม่มีอะไรมาถวายหลวงพ่อ มีน้ำมันเหลืองมาขวดเดียว คนเอาของมาถวายหลวงพ่อเยอะแยะเลย หลวงพ่อให้กองไว้วางไว้เดี๋ยวพวกพระเขาเข้ามาดู อันไหนจะแจกจ่ายไปอย่างไร น้ำมันเหลืองนี่หลวงพ่อรับไว้เอง เขาถามว่าเขาควรจะทำอย่างไร ที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ หลวงพ่อบอกว่าขั้นแรกสุด เลยถือศีล 5 ไว้ แล้วอันที่สองไหว้พระ สวดมนต์ ทุกวันๆ ทำความสงบของจิตใจขึ้นมา

สำหรับคนๆ นี้ศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธเจ้า หลวงพ่อบอกให้ทำสมถกรรมฐานด้วยการนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ นึกถึงทั้งวันเลย ไหว้พระสวดมนต์ไป นึกถึงพระพุทธเจ้าไป ทำอะไรก็นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ จิตมันจะมีกำลังขึ้นมา ให้จิตมันทรงตัวตั้งมั่นขึ้นมาเอง มีกำลังแล้วดูไปเลยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว โลกข้างนอกก็ของชั่วคราว ร่างกายก็ของชั่วคราว ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจก็เป็นของชั่วคราว บอกฝึกอย่างนี้ล่ะ 3 ข้อนี้ไปทำ 3 อย่างนี้ แล้วจะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ก็คือถือศีลเอาไว้ ทำสมถกรรมฐานที่เหมาะกับตัวเราเอง เจริญวิปัสสนากรรมฐานที่เหมาะกับตัวเราเอง อย่างคนนี้เขาศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธเจ้า หลวงพ่อให้นึกถึงพระพุทธเจ้ามันคือพุทธานุสสติ สมาธิมันจะเกิด พวกศรัทธามากไม่ต้องสอนอนัตตาในการเดินปัญญา สอนอนิจจัง ให้เขาดูเลยทุกอย่างในชีวิตเป็นของชั่วคราว โลกข้างนอกก็ชั่วคราว ร่างกายก็ชั่วคราว ความรู้สึกนึกคิดจิตใจก็ชั่วคราว ดูอย่างนี้คือการเจริญปัญญาแล้ว

พวกเราบางคนก็พวกฟุ้งซ่านคิดมาก วิตกจริตอะไรอย่างนี้ บางคนก็ให้ทำอานาปานสติ บางคนให้พิจารณาร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก เรื่องของสมถะทางใครทางมัน ถนัดอะไรก็เอาอันนั้น อย่างหลวงพ่อถนัดหายใจ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ หลวงพ่อก็ใช้อย่างนี้ไม่เลียนแบบคนอื่น ไม่เลียนแบบกระทั่งครูบาอาจารย์ หลวงตามหาบัวท่านสอนหลวงพ่อ “ต้องเชื่อเรานะ เราผ่านมาด้วยตัวเราเอง อะไรๆ ก็สู้บริกรรมไม่ได้” หลวงพ่อลองทำอย่างที่ท่านบอก จิตมันไม่เอา บริกรรมแล้วเหมือนอกจะแตก ใจไม่ชอบ หลวงพ่อมาหายใจสุดท้ายมันก็ลงที่เดียวกัน สงบลงที่เดียวกัน ให้เราดูตัวเราเอง ทำกรรมฐานอะไรแล้วจิตจะสงบ จิตจะมีความสุข ตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมาได้ หรือเจริญปัญญา สติชอบระลึกรู้อะไรรู้ลงไป

อย่างบางคนรักสวยรักงามมาก หลวงพ่อก็ให้ดูกายไปเป็นปฏิกูลอสุภะ ดูเข้าไปมันสวยนักหนาหรือ ขี้ตั้งแต่หัวถึงเท้า ตั้งแต่ขี้หัวยันขี้ตีน ขี้เล็บ เล็บเท้าด้วย ดูเข้าไปสิสวยหรือ บางคนมันรักรูปมาก ผู้ชายก็เป็นนะไม่ใช่เป็นแต่ผู้หญิง ผู้ชายยุคนี้หน้านวลเชียว รักนวลสงวนตัว ดูกายเข้าไปเลย ดูไปจิตใจมันสลดสังเวชขึ้นมาก็สงบลงมา หายกระดี๊กระด๊า นี้เรื่องของสมถะจิตใจก็สงบลงมา จะเจริญปัญญาก็ไปดูเอา สติระลึกรู้อะไรแล้วเห็นไตรลักษณ์ได้บ่อยๆ ก็เอาอันนั้นเป็นตัวหลัก แต่ไม่ใช่ไม่รู้ตัวอื่น เวลาเราเจริญปัญญาบางทีเราก็รู้กาย รู้เวทนา รู้จิตอะไรอย่างนี้ มันถนัดตัวไหนก็เอาตัวนั้น ไม่มีตัวไหนดีกว่าตัวไหนหรอก ทุกตัวก็ลงไปที่เดียวกัน

 

พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ศาสนาของท่านผู้รู้ ไม่ใช่ศาสนาผู้งมงาย
ฉะนั้นเราจะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำแล้วมีผลอย่างไร
เราต้องรู้ สังเกตตัวเอง แต่ละคนมีทางของตัวเอง

 

ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอน เหมือนคนจะไปกินน้ำที่บ่อ มีบ่อน้ำ แต่ละคนเดินไปไม่เหยียบรอยเท้ากัน ต่างคนต่างก็มีทางของตัวเอง แต่มันก็ไปถึงบ่อน้ำอันเดียวกัน เราก็สังเกตตัวเอง ทำอย่างไรแล้วจิตใจเราสงบ สบาย อันนี้เอาไว้ทำสมถะ ระลึกรู้รูปธรรมหรือนามธรรมอันไหนแล้วเห็นไตรลักษณ์บ่อยๆ อันนั้นเอาไว้ทำวิปัสสนา อย่างหลวงพ่อทำวิปัสสนา หลวงพ่อดูจิตเอาเลย เห็นจิตเกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง หลวงพ่อดูอยู่ตรงนี้ แล้วเวลาเข้าใจมันก็เข้าใจหมด เข้าใจในรูปทั้งหลาย เข้าใจในนามธรรมทั้งหลาย ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว เข้าใจว่าทุกอย่างตั้งแต่ร่างกายเข้ามา มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันของเกิดๆ ดับๆ กระทั่งตัวจิตผู้รู้เองก็เกิดๆ ดับๆ

ฉะนั้นเราทำกรรมฐานอันใดอันหนึ่งให้เด็ดเดี่ยวลงไป แต่เวลาบางครั้งจิตมันไปรู้สิ่งอื่น เช่น เราดูจิตอยู่แล้วพอร่างกายมันขยับแล้วมันรู้ร่างกาย ก็ไม่ว่ามัน มันก็จะเห็นร่างกายมันก็เป็นไตรลักษณ์เหมือนกัน อย่างหลวงพ่อดูจิตๆ นี่ล่ะ วันหนึ่งเผลอขาดสติ เห็นเพื่อนเดินอยู่คนละฝั่งถนน คนนี้ไม่เจอหลายปีแล้ว ดีใจ ดีใจแล้วไม่รู้ว่าดีใจ เท้าก้าวไปจะข้ามถนนไปคุยกับเขา พอเท้าเคลื่อนเท่านั้น รูปมันเคลื่อน สติระลึกรู้เลย จิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา ตอนฝึก ฝึกดูจิต พอร่างกายขยับมันรู้เอง

 

 

เพราะฉะนั้นมันเนื่องกันหมด กาย เวทนา จิต ธรรม 4 อันนี้มันเนื่องถึงกันหมด เหมือนโต๊ะข้างหน้าหลวงพ่อ มี 4 มุม ยกเข้ามุมหนึ่ง มันก็ยกโต๊ะขึ้นมาได้ทั้งนั้น ลากโต๊ะไปได้ทั้งนั้น มุมไหนมันก็เหมือนกันหมด มันไม่มีอันไหนดีกว่าอันไหนหรอก มันอยู่ที่ว่าเราถนัดอันไหนก็ใช้อันนั้นเป็นหลัก ไม่ใช่พวกดูกายเขาบอก กายเท่านั้นดีที่สุด พอหลวงพ่อดูกาย หลวงพ่อรู้สึกจืดชืด ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย ธรรมดา รู้สึกไม่น่าสนใจ ดูจิตแล้วสนใจ ขยันดูเห็นไตรลักษณ์ทั้งวัน แล้วบางคนจะมาดูจิต ก็ดูไม่รู้เรื่องก็ดูกายไป ทางใครทางมัน ไม่ใช่ว่าสายไหนดีกว่าสายไหน อยู่ที่อันไหนเหมาะกับเราต่างหาก แต่งานที่เราทำก็มีแค่นี้ล่ะ

ขั้นต้นรักษาศีลเอาไว้ แล้วก็เจริญสมถะและวิปัสสนาด้วยปัญญาอันยิ่ง คือรู้ว่าตอนนี้ควรทำสมถะไหมหรือควรจะทำวิปัสสนา มีปัญญาอันยิ่งมากขึ้น รู้ว่าถ้าจะทำสมถะจะใช้กรรมฐานอะไร จะทำวิปัสสนาจะใช้อะไรเป็นเครื่องอยู่ หมายถึงตัวที่เราใช้รู้ประจำ พอรู้ลงไปแล้วมีปัญญาอย่างยิ่งเลย ก็คือเห็นไตรลักษณ์ไหม ถ้ารู้รูปธรรมนามธรรมเฉยๆ อยู่ ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ ปัญญายังไม่พอ ฉะนั้นการที่ทำสมถะและวิปัสสนากรรมฐานด้วยปัญญาอันยิ่ง มันเริ่มตั้งแต่รู้ว่าจะทำสมถะด้วยกรรมฐานอะไร จะเจริญวิปัสสนาด้วยกรรมฐานอะไร ที่จะใช้เป็นเครื่องอยู่หลัก ใช้คำว่าหลัก เวลาภาวนาจริงมันรู้อันอื่นด้วย ใช้จิตก็รู้กาย รู้เวทนาด้วย ใช้กายก็รู้เวทนารู้จิตด้วย ใช้เวทนาก็รู้กายรู้จิตด้วย มันเนื่องกันหมด แต่ตัวไหนเป็นหลัก

ต้องฉลาดในการรู้ว่าเราควรกับกรรมฐานอะไร แล้วพอเราทำกรรมฐานเราก็ต้องรู้อีกแล้ว ตอนไหนควรทำสมถะ ตอนไหนควรทำวิปัสสนา ก็ต้องรู้ เจริญปัญญาจนจิตฟุ้งซ่านแล้ว ก็ต้องมีปัญญารู้ว่า ตอนนี้ควรทำสมถะ ทำสมถะอยู่นานสงบ สบาย แล้วเพลินๆ ต้องมีปัญญารู้ตอนนี้ควรเจริญวิปัสสนาแล้ว ที่ว่าเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง ทั้งสมถะและวิปัสสนามันเป็นอย่างนี้ ไม่ภาวนาโง่ๆ ซื่อบื้อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของคนซื่อบื้อ พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ศาสนาของท่านผู้รู้ ไม่ใช่ศาสนาผู้งมงาย ฉะนั้นเราจะทำอะไร จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ทำแล้วมีผลอย่างไร เราต้องรู้ สังเกตตัวเอง แต่ละคนมีทางของตัวเอง ถ้าให้ดีที่สุดไม่ต้องมาถามหลวงพ่อด้วย สังเกตเอาลูกพระพุทธเจ้า ช่วยตัวเองให้มากไม่ใช่ถาม การถามครูบาอาจารย์ถามเมื่อจำเป็น เมื่อเราติดขัดจริงๆ ช่วยตัวเองไม่ได้แล้วค่อยถาม หรือเมื่อเราภาวนาจนเรารู้สึกแน่ใจแล้วว่าใช่แน่เลย ก็ควรจะถามนะอย่างนั้น ที่ว่าแน่ๆ มันอาจจะไม่แน่ก็ได้ อย่างบางท่านบอกไม่มีกิเลสเลย ที่จริงจิตทรงสมาธิอยู่ตลอด กิเลสอะไรมันจะโผล่มาให้ดู ถ้าครูบาอาจารย์ท่านอยู่ ท่านจิกให้ทีเดียวก็หายแล้ว.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
27 พฤศจิกายน 2564