ช่วงนี้มีคนจีนเข้ามาเยอะ มีเวลาเรียนจำกัด อยู่คนหนึ่งไม่กี่วัน ฉะนั้นถ้าเราจะเรียนไปทีละเรื่อง เรียนได้ไม่หมด วันนี้หลวงพ่อจะสรุปให้ฟัง คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ถ้าฟังเรื่องนี้เข้าใจ จะเข้าใจธรรมะทั้งหมด ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมด รวมลงในธรรมะเรื่องอริยสัจ 4 อริยสัจ 4 นี้เริ่มจากการบอกเรา เรื่องความทุกข์ เราปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่น แต่เพื่อความพ้นทุกข์ ตั้งเป้าให้ถูก ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อจะไปอยู่ในโลกของพระพุทธเจ้าอะไรต่ออะไร สุขาวดีแดนสวรรค์ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่
เราปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง เราพ้นทุกข์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอให้ตายแล้วพ้นทุกข์ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ ก็มีเรื่องทุกข์ทางกายกับทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางร่างกาย เมื่อเราเกิดมาแล้ว มันหนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทุกข์ทางจิตใจ อันนี้ธรรมะช่วยเราได้ทันที พระพุทธเจ้าท่านชี้ให้ดูว่า สิ่งที่เป็นทุกข์ทางใจ เช่น เราต้องเจอคนที่เราไม่ชอบ เรามีความทุกข์ เราต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก มีความทุกข์ เราอยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วเราไม่ได้ เราก็มีความทุกข์ เราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย แต่เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เราก็ทุกข์ เวลามีเรื่องเสียอกเสียใจ ในชีวิตเรา เราผ่านความทุกข์มามากมาย ทางจิตใจเรานี้ หรือทางร่างกายเรา อันนี้แก้ไขไม่ได้ เกิดมามีร่างกายแล้ว หนีความทุกข์ไม่พ้นหรอก ร่างกายนี้
เพราะฉะนั้นจุดหมายแรก เราจะมุ่งมาแก้ที่ความทุกข์ทางใจก่อน เพราะความทุกข์ทางกายยังแก้ไม่ได้ อันนี้ก็คล้ายๆ การแก้ปัญหาทางโลก ปัญหาบางเรื่องยังแก้ไม่ได้ แขวนเอาไว้ก่อน มาแก้เรื่องที่แก้ได้ก่อน ถ้าเราแก้ทุกข์ทางใจได้ ต่อไปเราเหลือแต่ทุกข์ทางร่างกาย ในขณะที่คนทั่วไป พอร่างกายมีความทุกข์ จิตใจมันก็ทุกข์ด้วย มันเรียกทุกข์ 2 ชั้น ซ้อนกัน นี้พระพุทธเจ้าท่านชี้ต่อไป ความทุกข์นี้มีทุกข์กายทุกข์ใจ ทุกข์ทางจิตใจเราเกิดจากอะไร มันเกิดจากความอยาก เรียกว่าตัณหา ความอยาก เวลาเรามีความอยากอะไรเกิดขึ้น จิตใจเราจะดิ้นรน ทุรนทุราย แล้วมีความทุกข์
คนทั่วๆ ไปเขามองตรงนี้ไม่ออก เขามองได้แค่ว่า ถ้ามีความอยากเกิดขึ้น แล้วเราตอบสนองความอยากได้ เราไม่ทุกข์ ถ้าตอบสนองความอยากไม่ได้ถึงจะทุกข์ คนก็มุ่งไปที่การตอบสนองความอยาก อยากรวย อยากเก่ง อยากมีหน้าที่ ชื่อเสียง อยากมีเมียสวย แฟนหล่อ อยากมีลูกดี ก็พยายามตอบสนอง แต่ตอบสนองเท่าไร มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด เวลาความอยากเรื่องนี้จบลงไป อีกเรื่องหนึ่งก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นใจเราต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องดิ้นรน ตอบสนองความอยากไม่รู้จักจบจักสิ้น พระพุทธเจ้าท่านสอนวีธีขจัดความอยาก ขจัดตัณหาที่เด็ดขาด การตอบสนองความอยากนั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ถาวร เดี๋ยวอยากเรื่องนี้ เดี๋ยวก็อยากเรื่องโน้นต่อ
ท่านสอนให้เราดูความอยากทั้งหมด มันมีอยากอะไรบ้าง จริงๆ มันก็คืออยากให้ร่างกาย อยากให้จิตใจของเรามีความสุข อยากให้ร่างกาย อยากให้จิตใจเราไม่ทุกข์ รวมแล้วแตกแขนงความอยาก ออกไปอีกมากมายก่ายกองนับไม่ถ้วน อย่างเราอยากเห็นรูป อยากได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสในอารมณ์ที่ดี เพื่อจะมีความสุข พอได้กระทบอารมณ์ที่ไม่ดี เราก็อยากพ้นจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ไม่ดี การสัมผัสนั้นมีทั้งวันทั้งคืน กระทบอารมณ์ กระทบอารมณ์ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง พอกระทบอารมณ์ที่ดี เราก็อยากให้อารมณ์อันนั้นอยู่ตลอดไป มีความอยากเกิดขึ้นแล้ว พอกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี เราก็อยากให้อารมณ์นั้นดับไป อย่างเราเจอคนไม่ถูกใจ อยากให้มันตายๆ ไป
ความอยากมันเกิดขึ้นทีไร เราไปสังเกตเลย ทุกครั้งที่ความอยากเกิดขึ้น ความทุกข์ทางจิตใจของเราจะเกิดขึ้น ไม่ต้องรอว่าสมอยากหรือไม่สมอยาก แค่อยากก็ทุกข์แล้ว พอเวลาความอยากเกิด ใจเราจะดิ้นรน เราก็จะสูญเสียความสงบสุขทางจิตใจไป ทุกครั้งที่ความอยากเกิดขึ้น นี้ทำอย่างไร เราเรียนเรื่องทุกข์มาแล้ว เรียนเรื่องทุกข์ ว่าทุกข์มีทุกข์กายทุกข์ใจ เป้าหมายสูงสุดของเราคือพ้นทุกข์ ความทุกข์เกิดจากความอยาก ทำอย่างไรเราจะดับความอยากได้ การจะดับความอยาก คือดับตัวตัณหาได้ ก็คือการเจริญมรรค ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เราจะเจริญมรรค พอเจริญมรรคได้สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ความดับทุกข์ก็เกิดขึ้น สภาวะที่พ้นทุกข์สิ้นเชิง ก็เรียกนิโรธหรือนิพพาน นิพพานเป็นสภาวะที่ดับทุกข์สิ้นเชิง
ฉะนั้นจะดับทุกข์สิ้นเชิงได้ ต้องดับตัณหาได้ จะดับตัณหาได้ก็ต้องเจริญมรรค เจริญมรรค มรรคมีองค์ 8 เริ่มตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ เราก็รู้หลักที่หลวงพ่อพูดนี่ล่ะ คือตัวสัมมาทิฏฐิ เราว่า เราต้องมีทุกข์ เราต้องรู้ทันมัน อย่าไปรักมัน อย่าไปเกลียดมัน ถ้าเรารักมัน เราก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น ถ้าเราเกลียดมัน เราก็อยากผลักไสมัน มีโทสะ เรารู้หลักอันนี้ว่า ทุกข์ไม่ใช่มีไว้ให้ละ แต่ทุกข์มีไว้ให้รู้ สิ่งที่เราจะต้องละ คือละตัณหา ละความอยากของเรา ถ้าเราหมดความอยาก ในจิตใจไม่มีตัณหา ถึงร่างกายจะแก่ จะเจ็บ จะตาย จิตก็ไม่หวั่นไหว ถึงเราจะประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราจะพลัดพรากจากสิ่งที่รัก จิตเราก็ไม่หวั่นไหว จิตเราเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง นั่นคือพระนิพพาน
วิธีที่จะปฏิบัติ ท่านบอกทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ นิโรธคือนิพพานทำให้แจ้ง มรรคทำให้เจริญ หน้าที่ของเราต่ออริยสัจ 4 ข้อ วิธีปฏิบัติ ให้เราสังเกตเข้าไปเลย ความปรุงแต่งมันเกิดขึ้น เริ่มจากความปรุงแต่งทางจิตใจ ใจเราชอบคิด สังเกตดูอะไรอยู่เบื้องหลังความคิดของเรา กุศลหรืออกุศลที่อยู่เบื้องหลังความคิด คอยรู้ทันไว้ เวลาเราคิดอะไร เราสังเกตดู เราคิดเรื่องนี้เพราะอะไร ส่วนใหญ่ก็สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรา ก็คือกิเลสทั้งหลายนั่นล่ะ อย่างเราคิดให้คนนี้ตายเร็วๆ อะไรอยู่เบื้องหลังความคิดอันนี้ ก็คือความโกรธ เราไม่ชอบเขา อยากให้เขาตายเร็วๆ
เราคิดอยากจะไปจีบผู้หญิงคนนี้ อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด ความชอบ ความรัก หรือราคะ มันอยู่เบื้องหลังความคิด เพราะฉะนั้นตัวที่อยู่เบื้องหลังความคิดเรา มันก็ส่วนใหญ่ มันก็คือตัวกิเลสนั่นล่ะ ราคะ โทสะ โมหะ โมหะคือความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี อย่างเราเห็นคนไม่สบาย เราสงสาร เราก็ไปฆ่าเขาทิ้ง จะได้ไม่ทรมาน เราไม่มีสิทธิ์ฆ่าใคร เราไม่มีสิทธิ์ฆ่าใคร อันนี้เป็นการเบียดเบียนคนอื่น ด้วยความหลงผิดของเรา เป็นโมหะ สังเกตจิตใจของเราไปเรื่อยๆ ถ้าเรารู้ทันจิตใจของเราแล้ว อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำ สิ่งนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล รู้ไว้
ถ้าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดเป็นกุศล คำพูด การกระทำของเรา มันก็จะเป็นกุศล ถ้าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดเป็นอกุศล โลภ โกรธ หลง คำพูดของเรา มันก็ไม่ดี การกระทำของเราก็ไม่ดี การดำรงชีวิตของเราก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นตัวนี้ตัวสำคัญมาก การที่เราอ่านใจตัวเองให้ออก ใจเราเป็นกุศลก็รู้ ใจเราโลภ ใจเราโกรธ ใจเราหลง คอยรู้ไว้ ถ้าเรารู้ตัวนี้ได้ ต่อไปคำพูดของเรามันก็จะดี เป็นสัมมาวาจา อย่างเราไปด่าคนอื่น ไปโกหกหลอกลวงเขา ก็เพราะความโกรธ ความโลภ ความหลงนั่นล่ะ
ถ้าเราไม่ถูกความโกรธ ความโลภ ความหลงอะไรนี้มาครอบงำใจ เวลาเราพูดกับคนอื่น เราก็พูดด้วยความเมตตากรุณา เราไม่คิดทำร้ายใคร ไม่คิดหลอกลวงใคร การดำรงชีวิตของเรา มันก็จะดำรงชีวิตแบบมีศีล เราไม่ทำร้ายคนอื่น ไม่ทำร้ายสัตว์อื่น เราไม่ลัก ไม่ขโมยใคร เราไปขโมยเขาได้ ก็เพราะว่ากิเลสนั้นล่ะ มันครอบงำความคิดเรา เราไปทำร้ายคนอื่น ก็เพราะกิเลสครอบงำความคิดของเรา เราไปผิดลูกผิดเมียคนอื่น ก็เพราะกิเลสครอบงำความคิดของเรา ถ้าเรารู้ทันจิตใจ กิเลสครอบงำไม่ได้ คำพูดของเราก็ดี การกระทำของเราก็ดี นี้เป็นเรื่องขององค์มรรค
การรู้ทฤษฎีว่าเราต้องรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำนิโรธให้แจ้ง เจริญมรรคให้ได้ นี่เป็นสัมมาทิฏฐิ การที่เราคอยรู้สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิดของเรา เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ เป็นตัวที่ 2 พอมีการรู้เท่าทันความคิดของตัวเองแล้ว คำพูดก็จะดี เรียกสัมมาวาจา ข้อที่ 3 ความคิดเราดี การกระทำของเราก็ดี เป็นสัมมากัมมันตะ เพราะเราคิดดี พูดดี ทำดี การเลี้ยงชีวิต การดำรงชีวิตของเรา ทำมาหากินของเรา ก็จะซื่อสัตย์สุจริต ไม่ไปฉ้อโกงใคร ไม่ไปลักไปขโมยใคร หากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนตัวเอง นี่คือสัมมาอาชีวะ
การที่เราคอยหมั่นสังเกตจิตใจตัวเอง มีกิเลสอะไรเกิดขึ้น เรารู้ทัน กิเลสนั้นจะดับทันที อย่างเราโกรธ เรารู้ โลภเรารู้ หลงเรารู้ ความโลภ โกรธ หลง มันก็จะดับทันทีที่สติเราเกิด เรารู้ทัน สติเป็นตัวรู้ทัน การที่เราคอยรู้ทันจิตใจของตัวเอง มันจะทำให้กิเลสที่มีอยู่ดับไป ในขณะที่เรามีสติอยู่นั้น กิเลสใหม่จะเกิดไม่ได้ ในขณะที่เราคอยรู้เท่าทันจิตตัวเอง มีสติเกิดขึ้นนั้น กุศลได้เกิดขึ้นแล้ว สตินี้เกิดกับกุศลเท่านั้น แล้วถ้าสติเกิดบ่อยๆ กุศลของเราก็พัฒนาแก่กล้าขึ้นเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา
เพราะฉะนั้นการที่เราคอยอ่านจิตใจตัวเองไป มันจะได้องค์มรรคตัวที่ 5 สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ ความเพียรชอบไม่ได้แปลว่า นั่งสมาธินานๆ ไม่ได้แปลว่าเดินจงกรมนานๆ ความเพียรชอบคือ เพียรละอกุศลที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด เพียรทำกุศลที่เกิดแล้วให้เจริญ เราจะทำ 4 อย่างนี้ได้ ด้วยการมีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเองไป จิตใจเป็นกุศลแล้วรู้ จิตใจเป็นอกุศลก็รู้ ถ้ารู้ว่าจิตใจเป็นอกุศล อกุศลดับ อกุศลใหม่จะเกิดไม่ได้ในขณะนั้น กุศลได้เกิดขึ้นแล้วคือความมีสติ สติก็จะเกิดถี่ขึ้นๆๆ กุศลก็เจริญขึ้น นี่คือสัมมาวายามะ ไม่ใช่นั่งสมาธินาน ไม่ใช่เดินจงกรมนาน อันนั้นเป็นแค่รูปแบบของการปฏิบัติเท่านั้นเอง จุดสำคัญอยู่ที่จิตของเรานี้
แล้วการที่เราคอยมีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเอง สัมมาสติก็จะเกิดขึ้น สติจะเกิดเร็วขึ้นๆๆ ทีแรกต้องโกรธนานๆ ถึงจะรู้ ต่อมาขัดใจเล็กๆ ก็เห็นแล้ว ทีแรกต้องโลภเยอะๆ ถึงจะรู้ ต่อไปอยากนิดเดียวก็เห็นแล้ว เรารู้อย่างนี้เรื่อยๆ เรียกว่าเรามีสัมมาสติ มีสติคอยรู้เท่าทันพฤติกรรมของใจตัวเอง ตัวนี้ตัวสำคัญ แล้วทุกครั้งที่สัมมาสติเกิด สัมมาสมาธิจะเกิดร่วมด้วยเสมอ อย่างเรารู้ทัน อย่างเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งพุทโธๆ ไป พอจิตเราขาดสติหนีไปคิดเรื่องอื่น สติรู้ทันว่าจิตหลงไปคิดแล้ว จิตที่หลงไปคิดจะดับ จิตที่รู้จะเกิด จิตที่รู้นั่นล่ะคือจิตที่มีสัมมาสมาธิ ฉะนั้นเมื่อไรเรามีสติรู้เท่าทันสภาวะที่กำลังมีกำลังเป็น สัมมาสมาธิจะเกิดอัตโนมัติ
อันนี้ไปทดลองดูด้วยตัวเอง ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง พอจิตหลงไปคิดแล้วรู้ หลงไปคิดแล้วรู้ จิตใจของเราจะค่อยๆ ตั้งมั่น รู้เนื้อรู้ตัว อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา นี่ 8 ประการ คือองค์มรรคที่เราจะต้องเจริญ แล้วพอจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว ที่หลวงพ่อพูดทุกวันว่า ความรู้สึกตัวสำคัญมาก มันคือภาวะที่จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวได้ พอจิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวได้ เราก็จะเริ่มเห็นร่างกาย เห็นจิตใจตามที่มันเป็น ร่างกายนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่น ร่างกายนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย จิตใจนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่น จิตใจนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย มันจะเห็นด้วยการเจริญวิปัสสนา มันจะเห็นมาถึงตรงนี้ ตรงนี้เรียกว่ารู้ทุกข์แล้ว ในอริยสัจ 4 เรารู้ทุกข์แล้ว
ร่างกายจิตใจนี้มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ไม่ใช่ของดีของวิเศษ พอรู้อย่างนี้ปุ๊บ สมุทัยคือตัณหาจะถูกละอัตโนมัติ รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง สมุทัยถูกละอัตโนมัติ คือเราจะไม่ได้เกิดความโง่ขึ้นมา ว่าอยากมีความสุข อยากให้ไม่ทุกข์ อยากให้ร่างกายมีแต่ความสุขนี้โง่นะ เพราะร่างกายนี้อย่างไรก็ทุกข์ อยากให้จิตใจมีแต่ความสุข อันนี้ก็โง่ จิตใจที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ มันสุขบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง อันนี้เบื้องต้นที่เห็น ต่อไปละเอียดขึ้น มันจะเห็นสุขจริงๆ ไม่มีหรอก มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ถ้าเห็นถึงตรงนี้ เรียกว่าเรารู้แจ้งในกองทุกข์แล้ว ไม่ใช่สุขกับทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อยเท่านั้น ทั้งกายทั้งใจ
พอจิตใจมันรู้แจ้งแทงตลอดอย่างนี้ ความอยากจะไม่เกิดขึ้น มันรู้แล้วว่าร่างกายคือตัวทุกข์ มันก็ไม่โง่ที่จะอยากให้ร่างกายมีแต่ความสุข มันไม่โง่ที่จะให้ร่างกายไม่มีความทุกข์ อย่างไรมันก็ทุกข์ แล้วมันเห็นความจริงของจิตใจ ว่าจิตใจคือตัวทุกข์ มันก็จะหมดความโง่ หมดความอยาก ที่จะให้จิตใจของเรามีแต่ความสุข อยากจะให้ใจเราไม่ทุกข์ เพราะว่าใจของเรามันคือตัวทุกข์ นี่เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ต้องใช้วิปัสสนา ดูความจริงของกายของใจมากๆ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
ที่หลวงพ่อใช้ประโยคบอก “ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” อันนั้นล่ะเราถึงจะรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ความอยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ จะไม่เกิด ความอยากให้กายให้ใจมีแต่ความสุขจะไม่เกิด เมื่อความอยากไม่เกิดขึ้น จิตใจเราจะเข้าถึงความสงบสันติ นิพพานคือภาวะที่สิ้นความอยาก สิ้นความอยากเมื่อไร จิตเราจะเข้าถึงความสงบสันติเมื่อนั้น นี่ล่ะคือขอบเขตธรรมะทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าสอน คือเรื่องของอริยสัจ 4 สิ่งที่เรียกว่าทุกข์ คือกายกับใจของเรานี้
หน้าที่ของเราต่อทุกข์คือรู้อย่างที่เป็น ดูกายนี้มันทุกข์จริงหรือไม่จริง จิตใจมันทุกข์จริงหรือไม่จริง ตามรู้ตามดูมันเข้าไป สุดท้ายมันก็เห็นความจริง กายนี้ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย จิตนี้ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย ถ้าเห็นถึงตรงนี้ ความอยากก็จะหมดไป พอสิ้นตัณหา จิตใจก็หมดความดิ้นรนทุรนทุราย ไปสังเกตง่ายๆ ทุกครั้งที่เราเกิดความอยาก ใจเราจะดิ้น แล้วใจเราไม่มีความสุข อย่างเราอยากจีบผู้หญิงสักคน ใจมันก็ดิ้น ว่าลุ้นจะได้ไม่ได้อะไรอย่างนี้ ใจไม่มีความสุข อยากถูกหวย อยากถูกลอตเตอรี่ อยากมีโชคลาภ ใจมันดิ้นทุกครั้งที่มีความอยากเกิดขึ้น ไปสังเกตตัวนี้เลย อันนี้คือการอ่านจิตใจตัวเอง
ฉะนั้นกรรมฐานที่หลวงพ่อสอน หลวงพ่อไม่ได้สอนว่า นั่งสมาธิแบบไหน เดินจงกรมแบบไหน ที่หลวงพ่อมุ่งสอนมานี้ ให้พวกเรารู้เท่าทันจิตใจตนเอง ถ้าจิตใจเราถูกกิเลสครอบงำ จิตใจก็จะเกิดการดิ้นรน จิตใจเกิดความดิ้นรน จิตใจก็เกิดความทุกข์ จิตใจไม่ถูกกิเลสครอบงำ จิตใจก็ไม่มีความดิ้นรน จิตใจเข้าถึงความสงบสันติ นั่นล่ะคือพระนิพพาน นิพพานคือภาวะที่สิ้นตัณหา สิ้นความปรุงแต่ง จิตใจเข้าถึงความสงบสุขที่แท้จริง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มีความสุข จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็ยังมีความสุขอยู่
หลวงพ่อไปโรงพยาบาลเมื่อปี 2559 เป็นมะเร็ง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อยู่โรงพยาบาลตั้งหลายเดือน ปี 2559 แทบจะไม่ได้อยู่วัดเท่าไรเลย อยู่แต่โรงพยาบาล พวกหมอ พวกพยาบาลชอบมาถาม “หลวงพ่ออยู่โรงพยาบาลนานๆ เบื่อไหม” หลวงพ่อไม่เบื่อ หลวงพ่อไม่เบื่อ เพราะเบื่อมันเป็นโทสะ จิตใจเราสงบสุข อยู่ที่ไหนเราก็มีความสุข อยู่ในสถานการณ์อะไร เราก็มีความสงบสุข ร่างกายจะเจ็บ จะป่วย จะตาย มันก็ยังสงบสุขอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเราพยายามฝึกเข้า มีสติคอยรู้เท่าทันจิตใจของเราเองได้ดีที่สุด ถ้ารู้ใจไม่ได้ก็รู้ร่างกายไปก่อน หลวงพ่อถึงสรุปบอก “ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
วิธีที่ง่ายๆ คือหัดอ่านใจตัวเองไป หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อประโยคเดียว หลวงพ่อไปบอกท่านว่า “หลวงปู่ผมอยากปฏิบัติ” หลวงปู่สอนง่ายๆ “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” อ่านจิตตนเอง จิตเป็นกุศลก็รู้ เป็นอกุศลก็รู้ แล้วต่อไปองค์มรรคที่เหลือ จะสมบูรณ์ขึ้นอัตโนมัติ นี่คือใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ถ้าเราปฏิบัติได้ สิ่งที่เราจะได้คือเราพ้นทุกข์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอตายแล้วพ้นทุกข์หรอก พ้นเดี๋ยวนี้เลย
วัดสวนสันติธรรม
8 กันยายน 2566