ความสุขที่เกิดจากปัญญา

เราปรารถนาความสุขในชีวิต เราต้องรู้ว่าความสุขอย่างโลกๆ มันสุขหลอกๆ มันสุขเพื่อให้เราทุกข์ต่อไป สุขหลอกๆ ให้เรามีแรงที่จะวิ่งพล่านๆ ตามกิเลสตัณหาต่อไป แล้วความสุขที่ประณีตกว่านั้น คือความสุขของสมถกรรมฐาน ความสุขของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ความสุขเมื่อเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล ความสุขเมื่อจิตทรงพระนิพพาน มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางเรื่อยๆ ไป แล้วสติปัญญาจะค่อยพัฒนาแก่กล้าขึ้น ใจจะปล่อยวางจางคลายจากโลกมากขึ้นๆ พอใจมันคลายตรงนี้ มันจะรู้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีสาระ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราถูกหลอกให้วิ่งพล่านๆ แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อวันหนึ่งจะสูญเสียมันทั้งหมดไป ใจฉลาดขึ้นมา ใจมีปัญญาขึ้นมา ใจก็ค่อยสงบ ใจมีความสุข

บางวันพอเห็นรูปนามแสดงไตรลักษณ์ได้บ้าง แต่บางวันเหมือนภาวนาไม่เป็น

ถ้าเราจงใจจะให้จิตมีกำลัง แต่เราไปจงใจตั้งอยู่อย่างนี้ กำลังของจิตยังไม่เยอะพอหรอก เพราะว่าจิตใช้พลังงานอยู่ตลอดเวลา มันเหมือนเรามีมือถือ ตอนนี้เราบอกเราไม่ได้ใช้งาน แต่มันก็กินแบตเตอรี่ ไปเรื่อยๆ เราก็ชัตดาวน์มันเสีย เพราะฉะนั้นเราไม่ไปปรุงอะไรขึ้นมา นี่ก็เป็นภพๆ หนึ่งที่จิตปรุงขึ้นมา คลายออกมาเป็นจิตธรรมดา จิตธรรมดาจะไม่ค่อยใช้พลังงานเท่าไร จิตจะค่อยๆ สะสมพลัง พลังงานมันจะเยอะขึ้นๆ แล้วมันจะตั้งมั่นเด่นดวงโดยที่เราไม่ได้เจตนาทำขึ้นมา