อย่าส่งจิตออกนอก จิตใจอยู่กับตัวเอง ภาวนาวนเวียนอย่าให้เกินร่างกายออกไป จิตท่องเที่ยวอยู่ในร่างกายนี้ก็ยังดี ถ้าเกิดออกไปแล้ว กิเลสมักจะเล่นงานเอา พวกเรายังมีบุญ ยังเข้าวัดฟังธรรม บางคนไม่ได้เข้าวัดก็ฟังธรรม ดูยูทูปแล้วเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นๆ ถ้าเราดูข่าวเราก็จะรู้เลยว่า ศาสนาพุทธเลือนลาง แทบจะหายไปอยู่แล้ว คนนับถือแต่ผลประโยชน์ คิดแต่ว่าอะไรจะให้ผลประโยชน์ได้ ก็นับถืออันนั้น แล้วผลประโยชน์นั้น ก็เป็นผลประโยชน์ระดับตื้นๆ เลย อยากถูกหวย อยากอะไร ถ้าได้เงินมาจากการพนัน ก็ไม่ยั่งยืนอะไร ส่วนมากก็ละลายไปอย่างรวดเร็วอีก
พวกเราจะมีสักกี่คน ที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะอย่างแท้จริง มันมีบทอยู่บทหนึ่ง สัจจกิริยาอันหนึ่งบอก “ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า” แล้วจะอธิษฐานอะไร ก็ด้วยอำนาจของความสัจนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย อันนั้นเป็นบุญญฤทธิ์ อธิษฐานเอา แต่คนที่อธิษฐานแบบนี้แล้วขลัง มีไม่มาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เรามีผลประโยชน์เป็นสรณะ คนในโลกนี้ เขาไหว้หมด ยุคโบราณเขาไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้ต้นไม้ เดี๋ยวนี้ยังไหว้ต้นไม้อยู่ ขุดเจอตอไม้ก็เอามาไหว้กัน หรือถูหาเลข แล้วก็มโนไหว้โน้นไหว้นี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบหรอก
ถ้าเราสังเกตให้ดีเราจะเห็น มันจะมีผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาให้เราไหว้เรื่อยๆ ยุคหนึ่งก็ไหว้จตุคาม มาถึงวันนี้ไหว้อสุรกาย มันไปกันใหญ่แล้ว ทำไมคนต้องเที่ยวหาที่พึ่งภายนอก เพราะว่าไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ใจมันอ่อนแอ การพึ่งตัวเองแล้วเรียนรู้ตัวเองไป ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ที่พระอรหันตสาวกท่านสอน ลงมือปฏิบัติไป จนกระทั่งเรารู้ธรรมชาติทั้งหลาย มันเป็นไปตามเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ ถ้าไม่มีเหตุสิ่งนั้นมันก็ไม่เกิด เราภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็น สิ่งทั้งหลายมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ บังคับมันไม่ได้
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ
อย่างเราจะมีความสุข หรือเราจะมีความทุกข์ เราจะไปร้องขอให้เทวดาช่วยเราไม่ให้ทุกข์หรือ ไปขออสุรกายช่วยให้เรามีความสุข เขาเหล่านั้นก็มีความทุกข์ ไม่ได้ต่างกับเราหรอก เทวดาเขาก็ทุกข์อย่างเทวดา ผีมันก็ทุกข์อย่างผี สัตว์นรกมันก็ทุกข์อย่างสัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานมันก็ทุกข์ ทุกข์มากๆ เลย สัตว์เดรัจฉาน ในวัดนี้สัตว์เดรัจฉานเยอะ ข้างนอกมันไม่มีที่ให้มันอยู่ มันก็แห่กันเข้ามาอยู่ในนี้ มีอยู่มีกิน ไม่มีคนรังแก สัตว์มาอยู่ในวัดนี้เยอะแยะเลย แต่สัตว์มันก็รังแกกันเอง มันกินซึ่งกันและกัน เผลอนิดเดียวก็โดนแล้ว มีชีวิตที่ยากลำบาก
บางคนก็ไหว้หมด ไหว้สัตว์ประหลาด จิ้งจกมี 2 หางก็ไหว้แล้ว หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้ เขาจะมาเป็นที่พึ่งที่อาศัยของเราได้อย่างไร เขาเองยังทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เราไปดูถูกคนอื่น ดูถูกเทวดา พรหม หรือภูติผีปีศาจอะไร ท่านสอนให้เรามองเขาในฐานะเป็นเพื่อน เพื่อนร่วมทุกข์ คือยังทุกข์อยู่ด้วยกัน เหมือนเพื่อนเรายังลำบากมาก เราก็ยังพยายามไปเรียก ให้เขาช่วยโน่นช่วยนี่อีก มันไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเลย อย่างพวกอสุรกายมันลำบากมาก เราก็จะไปไหว้ จะเอาตัวอะไรไปบูชายัญอะไรอย่างนี้ หวังจะให้ช่วยเรา มันยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเลิก ชาวพุทธเราต้องเลิกที่จะเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งของเรา
เราต้องเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง เรียนรู้ธรรมะไป เข้าใจวิธีปฏิบัติแล้วลงมือปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม แค่ไหนสมควร ก็ปฏิบัติเต็มสติเต็มกำลังของเรานั่นล่ะ เรียกว่าปฏิบัติโดยสมควร ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะนั้นจะคุ้มครองเรา คุ้มครองเราหลายอย่าง ในปัจจุบันธรรมะจะคุ้มครองเรา ไม่ให้เรามีความทุกข์ทางจิตใจ ถ้าเราภาวนาใจมันยอมรับความจริง ทุกอย่างในชีวิตเราที่ผ่านเข้ามานี้ อยู่ชั่วคราวแล้วก็ต้องแตกดับไป มีผลประโยชน์ ก็มีการเสียผลประโยชน์ มีตำแหน่งหน้าที่ชื่อเสียงเกียรติยศ ก็เสียได้ มีคนนินทาก็มีคนสรรเสริญ มีความสุขก็มีความทุกข์ ธรรมชาติของโลกมันเป็นอย่างนี้
ถ้าเราภาวนา เราก็จะเห็นมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ต้องที่อื่นเลย ในใจเรานี้ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ทั้งวัน มันมีความสุขก็เพราะมันมีเหตุ มันกระทบอารมณ์ที่ดี มันก็มีความสุขขึ้นมา กระทบอารมณ์ที่ไม่ดี มันก็มีความทุกข์ขึ้นมา การที่ตาจะเห็นรูปดี หรือรูปไม่ดี เราก็เลือกไม่ได้ หูจะได้ยินเสียงที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ เราก็เลือกไม่ได้ ฉะนั้นเราจะไม่ได้ไปห้าม การกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจหรอก แต่เราจะปฏิบัติแล้ว ก็มีสติคุ้มครองรักษาใจของเราไว้ ตาเห็นรูป จิตยินดีพอใจให้รู้ทัน ตาเห็นรูป จิตเกิดยินร้าย ไม่พอใจให้รู้ทัน ถึงหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส จิตใจเรายินดีให้รู้ทัน จิตใจเรายินร้ายให้รู้ทัน
คอยรู้ไปเรื่อยๆ ต่อไปใจมันก็จะฉลาดขึ้นๆ มันก็จะเห็น สุขมันก็ชั่วคราว ทุกข์มันก็ของชั่วคราว ผลประโยชน์ทั้งหลายที่ได้มา มันก็ชั่วคราว การสูญเสีย มีไหมสูญเสียมากที่สุดเลย กระทั่งถูกโจรปล้น ไฟไหม้บ้านไปหมดแล้ว เหลือเสื้อผ้าติดตัวอยู่ โจรปล้นเสื้อผ้าติดตัวอยู่ เอาไปหมดเลย ไม่มีกระทั่งผ้านุ่งสักผืนหนึ่ง อันนั้นยังเท่าทุน เพราะตอนเกิดมาก็เป็นอย่างนั้น ของพวกนี้มันมาได้ มันก็ไปได้ ถึงเราครอบครองอยู่ จนวันสุดท้ายของชีวิต คนอื่นก็เอาไปอยู่ดี ถ้าใจมันเรียนรู้ความจริงไปเรื่อยๆ มันจะเห็น ทุกอย่างในชีวิตเรา ทั้งภายในทั้งภายนอกมันเสมอกันแล้ว คือทุกอย่างมาแล้วก็ไปเหมือนๆ กันหมดเลย
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุ ถ้าเราทำเหตุที่ดี ผลมันก็มีความสุข เราทำเหตุที่ชั่ว ผลก็มีความทุกข์ ถ้าเราทำเหตุชั่ว แล้วหวังว่าจะได้ผลที่มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าจิตใจเรามีกิเลสครอบงำอยู่ ทุคติก็เป็นอันหวังได้ ฉะนั้นอย่างเราจะไปไหว้อสุรกาย ขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เป็นอกุศลหลายอย่างเลย เราไปไหว้เพราะความโลภ อยากให้เขาช่วยเราอย่างโน้นอย่างนี้ อยากให้ถูกหวย เรามีความหลง เราไปเรียกร้องให้คนซึ่ง ให้สัตว์ซึ่งยากลำบากมาช่วยเรา มันช่วยเราไม่ได้ มันช่วยตัวเองยังไม่ได้เลย อาหารการกินยังต้องให้เราให้เลย
เมื่อก่อนหลวงพ่ออยู่กับครูบาอาจารย์ทางอิสาน ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ท่านต่อสู้กับผีมาอย่างหนักเลย แต่เดิมคนอิสานก็เหมือนคนทั้งประเทศ นับถือผี ไม่สบายก็บอกว่าเป็นเพราะผี อยากหายป่วยก็ไปไหว้ผี ครูบาอาจารย์ก็พยายาม ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมา พยายามสอนให้รู้จักไตรสรณคมน์ ให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เอาผีเป็นที่พึ่ง เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ก็คือปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรม เรียกว่าทำตามที่พระท่านสอน พอเรามีศีลมีธรรม ชีวิตมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ทำเหตุดีผลมันก็ดี มีความสุข ถ้าทำเหตุโง่ งมงาย มันก็งมงายไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นครูบาอาจารย์ตั้งแต่ยุคโน้น ร้อยกว่าปีมาแล้ว ท่านก็ต่อสู้กับความไม่รู้ของคน เอาธรรมะเข้าไปให้ ก็มีคนมีบุญวาสนารู้ธรรมะเห็นธรรมะขึ้นมา เป็นจำนวนมากในภาคอิสาน แล้วก็ค่อยกระจายออกไปภาคเหนือ กระจายลงมาภาคตะวันออก มาภาคใต้ มาภาคกลาง ค่อยๆ กระจายออกไป คนมีบุญมีวาสนาก็ได้ยินได้ฟังธรรมะ ลงมือปฏิบัติ ชีวิตก็ร่มเย็นเป็นสุข บางส่วนก็ยังเชื่องมงาย หลวงพ่อเรียนอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์อยู่เมืองสุรินทร์ ขึ้นชื่อลือชาเลยเมืองสุรินทร์ เรื่องไสยศาสตร์ ในบรรดาจังหวัดทั้งหลาย เมืองสุรินทร์ถือว่าเป็นแชมป์เรื่องไสยศาสตร์ ก็ได้เห็นเขาเล่นกัน เห็น แต่หลวงพ่อไม่สนใจ หลวงพ่อสนใจแต่การฝึกจิตใจตัวเอง ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ปฏิบัติของเราอยู่อย่างนี้
พวกที่เขาเล่นกัน ก็เห็นอยู่เขาเล่น ผลสุดท้ายไม่มีดีสักคน พวกที่เล่น อย่างหลวงพ่อพุธท่านก็เคยเล่าให้ฟัง พวกไหว้ผี มีผีเป็นสรณะ เรียกว่า แหม เป็นเทพ เป็นองค์ เป็นเทพ คอยไหว้ คอยบูชา บวงสรวงสังเวย พอไม่พอใจมันกระทืบเอา บอกกระอักเลือดเลย แค่ไปจารแผ่นโลหะ จะให้คนเขาไปหล่อพระ ไม่ได้ตั้งพานครู แค่นั้นมันกระทืบเอาแล้ว นี่สั่งสอน บอกสั่งสอน ถ้าผิดครูขึ้นมาเอาตายเลย พวกผิดครูก็จะเพี้ยนๆ ไป คนก็เรียกว่าเป็นปอบ ผิดประหลาด ผิดมนุษย์มนา เช่น ชอบกินของสกปรก ไม่กล้าสู้หน้าคน ถ้าเป็นทางหมอก็คงบอกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แล้วก็ผ่ายผอม ก็ผอมสิ มันไม่ค่อยกินอะไร มันกินแต่สัตว์เป็นๆ สัตว์สดๆ ก็กินพยาธิกินอะไรเข้าไป ทรุดโทรม ไม่นานมันก็ตาย
นวหรคุณ คุณของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นพวกเรา บุญแล้วที่เราไม่งมงาย เอาตนเป็นที่พึ่ง เอาธรรมะเป็นที่พึ่งไว้ ลงมือปฏิบัติไป ทำอะไรไม่ได้ คิดถึงพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ได้ พุทโธๆ ไป แต่พุทโธแล้วก็คิดถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระพุทธเจ้าอย่างย่อก็มี 3 ประการ มีปัญญาธิคุณ มีกรุณาธิคุณ มีบริสุทธิคุณ แจกแจงละเอียดไปก็มี 9 ประการ ที่เขาเรียกนวหรคุณ คุณของพระพุทธเจ้า
“อิติปิโส ภะคะวา” อันแรกเลยอรหันต์ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ พ้นจากกิเลส
“สัมมาสัมพุทโธ” นี่คุณข้อที่สองของท่าน ท่านตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
“วิชชาจะระณะสัมปันโน” ถึงพร้อมด้วยวิชชา ความรู้ ถึงพร้อมด้วยความประพฤติปฏิบัติที่ดี
“สุคะโต” เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี ไปไหน ก็ถึงพระนิพพาน ไปดี มีความสุข เราไม่ต้องน้อมส่งพระพุทธเจ้าไปนิพพาน พวกน้อมส่ง พวกไปไม่รอดหรอก ส่วนใหญ่ ไม่ต้องส่ง เพราะท่านนิพพานอยู่ ตั้งแต่ขณะที่บรรลุพระอรหันต์แล้ว ฉะนั้นท่านไปดี ท่านเป็น “สุคะโต” ตั้งแต่ยังไม่ตาย ท่านไปดีแล้ว คือไปจากสิ่งสกปรกโสมม อย่างที่พวกเราอยู่กันนี้ จิตใจของท่านสะอาดหมดจดไปแล้ว
คุณอันที่ 4 “โลกะวิทู” รู้โลกแจ่มแจ้ง คำว่า “โลก” ก็คือหมู่สัตว์ก็ได้ ในทางปรมัตถธรรม “โลก” ก็คือรูปกับนาม ในทางสมมติบัญญัติ “โลก” ก็คือสัตว์ทั้งหลาย
พระพุทธเจ้ารู้โลกแจ่มแจ้ง รู้สัตว์ตัวนี้เป็นอย่างนี้ๆ เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรมตัวนี้ รู้ แต่ที่ทำให้ท่านแจ่มแจ้งจริงๆ ก็ท่านรู้ขันธ์ 5 นี้แจ่มแจ้ง เอามาสอนพวกเราบรรลุโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี พระอรหันต์กัน ก็สอนอยู่เรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องขันธ์ 5 อายตนะ 6 อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ก็เป็นรูป ใจเป็นนาม ขันธ์ 5 ก็มีรูปนาม อายตนะก็รูปนาม อินทรีย์ก็รูปนาม อินทรีย์ 22 ตัว ธรรมะทั้งหลายที่ท่านสอนก็รู้ทั้งรูป รู้ทั้งนาม ท่านรู้แจ้งเห็นจริง สาวกจะรู้ได้ไม่เท่าท่าน สาวกรู้ได้ไม่เท่า อย่างหลวงพ่อรู้เท่าปลายเล็บนิดเดียว รู้เล็กน้อย ของท่านรู้ละเอียด อย่างจิตแต่ละดวง ประกอบด้วยองค์ธรรมอะไรบ้าง ท่านรู้หมดเลย
ขนาดพระสารีบุตรยังรู้ไม่หมดเลย ท่านพระสารีบุตรไม่รู้ว่า ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ จิตมีธรรมะอะไรมาเกิดประกอบด้วย รู้ได้ไม่หมด พระพุทธเจ้ารู้แจ่มแจ้งรูปธรรม นามธรรมทั้งหลาย เรียกว่า “โลกะวิทู” รู้แจ้งโลกแล้ว
“อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ” เป็นผู้ฝึกผู้สอนที่ไม่มีใครยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นอย่างสมัยพุทธกาล คน 1,000 คนฟังธรรม บรรลุพระอรหันต์ได้ 1,000 คน 250 คนไปฟังก็บรรลุ 250 คน 30 คน กลุ่มภัททวัคคีย์ฟังธรรมก็ได้โสดาบัน 30 คน พระปัญจวัคคีย์เรียน 5 องค์ก็ได้ทั้ง 5 องค์ ไม่มีใครทำได้ เดี๋ยวนี้กว่าจะสอนกันได้ธรรมะขั้นต้นสักคนหนึ่ง โอ๊ย เคี่ยวเข็ญกันแทบเป็นแทบตายเลย ไม่ใช่พวกเราไม่ดี ต้องบอกว่า ครูบาอาจารย์ไม่ดีเท่าสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเป็นครูบาอาจารย์ ที่สอนได้ไม่มีใครเสมอเหมือน นี่คุณของท่าน
“สัตถา เทวะมนุสสานัง” เป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อันนี้พวกเราฟังก็งงๆ เป็นที่พึ่งของมนุษย์ เป็น ดูง่าย เป็นที่พึ่งของเทวดา เห็นไหมเทวดายังต้องการที่พึ่งเลย เทวดาก็ต้องการที่พึ่ง เทวดาก็ต้องการธรรมะ เทวดาเคารพธรรมะมาก กระทั่งเทวดาที่เป็นมาร
แยกให้ออก มารนี้เป็นระดับเทวดาชั้นสูง มารไม่ใช่ผีเปรต กายแก้วกายทิพย์อะไรพวกนี้ อันนี้ไม่ใช่เปรต อสุรกายยิ่งหนักกว่าอีก เทวดาเขาก็ยังมีทุกข์อย่างเทวดา อย่างพระอินทร์ วันหนึ่งเสพสุขอยู่ดีๆ ก็พบว่ารัศมีของตัวเองเริ่มหดหายแล้ว จางลงๆ แล้ว รู้แล้วว่าตัวเองจะต้องตายแล้ว บุญที่ส่งให้เป็นพระอินทร์จะหมดแล้ว ก็เลยลงมาเฝ้าพระพุทธเจ้า มาฟังธรรมก็ได้โสดาบัน แล้วก็ตายในขณะนั้น อำนาจของบุญนั้นก็กลับไปเป็นพระอินทร์อีก คราวนี้ยั่งยืนนานกว่าเก่าอีก
ของฟรีไม่มี
เพราะฉะนั้นเทวดาเอง เขาก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะความตาย ความแก่ของเขาสั้นนิดเดียว ตอนจะตายมันถึงแก่ แล้วก็ทุกข์ที่ใหญ่ๆ ของเทวดาคือทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางใจ ห่วง ยิ่งพวกเราเรียกหาบ่อยๆ เกิดท่านใจดี ท่านห่วงคนโน้นห่วงคนนี้ ไม่นานจิตก็เศร้าหมองก็ตาย ฉะนั้นอย่าหวังว่าเทวดาจะมาช่วยเรามากมายอะไร ถ้าเทวดามาช่วยเรา แล้วจิตใจมาปนเปื้อนกับพวกเรา ไม่นานเขาก็ตาย วิธีทำให้เทวดาตาย ถ้าเขาโกรธเขาตายเลย ถ้าเขาโกรธเมื่อไรเขาตายเมื่อนั้น แล้วจิตมันเศร้าหมอง เทวดาไม่อยากให้พูด กลัวคนไปยั่ว เดี๋ยวยั่วให้โมโห เทวดาก็มีความรัก รักนางฟ้าองค์นี้ พ่อเขาไม่ยกให้ ก็เดือดร้อน เดือดร้อน
เพราะฉะนั้นเขาก็ยังมีความทุกข์ของเขา เราก็มีความทุกข์อย่างของเรา ทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้าพวกกายทิพย์ก็ไปทุกข์ชัดๆ ตอนจะตาย ทุกข์อีกชนิดหนึ่งก็คือทุกข์ทางใจ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ความโศก ความร่ำไรรำพัน เสียอกเสียใจ ห่วงหาอาทร เป็นทุกข์ทั้งสิ้นเลย พวกนี้เทวดาก็มี ฉะนั้นเขาก็ยังทุกข์ของเขาอยู่ นี่ขนาดเทวดา ไม่ต้องพูดถึงอสุรกายหรอก มันอยากให้เอาอาหารไปให้มันกิน บวงสรวงสังเวย มันลำบาก
ทางอิสานเขาเชื่อกันว่า พวกที่เลี้ยงผี หรือพวกเล่นคุณไสย ถ้าผิดครู หรือเลี้ยงผี แล้ววันหนึ่งไม่เลี้ยง พวกนี้มันจะเข้าตัว จะเข้าตัว พวกเล่นคุณไสยจะกลายเป็นปอบ ผิดมนุษย์มนาไป เพราะฉะนั้นของเหล่านี้อย่าไปยุ่งเลย ไม่ดีหรอก มีไหม มี พูดเต็มปากเต็มคำเพราะเคยเห็น มีครั้งหนึ่งไปภาวนาอยู่วัดหน้าเรือนจำ ตอนนั้นหลวงปู่ดูลย์มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อไปภาวนา วัดหน้าเรือนจำเป็นวัดของลูกศิษย์หลวงปู่ คือหลวงพ่อคืน กลางคืนนั้นอยู่ในกุฏิไม้เล็กๆ ก็ภาวนาของเราไป เสร็จแล้วลงไปนอน ดึกแล้วก็นอน พอลงไปนอนสักพัก ได้ยินเสียงเฟี้ยวมาเลย ได้ยินเสียงแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็ว แล้วรุนแรงมากเลย กระแทกกุฏิ กุฏิไหวเลย กุฏิสะเทือนทั้งหลังกรึบๆๆ ก็ลุกขึ้นมานั่ง สิ่งที่มากระแทกนั้นมันสะท้อนกลับ มันสะท้อนเอง เราไม่ได้ทำอะไรหรอก มันไปชนรั้วลวดหนามของวัด ยาวเป็น 100 เมตร สั่นกราวเลย
เช้าขึ้นมาไปถามหลวงพ่อคืน ว่ามันอะไรเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ท่านบอกเมื่อคืนเป็นวันพระ ทางนี้เขาเล่นคุณไสย เขาจะต้องปล่อยของ เรียกปล่อยของ แล้วก็ใครมีเวรมีกรรมก็โดน ไม่มีเวรมีกรรมก็ไม่โดน มันก็สะท้อน ยิ่งถ้าเราภาวนา มันสะท้อน เราไม่ได้ทำอะไร มันสะท้อนเอง มันรุนแรงขนาดนั้น ถ้ากระแทกเข้ามาในตัวนี้ตายนะ ฉะนั้นมันไม่ใช่ไม่มี เคยเจอหลายครั้ง แต่ไม่ใช่หลวงพ่อเจอเองหรอก หลวงพ่อไม่ค่อยมีฤทธิ์มีเดชอะไรกับใครเขา พวกพระลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ท่านก็เล่าให้ฟัง เจอ โดนคนลองของอะไรพวกนี้ ก็เอาตัวรอดมาได้ด้วยพุทโธ ธัมโม สังโฆนั่นล่ะ เอาตัวรอดได้
พวกเหล่านี้ดูเหมือนมีคุณ เช่น ช่วยให้หายเจ็บหายป่วย หรือช่วยให้ถูกหวย แต่ของฟรีไม่มี สุดท้ายต้องชดใช้ทั้งสิ้น คล้ายๆ เราอยากถูกหวยไปขอพวกนี้ คล้ายๆ เหมือนเราไปกู้เงินมา กู้เงินมันก็คือเงินของเราเองในอนาคต ไปกู้เงิน ไม่ใช่เงินของเขา ที่เรากู้เงินมาใช้ สบายใจ ใช้สบาย ไปกู้มา มันคือเงินของเราเองในอนาคต ต้องใช้ ไปขอหวยมา อนาคตก็ต้องใช้ ต้องชดใช้ สังเกตไหม พวกเล่นการพนันรวยขึ้นมา อยู่ไม่ยั่งยืนหรอก ดีไม่ดีต้นทุนเดิมก็หายไปด้วย เศษดอกเบี้ย อะไรๆ ก็ไม่ดีเท่ากับธรรมะ
เราภาวนาของเราไป ตั้งอกตั้งใจทำมาหากินไปอย่างสุจริต อาจจะไม่รวยมาก แค่พออยู่พอกินก็ดีถมไปแล้ว ก็เผื่ออนาคตด้วย พออยู่พอกินวันนี้วันเดียวก็ไม่พอ ต่อไปไม่มีใครเลี้ยงเราหรอก กระทั่งคนมีลูก อย่านึกว่าลูกจะเลี้ยงเรา มันหมดยุคแล้ว เด็กรุ่นนี้มันเลี้ยงตัวเองยังเลี้ยงไม่รอดเลย ทำมาหากินเท่าไรมันก็ไม่พอ เพราะว่ามันถูกกระตุ้นให้บริโภคเยอะ คนโบราณเขามีลูกเยอะๆ ครอบครัวเขามั่นคง เขาทำไร่ทำนา ก็คือมีแรงงานเยอะ มีลูกขึ้นมา เลี้ยงลูก พอลูก 7 – 8 ขวบเริ่มไล่นกไล่กาได้แล้ว นี่เริ่มทำประโยชน์แล้ว มีผลผลิตแล้ว คือไปไล่นกไม่ให้มากินข้าว เกิดผลผลิตแล้ว โตขึ้นมาก็มีเรี่ยวมีแรงทำไร่ไถนา แก่ลงมาก็ทำประโยชน์ เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เลี้ยงเด็กเล็ก
สังคมเมื่อก่อนทุกคนทำประโยชน์ พอสังคมมันเปลี่ยน วิธีทำมาหากินเปลี่ยน ไม่ได้ทำไร่ทำนา ไม่ต้องการลูกเยอะแล้ว มีลูกมากก็มีภาระเยอะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน มีลูกมากก็คือมีกำลังการผลิตมาก เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ มีมากก็คือมีภาระมาก แล้วลูกมันก็ต้องไปช่วยตัวเอง เลี้ยงตัวเอง แยกครอบครัวออกไป ถึงจุดหนึ่งก็เป็นตาแก่ยายแก่ อย่างเก่งวันสงกรานต์ก็มาเยี่ยมทีหนึ่ง บางคนปีนี้ไม่ว่างไม่มาเยี่ยม ฉะนั้นเราอย่าไปหวังพวกนั้นเลย พยายามพึ่งตัวเองไว้ บางคนก็เพ้อฝัน อยากมีรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการก็เก็บภาษีหนัก แล้วพอเราแก่ คนแก่เต็มบ้านเต็มเมือง รัฐมันเลี้ยงไม่ไหว ที่เราลงทุนจ่ายภาษีมหาศาล หวังว่ารัฐจะเลี้ยงตอนแก่ รัฐไม่มีแรงจะเลี้ยงแล้ว หลายประเทศเริ่มเป็นแล้ว ทั้งประเทศใหญ่ๆ มหาอำนาจก็เป็นแล้ว
ธรรมะช่วยเรา
ฉะนั้นเราพยายามดูแลตัวเองไว้ หาอยู่หากิน รู้จักเก็บ รู้จักลงทุนอะไรที่มันเป็นการลงทุนจริงๆ ไม่เจือการพนัน ลงทุนแล้วเจือการพนัน แวบเดียวหายหมดแล้ว รู้จักใช้น้อย กินน้อย ใช้น้อยเท่าที่จำเป็น ก็จะมีส่วนเหลือ ที่สำคัญก็ภาวนา ใจเราร่มเย็นเป็นสุข ต่อไปตอนแก่เราไม่สบายมาก ถึงมีเงินก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นอนไม่สบายอยู่คนเดียว หายใจแขม่วๆ ไม่มีใครพาไปโรงพยาบาล มีเงินจ่ายให้หมอก็ไม่มีคนพาไป นอน ไม่มีคนหาข้าวให้กิน ไม่มีคนหาน้ำให้กิน ทำอย่างไร ก็อยู่กับลมหายใจไป มีสติไว้ ดูสิ ลมหายใจนี้จะขาดเมื่อไร ลมหายใจนี้มันจะขาดไปเมื่อไร ก็ดูมันไป ใจเราสงบร่มเย็น เรามีที่พึ่ง เรามีธรรมะเป็นที่พึ่ง จนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลย คนอื่นเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้ ลูกหลานเป็นที่พึ่งไม่ได้ ทรัพย์สมบัติเป็นที่พึ่งไม่ได้ มีสมบัติก็กองไว้ มันมาช่วยเราไม่ได้ มันเดินไม่ได้
บางคนก็ไปจ้างคนมาดูแล มันมาขนเงินไปหมดเลย ฉะนั้นลำบาก แต่ถ้ามีธรรมะ จะตายก็ดูมันไป เห็นร่างกายมันหายใจแขม่วๆ ไป ดูสิมันจะตายตอนไหน ต้องฝึกไว้ ฝึกไป มีสติไปเรื่อยๆ ทุกลมหายใจเข้าออก มีสติไว้ แล้วเราจะได้ช่วยตัวเองได้ ในนาทีที่คับขัน อย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเราเคยฝึก เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ รถคว่ำยังไม่ตายทันทีหรอก จิตมันจะเด่นดวงออกมาเลย ถ้าไม่ได้บรรลุพระอรหันต์อะไร จิตมันเด่นออกมาเลย แล้วก็เห็นรถมันหมุนๆ ไป ร่างกายก็หมุนๆ ไป พลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อยๆ จะตายเมื่อไร จะคอหักเมื่อไร ใจเป็นแค่คนรู้คนเห็นเอง
ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยเล่าเรื่องนี้ ได้ยิน 2 องค์ที่เคยได้ยิน หลวงตามหาบัวก็รถคว่ำหรือไง ที่ท่านแขนหัก ท่านบอกท่านรู้หมดเลย รถมันหมุนอย่างไร รู้หมดเลย สติมันอัตโนมัติเลย ก็มีวิบากก็เลยแขนหัก ไม่เป็นอะไรมาก หลวงพ่อพุธนั่งรถตู้ไปกับญาติโยม ไปธุระไหนจำไม่ได้แล้ว ท่านเล่าให้ฟัง รถตกเหว รถตกเหวพวกลูกศิษย์ท่านที่ไปด้วยกัน ก็นักปฏิบัติทั้งนั้นเลย ไม่มีใครวี้ดว้ายกระตู้วู้สักคนเดียวเลย เงียบ แล้วรถมันก็พุ่งลงเหวไป จิตท่านก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เห็นรถกำลังพุ่งเข้าไปใส่ต้นไม้ พอมันพุ่งเข้าไปใกล้ๆ ต้นไม้ รถมันก็เบี้ยวแฉลบไม่ชนต้นไม้ ผ่านไป ไปเจออีกต้นหนึ่ง แล้วมันก็แฉลบอีก แฉลบไปแฉลบมาจนถึงข้างล่างแล้ว รถยังไม่ชนอะไร ท่านบอกว่าต้นสุดท้าย ท่านหมดแรงแล้ว มันไปชนต้นไม้ แต่มันเตี้ยๆ แล้ว พื้นค่อนข้างลาดๆ แล้ว ไม่ได้ชันแล้ว ก็รถพังไป แต่ก็ไม่มีใครเป็นอะไร
เวลาเจริญสติ เจริญปัญญา เราฝึกเอาไว้ มันช่วยเราได้ ตอนเกิดอุบัติเหตุ จิตมันก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาได้ หลวงพ่อตอนเป็นโยมก็เคย ขับรถไป ไม่เคยขับรถออกบ้านนอก เจอสะพาน สะพานบ้านนอกมันแปลกๆ ข้างบนมันแบนๆ วิ่งไปแล้วก็นึกว่าเหมือนกรุงเทพฯ วิ่งแล้วข้ามไปอย่างนี้ เปล่า วิ่งแล้วสะดุด ลอย รถลอยทั้งคันเลย รถลอยขึ้นมา ตัวเราก็ลอย หัวชนเพดานรถ มองลงไปข้างล่างข้างหน้า โอ๊ย พ้นสะพานไปแล้ว 10 เมตร 20 เมตร ถนนเลี้ยวหักศอก มันไม่ตกใจเลย ไม่ตกใจ ตอนนั้นมันเป็นรถโบราณ รถ manual เหยียบเบรคเต็มที่เลยกลางอากาศ เหยียบสุดขีด พอรถกระแทกพื้น ไม่เหยียบแล้ว ปล่อยให้รถมันเคลื่อน ค่อยๆ แตะเบรค แตะปล่อย แตะปล่อย แล้วก็เลี้ยว ถ้าตกใจก็คือตกถนนตายไปแล้ว การฝึกกรรมฐานมันช่วยเรา เกิดอุบัติเหตุขึ้นมามันก็ช่วยเราได้ ตอนจะเจ็บ ตอนจะตายมันก็ช่วยเราได้
หลวงพ่อเคยไปอยู่โรงพยาบาล ครั้งแรกไปอยู่ตั้ง 4 เดือนครึ่ง ครั้งที่ 2 สักเดือนหนึ่ง ไม่เต็มเดือน ร่างกายเจ็บแต่ใจเราสบาย มีความสุข สงบ สบาย ไม่ได้ทุรนทุรายตามร่างกายไปด้วย เวลาภาวนาเคยเจอ นั่งภาวนาอยู่ ตอนนั้นอยู่เมืองกาญจน์ฯ อยู่ๆ จิตมันทุกข์ขึ้นมา จิตมันทุกข์อย่างรุนแรงขึ้นมา ตัวผู้รู้กลายเป็นทุกข์ สติ สมาธิอะไรมันตั้งมั่นเป็นคนรู้คนดู มันก็ดูว่าเมื่อไรจิตมันจะระเบิด จิตระเบิดเราก็ตายเลยตอนนั้น ก็ไม่เป็นไร เราก็เป็นแค่คนรู้คนดู โอ้ มันก็ไม่ตาย ค่อยๆ ฝึกของเราไป ฉะนั้นจะอยู่ ก็อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เวลาเจ็บไข้ก็ยังร่มเย็นเป็นสุข เกิดอุบัติเหตุก็มีสติมีปัญญา มีปัญหาในชีวิตขึ้นมา ก็ยังมีสติมีปัญญาไปแก้ปัญหา
ธรรมะช่วยเราในการครองชีวิตอยู่ เวลาเราจะตายก็ตายด้วยความมีสติ ฉะนั้นภพต่อไปเราก็ดีแน่นอน เราตายด้วยจิตซึ่งมีสติ คือจิตที่เป็นกุศล “จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา” จิตซึ่งมันไม่มีกิเลส ไม่ประกอบด้วยกิเลส ก็สุคติเป็นที่หวังได้ ถ้าจิตมีกิเลส ทุคติก็เป็นอันหวังได้ ฉะนั้นการที่เราฝึกกรรมฐานของเรา ไม่เฉพาะมีประโยชน์ในปัจจุบัน ตายแล้วเราก็ยังไปสุคติได้ เพราะจิตของเราสะอาด ถ้าจิตเราสกปรก จิตเราหมกมุ่นจมอยู่กับอสุรกาย นับถืออสุรกาย มันก็ไปเป็นอสุรกาย จิตชื่นชอบสัตว์เดรัจฉาน ปลื้ม หลง เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว แล้วก็ไปเป็นหมาเป็นแมวก็ได้ ถ้าพลาดนิดเดียว
เพราะฉะนั้นพยายามปฏิบัติธรรมไป พึ่งตัวเอง ช่วยตัวเองด้วยการลงมือปฏิบัติธรรม เราได้รับประโยชน์ในปัจจุบัน คือในชีวิตนี้ล่ะ เราได้รับประโยชน์ในอนาคต คือชาติต่อๆ ไปก็ไปสุคติ แล้วถ้าบุญบารมีเราพอ เราได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน “นิพพาน” เป็นสภาวะที่สิ้นความปรุงแต่ง สิ้นตัณหา จิตของเรามันปรุงแต่ง ตราบใดที่ยังปรุงแต่งอยู่ มันยังไม่เห็นนิพพาน นิพพานคือสิ้นจากความปรุงแต่งแล้ว มันเป็นอสังขตะ ไม่ปรุงแต่ง ทำอย่างไรจะไม่ปรุงแต่ง บางคนไม่ปรุงแต่งชั่ว ก็ไปปรุงแต่งดี หรือไปปรุงแต่งความว่าง วิธีเดียวที่จะทำลายความปรุงแต่งได้ คือทำลายอวิชชา อวิชชาเป็นรากเหง้า ให้เกิดความปรุงแต่งทั้งชั่วทั้งดี ทั้งปรุงแต่งว่างๆ อวิชชาคือการไม่รู้ความจริงของรูปของนาม เรียกไม่รู้โลกแจ่มแจ้งนั่นล่ะ
ฉะนั้นเราเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจตัวเอง พอมันปล่อยวางกาย ปล่อยวางใจได้แล้ว จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ปรุงแต่ง จิตก็สงบสันติ มีสันติ “สันติ” ก็คือนิพพาน สงบ มีความสุข นิพพานจริงๆ ไม่มีการเข้า ไม่มีการออก หลวงพ่อก็เคยเข้าใจผิด ต้องเข้านิพพาน ฝึกสมาธิเข้านิพพาน โดนหลวงปู่บุญจันทร์ท่านโขกกบาลให้ บอกว่า “นิพพานอะไรมีเข้ามีออก” ท่านเฮ้ยด้วย “เฮ้ย นิพพานอะไรมีเข้ามีออก” นิพพานไม่มีเข้ามีออกหรอก นิพพานก็อยู่ตรงนี้ ไม่เกิดขึ้นมา ไม่แตกสลาย สิ่งที่ปิดบังพระนิพพานไว้ ก็คือความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งมันมีรากเหง้ามาจากอวิชชา การที่เราไม่รู้ความจริงของรูปนามกายใจนี้ ถ้ารู้ความจริงของรูปนามกายใจ ความปรุงแต่งจะขาดสะบั้นลงไป แล้วตรงที่ความปรุงแต่งขาด จิตพ้นจากความปรุงแต่ง จิตก็ถึงพระนิพพานโดยตัวของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ต้องมีใครมาส่งให้ไปนิพพานตอนตายหรอก นิพพานตั้งแต่เป็นๆ นี่ล่ะ มันสงบ มันสันติ
เอ้า วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ เป็นการเทศน์เกี่ยวกับอสุรกาย เพื่อความทันสมัย เดี๋ยวจะว่าพระล้าสมัย จริงๆ การโต้แย้งอสุรกาย ครูบาอาจารย์รุ่นปู่ คือรุ่นหลวงปู่มั่น รุ่นปู่ของหลวงพ่ออีกที ระดับนั้น ท่านสู้มาก่อน คนมีปัญญาก็รอดไปกลุ่มหนึ่ง คนไม่มีปัญญาก็เพาะเลี้ยงอสุรกายมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ พวกนี้ไม่เคยหมดจากโลกหรอก เราได้ยินได้ฟังธรรมะ เราก็พ้นไปกลุ่มหนึ่ง เดี๋ยวพวกกลุ่มใหม่มันก็เข้ามาแทนที่ โลกมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่พ้นจากความสกปรกหรอก จะไปหวังอะไรกับโลก คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าแม่กวนอิม ท่านไปตั้งปณิธานประหลาด ว่าตราบใดที่ยังมีสัตว์เป็นทุกข์อยู่ ท่านยังไม่นิพพาน เจ้าแม่กวนอิมตั้งปณิธานอย่างนั้น ฉะนั้นท่านไม่ได้นิพพานแน่ สัตว์มันเยอะเหลือเกิน มันชั่วๆ ทั้งนั้น
เอ้า วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ขอให้พวกเราเลิกเป็นอสุรกาย พวกเราไม่ค่อยเป็นอสุรกายหรอก แต่พวกเราเป็นเปรต เราอยากโน่นอยากนี่ทั้งวัน เวลาไหว้อะไรก็ไหว้ให้มันฉลาดหน่อย อย่างหลวงพ่อไปอิสาน เห็นคนไปไหว้ย่าโม ไหว้ย่าโมมีไหว้ถูกกับไหว้ผิด เกือบร้อยละร้อยไหว้ผิด ให้ย่าช่วยโน่น ย่าช่วยนี่ ถ้าหลวงพ่อเป็นย่า บอก “ย่าก็ต้องช่วยตัวเองเหมือนกันล่ะ” ถ้าเราไหว้ถูก ไหว้อย่างไร คิดถึงคุณงามความดีของท่าน ท่านเสียสละช่วยบ้านช่วยเมือง ช่วยลูกช่วยหลานชาวเมือง คิดถึงความดี
ไปไหว้พระรูปทรงม้า รู้จักพระรูปทรงม้าไหม สมัยหลวงพ่อเขาเรียกกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นเสด็จพ่อร.5 ไปไหว้กัน ไหว้ก็ขอให้ท่านช่วยโน่นช่วยนี่ ท่านคงช่วยไม่ไหว ลูกมันเยอะเหลือเกิน ก็คงบอกให้มันช่วยตัวเองเถอะ ท่านช่วยมามากแล้ว ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ไปไหว้เราไปไหว้ คิดถึงคุณงามความดีของท่าน ท่านทำประโยชน์ให้บ้านเมือง รักษาบ้านเมืองเอาไว้ได้ ท่ามกลางมหาอำนาจที่หิวโหยทั้งหลาย ท่านรักษาบ้านเมืองได้ นี่คือคุณงามความดี
เวลาไหว้พระพุทธรูป ก็ไหว้ถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไหว้ เจ้าประคุณ ขอโน่นขอนี่ ไปไหว้แบบผี ไหว้แบบเปรตตลอดเวลา ขอให้สอบได้แล้วก็ไม่ดูหนังสือ มันสอบไม่ได้หรอก ขอให้เกณฑ์ทหารไม่โดน จะไปขอเรื่องเกณฑ์ทหารต้องระวัง พวกพระพุทธรูปเขามีเทวดารักษา เทวดาบางองค์ท่านเป็นทหาร ไปขอให้ไม่เป็นทหารนี่ได้เป็นเลย จับเข้ามาแดงแจ๋เลย ก็มีอารมณ์ มีอารมณ์ ชอบทหารมาขอให้ไม่เป็นทหาร ไม่พอใจแล้ว ฉะนั้นเวลาไหว้พระ ก็ไหว้ให้ถึงพระจริงๆ ไหว้รูปปูชนียบุคลล อย่างรัชกาลที่ 5 ย่าโม ไหว้คุณงามความดี ไหว้สิ่งที่ดีๆ หัดไหว้ให้เป็น แล้วชีวิตจะได้ฉลาด
ขอสาธุชนทั้งหลายอย่าเป็นเปรต อย่าเป็นอสุรกายนะ
การภาวนาไม่มีใครช่วยใครได้ ครูบาอาจารย์บอกได้แต่วิธี ให้พวกเราปฏิบัติเอา เวลาหลวงพ่อสอน หลวงพ่อไม่ได้กางตำราสอน แต่ตำรานั้นหลวงพ่ออ่านมาหมดแล้ว พระไตรปิฎกอ่าน ไม่ใช่ไม่อ่าน แต่ในพระไตรปิฎกนั้น มันธรรมะมากมาย ทำอย่างไรจะลงมือปฏิบัติได้ แสวงหาคำตอบนี้อยู่นาน มาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนเรื่องจิตให้ ไปดู ภาวนาไปพอเข้าใจแล้วดูไป ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนก็สอนอย่างนี้ หลวงปู่มั่นก็สอน “ได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ” อันนี้มันคือกุญแจ จิตของเราคือกุญแจที่จะไขตู้พระไตรปิฎก ฉะนั้นท่องพระไตรปิฎกมาให้ตาย ก็ไม่ได้อะไร ก็เป็นใบลานเปล่า
ฉะนั้นไม่อยากเป็นใบลานเปล่า ก็ต้องเอาธรรมะเข้าสู่จิตใจตัวเองให้ได้ พระไตรปิฎกเป็นของสำคัญ คนรุ่นนี้มันเริ่มวิปลาส มันคิดจะตัดพระไตรปิฎกออกไปส่วนหนึ่งเลย ให้เหลือแต่พุทธวจนแท้ๆ พุทธวจนจริงๆ ไม่มี ที่เราเห็นเป็นพุทธวจนทุกวันนี้ คือสิ่งที่พระอรหันตสาวก 500 องค์ ท่านประมวลขึ้นมา จริงๆ ก็คือเป็นเรื่องของพระสาวกรวบรวมขึ้นมา ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ๆ แล้วบางบทบางตอนก็เป็นคำสอนของพระสาวก คำสอนนั้นส่วนใหญ่ก็ผ่านการกลั่นกรองของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสตมป์ให้แล้วว่าถูกต้อง บางส่วนพระพุทธเจ้าไม่ได้รับรอง แต่เป็นสาวก พระอรหันต์ท่านเล่าสู่กันฟัง ผ่านการรับรองของพระอรหันต์ 500 องค์ ไม่ธรรมดา พระอรหันต์ทั้ง 500 องค์บอกว่าพระไตรปิฎกเป็นอย่างนี้ ใช้ได้ ถูกต้อง เราเป็นเถรวาท เราเชื่อฟังคำสอนของพระเถระ 500 องค์นั้น ที่เรียกเถรวาท เห็นไหมเราไม่ได้เป็นพุทธวาท เราเป็นเถรวาท เพราะพระไตรปิฎกนั้นเถระทั้งหลาย ท่านรวบรวมประมวลขึ้นมา กลั่นกรองขึ้นมา
ธรรมะหลายเรื่องพระสาวกเป็นคนพูด อย่างพระสูตรอันหนึ่งที่หลวงพ่อชอบ ยุคนัทธสูตร พระอานนท์เป็นคนพูด บางเรื่องพระอรหันต์ท่านคุยกัน อย่างมีพระอรหันต์หลายองค์ ท่านอยู่ด้วยกัน มีพระควัมปติเป็นหัวหน้าทีม องค์หนึ่งก็ปรารภบอกว่า “ถ้ารู้ทุกข์ก็เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค” ผมเห็นอย่างนี้ พระอรหันต์ที่เหลือบอก “ใช่ ถูกต้อง” พระควัมปติก็บอกว่า “ถูกต้องแล้ว” แต่ท่านเคยได้ยินพระพุทธเจ้าพูดมากกว่านี้อีก พระพุทธเจ้าบอก “รู้ทุกข์ก็เป็นอันละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค ถ้าละสมุทัยได้ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ แจ้งนิโรธ เจริญมรรค ถ้าแจ้งนิโรธได้ ก็เป็นอันรู้ทุกข์ ละสมุทัย เจริญมรรค ถ้าเกิดอริยมรรค ก็เป็นอันรู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ” นี่ภูมิปัญญาพระพุทธเจ้า
แต่ถามว่าใครเป็นคนพูดออกมา พระควัมปติพูดออกมา เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าพระไตรปิฎก มีแต่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่ แต่ว่าจดจำไว้ด้วยพระอรหันตสาวก 500 องค์นั้น ฉะนั้นเราจะเชื่อพระอรหันต์ 500 องค์ หรือเราจะเชื่ออาจารย์ ถ้าเชื่ออาจารย์เขาเรียกว่า “อาจาริยวาท” ของเราเถรวาท กระทั่งอาจารย์เป็นพระแบบคนไทยนี้ แต่เดิมเราบอก อาจาริยวาทพวกมหายาน ถ้าเถรวาทพวกอย่างพวกเรา ที่จริงในเถรวาทก็มีอาจาริยวาท ก็ต้องแยกให้ออก ตัวนี้สำคัญ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพระไตรปิฎกจะฟั่นเฟือน ถูกตัดทอน มันอันตรายมาก ถ้าพระไตรปิฎกถูกตัดทอนได้ คนหนึ่งตัดทอน อีกคนหนึ่งมันก็มาตัดอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็แต่งๆ อะไรเติมลงไป สุดท้ายก็ฟั่นเฟือนไป
พระไตรปิฎกรักษามาอย่างยากลำบาก ยากมากๆ เลย กว่าจะมาถึงมือพวกเราวันนี้ แล้วชาวพุทธหลายๆ ประเทศช่วยกันรักษาพระไตรปิฎก ท่านอาจารย์ประยุทธ์ ท่านเคยบอกว่า แทบไม่มีคำต่างกันเลย พระไตรปิฎกแต่ละชาติ แต่ละภาษา เคลื่อนจากกันคำสองคำเอง สมเด็จฯ ประยุทธ์ท่านบอก หลวงพ่อเคยเจอท่านหลายครั้ง ตั้งแต่หลวงพ่อยังไม่บวช เคยพบท่าน เคยกราบ เคยไหว้ อ่านหนังสือท่าน ตอนไปอยู่ศิริราช ท่านก็เป็นศิษย์เก่าศิริราชเหมือนกัน คือเข้าโรงพยาบาลอยู่วอร์ดเดียวกัน มีเวลาแล้วก็ดูท่านแข็งแรงอะไร บางช่วงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็บอกหลวงพ่อว่า “หายเร็วๆ นะ ขอให้แข็งแรง ให้ออกไปทำงานประกาศพระศาสนา เผยแพร่ออกไปอีก”
เห็นไหมหลวงพ่อไม่ได้สอนปริยัติ ท่านเก่งปริยัติ ท่านไม่ได้แอนตี้สักคำ ท่านอนุโมทนาที่หลวงพ่อทำด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นปริยัติ ปฏิบัติ ถ้าเข้าใจจริงแล้วลงกันเป๊ะเลย ไม่ทะเลาะกันหรอก อันนี้ไม่เคยเล่าให้ใครฟังหรอกเรื่องนี้ เรื่องเข้าไปกราบท่าน ไปคุยกับท่าน ครูบาอาจารย์หลายองค์เข้าไป ท่านก็โอเค ไม่ได้มีปัญหา พวกเราปฏิบัตินะ ไปพากเพียรเข้า
วัดสวนสันติธรรม
19 สิงหาคม 2566