โลกมันไม่เคยหยุดความวุ่นวาย ตั้งแต่ระดับอินเตอร์มันก็ยุ่ง ในบ้านเมืองไม่เคยสงบหรอก แต่ไหนแต่ไรมา ปัญหาเป็นของประจำโลก ตอนนี้ก็มีเรื่องขัดแย้งกันทั่วๆ ไป เป็นเรื่องธรรมดา การเมืองก็มีปัญหา ทะเลาะกัน ข้าราชการก็มีปัญหา ครูก็มีปัญหา ตำรวจก็มี พระก็มี มันเป็นเรื่องธรรมดา เวลาเราได้ยินข่าว รักษาใจของเราไว้ให้ดี เราจะมี bias เกิดขึ้น อย่างเรา take side (เลือกข้าง) เราฝ่ายนี้ มีเรื่องของอีกฝ่ายหนึ่ง เราไม่ชอบอะไรอย่างนี้ เราชอบคนนี้ คนนี้เสียหายเราไม่ชอบ ไม่ชอบข่าวอย่างนี้ ใจเรากระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตลอดเวลา อันนั้นมันเรื่องธรรมดาของโลก มันไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยสงบจริง
อย่างมีพระไปฉันข้าว ไปสวดเจริญพุทธมนต์ ไม่ถูกกันก็ชกกันในงานก็มี เราไม่ต้องไปหวั่นไหวกับข่าว เมื่อก่อนหลวงพ่อทำงานอยู่กับการข่าว เห็นข่าวแต่ละวันๆ วุ่นวาย กระทบเข้ามาถึงจิตใจเรา เราก็หัดภาวนาของเรา สังเกตใจเรา ถ้าใจเรายังกระเพื่อมหวั่นไหวอยู่ ก็แสดงว่าเรายังไม่ดีพอ เราไม่ได้ไปว่าใครดีใครไม่ดี เราดูที่ตัวเราเอง ถ้าเราดีพอ ใจเราก็จะไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ฉะนั้นธรรมะจะคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีธรรมะ เราก็จะไม่ทุกข์ ใจไม่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลง สบาย
ธรรมะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม
เวลามีข่าวคนทำไม่ดี เราเกลียด เราก็เป็นคนไม่ดีด้วย เวลาเห็นใครเขาทำดี เรายินดีกับเขาด้วย เรียกมุทิตา อย่างนี้เราก็ดี เห็นเขาดีแล้วเราไม่ชอบ จิตเราก็เป็นอกุศล เราเห็นคนดีๆ เราก็ไปแกล้งเขาไปอะไรอย่างนี้ จิตเราก็เศร้าหมอง กรรมตามทัน ยิ่งไปแกล้งเอาคนดีเข้า กรรมให้ผลเร็ว เวลาเราเห็นคนทำอะไรไม่ดี อย่าไปเกลียดมัน เราไม่มีหน้าที่ไปตัดสินใคร เดี๋ยวกรรมตัดสินเอง แต่กรรมมันไม่ใช่มีเงื่อนไขเดียว ทำแล้วจะต้องรับทันที อย่างคนชั่วบางคนมันไม่ได้ชั่ว 100 เปอร์เซ็นต์ มันก็เคยทำความดีมา กุศลวิบากยังให้ผลอยู่ ตอนนี้ทำชั่ว ก็รู้สึกทำไมคนชั่วไม่ได้รับผล มันยังไม่ถึงเวลา พอถึงเวลาแล้วมันก็จะเห็นผลเอง อันนี้หลวงพ่อเชื่อมั่นในเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อแน่นแฟ้นเลย
เมื่อก่อนอยู่กับครูบาอาจารย์บางทีก็เคยฟังประวัติท่าน ตอนท่านเป็นพระหนุ่มๆ คนก็แกล้งท่านก็มี บางองค์โดนแกล้งหนัก อย่างหลวงปู่สาม ใครเคยได้ยินชื่อไหม หลวงปู่สาม อกิญจโน อยู่สุรินทร์ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ตอนที่ท่านออกไปเผยแพร่ธรรมะใหม่ๆ พวกเจ้าถิ่นไม่ชอบ กลัวว่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาอยู่ตรงนี้แล้วก็จะแย่งลาภสักการะไป คนจะหันไปนับถือ เลิกนับถือตัวเอง พยายามแกล้งท่านต่างๆ นานา
ถึงขนาดมีครั้งหนึ่ง กลางคืนท่านนั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ จิตท่านรวมลงไป ไม่รู้โลกภายนอก เช้าขึ้นมาจิตถอยออกจากสมาธิ ท่านพบว่า เอ๊ะ ตัวเองทำไมนอนกลิ้งอยู่นี่ คือเขาบุกเข้าไปแล้วก็เอาอะไรทุบตีท่าน หัวท่านแตกเลย แล้วพังกุฏิ กุฏิเล็กๆ กุฏิไม้ พังกุฏิทับท่านไว้อีกทีหนึ่ง กะเอาให้ตายเลย ท่านออกจากสมาธิมา โอ้ ท่านบาดเจ็บ ท่านก็ไม่ว่าอะไร คนพวกนั้นอยู่มาช่วงหนึ่ง บุญเก่าที่เคยให้ผลหมดไป พวกนั้นก็ล้มหายตายจากอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หลวงปู่เทสก์ลงไปภาคใต้ใหม่ๆ คนก็แกล้งใส่บาตร เอาของสกปรกห่อใบตองใส่บาตร แกล้ง กลับถึงวัด ท่านก็บอกลูกศิษย์ ใบตองของเจ้านี้เอาออกเสีย แล้วก็ฉันข้าวปกติ พวกนั้นไม่เจริญ สุดท้ายก็ลำบาก เพราะฉะนั้นจริงๆ เราไม่ต้องไปเกลียดใคร เห็นเขาทำไม่ดี ไปโกรธไปเกลียดเขา จิตของเราเศร้าหมอง ให้เรามีธรรมะของเราไว้ก็แล้วกัน ใครชั่วก็ช่างเขา เราอย่าชั่วก็พอแล้ว ถือหลักอันนี้ไว้ ครูบาอาจารย์ผจญปัญหาอย่างนี้แทบทุกองค์ จะต้องผ่านบทพิสูจน์ของมาร ต้องลอง
หลวงพ่อก็เคยเจอเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน อยู่ๆ ก็นัดกันโจมตีหลวงพ่อ ทั้งพระทั้งโยม สุดท้ายก็ไม่เห็นว่าใครมันจะได้ดิบได้ดี ติดคุกก็มี เสียชื่อเสียงยับเยินไปก็มีแต่ละคน กรรมเป็นของตนแท้ๆ เลย เราไม่ต้องทำอะไร เราก็ทำทาน รักษาศีล ภาวนาของเราไป ฉะนั้นถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม เราก็ไม่ต้องไปโกรธไปเกลียดใคร
ทีนี้เรื่องกรรมมันเป็นเรื่องเข้าใจยาก คนที่จะเข้าใจเรื่องกรรมแจ่มแจ้งมีแต่พระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องอจินไตยชนิดหนึ่ง อจินไตยมีหลายอย่าง อย่างเรื่องปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตย คือเรื่องที่เกินคิดเกินคาด เกินที่จะคำนึงถึง เรื่องกรรม เรื่องความสามารถของคนที่เขาได้ฌานต่างๆ อะไรอย่างนี้ อันนี้ก็เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เราไม่เห็นด้วยตัวเอง กรรมมันทำงานอย่างไร มันให้ผลอย่างไร ตำรารุ่นหลังก็พยายามจะอธิบาย แต่มันอธิบายไม่ได้จริง อย่างอธิบายกรรม มี 3 กลุ่มใหญ่ๆ แต่ละกลุ่มมี 4 หัวข้อ รวมแล้วกรรม 12 ชนิด ไปดู Google เอา
อันหนึ่งก็แบ่งกรรมด้วยการให้ผลว่าจะให้ผลเวลาไหน กรรมบางอย่างให้ผลทันที กรรมบางอย่างให้ผลในชาติต่อๆ ไป ชาติต่อไป บางอย่างให้ผลยาวนานกว่านั้น อีกหลายๆ ชาติถึงจะให้ผล กรรมบางอย่างให้ผลเสร็จแล้ว ก็ไม่ให้ผลต่อไป แบ่งออกมา บางทีก็แบ่งตามหน้าที่ของกรรม กรรมทำให้เราเกิดมาเป็นคนอย่างนี้ล่ะ ดีหรือเลวก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดมาด้วยกำลังของกรรม กรรมดีให้ผลมาก็เกิดมาดี กรรมไม่ดีให้ผลมาก็เกิดมาไม่ดี นี่เป็นกรรมชนิดที่หนึ่ง ทำให้เราได้อัตภาพได้ประสบการณ์อย่างนี้ กรรมไม่ดีให้ผลมา หรือกรรมดีให้ผลมา เรียกชนกกรรมๆ แล้วมันก็มีกรรมบางอย่างสนับสนุนชนกกรรมให้มีกำลังแรงขึ้น
อย่างเราเกิดมาไม่ดี ยากจน แล้วก็มีกรรมสนับสนุนให้จนมากขึ้น อย่างชอบเล่นการพนัน ขี้เกียจทำมาหากิน นี่ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง เราทำความดีมาแล้วมีกรรมสนับสนุนความดีของเรา เราก็ดียิ่งขึ้นไปอีก อย่างพวกเราก็ต้องถือว่ามีชนกกรรมที่ดี เราเกิดมาไม่บ้าใบ้บอดหนวก เป็นบุคคลสมบูรณ์ เรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เราขวนขวายที่จะฟังธรรม ตรงที่เราเกิดมาเรามีพื้นฐานจิตใจดีมา สนใจใฝ่รู้ที่จะปฏิบัติ แล้วเราก็มีสิ่งที่เกื้อกูล คือเราลงมือศึกษา ลงมือปฏิบัติ มันก็จะทำให้กำลังของกรรมดีของเราเข้มแข็งขึ้น
กรรมอีกชนิดหนึ่งมันเป็นตัวทำลายชนกกรรม อย่างเรามีกรรมชั่ว เกิดมายากจน แล้วเราขวนขวายทำมาหากิน รู้จักคบคน รู้จักดำรงชีวิตพอควรแก่ฐานะ รู้จักเก็บออม กรรมอย่างนี้ก็ไปบั่นทอนกรรมเก่าที่ยากจนให้หมดอิทธิพลไป อ่อนลง กรรมมันทำหน้าที่หลายอย่าง แล้วกรรมบางอย่างก็ไม่ทำงานต่อไป ไม่ทำหน้าที่ สังเกตให้ดี มันไม่ได้ตอบโจทย์เราเรื่องอธิบายกรรมต่างๆ อย่างนี้ ยังไม่ได้ตอบโจทย์เรา ว่าที่เราประสบปัญหาอยู่ตอนนี้มันเกิดจากกรรมอะไร ไม่มีใครตอบได้ ก็พยายามตอบ พยายามอธิบายกันไป อันนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก พระรุ่นหลังท่านก็พยายามจะมาอธิบายเรื่องกรรมไว้ หรือกรรมตัวไหนมีกำลังแรงที่จะให้ผล
อย่างพวกอนันตริยกรรมมีกำลังแรง ถ้าเราทำอนันตริยกรรม เราจะต้องได้รับผลอย่างรวดเร็วที่สุดเลย อนันตริยกรรมก็มีทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี อย่างเราได้ฌานสมาบัติ ถ้าเราตายในขณะที่เราทรงฌานอยู่ อย่างไรเราก็ไปพรหมโลก ไม่มีทางไปที่อื่น ถ้าเราทำอนันตริยกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ทุกวันนี้ไปทำร้ายพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว แล้วเราเป็นฆราวาส เราทำให้สงฆ์แตกแยกไม่ได้ ได้อย่างมากก็แค่ยุให้สงฆ์แตกแยก คนที่จะทำให้สงฆ์แตกแยกได้ก็คือสงฆ์ด้วยกัน
เพราะฉะนั้นอย่างเราเป็นฆราวาส โอกาสที่เราทำอนันตริยกรรมได้ก็มีแค่เรื่องฆ่าพ่อฆ่าแม่ ถ้าพ่อแม่เราตายไปหมดแล้ว เราไม่มีโอกาสทำอนันตริยกรรมฝ่ายชั่ว แต่อนันตริยกรรมฝ่ายดี เรายังทำได้ ฝึกเข้าสมาธิเข้าฌานไปอะไรต่ออะไร เวลาที่กรรมจะให้ผล ตัวครุกรรม ตัวอนันตริยกรรมอะไรนี่จะให้ผลก่อน มันมีลำดับของการให้ผล กรรมเล็กกรรมน้อย กรรมที่มีเจตนานิดๆ หน่อยๆ ครึ่งๆ กลางๆ อันนั้นต้องไม่มีกรรมที่หนักกว่าเข้ามาให้ผล
กรรมก็คือเรื่องของเหตุกับผล
ถ้าฟังไปฟังมา ก็ยังไม่รู้ว่าที่เราประสบปัญหาอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะกรรมอะไร ฉะนั้นมันเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าที่จะรู้ คนอื่นไม่รู้ ได้แต่มโนเอา คาดเอา ทุกวันนี้ก็มีเยอะ ชอบบอกว่าคนนี้มีกรรมอันนี้ให้ไปแก้อย่างนี้ ศาสนาพุทธไม่มีการแก้กรรม มีแต่ว่ามีกรรมขึ้นมาแล้วก็ทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อบั่นทอนอิทธิพลของกรรมชั่ว ทำได้แค่นั้นล่ะ ฉะนั้นเรื่องกรรม เมื่อเราไม่รู้แจ้งเห็นจริง แขวนมันไว้ก่อน ในความเป็นจริงแล้วเรื่องของกรรมมันก็คือเรื่องของเหตุกับผลนั่นเอง ถ้าเราทำเหตุอย่างนี้ ผลมันก็เป็นอย่างนี้ ทำเหตุอีกอย่างหนึ่ง ผลก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นเรื่องของเหตุกับผล ธรรมะของพระพุทธเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องเหตุกับผลทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลื่อนๆ ลอยๆ พิสูจน์ไม่ได้ ฉะนั้นคำสอนของท่านจะเป็นเรื่องของเหตุกับผล
อย่างถ้าเรามีตัณหา มีความอยากเกิดขึ้น ผลคือความทุกข์จะต้องเกิดขึ้น ไม่มีใครคัดค้านได้ อย่างเวลาความอยากเกิดขึ้น บางคนบอกว่าไม่เห็นทุกข์เลย เราก็พยายามดิ้นรนเพื่อจะให้สมอยาก พอสมอยากแล้วมีความสุขเสียอีก นี่พยายามค้านพระพุทธเจ้า ถ้าเราภาวนาเราจะเห็นเลย ทันทีที่ใจเราอยาก ใจเราดิ้นทันทีเลย ฉะนั้นความอยากเกิดขึ้นเมื่อไร จิตก็สร้างภพทันทีเลย ตัณหาเป็นผู้สร้างภพ ภพก็คือความดิ้นรนปรุงแต่งของจิต แล้วทันทีที่เกิดความดิ้นรนปรุงแต่งของจิต ความทุกข์ก็เกิดขึ้นทันทีเลย มันไม่มีใครคัดค้านได้ มันเป็นสัจธรรมอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำเหตุคือตัณหา ผลก็คือความทุกข์
ถ้าเราเจริญมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาคือศีล สมาธิ ปัญญา ผลของเราก็คือความพ้นทุกข์ ความดับทุกข์ มี 2 ระดับ ขั้นต้นพ้นทุกข์ ขั้นสุดท้ายดับทุกข์ อะไรเรียกว่าทุกข์ ขันธ์ 5 เรียกว่าทุกข์ พอบรรลุพระอรหันต์ เราพ้นทุกข์แล้ว เพราะว่าจิตมันพ้นจากขันธ์ 5 ก็อยู่ไปจนถึงวาระที่ตาย ขันธ์ 5 แตกดับ อันนั้นดับทุกข์ ถ้าเราทำเหตุ คือศีล สมาธิ ปัญญา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 สิ่งที่เราได้คือความพ้นทุกข์ ความดับทุกข์ อันนี้ก็ไม่มีใครกล้าเถียงได้เพราะว่ามันเป็นสัจธรรม ฉะนั้นถ้าเราสังเกตให้ดี เราไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรมชัดเจนว่ากรรมอันนี้จะให้ผลเมื่อไร เราไม่รู้ เราก็ค่อยสังเกตตัวเองเอา ให้เห็นว่าเพราะมีเหตุ ถึงมีผล เพราะทำเหตุอย่างนี้มีผลอย่างนี้ ทำเหตุอย่างนั้นมีผลอย่างนั้น เราสังเกตที่ตัวเอง แล้วต่อไปเราจะเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง
อย่างเวลาเราโกรธใครสักคนหนึ่งขึ้นมา ตรงที่เราโกรธเป็นมโนกรรม เราโกรธ ถามว่ามีผลไหม ใจเราโกรธ ใจเราเป็นอกุศล ทำกรรมคือมโนกรรมแล้ว มันมีผล ใจที่โกรธไม่มีความสุขในขณะนั้นทันทีเลย ผลมันเกิดในทันทีเลย ไม่มีช่องว่างเลย ฉะนั้นทันทีที่จิตของเราทำมโนกรรมฝ่ายชั่ว จิตเราโกรธขึ้นมา คิดไปเรื่องคิดร้ายกับคนอื่นอะไรนี่ จิตใจในขณะนั้นได้รับอกุศลทันที คือจิตใจไม่มีความสุข หลวงพ่อเป็นคนขี้โมโหเมื่อก่อนนี้ จิตมันจะหงุดหงิดง่าย แล้วเราสังเกต เอ๊ะ โมโหทีไร หงุดหงิดทีไร คนแรกที่ทุกข์คือตัวเราเอง เราเห็นถ้าเราทำกรรมชั่ว คือเราคิดไปด้วยอำนาจของโทสะ เราก็ได้รับวิบาก คือจิตใจเราไม่มีความสุข เศร้าหมอง
เวลาที่เราเกิดราคะรุนแรง เวลามีราคะ เห็นไหม พอสนองราคะไปแล้ว ถามว่าจิตเราเป็นอย่างไร อาจจะรู้สึกสบายอกสบายใจ แต่จิตขณะนั้นป้อแป้ จิตในขณะนั้นไม่มีกำลังที่จะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเลย นี่เรื่องเสพกาม ยกตัวอย่างที่มันหยาบที่สุด เราไปเสพกามไม่ได้ผิดลูกผิดเมียใคร เมียเรานี่ล่ะหรือสามีเรานี้ล่ะ พอเสพกามไปแล้ว อาจจะรู้สึกเพลิดเพลินพอใจ แต่ว่าจิตที่ถัดจากนั้นมา จิตขณะนั้นไม่มีกำลัง จิตจะไม่มีแรง หมดเรี่ยวหมดแรง เซื่องๆ ซึมๆ หงอยๆ ไป หรือว่าเวลาที่เราฟุ้งซ่านมาก จิตเราทำกรรมชั่วด้วยอำนาจของความฟุ้งซ่าน ฟุ้งๆ ฟุ้งๆ สังเกตไหม ถัดจากที่จิตฟุ้งซ่าน จิตจะซึม โอ้ การที่เราปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านมีข้อเสีย คือจิตเราซึมไปเลย เรียกว่าอุทธัจจะเกิดขึ้น เสร็จแล้วถีนมิทธะก็ตามมาอีก เซื่องซึม
การที่เราอ่านจิตอ่านใจตัวเองเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าถ้าเราทำกรรมอย่างนี้ ผลมันจะเป็นอย่างนี้ อันนี้แค่มโนกรรม มาถึงวจีกรรม ถ้าเราไปด่าเขา ผลนอกจากจิตเราเศร้าหมองแล้ว เขาก็โกรธ เขาก็อาฆาต เขารอเอาคืน เราก็ต้องระวัง เขาจะเอาคืนเมื่อไรก็ไม่รู้ เราไม่ได้ปลอดโปร่งโล่งใจ ไปด่าเขาไว้ เรื่องเล็กเรื่องน้อยอย่างนี้ก็ยังมีผล อาจจะโดนฟ้อง เดือดร้อน หรือกายกรรม เราไปตีเขา เราไปฆ่าเขาอะไรอย่างนี้ จิตใจเรายิ่งกระด้าง ไม่ต้องทำร้ายคนหรอก หลวงพ่อเคยเห็นบางคน เจอหมาเตะหมา เจอแมวเตะแมว มันไม่ได้ทำอะไร
เมื่อก่อนอยู่เมืองกาญจน์ มันมีคนอยู่ข้างวัด เจ้านายมันเอาหมามา มันก็เป็นคนเลี้ยง แล้วมันใจดำมากเลย เวลาหมาเห็น หมาจะล้มลงไปนอนที่พื้นแล้วแกล้งตาย โอ้ มันกลัวขนาดนั้น เพราะมันทำร้ายตลอดเวลาเลย แล้วคนนี้ถ้าสังเกตจิตใจ ไม่เคยมีความสุขเลย จิตใจไม่เคยมีความสุขเลย จิตใจหยาบ จิตใจกระด้าง ก่อนหน้านี้เคยมีเมียมาคนหนึ่ง แล้วได้ข่าวว่าไปยิงเมียตายเสียด้วยซ้ำไป ใจที่เคยทำปาณาติบาต มันก็จะทำปาณาติบาตง่าย นี่เป็นผลของกรรมชั่วของเราเองที่เห็นได้ เวลาเราทำความชั่วอะไรขึ้นมา ครั้งแรกอาจจะฝืนใจทำ ต่อมาก็ทำง่ายขึ้นๆๆ ใจเราคุ้นเคย ฉะนั้นใจเราตกต่ำเพราะการทำชั่วของเราเอง ไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางใจ นี่เป็นผลของกรรม เราสะสมมาทางไหน เราก็จะต้องไปทางนั้นล่ะ
ถ้าเราเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก มีมโนกรรมเกิดขึ้นก็มีผล มโนกรรมที่ดีก็มีผลที่ดี อย่างเราคิดถึงครูบาอาจารย์ จิตใจเราก็สงบสุข มีสมาธิขึ้นมา หรือเราเห็นครูบาอาจารย์ เราเข้าไปอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ จิตก็มีกำลัง จิตมีสมาธิขึ้นมาง่าย มันเป็นเรื่องเหตุกับผลทั้งนั้น ถ้าเราสังเกตไปเรื่อยๆ ผลทั้งหลายก็มาจากเหตุ มีเหตุแล้วก็มีผล พอเห็นซ้ำๆๆ กัน เห็นที่ไหน เห็นที่ใจตัวเองนี่ล่ะ แล้วเราจะเข้าใจกฎแห่งกรรม เราจะไม่ต้องมานั่งนึกหรอกว่าที่เราตีหัวเขาวันนี้ เราจะถูกทำร้ายวันไหน เราเห็นเลยว่าเรากำลังรับทุกข์รับโทษตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะเราทำกรรมชั่ว เราตกนรกเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องรอที่ไหนหรอก
จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้
เพราะฉะนั้นเราจะไม่ต้องกังวลหรอกว่าอนาคตเราจะต้องไปรับอะไร ถ้าต้องรับ มันก็ต้องรับ มันหนีไม่ได้ เพียงแต่ว่าทำกรรมดีให้มากๆ ไว้ กรรมดีมันจะให้ผลแรงขึ้นๆ ยิ่งถ้าเราได้มรรคได้ผล เราจะปิดอบายได้เด็ดขาด ถ้าเราสามารถแยกรูปนามได้ แล้วเห็นว่ารูปนามแต่ละตัวไม่ใช่ตัวเรา เกิดแล้วก็ดับไปๆ ตรงนี้ยังไม่ได้เกิดอริยมรรคเลย ในตำราบอกว่าปิดอบายได้ชาติหนึ่ง สมมติตอนเราจะตาย เราป่วยหนักอย่างนี้ เราก็เห็นร่างกายมันป่วย ร่างกายมันนอนอยู่ความเจ็บปวดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มาอยู่ในร่างกาย เออ ความเจ็บปวดนี้ เราไล่มันก็ไม่ได้ ห้ามมันก็ไม่ได้ ยังเจือด้วยการคิด อย่างนี้เขาก็ถือว่าเป็นจุลโสดาบันๆ โสดาบันเล็กๆ โสดาบันน้อยๆ น่าเอ็นดู อันนี้ยังไม่ใช่โสดาบันจริง
แต่ถ้าเวลาเราจะตาย เราเห็นร่างกายมันนอนอยู่ ความเจ็บปวดเป็นอีกอันหนึ่ง ร่างกายเป็นอันหนึ่ง จิตใจที่ไม่อยากเจ็บป่วย เป็นอีกอันหนึ่ง หรือจิตใจที่อาลัยอาวรณ์คนที่เรารัก บ้านช่องห้องหอ ทรัพย์สมบัติอะไร เรามีสติเราเห็นเลย เราก็จะเห็นแล้วก็เตือนตัวเอง โอ้ สมบัติพัสถาน ครอบครัว ลูกเมียเรา ตอนนี้เป็นของเรา อีกประเดี๋ยวหนึ่งก็ไม่ใช่ของเราแล้ว โดยเฉพาะอย่างทรัพย์สิน เดี๋ยวก็ไม่ใช่ของเราแล้ว สอนตัวเองได้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ อะไรๆ ก็เป็นไตรลักษณ์ สอนๆ ตัวเองไปอย่างนี้ ยังเจือด้วยการคิด
ตำราเขาบอกว่าปิดอบายได้ชาติหนึ่ง คือถ้าตายในขณะนั้นไปสุคติ แต่ว่าชาติต่อไปอาจจะไปทุคติได้อีก ไม่เหมือนโสดาบันจริงๆ โสดาบันจริงๆ เกิดอริยมรรคอริยผลขั้นแรกแล้ว ถ้ายังไม่เกิด สามารถแยกขันธ์ได้แล้วก็พิจารณาลงไป ขันธ์แต่ละขันธ์ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อันนี้เรียกว่าเป็นจุลโสดาบัน ถ้าตายด้วยจิตอย่างตรงนั้นก็ไปสุคติ
ฉะนั้นเราต้องพยายามฝึกจิตของเราเอง จิตเป็นธรรมชาติที่ว่องไว รักษายาก เที่ยวไปรวดเร็ว แต่ถึงรักษายาก การที่เราสามารถฝึกที่จะคุ้มครองรักษาจิตของเราไว้ได้ นำความสุขมาให้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในอนาคต ทั้งในชาติต่อๆ ไป ฉะนั้นเราพยายามมีธรรมะในตัวเอง รักษาจิตรักษาใจเรา มีสติคอยรู้เท่าทันไป อกุศลเกิด รู้ทัน กุศลเกิดก็รู้ทัน อกุศลเกิดแล้วไม่ชอบ รู้ทัน กุศลเกิดแล้วชอบ รู้ทัน จิตก็เป็นกลาง คือเห็นทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
พอเราเห็นตั้งแต่ต้นตอ เห็นตั้งแต่จิตใจของเรา มีสติคุ้มครองรักษาจิตอยู่ จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ แล้วมันจะไม่ไหลไปในทางที่ชั่ว เรียกว่าธรรมะมันคุ้มครองเราตรงนี้ล่ะ ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราเจริญธรรมะฝ่ายดี ทำเหตุฝ่ายดี ผลที่ได้มันก็คือผลฝ่ายดี ที่ว่า ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจารี ธรรมะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม เราจะประพฤติธรรม อาศัยสติ อ่านจิตอ่านใจตัวเองให้ออกแล้วจะประพฤติธรรมได้ดี อย่างถ้าเราอ่านใจตัวเองไม่ออก มันก็ประพฤติได้กระพร่องกระแพร่ง อย่างถ้าเราบางคนอ่านใจตัวเองไม่ออก ดูจิตไม่เป็น โกรธ กำลังจะชกเขา กำลังจะทำร้ายเขา กำลังเงื้อมือแล้ว จะตบเขาแล้ว จะต่อยเขาแล้ว เราถือศีล เราไม่ทำ แต่ขณะนั้นมโนกรรมมันทำไปแล้ว เพียงแต่กายกรรมมันยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ มีผลแล้ว
เคยมีข้อถกเถียงอันหนึ่งว่าระหว่างกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตัวไหนมีโทษร้ายแรงที่สุด นักปราชญ์นอกศาสนาพุทธคนหนึ่ง เขามาโต้กับพระพุทธเจ้า เขาตั้งประเด็นนี้ แล้วเขาก็บอกว่ากายกรรมมีผลมากที่สุด เขาใช้คำว่า กายทัณฑ์ การทำความผิดทางกายมีผลมาก อย่างเราคิดให้คนตาย กฎหมายยังไม่เอาผิด เราลงมือทำให้เขาตาย กฎหมายเอาผิดแล้ว
เขาบอกว่า กายทัณฑ์ หรือกายกรรมมีผลรุนแรงที่สุด วจีกรรม ไปด่าเขา ถูกปรับ ถูกฟ้องหมิ่นประมาท มีผลน้อยกว่า ไม่ถึงขนาดไปติดคุกติดตาราง มโนกรรม ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ไม่ผิด ไม่มีผลอะไร
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่หรอก ในความเห็นของท่าน มโนกรรมมีผลมากที่สุด วจีกรรม กายกรรม มันเกิดได้ก็อาศัยมโนกรรม มันสำเร็จได้ด้วยจิตของเรานี้ จิตทำกรรมไปก่อนแล้วมันถึงได้ไปทำกรรมชั่ว ทางกาย ทางวาจาได้ ถ้าจิตไม่ชั่ว มันจะทำชั่วทางกายทางวาจาได้อย่างไร ฉะนั้นตัวที่ชี้ขาดจริงๆ คือจิต จิตของเราเอง เพราะฉะนั้นการที่เราคุ้มครองรักษาจิต จิตเราก็ร่มเย็นเป็นสุขเพราะจิตมันเป็นกุศล มันเป็นบุญ มีสติรักษาจิตไว้ แล้วเราก็จะมีความสุข นี่ธรรมะจะรักษาเราตรงนี้
ฉะนั้นเวลากระทบข่าวสารอะไรที่ไม่ชอบใจ เกลียดนักการเมืองคนนี้ มันควรจะติดคุก มันก็ไม่ติด สมมติ เกลียดพระองค์นี้ อยากให้ปาราชิก ทำไมไม่ปาราชิกเสียที ให้ดูที่ใจของเรา ใจเราเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ดูให้ดี ถ้าใจเราเป็นกุศลจริง ไม่ไปยุ่งกับคนอื่นหรอก แค่ยุ่งกับใจของเราคนเดียวก็แย่แล้ว เหนื่อยเต็มทีแล้ว เราจะไปวุ่นวายอะไรกับจิตใจของคนอื่น ช่วยไม่ได้หรอก ทางใครทางมัน แต่กรรมทั้งหลายมีผลๆ ถ้าเราอยู่ไปนานๆ เราจะรู้จะเห็น
เทวทัต กว่าที่กรรมชั่วจะให้ผลเต็มที่ อยู่มาจนอายุเยอะ อยู่มาจนแก่ ก่อกรรมทำชั่วตั้งแต่ต้นพุทธกาล กว่ากรรมชั่วจะให้ผลรุนแรงถูกธรณีสูบช่วงปลายพุทธกาลแล้ว ทำไมกรรมชั่วของเทวทัต ให้ผลช้าจัง เทวทัตเขาก็มีกรรมดีของเขาเหมือนกัน อย่างเขาพ้นอเวจีแล้วเขาจะเวียนว่ายตายเกิดอีกนานแสนนาน แล้ววันหนึ่งเขาจะได้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สูงกว่าพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรอีก พระปัจเจกพระพุทธเจ้า เพราะจริงๆ คนแต่ละคนมันไม่ได้ทำชั่ว 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกคนก็ได้ทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ฉะนั้นเราอย่าไปสงสัย เอ๊ะ คนชั่วนี้ทำไมมันยั่งยืนนัก มันก็เคยทำดีมาเหมือนกัน ฉะนั้นใจก็อย่าไปเกลียดเขา ถึงอย่างไรเขาก็ต้องรับผล กฎแห่งกรรมทั้งหมดมันก็อยู่เรื่องเหตุกับผลนั่นล่ะ
ฉะนั้นเรามีสติรักษาจิตของเรา นี่เราทำเหตุที่ดี ผลที่เกิดขึ้นก็ดี ก็คือจิตของเราก็ดี วาจาของเราก็ดี การกระทำทางร่างกายของเราก็จะดี ธรรมะได้รักษาเราผู้ประพฤติธรรมแล้ว คือทำให้เราเป็นคนดี ไม่ชั่ว อนาคตถัดไป ยิ่งความดีเราสูงขึ้นๆ จะมีกำลังแก่กล้า ความชั่วมันก็ไล่ไม่ทัน เคยได้ยินเรื่องพระองคุลีมาลไหม เมื่อก่อนหลวงพ่อจะตั้งคำถามผิด ถามว่าใครรู้จักพระองคุลีมาลบ้าง ยกมือทั้งห้องเลย บอกหลวงพ่อยังไม่รู้จักเลย เกิดทันกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือเกิดในยุคเดียวกันแต่อยู่กันคนละเมือง ก็ไม่รู้จัก เราก็อ่านประวัติ องคุลีมาลฆ่าคนตั้ง 1,000 คน ฆ่าคนเยอะแยะเลย แล้วทำไมได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าไม่นานก็บรรลุพระอรหันต์ได้
อันนี้ก็เพราะว่ากรรมดีเขาก็สร้างมา ท่านก็สร้างของท่านมา กรรมชั่วจากความหลงผิดคบคนชั่วเป็นมิตร คือไปคบอาจารย์ชั่ว ไปเรียนวิทยาการต่างๆ กับอาจารย์ขี้อิจฉา ขี้ระแวง กลัวลูกศิษย์จะดีกว่า กลัวลูกศิษย์จะมาเป็นชู้กับเมีย หวาดระแวง ลูกศิษย์เก่งเกินไป ก็หาทางขจัดลูกศิษย์ เลยบอกให้ไปฆ่าคนแล้วจะสอนวิชาสุดยอดให้ กะว่าให้ไปฆ่าคนเรื่อยๆ เดี๋ยวก็โดนเขาฆ่าจนได้ล่ะ ปรากฏว่าไม่โดน ฝีมือดี ฆ่าคนอื่นเก่ง ฉลาดนั่นล่ะ รู้จักโจมตี รู้จักหลบหลีก รู้จักอะไรอย่างนี้ ก็เอาตัวรอดได้ ไม่ได้ปาฏิหาริย์อะไรหรอก เพราะฉลาด แต่ว่าพอมาเจอพระพุทธเจ้า ท่านสะกิดนิดเดียว ก็วางอาวุธลง ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
เวลาไปบิณฑบาต คนเห็นเขาก็โกรธแค้น เขาเอาหินขว้าง เอาท่อนไม้ขว้าง ไล่ทุบตี อันนี้เป็นวิบาก คือไปฆ่าญาติพี่น้องเขามา หัวแตกกลับมาหาพระพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่าก็ดีแล้วล่ะ ดีกว่าจะต้องไปตกนรกนานแสนนาน นี่รับผลเล็กน้อยเท่านั้น ท่านทำใจได้ ภาวนาบรรลุพระอรหันต์ บรรลุพระอรหันต์แล้วคนก็ยังไล่ตีอยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งคนเห็นคุณงามความดีของท่าน ก็หันมานับถือท่าน
เพราะฉะนั้นคนแต่ละคนมันไม่มี 100 เปอร์เซ็นต์ที่ดี ไม่มี 100 เปอร์เซ็นต์ที่ชั่วหรอก ดูตัวเราเองก็ได้ ดี 100 เปอร์เซ็นต์ไหม มันก็ไม่เป็นหรอก มันก็มีทั้งดีทั้งเลว เพียงแต่ว่าอันไหนที่เราเลว เราภาวนาแล้วเราก็อย่าไปตามใจมัน พยายามพัฒนาสติ สมาธิ ปัญญาของเราขึ้น กุศลมันก็จะแรงขึ้นๆ ต่อไปอิทธิพลของกรรมชั่วมันก็ตามเราไม่ทัน อย่างพระองคุลีมาล แทนที่จะต้องไปตกนรกนานแสนนาน ท่านบรรลุพระอรหันต์เลย ท่านไม่ต้องตกนรกแล้ว พอท่านตาย เศษกรรมที่เหลืออยู่ยังไม่ทันให้ผล ไม่สามารถจะให้ผลได้แล้ว เพราะท่านไม่มีขันธ์ที่จะมารองรับผลของกรรม ทั้งกรรมดี ทั้งกรรมชั่ว ไม่มีขันธ์มารองรับแล้ว ก็เป็นโมฆะไป
ความยึดมั่นถือมั่น 4 ประการ
ฉะนั้นเราพยายามพัฒนาธรรมะขึ้นในใจเรา โดยการมีสติรักษาจิตใจของตัวเองไว้ให้ดี ต่อไปเราก็จะเชื่อเรื่องกรรม เรื่องผลของกรรม เราก็จะไม่โกรธไม่เกลียดใครหรอก ใครทำร้ายเรา เขาก็ต้องมีกรรมของเขา เราถูกทำร้ายก็เป็นกรรมเก่าของเรา เขาทำร้ายเราในขณะนี้ก็เป็นกรรมใหม่ของเขา คิดเสียอย่างนี้ ยอมรับสภาพ อย่าไปโกรธ อย่าไปแค้นกัน ทุกวันนี้เราถูกเสี้ยม ถูกยุยง ถูกปั่นให้โกรธแค้นซึ่งกันและกัน แค่อยู่คนละค่าย เราก็จะฆ่ากันตายแล้ว วุ่นวาย เห็นไหม ทะเลาะวิวาทติดคุกติดตารางกันวุ่นวายไปหมด เพราะใจมันถูกยั่วยุให้เกลียดชังกัน ค่อยภาวนา ใจเราเห็นความจริงของโลก ใจคลายความยึดมั่นถือมั่นลงไป ใจเราก็เข้าถึงความสุข ความสงบมากขึ้นๆ
เรายึดมั่นถือมั่นอะไรบ้าง ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าสอนพระ ก็จะพูดเรื่องกามุปาทาน ความยึดในกาม ทิฏฐุปาทาน ความยึดในทิฏฐิ อัตตวาทุปาทานความยึดในความเห็นว่าตัวเรามีจริงๆ สีลัพพตุปาทาน ความยึดถือในศีลและข้อปฏิบัติ ท่านจะสอนอย่างนี้ แต่ถ้าสอนฆราวาสในยุคนี้ ก็ปรับนิดหนึ่ง เนื้อหาเหมือนเดิมแต่สอนแบบให้ฆราวาสรู้เรื่อง
อันแรกเรายึดอะไร เรายึดถือในผลประโยชน์ ยึดถือในความสุขความสบาย ยึดถือในผลประโยชน์ เรายึดถืออะไร ยึดถือในทิฏฐิ คือยึดถือในความคิดความเห็นของเรา ยึดถือในลัทธิ ในอุดมการณ์ คนละอุดมการณ์ต้องฆ่ากัน อยู่ด้วยกันไม่ได้ อย่างข้อแรกก็ผลประโยชน์ขัดกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะเรายึดถือ
วาทะอัตตวาทุปาทาน เรารู้สึกไหมเรามีอยู่ แล้วเราเอาตัวเราเป็นศูนย์กลางของโลกของจักรวาล ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น เราจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ตัดสินคนอื่นด้วยตัวเรา คนนี้ผิดๆ อย่างบางทีเมื่อก่อนก็มีที่เป็นข่าว ออกไปจับพระสึก จะไปจับหลวงปู่แสงสึกอะไรต่ออะไรนี่ อันนี้ไปตัดสินแล้ว ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสิน
อย่างเห็นพระไม่ดี ก็ต้องไปแจ้ง พระผิดกฎหมายก็แจ้งความ พระผิดพระธรรมวินัย ไปบอกสำนักพุทธฯ ถ้าสำนักพุทธฯ ไม่ทำงาน ก็มีระบบ มันก็ไปฟ้องศาล ศาลปกครอง ศาลอะไร ถ้าทำอย่างนี้ก็ทำถูก แต่ถ้าเราไปตัดสินคนอื่น เอาตัวเองเป็นตัวตั้งแล้วคนอื่นผิด อันนี้ก็เรียกว่าเรายึดถือเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง ตัวยึดถืออีกอย่างคือยึดถือระเบียบแบบแผน วิถีดำรงชีวิตของเรา การดำรงชีวิตที่ดีที่สุดก็ต้องแบบของเรานี่ล่ะ อย่างของคนอื่นไม่ดีหรอก ยึดถืออย่างนี้
สิ่งที่ชาวโลกเรายึดถือก็ 4 อย่างนี้ล่ะ ก็เหมือนที่พระยึดถือ แต่ท่านพูดเป็นภาษาบาลี ฟังยาก อันแรกเลย เราก็ยึดถือผลประโยชน์ ยึดถือความสุข อีกอันหนึ่งเรายึดถือความคิดความเห็น ลัทธิอุดมการณ์ อีกอันหนึ่งเรายึดถือเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เป็นศูนย์กลางของโลก ของจักรวาล อีกอันหนึ่งเราก็ยึดถือสิ่งที่เราคุ้นเคย เราเคยทำอย่างนี้ อันนี้ดี อย่างอื่นไม่ดี เราตัดสินคนอื่น ทำไม่เหมือนเราไม่ดี ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างกินหมากๆ สมัยโบราณการกินหมากไม่ใช่เรื่องเสียหาย เวลาคนมาเยี่ยมที่บ้าน นอกจากต้องเอาน้ำให้กิน ยังต้องเอาหมากให้กินด้วย ยกเชี่ยนหมากให้เขา มันเป็นเครื่องต้อนรับๆ พอมาถึงวันนี้กินหมากไม่ดี แล้วเราเห็นคนกินหมาก เราก็ตำหนิติเตียน เราเห็นว่าวิถีชีวิตนี้ไม่เหมือนเราแล้ว อย่างนี้ไม่ดี
เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าใจเรามันชอบไปวุ่นวายไปยึดถือสภาวะ 4 อย่างนี้ มันจะค่อยๆ คลายออก ยึดน้อยลง ก็ทุกข์น้อยลง ยึดมากก็ทุกข์มาก ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็กฎแห่งกรรมนั่นล่ะ เทศน์เบาๆ หน่อยก็แล้วกัน เทศน์หนักๆ มาหลายเดือนแล้ว แต่ที่จริงเรื่องนี้หนัก อะไรจะหนักเท่ากรรม
คอยรู้ทันความปรุงแต่งของจิตตนเองไว้ รู้เรื่อยๆ ปรุงดีก็รู้ ปรุงชั่วก็รู้ รู้อย่างที่มันเป็น ไม่ต้องแทรกแซง ไม่ต้องแก้ไข แล้วเราต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติ ถ้าไม่มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ จิตจะไม่มีแรง พอจิตไม่มีแรง จิตเจริญปัญญาไม่ได้ ฉะนั้นจิตต้องมีเครื่องอยู่
ขนาดพระอรหันต์ยังต้องมีเครื่องอยู่เลย พระพุทธเจ้าก็สอนให้ใช้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมเป็นเครื่องอยู่ แล้วจิตพรากจากขันธ์สำหรับพระอรหันต์ ของเราใช้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมเป็นเครื่องอยู่เพื่อให้เกิดสติ แล้วก็เรียนรู้ความจริงของรูปนามกายใจ เพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วจิตก็ปล่อยวาง หมดความยึดถือทั้งกายทั้งจิต หมดความยึดถือขันธ์ 5 เราก็ยังมีเครื่องอยู่ต่อไปอีก เครื่องอยู่ เป็นเครื่องอยู่เท่านั้นล่ะ แต่จิตมันพรากจากขันธ์แล้ว มันทิ้งขันธ์ไปแล้ว
เพราะฉะนั้นการที่มีเครื่องอยู่ต้องมีๆ ทุกคน แล้วต้องมีตลอดกาลด้วย มิฉะนั้นจิตจะไม่มีกำลัง ลูกศิษย์เคยถามหลวงปู่มั่นว่าทำไมท่านยังนั่งสมาธิ เดินจงกรม ไม่มีกิเลสแล้ว ต้องทำเป็นเครื่องอยู่
วัดสวนสันติธรรม
24 มีนาคม 2567