ตั้งเป้าให้ถูก

วันนี้วันออกพรรษา ที่จริงออกพรรษาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับญาติโยม เรื่องของพระ พระอยู่ด้วยกันตลอด 3 เดือนในฤดูฝน ออกพรรษาแล้วค่อยแยกย้ายได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้พระก็จะแยกย้ายกันไปได้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปก็มีกิจกรรมสำคัญอันหนึ่ง เรียกการปวารณา

การปวารณาเป็นการที่พระบอกกับหมู่สงฆ์ด้วยกัน ทุกองค์ต้องบอกว่าถ้าเห็นว่ากระผมมีความประพฤติอะไรไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ท่านคิดว่าผมทำไม่ดี ท่านได้ยินได้ฟังว่าผมทำไม่ดี หรือว่าอยู่ใกล้ชิดกันแล้วเห็นข้อบกพร่องกัน ขอให้ช่วยตักเตือนด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้เตือนซึ่งกันและกัน มันเป็นกิจกรรมที่งดงาม ลดทิฏฐิมานะ พระผู้ใหญ่ก็เปิดโอกาสก่อน ให้พระผู้น้อยตักเตือนได้ ถ้าเห็นว่ามีอะไรไม่ดีก็เตือนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมเนียมอันนี้ในทางปฏิบัติจริงไม่ค่อยมี ทำแต่รูปแบบ ขืนเตือนกันก็โกรธกัน คนไทยใจไม่กว้างพอ ให้เตือนกันบอกกันซึ่งหน้าไม่ถนัด ให้เอาไปนินทาลับหลังถนัดมากเลย แต่พระจะทำอย่างนั้นไม่ได้ พระก็ต้องเตือนกัน ที่นี่เตือน เตือนกันจริงจังเลย

 

เปิดโลก

หมดจากวันนี้ พรุ่งนี้เป็นวันตักบาตรเทโว เทโวโรหณะ อันนี้ญาติโยมเข้ามาเกี่ยวข้อง มาใส่บาตรอะไรพวกนี้ ต้นเหตุก็มาจากพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในดาวดึงส์ ออกพรรษาแล้วก็ลงมาที่เมืองสังกัสสะ ตอนที่เสด็จจากดาวดึงส์พวกเทพพรหมอะไรก็มาส่งกัน มนุษย์ พวกพระทั้งหลาย พระสารีบุตรก็พาไปรอเฝ้า ญาติโยมทั้งหลายก็ไป ตอนที่พระพุทธเจ้าลงมาก็มีปรากฏการณ์อันหนึ่ง เรียกเปิดโลก มนุษย์ก็มองเห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก สัตว์นรกก็เห็นเทวดา เห็นมนุษย์ เห็นกันทั้ง 3 โลก นี่เรียกว่าเปิดโลก

มาถึงยุคนี้ได้ยินเรื่องนี้แล้วก็แปลกๆ ฟังแล้วไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องความเชื่อปรัมปรา ถ้ามองให้มันทันสมัยหน่อยก็ได้ คือวันปวารณาพระท่านเตือนกันแล้ว พอมาวันตักบาตรเทโว สอนให้เราหัดดูโลกเสียบ้าง ไม่ใช่ดูแต่ตัวเอง หัดมองคนอื่นบ้าง คนที่อยู่สูงกว่าเรา เราก็มอง ทำไมเขาเป็นอย่างนั้น มีคุณธรรมอะไรเขาถึงเป็นคนดี เป็นสิ่งที่ดีงาม สัตว์ในอบายภูมิมันมีอยู่ เขาน่าสงสาร เราเห็นแล้ว เราก็ไม่อยากเข้าร่วมสมาคมด้วย เขาลงที่ต่ำเพราะว่าได้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ฉะนั้นเราก็จะไม่ทำอย่างนี้ เราจะทำในสิ่งที่ดีที่งาม

เปิดโลก เปิดโลกทัศน์ หัดมองคนอื่นบ้าง บางคนเขาดี อย่างพระพุทธเจ้า สัญลักษณ์ Symbolic พระพุทธเจ้าเสด็จลงมา เห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นผู้ที่บริสุทธิ์ เห็นพรหม เห็นพวกที่สงบ เห็นเทพ เห็นพวกที่มีความสุข เห็นมนุษย์ด้วยกัน กระโดกกระเดก ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นสัตว์นรก เห็นคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ก็เหมือนตกนรกในโลกมนุษย์นี่ล่ะ บางคนมีชีวิตอยู่ ไม่เคยมองเห็นนรกในโลกมนุษย์ เสพสุขของตัวเองอย่างเดียว อย่างนี้มันก็ไม่ค่อยดี หัดมองเห็นความทุกข์ความยาก ความลำบากของเพื่อนร่วมทุกข์ เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมชาติบ้าง ใจเรามันจะอ่อนโยนลง

ถ้าเรามองด้านเดียว มองแต่คนที่เขาดีกว่าเรา เห็นแต่เทวดา ไม่เห็นสัตว์นรก ใจมันก็ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ถ้าเรามองเห็น โหย บางคนลำบากกว่าเราตั้งเยอะ ในชีวิตเรามีไหม คนที่ดีกว่าเรา เยอะแยะใช่ไหม คนที่แย่กว่าเราก็เยอะแยะ ก็อย่ามองแต่คนที่เขาดีกว่าเรา หัดมองคนที่เขาทุกข์ยากลำบากมากมาย เยอะแยะไป พอเรามองแล้วก็ดูต่อไป อะไรที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เราก็อย่าไปทำ อย่างบางคนสังเกตไหม ยิ่งจนยิ่งชอบอบายมุข ชอบเล่นหวย ชอบกินเหล้า ก็ยิ่งจนหนักเข้าไปอีก เราก็อย่าไปทำ เราเห็นตัวอย่างแล้ว อันนี้เป็นทางเสื่อม ที่ต้องไปอบาย ต้องดูแลตัวเอง อย่าไปเดินเข้าไปในปากทางของอบาย อบายมุขทั้งหลาย ถอยออกมา เตือนตัวเอง มองสิ่งที่ดีๆ ถ้ามองเห็นพระพุทธเจ้าได้ดีที่สุดเลย นั่นคือความบริสุทธิ์

มนุษย์เรามีเสรีภาพ เราเลือกอนาคตของตัวเองได้ ไม่ใช่เสรีภาพทางการเมืองอย่างนั้น เลือกไม่ได้จริง ไม่เคยเห็นประชาชนปกครองเลย ประชาชนถูกปกครองตลอดไม่ว่าระบอบอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ปกครองเป็นไปไม่ได้ ผิดธรรมชาติ

 

ยกระดับให้จิตใจให้สูงขึ้นๆ

เราค่อยๆ ภาวนา ตั้งอกตั้งใจ ดูแลตัวเองให้ดี อย่าทำตัวให้ไหลลงไปในทางที่ต่ำ ทำอย่างไรจะทำตัวให้สูงขึ้นๆ ทีแรกก็เป็นคนดี มีศีลมีธรรมอะไรอย่างนี้ ก็จะได้เป็นเทวดา เปรียบเทียบแล้วก็คือเป็นคนดี เป็นเทวดา แต่ก็ยังเพลิดเพลินอยู่กับโลก เพลิดเพลินในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แสวงหากามคุณอารมณ์อยู่ ถ้ามองเห็นพรหม โอ้ พวกนี้ไม่เอาแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่มีสาระแก่นสาร พวกพรหมเขามุ่งไปที่ความสุขความสงบของจิต ไม่เอาโลกข้างนอก เราอยากมีความสุขที่ประณีตขึ้น ก็ไม่ใช่ไปหยุดอยู่แค่ทำบุญทำทานแล้วไปเป็นเทวดา เราก็มาหัดภาวนา ทำจิตใจให้มันมีสมาธิขึ้นมา จิตใจของเราก็เป็นพรหม

เวลาจิตใจมีสมาธิพรหมวิหารมันมาเองล่ะ ไม่ต้องแกล้งทำ อย่างเวลาเราอยู่กับโลก เราเห็นคนนี้เราก็เกลียด เห็นคนนี้เราก็รัก แต่พอจิตเราทรงสมาธิทรงฌานขึ้นมา มันไม่ได้มองคนอื่นด้วยความเกลียดชังแล้ว มันก็เห็นสัตว์ทั้งหลาย ใจมันก็รู้สึกเมตตา เห็นสัตว์ที่มีความทุกข์มันก็กรุณา ปรารถนาดี อยากให้เขาพ้นทุกข์ เห็นใครเขาได้ดี จิตของพรหมก็จะอนุโมทนา ยินดีด้วยที่เขาได้ดี เขาทำดีแล้วเขาก็ได้ดี น่ายินดี แล้วก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งคนที่มีความสุข คนที่มีความทุกข์ คนที่กำลังได้รับความดีต่างๆ ได้รับผลของความดี เห็นด้วยใจที่เป็นกลางๆ ถ้าใจไม่เป็นกลาง เดี๋ยวก็ตกจากพรหมง่ายๆ เลย ถ้ายินดียินร้ายขึ้นมาร่วงลงมาง่ายๆ

ถ้าอย่างสูงขึ้นไปอีกทำอย่างไร แต่เดิมใจเราเป็นคนกระดำกระด่าง กระโดกกระเดก ทำความดี มีศีลมีธรรมก็มาเป็นเทพ ทำความสงบเข้ามา อย่าหลงโลกมาก ก็มาเป็นพรหม ต่อไปก็ต้องเห็นพระพุทธเจ้าให้ได้ พระพุทธเจ้ามีความบริสุทธิ์สะอาดบริสุทธิ์ ใจของเราสกปรกมอมแมมเราก็ต้องฝึก ท่านไม่ได้สะอาดคนเดียว ไม่ได้บริสุทธิ์คนเดียว ท่านบอกวิธีการปฏิบัติที่จะให้เราเข้าถึงความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกับท่าน

เราก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ทำนิดๆ หน่อยๆ ทำเต็มที่ ทำเต็มผีมือเลย เท่าที่ทำได้ สังสารวัฏมันยาวไกล ให้ลงมือทำให้เต็มที่แล้วสังสารวัฏมันจะสั้นลง ชาตินี้ถ้าบุญบารมีเรามากพอ เราก็ได้มรรคผลในชาตินี้ ถ้าบุญบารมียังไม่พอ เราสะสมไว้ ชาติต่อไปเราก็ภาวนาง่าย แล้วก็มีบุญได้เจอครูบาอาจารย์ที่ดี ได้เจอธรรมะที่ดี ถูกต้อง

อย่างคนอยากได้ธรรมะเยอะแยะ ในเมืองไทยยังมีเยอะ ก็เที่ยวเข้าสำนักนั้นสำนักนี้ ไหว้กระทั่งผี ไหว้กระทั่งเปรต ไหว้กระทั่งสารพัดจะไหว้เลย ต้นหมากรากไม้ ไหว้หมด หวังว่าจะได้ดี ได้มีความสุขอะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ใช่ที่พึ่ง ไม่ใช่ทางที่พระพุทธเจ้าบอก จะไปไหว้ภูเขา ไหว้ต้นไม้ ไหว้รุกขเทวดา ไหว้อะไรพวกนี้

ท่านให้ปฏิบัติธรรม ทำทานรักษาศีล ภาวนาไป แล้วจิตเราก็จะยกระดับ สูงขึ้นๆ ต่อไปเราก็เข้าใกล้ความบริสุทธิ์มากขึ้นๆ ภาวนาไป เกิดอริยมรรค เกิดอริยผล ครั้งที่หนึ่ง ยังไม่พอ จิตยังไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้า เกิดอริยมรรคครั้งที่สองก็ยังไม่พอ จิตยังไม่บริสุทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้า ครั้งที่สามก็ยังไม่พอ ยังไม่บริสุทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้า จนครั้งที่สี่เกิดอริยมรรคอริยผล ครั้งที่สี่ อรหัตตมรรคอรหัตตผลนั่นล่ะ จิตจะเข้าถึงความบริสุทธิ์เสมอด้วยพระพุทธเจ้า ความบริสุทธิ์นั้นเป็นสิ่งเดียวที่สาวกเสมอกับพระพุทธเจ้าได้ นอกนั้นไม่เสมอหรอก ปัญญาธิคุณไม่เสมอกับพระพุทธเจ้า กรุณาธิคุณไม่เสมอกับพระพุทธเจ้า แต่บริสุทธิคุณเราสามารถพัฒนาจิตใจ เดินไปตามเส้นทางที่ท่านสอน ทำทาน รักษาศีล ภาวนาไป ทั้งสมถะทั้งวิปัสสนา ใจเราก็จะสะอาดมากขึ้นๆ

พวกเราจำนวนมากจิตใจมันสะอาดมากขึ้น เมื่อเช้าหลวงพ่อเดินไปทางทีมไลฟ์ นั่งกันเยอะแยะ หันไปเจอ อ้าว คุณแม่ไปนั่งอยู่กลางวง คุณแม่สอนพวกทีมไลฟ์อยู่ คุณแม่ถามหลวงพ่อ ว่าให้หลวงพ่อช่วยดูสิ ทีมนี้ดีขึ้นหรือยัง คุณแม่จะอวดว่าลูกศิษย์ดีนั่นล่ะ มันก็ดีล่ะ ดีขึ้น มันสะอาดขึ้น พวกเราภาวนาแล้วรู้สึกไหม ใจเราสะอาดขึ้น ตรงนี้เห็นไหม ใครรู้สึกตรงนี้ได้บ้างมีไหม ยกมือหน่อยๆ กล้าๆ หน่อย ยกให้เต็มที่ มาฟึบๆ อยู่อย่างนี้ แหม อ่อนแอไป พระอาจารย์ท่านยังยกเลยเมื่อกี้นี้ พอดีท่านคันหู เรารู้ด้วยตัวเอง ภาวนาแล้วไม่ต้องไปถามใครหรอก เรารู้ได้ด้วยตัวเอง จิตใจเราสะอาดหมดจดมากขึ้นแค่ไหน มันดูออก

เมื่อก่อนหลวงพ่อเรียนอยู่หลวงปู่ดูลย์ยังอยู่ หลวงพ่อภาวนา แล้วถึงเวลาก็ไปส่งการบ้าน ก็ไปกราบเรียนท่าน หลวงปู่ครับ กิเลสส่วนนี้ๆ ผมละแล้ว ตัวนี้ยังไม่ละ ตัวนี้อะไรอย่างนี้ กำลังของกิเลสเหลือเท่านี้เปอร์เซ็นต์ๆ หลวงปู่บอก อืม ฉลาด รู้ด้วยว่ากิเลสตัวเองเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ ใครดูตรงนี้ออกบ้างกิเลสเราเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ ดูออกไหม ดูได้ สังเกตเอา แล้วเราจะรู้เลยว่าสิ่งที่เราปฏิบัติมันมีผลจริง มันไม่ใช่ของเลื่อนลอย ไม่ใช่ปฏิบัติไปเถอะๆ เดี๋ยววันหนึ่งก็ดีเอง มันก็ดีขึ้นทุกวันๆ นั่นล่ะ ไม่ต้องรอวันหนึ่งดีหรอก ถ้ามองให้เป็นเราจะเห็นเลยว่าแต่เดิมเราเป็นคนดีที่สุดในโลก คนอื่นเลวหมดเลย พอมาหัดภาวนา โห เรานี่เลวเอาเรื่องเลย เลวกว่าที่คิด

ใครเคยรู้สึกไหม ภาวนาไปแล้วรู้สึกเราเลวกว่าที่คิด นี่ชักจะเก่งแล้ว เลวกว่าที่คิด แล้วต่อไปพอภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าจิตใจเราสะอาดหมดจดมากขึ้นๆ บางคนก็สะอาดง่าย บางคนก็สะอาดยาก กิเลสมันเหนียว ถ้ากิเลสเหนียว ถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ท่านก็โขกเอาๆ กิเลสมันก็ร่อนออกไปหน่อย เบา บางคนกิเลสเบาบาง เดินด้วยตัวเองสบายๆ ดูของตัวเองไป กิเลสก็อ่อนกำลังลงๆ ใจก็สะอาดมากขึ้นๆ วันหนึ่งมันจะเข้าถึงความบริสุทธิ์อันเดียวกับพระพุทธเจ้า

 

ทาน ศีล ภาวนาเป็นไปเพื่อลดละอกุศล เพื่อเจริญกุศล

เพราะฉะนั้นเราเดินในเส้นทางที่ท่านสอนไว้ เป็นฆราวาสท่านสอนให้ทำทาน ให้รักษาศีล ให้ภาวนา ถ้าเป็นนักบวช ท่านสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เป็นฆราวาสสอนให้ทำทานก่อน เพราะฆราวาสนี่ขี้งก แย่งชิงแต่ผลประโยชน์กัน ไม่รู้จักเผื่อแผ่ พอถึงวันเปิดโลกก็หัดดูคนอื่นบ้าง โอ คนที่ลำบากกว่าเราน่าสงสารเยอะแยะ สัตว์ที่ลำบากน่าสงสาร เห็นอกเห็นใจ ช่วยได้ก็ช่วย มีโอกาสช่วยก็ช่วย สงเคราะห์ไป

อย่างสัตว์ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือเขาเท่าที่เราจะทำได้ ช่วย ช่วยเพื่ออะไร เพื่อฝึกตัวเองลดละกิเลส เจริญกุศล ทำทานก็เพื่อลดละกิเลสเพื่อเจริญกุศล ลดละกิเลส เช่น ความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ การจะไปช่วยคนอื่นบางทีก็เหนื่อย บางทีพวกอาสาสมัครไปช่วยคนโน้นคนนี้ พวกนี้เหนื่อย ไม่ใช่ไม่เหนื่อย ก็ต้องสละ ไม่เห็นแก่ตัวถึงจะทำได้ ไปช่วยทางวัตถุสิ่งของ ให้เขาก็ลดความเห็นแก่ตัวลง ทำไปเพื่อลดละกิเลสเพื่อเจริญกุศล พอเราลดละความเห็นแก่ตัวได้ กุศลมันก็เจริญขึ้น ใจมันค่อยสะอาด สว่าง สงบมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้นเราทำทานก็เพื่อลดละกิเลสเพื่อเจริญกุศล ฝึกไปเรื่อยๆ

อย่างเราไปช่วยคน แต่เดิมเราไม่เคยมองโลกเลย ไม่เคยมองคนอื่นเลย เราไปช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ เราก็เห็นคนอื่นน่าสงสาร ลำบาก ใจมันเกิดความกรุณาขึ้นมา กรุณาเป็นกุศล มันเกิดความกรุณาขึ้นมา เกิดความเมตตาขึ้นมา เห็นสัตว์ โอ้ เกิดความเมตตา เราทำทานก็เพื่อลดละอกุศลเพื่อเจริญกุศล ถ้าทำทานแล้วอกุศลเจริญมีไหม มีมหาศาลเลย ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นด้วย อย่างเราคิดว่าถ้าเราขายบ้าน เอาเงินไปให้พระวัดนี้ดีที่สุด ตายไปเราจะได้ขึ้นสวรรค์ ก็ตกนรกตั้งแต่ไม่มีบ้านอยู่แล้ว ทำไปเพื่ออะไร จะขึ้นสวรรค์ เห็นไหมทำด้วยความโลภแล้ว อกุศลที่ยังไม่มีก็มี อกุศลที่มีแล้วก็แรงขึ้น

อย่างเราไปวัด เห็นคนเขาทำบุญ 1,000 บาท แหม เราไม่มี ตะเกียกตะกายทำ ทำบ้าง เอาอย่างเขา เราจะได้รวยๆ อะไรอย่างนี้ นี่ทำด้วยอกุศล เพราะฉะนั้นแค่ทำทานก็ต้องทำให้เป็น หรือเราไปปล่อยวัว ปล่อยควายอย่างนี้ เราทำไปด้วยความกรุณา เห็นสัตว์มันจะถูกฆ่าแล้ว ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าใจเรามีกรุณา อย่างนี้ได้บุญแล้ว จิตมันเป็นกุศล แต่ถ้าเราไม่มีเงินเลย เห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก ก็อุเบกขาๆ ไว้ เราช่วยไม่ได้แล้ว เขาก็มีกรรมเป็นของตัวเอง เราช่วยได้ เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ เราก็ต้องอุเบกขา

ถ้าปล่อยวัวปล่อยควายแล้วก็ขอ ขอผลบุญนี้ทำให้เราไม่เจ็บไม่ป่วย ให้เราแข็งแรงเหมือนวัวเหมือนควาย อธิษฐาน อันนั้นทำไปด้วยความโลภ อย่างมีคนบอกหลวงพ่อ หลวงพ่อไปปล่อยวัวปล่อยควาย ทำบุญทำทานอะไรเยอะแยะเลย บอกจะต้องแข็งแรง ธาตุขันธ์มนุษย์มันแข็งแรงตลอดไม่ได้หรอก มันก็ป่วย ต้องเจ็บ อย่าว่าแต่บุญบารมีขนาดพวกเราเลย พระพุทธเจ้าบุญบารมีเต็มเปี่ยม ท่านก็ยังแก่ ท่านก็ยังเจ็บ ท่านก็ยังตายเหมือนพวกเรานั่นล่ะ ฉะนั้นต้องเข้าใจ ไม่ใช่ทำบุญแล้วก็หวังผลโน่นหวังผลนี่ อย่างนั้นทำไปแล้วกิเลสงอกงาม ไม่ใช่กุศลงอกงาม

จะรักษาศีลก็เหมือนกัน รักษาเพื่ออะไร เพื่อลดละอกุศลเพื่อเจริญกุศล รักษาศีลแล้วก็กิเลสแรงกว่าเก่า เคยเห็นไหม เยอะแยะเลย รักษาศีลแล้วก็ไปบลัฟคนโน้นไม่มีศีลคนนี้ไม่มีศีล เรานี่ศีลดีมากเลย ศีลดีมากอะไร เที่ยวว่าคนโน้นคนนี้ นั่นล่ะผิดศีลข้อ 4 ไปเรียบร้อยแล้ว ไปเพ่งโทษคนอื่น ไปว่าคนอื่นอะไรอย่างนี้ เราถือศีลเพื่อขัดเกลาตัวเอง เราไม่ยอมตามใจกิเลส ตรงที่เราไม่ยอมตามใจกิเลส กิเลสมันจะอ่อนกำลังลง กิเลสมันเหมือนสัตว์ร้าย ถ้าเราตามใจมัน คือเราให้อาหารมัน มันก็ยิ่งแข็งแรง ถ้าเราไม่ตามใจมัน เหมือนสัตว์ร้ายอยู่ในกรง ไม่สามารถจะอาละวาดได้ อดอยากไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ผอมเหี่ยวแห้งไป เพราะฉะนั้นเวลาเรารักษาศีล รักษาเพื่อลดละกิเลส ไม่ใช่รักษาเพื่อสนองกิเลส แล้วจิตเราก็จะเป็นกุศล ลดกิเลสได้ กุศลมันก็เกิดล่ะ

เราภาวนาก็เหมือนกัน ภาวนาก็เป็นไปเพื่อลดละอกุศลเพื่อเจริญกุศล ถ้าภาวนาแล้วหวังจะได้เป็นเทวดา หวังจะได้เป็นพรหม ทำด้วยความโลภ ดีไหม ดีเหมือนกัน แต่ไม่ดีมากหรอก มันยังมีกิเลสเจืออยู่ แล้วเราภาวนา สังเกตตัวเองไป จิตใจมันฟุ้งซ่าน คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรมคิดถึงพระสงฆ์ไป คิดถึงความตาย คิดถึงทานที่เราได้ทำแล้วด้วยดี คิดถึงศีลที่เรารักษาแล้วด้วยดีอะไรอย่างนี้ คิดถึงลมหายใจ คิดถึงร่างกายตัวเอง ใจก็ค่อยสงบ ไม่ฟุ้งซ่านไป ใจที่ฟุ้งซ่านเป็นจิตอกุศล จิตที่ฟุ้งซ่านเป็นอกุศลจิต จิตที่สงบอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ จิตที่สงบบางทีเฉยๆ แต่เฉยแล้วโง่ เยอะเลยทำกรรมฐานเฉยโง่ เฉยๆ แต่โง่ ไม่ยอมเดินปัญญา ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราภาวนาเพื่อลดละกิเลสเพื่อเจริญกุศล

อย่างจิตใจเราฟุ้งซ่าน เราทำสมถะเพื่อลดความฟุ้งซ่าน การทำสมถะ เพื่อข่มนิวรณ์ นิวรณ์เป็นกิเลสระดับกลางๆ เราข่มมันไม่ได้ มันก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา พัฒนาขึ้นเป็นราคะ โทสะ โมหะไม่ได้ ใจเราก็ค่อยสดชื่นหน่อย ข่มนิวรณ์ลงไปได้ อย่างน้อยขณะนั้นไม่ชั่ว ตรงที่มันไม่ชั่ว ตรงนั้นมันก็ดีแล้วล่ะ ก็ทำสมาธิ มันก็ลดกิเลส ข่มกิเลสไว้ แล้วจิตใจมันก็เป็นกุศลขึ้นมา อย่างที่บอกเมื่อกี้ ถ้าเราเข้าฌานได้ พรหมวิหารมันเกิดเองล่ะ ถ้าเข้าฌานได้ กิเลสขณะนั้น นิวรณ์ทั้งหลายไม่เกิด แต่จิตใจมันจะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาขึ้นเอง ค่อยๆ ฝึก

ถ้าเราก้าวไปสู่ขั้นการทำวิปัสสนา มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ทำวิปัสสนาก็เพื่อลดละกิเลสเพื่อเจริญกุศลเหมือนกัน ตั้งแต่ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ จนถึงเจริญปัญญา เป้าหมายก็อันเดียวกัน ทำไปเพื่อลดละอกุศลเพื่อเจริญกุศล

 

ภาวนาในขั้นวิปัสสนาเพื่อล้างความเห็นผิด

พอฝึกไปเรื่อยๆ ตรงที่เรารักษาศีลใช่ไหม ใจเราก็มีคุณงามความดีขึ้นมา ตรงที่เรามีสมาธิ ใจเราก็มีเมตตากรุณาอะไรขึ้นมา เป็นความดี แล้วตรงที่เราเจริญปัญญา ตัวนี้เป็นความดีอันยิ่ง คือเราสามารถเห็นได้ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริง ไม่มีอะไรที่เป็นอมตะในโลกนี้ ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้เลย พอเห็นความจริงอย่างนี้ ใจมันจะคลายออกจากโลก ฉะนั้นวิปัสสนากรรมฐานทำให้เราเห็นความจริงของโลก โลกก็คือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย เมื่อเราเห็นความจริงของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย จิตก็จะคลายออกจากโลก เพราะเห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย เพราะเบื่อหน่ายจึงคลายความยึดถือ เพราะคลายความยึดถือ จึงหลุดพ้น

ความหลุดพ้นของเรา วิมุตติทั้งหลายมันมาจากอะไร มาจากเพราะเห็นตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นตามความเป็นจริง เรียกมีอวิชชา ถ้าเห็นตามความเป็นจริงเขาเรียกมีวิชชา ล้างความเข้าใจผิด รู้ผิดเข้าใจผิดไปด้วยการทำวิปัสสนา เห็นกายอย่างที่กายเป็น เห็นจิตใจอย่างที่จิตใจเป็น ค่อยฝึกไปเรื่อยๆ ทีแรกเห็นจิตมันยอมรับไม่ได้ จิตมันสะท้านหวั่นไหวเลย ภาวนาไปๆ เห็นปุ๊บร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา โหย จิตตกใจเลย แต่หลวงพ่อไม่เป็น หลวงพ่อผ่านตัวนี้ง่ายๆ

มีรุ่นน้องคนหนึ่งเห็นหลวงพ่อภาวนา อยากภาวนา หลวงพ่อก็สอนให้ คนนั้นหลวงพ่อสอนง่ายๆ พุทโธไปเรื่อยๆ เลิกคิดเรื่องอื่น พุทโธๆ ไป พอจิตเขาสงบปุ๊บ เขาเห็นหัวกะโหลกตัวเอง มองทะลุเข้าไปเห็นหัวกะโหลก จิตมันยอมรับไม่ได้ว่าตัวเราอีกหน่อยก็ต้องตาย มันยอมตรงนี้ยังไม่ได้เลย อย่าว่าแต่จะละรูปนาม ละความยึดมั่นในรูปนาม ขันธ์ 5 อะไรเลย แค่ความจริงเบื้องต้นว่าต่อไปเราก็ต้องตาย แค่นี้ยอมรับไม่ได้แล้ว เลิกปฏิบัติเลย เพราะปฏิบัติแล้วจิตใจเศร้าหมอง กลัว

พวกเราหลายคนเป็น สังเกตดูชอบเป็นตอนแปรงฟัน ขยับอย่างนี้ ขยับไปๆ แล้วอยู่ๆ มันเห็นมือมันไม่ใช่เรา บางคนเห็นแล้วตกใจ เฮ้ย มือด้วนไปแล้ว ไม่ใช่เราไปแล้ว ส่วนอื่นยังเป็นเราอยู่ มือไม่ใช่เรา แขนไม่ใช่เรา ตกอกตกใจ ไม่ต้องตกใจหรอก มันเห็นความจริงนิดหน่อยก็กลัวเสียแล้ว เรียนรู้มันไปเรื่อย ต่อไปมันก็เห็นร่างกายนี้ทั้งหมดไม่ใช่เราหรอก ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลย มันเสียหายตรงไหน การที่เห็นความจริงว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มีแต่เรื่องดี ถ้าเราเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ใครมันแก่ ร่างกายมันแก่ ไม่ใช่เราแก่ ใครมันเจ็บ ร่างกายมันเจ็บ ไม่ใช่เราเจ็บ ใครมันตาย ร่างกายมันตาย ไม่ใช่เราตาย เราเป็นแค่คนรู้คนเห็นเท่านั้นเอง เราก็จะไม่เดือดร้อน เพราะความแปรปรวนในร่างกาย เห็นไหม สบาย มีความสุข

ยิ่งภาวนาเข้ามาถึงจิตถึงใจได้ จิตเห็นจิตไปเรื่อย มีจิตเห็นจิตไปเรื่อย จะพบว่าจิตสุขก็ไม่เที่ยง จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง จิตเป็นกุศลก็ไม่เที่ยง จิตเป็นอกุศลก็ไม่เที่ยง ถึงวันหนึ่งจิตมันสรุปเลย จิตทั้งหมดไม่เที่ยง จิตทั้งหมดไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี พอถึงจิตไม่ใช่เราตัวเราจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่ถ้าเห็นกายไม่ใช่เรา มันยังรู้สึกในนี้มีเราอยู่คนหนึ่ง แต่ร่างกายไม่ใช่เรา มันมีเรา อันนี้คือตัวจิตใจของเรานี้ มาแฝงอยู่ในร่างกาย ถ้าภาวนาจนถึงเห็นว่าจิตใจก็ไม่ใช่เรา มันจะพบว่าตัวเราไม่มีแล้ว ในโลกนี้ไม่มีเรา ในขันธ์ 5 ไม่มีเรา ขันธ์ 5 ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีเราตรงไหนเลย

พอมันไม่มีเรา คราวนี้มันก็เหลือแต่ปรากฏการณ์ของรูปธรรมของนามธรรม ผ่านมาผ่านไป แต่จิตมันยังยึดถืออยู่ มันรู้แล้วว่ารูปนาม ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา แต่มันยังยึดถือๆ อยู่ ไม่ยอมปล่อย ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นของเรา เราจะรู้สึกอย่างนี้ มันไม่ใช่เรา แต่มันเป็นของเรา ร่างกายไม่ใช่เราหรอก แต่มันเป็นของเรา เราอาศัยอยู่ ค่อยๆ ดู แล้วต่อไปปัญญาแก่กล้าขึ้น เรียนรู้ลงไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าทั้งหมดไม่ใช่เราเลย ยึดถือไม่ได้ มีแต่ทุกข์

 

เห็นทุกข์แจ่มแจ้ง

พอปัญญาแก่รอบ ไม่ได้เห็นสิ่งอื่น ถ้าปัญญาแก่รอบจริงๆ ก็จะเห็นรูปมันคือทุกข์ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย นามธรรมทั้งหลายรวมทั้งจิตมีแต่ทุกข์ ทุกข์มากกับทุกข์น้อย เห็นอย่างนี้จิตถึงจะวาง ถ้ายังภาวนาเห็นแล้วกายนี้ใจนี้ไม่ใช่เรา แต่มันยังยึดถืออยู่ ต้องเห็นต่อไปอีก กายนี้คือก้อนทุกข์ ถ้าเห็นอย่างนี้ มันถึงจะวางความยึดถือกาย ถ้าเห็นว่าจิตคือตัวทุกข์ มันถึงจะปล่อยวางจิตได้ ถ้าวางกาย ได้ จิตก็สบายขึ้นเยอะเลย ก็ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกมนุษย์อย่างนี้แล้ว ตายไปก็ไปเป็นพรหม เพราะจิตไม่ติดในกามแล้ว

กามมันก็อาศัยกายนี้ล่ะ สิ่งที่เรียกว่ากายก็มีตา หู จมูก ลิ้น ร่างกายเป็นของไปกระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ กระทบแล้วเราก็ติดอกติดใจเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น เรียกติดในกาม แต่พอเราเห็นความจริงแล้ว ร่างกายไม่ใช่ของดีของวิเศษ ร่างกายเป็นตัวทุกข์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันก็เป็นตัวทุกข์ เมื่อตามันเป็นทุกข์แล้ว รูปมันจะวิเศษแค่ไหน รูปมันเป็นของข้างนอก ตามันเป็นทุกข์เสียแล้ว รูปมันไม่มีสาระอะไร หูมันเป็นทุกข์แล้ว เสียงมันก็ไม่มีสาระ จมูกมันเป็นทุกข์ กลิ่นมันก็ไม่มีสาระอะไร ลิ้นมันเป็นทุกข์ รสมันก็ไม่มีสาระอะไร ร่างกายเรา ประสาททางร่างกายเราไม่มีสาระแก่นสาร โผฏฐัพพะ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมที่มากระทบกายก็ไม่มีสาระแก่นสารอะไร

เพราะฉะนั้นตัดลงที่กายอันเดียว มันก็ตัดกาม ตัดรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะภายนอกไปด้วย เมื่อจิตมันไม่ยึดในตา มันก็ไม่ยึดในรูป มันไม่ยึดในหู มันก็ไม่ยึดในเสียง มันไม่ยึดด้วยกัน เมื่อมันไม่ยึดในรูป มันก็ไม่มีความยินดีในรูป คือไม่มีกามฉันทะ เมื่อไม่ยึดในรูป มันก็ไม่มีปฏิฆะ ความยินร้ายในรูป มันก็สักว่ารู้สักว่าเห็นรูป หูได้ยินเสียงมันก็ไม่มีความยินดียินร้ายในเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสก็ไม่มีความยินดียินร้ายในกลิ่น ในรส ในสัมผัส มันก็ละกาม ละปฏิฆะได้ นี่เป็นภูมิจิตภูมิธรรมของพระอนาคามี

พระอนาคามีรู้แจ้งลงไปในตัวรูปแจ่มแจ้งแล้ว ก็วางรูปได้ เราก็ภาวนาต่อไป จะบีบวงเข้ามาที่จิต คราวนี้สงครามครั้งใหญ่ สงครามล้าง สงครามล้างโลกๆ เกิดขึ้นที่จิตนั่นเอง ก็เรียนรู้จิตไป จิตที่มันวางกายได้แล้ว มันจะทรงสมาธิสมบูรณ์อยู่อย่างนั้น เด่นดวงสมบูรณ์ มีสมาธิ เพราะจิตไม่ไหล โคลงเคลง คลอนแคลนไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตมันก็ตั้งมั่นอยู่ แล้วมันมีความสุข จิตมันเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความสุขอันมหาศาล

พอสติพอปัญญาแก่กล้าขึ้น มันกลับไปเห็นจิตที่ว่าเป็นตัวสุขแท้จริงคือตัวทุกข์ มันทุกข์ถึงระดับที่ว่าไม่มีอะไรในโลกที่จะทุกข์เท่าตัวจิตเลย ตัวจิตนั่นล่ะคือตัวบรมทุกข์ ตัวต้นตอของความทุกข์ในโลก แล้วตัวมันก็เป็นตัวบรมทุกข์ด้วย ตัวจิตตัวเดียวนี้เอง มันทุกข์เพราะความไม่เที่ยง บางท่านเห็นว่ามันทุกข์ เพราะมันถูกบีบคั้น บางท่านเห็นว่ามันทุกข์เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับ พอเห็นจิตเป็นตัวทุกข์แจ่มแจ้ง จิตก็ปล่อยวางจิต เห็นจิตเป็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ จิตก็วางจิตลงไป จิตที่ปล่อยวางจิตมันจะเกิดจิตอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา เรียกว่ามหากิริยาจิต มหากิริยาจิตมันพรากออกจากขันธ์ มันหลุดออกจากโลกแล้ว

ฉะนั้นพระอรหันต์ท่านก็เจริญสติปัฏฐาน เป็นเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ เจริญสติปัฏฐาน แต่เจริญไปอย่างนั้นล่ะ จิตมันพรากมันแยกตัวออกจากขันธ์ มันไม่รวมเข้ากับขันธ์แล้ว จิตดวงนี้เป็นตัวมหากิริยาจิต ไม่มีอะไรปรุงแต่งมัน ครูบาอาจารย์ท่านก็เรียกว่าธรรมธาตุบ้าง วิญญาณธาตุบ้าง แล้วแต่ท่านจะเรียก มันจะมีความรู้สึกว่าโลก ร่างกายนี้มันว่าง โลกมันก็ว่าง จิตมันก็ว่าง ไม่มีอะไร ว่างเสมอกันหมดทั้งจักรวาล

 

ทางแห่งความบริสุทธิ์

ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ ทำไป ทำทานเพื่อลดละอกุศลเพื่อเจริญกุศล รักษาศีลเพื่อเจริญกุศลเพื่อละอกุศล ภาวนา ภาวนามี 2 อัน ทำความสงบกับเจริญปัญญา ทำความสงบก็เพื่อลดละอกุศล คือข่มนิวรณ์ไว้เพื่อเจริญกุศล จิตใจเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นกุศลขึ้นมา ทำวิปัสสนา ภาวนาในขั้นวิปัสสนาเพื่อล้างความเห็นผิดๆ ความเห็นผิดอะไร ความเห็นผิดว่ารูปนาม ขันธ์ 5 เป็นตัวดีตัววิเศษ พอรู้แจ้งเห็นจริงว่ารูปนาม ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง มันก็ละสมุทัย หมดความอยาก หมดความดิ้นรน ปรุงแต่ง ก็ไม่หยิบฉวยจิตใจขึ้นมาอีก ที่สุดของทุกข์มาอยู่ตรงที่วางจิตลงไปได้นั่นล่ะ

เราทำวิปัสสนาไม่ใช่เพื่อความฉลาดรอบรู้ ทำวิปัสสนาเพื่อจะฉลาดรอบรู้ ธรรมะมากมาย จะได้เอาไปคุยอวดคนอื่น นั่นทำไปเพื่ออกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำทาน รักษาศีล เจริญปัญญา ทำทาน รักษาศีล ทำความสงบและเจริญปัญญา ก็ต้องลดละอกุศล เจริญกุศล ตั้งเป้าไว้ให้ถูก ถ้าเราภาวนาอย่างนี้จิตเราจะเดินเข้าสู่วิสุทธิๆ ไปถาม Google ดู วิสุทธิเป็นองค์ธรรมที่ดี แต่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อลดละกิเลส เพื่อเจริญกุศลทั้งนั้น ค่อยๆ ฝึก

ถ้าเราภาวนาแล้วยังไม่ได้มุ่งไปที่ลดกิเลสตัวเอง ไม่ได้มุ่งไปที่เจริญกุศล ยังไม่เข้าร่องเข้ารอย ยังนอกรีตนอกรอยอยู่ ถ้าทำไปเพื่อละอกุศลเพื่อเจริญกุศล อันนั้นเข้าสู่ทางแห่งความบริสุทธิ์แล้ว จิตจะเดินไปในวิสุทธิทั้ง 7 วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ขืนต่อวิสุทธิ 7 จะอีกชั่วโมงหนึ่ง เอาเท่านี้ก็แล้วกัน จำได้ไหมสอนอะไรวันนี้ ไม่ว่าจะทำทาน หรือรักษาศีล หรือจะภาวนา ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ทำไปเพื่อลดละกิเลส เพื่อเจริญกุศล

ที่บอกวันนี้คือเรื่องนี้ แล้วชีวิตมันจะได้มีความสุข ทีแรกเราก็จะไม่ชั่ว ตรงไม่ชั่วเราก็ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนของสัตว์ในอบายภูมิ แล้วเราก็มีศีลมีธรรม ใจเราก็ยกระดับจากมนุษย์กระดำกระด่างขึ้นมาเป็นเทพเป็นเทวดาในร่างมนุษย์นี้ล่ะ มีศีลมีธรรม ต่อไปพอเราฝึกจิตให้เราสงบ ข่มนิวรณ์ได้ จิตใจร่มเย็นเป็นสุข เราก็ไปเป็นพรหมได้ จิตเราก็เป็นพรหมในร่างมนุษย์นี่ล่ะ แล้วถ้าเราภาวนาไปเรื่อย ลดละกิเลส เจริญกุศลเรื่อยๆ ต่อไปจิตเราก็เป็นพระ

ไหนๆ ก็จะเข้าถึงวันเทโวโรหณะแล้ว ลองฟังเวอร์ชันใหม่ ไม่ใช่ฟังแบบ เฮ้ย เชื่อไม่ได้นิทานปรัมปรา แต่ถ้าพูดอย่างนี้เถียงออกหรือเปล่า เถียงไม่ออกหรอก หัดมองอะไรให้มันทะลุเข้าไปจากปุคคลาธิษฐาน ให้มันมันเข้าสู่ธรรมาธิษฐาน มองอะไรทะลุเรื่องของคน สัตว์ เรา เขาอะไรออกไป เข้ามาให้เห็นตัวธรรมะเสียบ้าง อย่างฟังเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะตอนเกิดลุกขึ้นเดิน 7 ก้าว อันนี้มันเป็นปุคคลาธิษฐาน เป็น Symbolic เป็นสัญลักษณ์ เนื้อแท้ซ่อนธรรมะเอาไว้ 7 ก้าวก็คือโพชฌงค์ 7 ก้าวไปสู่ความบริสุทธิ์

หรือเปิดโลก เปิดให้เป็นๆ มองคนอื่นบ้าง มองสัตว์ที่ต่ำกว่าเรา มองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มองคนที่เขามีความสุข มองคนที่เขามีความสงบ มองเข้าไปจนถึงความบริสุทธิ์ หัดมองไป ทำไมเราถึงลงข้างล่าง เพราะอกุศลเราเยอะ ทำไมขึ้นข้างบน เพราะลดละอกุศลได้ เพราะเจริญกุศลได้ ทำอย่างไร ถึงจะบริสุทธิ์ เพราะละบาปอกุศลทั้งปวง เพราะทำกุศลให้ถึงพร้อม นั่นล่ะก็จะเข้าถึงความบริสุทธิ์ จบจริงๆ แล้ว

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
29 ตุลาคม 2566