วัฏฏะไม่มีความแน่นอน

พวกเราตอนนี้ต้องอยู่บ้านภาวนาไป ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติไป หลายคนอยู่บ้านแล้วภาวนาได้ดี บางคนดีมากๆ เลย มีคนหนึ่งมาสมัครบวชที่วัดหลวงพ่อ แต่เจ้านายไม่ให้ลาบวชก็เลยไม่ได้มาอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เคยไปบวชวัดครูบาอาจารย์แห่งหนึ่ง ไปนั่งสมาธิก็ได้แต่สงบเฉยๆ มาดูยูทูปมาอะไรที่หลวงพ่อเทศน์ ที่ทีมงานช่วยกันทำขึ้นมา เขาภาวนาได้ดี จิตใจใช้ได้เลย

บางคนภาวนาแต่ว่าสนใจเรื่องโลกๆ อย่างพยายามมาถามหลวงพ่อ สามีตายแล้วไปเกิดที่ไหนอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อไม่รู้หรอกตอนสามีเป็นๆ หลวงพ่อยังไม่รู้เลยว่าไปอยู่ที่ไหน ตายแล้วหลวงพ่อจะไปรู้ได้อย่างไร ที่หลวงพ่อสอนคือเรื่องของการเจริญสติเจริญปัญญา เรื่องอื่นๆ ขอไม่ตอบ แต่ถ้าเรามั่นใจว่าคนที่ตายไป ในชีวิตเขามีปกติสร้างคุณงามความดี เราก็มั่นใจได้ 80 เปอร์เซ็นต์ว่าไปได้ดี เวลาเราภาวนาก็ไม่ต้องไปห่วงคนอื่นตอนนี้ เป็นเวลาที่จะฝึกตัวเอง ดูแลตัวเองให้มันพัฒนาไปก้าวหน้าไป สังสารวัฏยาวไกลก็จริง หลวงปู่เทสก์ท่านเคยบอกว่า “ตราบใดที่ยังมีกิเลส เราก็จะมีเวลาไม่มีที่สิ้นสุด” ฉะนั้นสังสารวัฏมันยาว ทำอย่างไรมันจะสั้นลง ก็หัดภาวนาให้ดีๆ เจริญสติเจริญปัญญาไป วัฏฏะมันก็จะเริ่มสั้นลงๆ เมื่อภาวนาไปถึงจุดหนึ่งได้ดวงตาเห็นธรรม วัฏฏะของเราสั้นมาก เกิดได้อีกไม่เกิน 7 ชาติ พระโสดาบันเกิดไม่เกิน 7 ชาติ พระโสดาบันบางองค์เกิดไม่ถึง 7 ชาติ เกิด 3 ชาติ บางองค์เกิดชาติเดียว

ถ้าได้พระโสดาบันแล้วขยันภาวนาจริงๆ อาจจะพ้นไปในชาตินี้เลยไม่ต้องเกิดสักชาติ ถ้าเราภาวนาสังสารวัฏก็จะสั้นลงๆ แต่ถ้าเราไม่ได้ภาวนาหรือภาวนาผิด สังสารวัฏยาวไม่มีที่สิ้นสุด เวลาที่เราเดินทางไกลในสังสารวัฏเราก็มีพ่อ มีแม่ มีสามี มีภรรยา มีลูก มีหลาน แต่ละภพแต่ละชาติก็มีเยอะแยะไปหมด ชาตินี้คนนี้มาเป็นสามี ชาติหน้าคนอื่นก็มาเป็นอะไรอย่างนี้ วัฏฏะไม่มีความแน่นอน หรือมาเป็นพ่อแม่เป็นลูกหลานกัน วัฏฏะที่ยาวนานนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงขนาดบอกว่า คนในโลกที่มาเจอกัน ที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกัน ไม่เคยเป็นลูกเป็นอะไรอย่างนี้ แทบไม่มีเลย หาแทบไม่ได้เลย

 

คู่บารมี

ทุกคนที่เราพบเราเห็นในชีวิตเรานี้ มันก็ต้องมีบุพกรรมร่วมกันมา มาเจอกัน บางคนชาตินี้รักกัน อีกชาติหนึ่งก็ไปรักคนอื่น หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ เคยดูเขาลอยกระทงไหม เราลอยกระทงด้วยกัน 2 คน พอลงน้ำไปเดี๋ยวมันก็แยกกันไป กระทงของเราก็ไปเจอกระทงคนอื่น กระทงสามีภรรยาเราก็ไปเจอกระทงอื่น หมุนไปเรื่อยๆ วัฏฏะหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะไม่ได้กังวลมากว่าคนที่เรารักตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน ก็ในความเป็นจริงคนที่เรารักตายไปนับจำนวนไม่ถ้วน ในแต่ละภพแต่ละชาติรวมๆ ทุกภพทุกชาติ ยิ่งนับไม่ถูกเลย คนที่เราเกลียดตอนนี้ครั้งหนึ่งอาจจะเป็นคนที่เรารัก คนที่เรารักตอนนี้ครั้งหนึ่งอาจจะเป็นคนที่เราเกลียด อย่างบางคู่รักกันดีแต่งงานอยู่กันไม่นาน ก็เกลียดกันเข้าไส้เลย มันเคยเกลียดกัน กิเลสมันหลอกให้มารักกัน พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆ ก็อยู่กันไม่ได้ อยู่กันไม่มีความสุข

พวกเราอยู่ในโลกเราก็หวังจะมีคู่ เรียกให้โก้เลย “คู่บารมี” คนที่จะมีคู่บารมีได้ต้องสะสมบุญบารมีร่วมกันมาไม่ใช่น้อย บางชาติก็ยังพลัดพรากกันได้ แต่ใจที่ซื่อตรงต่อกันอย่างแท้จริง ก็จะดึงดูดทำบุญทำกุศลอะไรร่วมกันเรื่อยๆ พอใจผูกพันกันก็จะดึงดูดเข้ามาหากันได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่ไม่มีหรอก ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนผัวเปลี่ยนเมียกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องดูชาติก่อนหรอก ชาตินี้ยุคนี้สมัยนี้เปลี่ยนคู่กันเป็นว่าเล่นเลย อยู่มัธยมก็เริ่มจับคู่กันแล้ว ผู้หญิงผู้ชาย ผู้หญิงๆ ผู้ชายๆ จับคู่กันก็รักกันมาก อยู่ไปช่วงหนึ่งก็เบื่อหน้ากัน มันไม่ใช่เรื่องความผูกพันด้วยบุญด้วยกุศลหรอก มันมาเจอกันมันมาพออกพอใจกัน ด้วยกิเลส ด้วยตัณหาราคะ

ถ้าเราเข้าใจความเป็นจริงของวัฏสงสาร ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า คนเราที่เจอกันที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องกันแทบไม่มีเลย เราก็จะไม่ค่อยเกลียดใคร อย่างคนที่เราเกลียดก็คงเป็นพ่อแม่พี่น้องเรามา ไม่รู้จะไปเกลียดมันทำไม มันน่าสงสาร เราระลึกชาติไม่ได้เราก็คิดว่าเรามีพ่อแม่อยู่ 2 คนนี้ หรือมีสามี มีภรรยา 1 คน ตายไป โอ๊ย เศร้าโศก จะเศร้าโศกสักเท่าไรไม่นานก็ลืม บางคนไม่ลืมตลอดชีวิต ไปเกิดใหม่ก็ลืม ก็ไปรักคนอื่นต่อ สังสารวัฏไม่ได้มีอะไรน่าชื่นใจเลย แล้วก็ไม่มีอะไรยั่งยืนมั่นคงเลย มันเป็นอย่างนี้มาตลอด ถ้าเราเข้าใจเราก็ไม่ยึดถือมันมาก เราจะไม่กลุ้มใจ คนที่เรารักตายไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนอะไรอย่างนี้ เขาก็ไปตามกรรมของเขา

ถ้าเราเคยสร้างกรรมเสมอกัน มีศีลเสมอกัน เช่น มีศีลที่ดีเสมอกัน หรือมีศีลที่ชั่วเสมอกัน มีธรรมเสมอกัน อย่างบางคนมีความขี้เหนียวเหมือนๆ กัน มีศีลมีธรรมเสมอกันมันก็ดึงดูดกัน เดี๋ยวก็ได้ไปเจอกันอีก แต่ถ้าคนหนึ่งดีคนหนึ่งชั่ว มันจะยิ่งเดินห่างกันไปเรื่อยๆ คนหนึ่งเดินลงเหวไป คนหนึ่งเดินขึ้นภูเขาไป จุดเริ่มต้นอยู่ด้วยกันแต่เดินแล้วก็ต่างคนต่างเดิน สังสารวัฏนี้ทางใครทางมัน ที่จะเป็นคู่บารมีอย่างแท้จริงเหมือนเจ้าชายสิทธัตถะกับพระนางยโสธราหายาก บุญบารมีท่านเต็มแล้ว นอกนั้นก็คือเคลื่อนไหวไปตามยถากรรม ฉะนั้นถ้าเรารักสามีรักภรรยาเราจริงจัง พยายามให้มีศีลเสมอกัน ให้มีธรรมะเสมอกัน แล้วควรจะเป็นทางดีด้วยไม่ใช่เสมอทางเลว เสมอกันทางเลวมันก็จะพากันตกต่ำไปเรื่อยๆ เสมอกันทางดีมันก็จะพัฒนาคู่กันไป สูงขึ้นๆ ไป

วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าคนที่เรารักตายไปอย่ามัวแต่เสียอกเสียใจ ทำบุญทำกุศลส่งอุทิศให้ ใจมันจะได้เชื่อมต่อผูกพันไว้ บางคนภรรยาตายไวสามีก็รักๆ ตั้งใจไว้ขอให้เจอกันทุกภพทุกชาติ ภรรยาไปเกิดก่อนตั้งหลายสิบปีแล้วไปเจอกัน กลายเป็นเด็กหนุ่มรักผู้หญิงอาวุโสอะไรอย่างนี้ ก็มีไม่ใช่ไม่มี แต่โอกาสมันยาก มันน้อย มันยากลำบากที่ว่าตายแล้วกลับมาเจอกัน เพราะวัฏฏะนี้มันใหญ่โตมากเลย สังสารวัฏนี้สัตว์มันนับจำนวนไม่ถ้วน หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป การที่จะได้กลับมาเจอกันมันยากกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 อีก ฉะนั้นเราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพียงแต่ว่าชาตินี้อยู่ด้วยกันก็ดีต่อกันไว้ แล้วก็เป็นแรงหนุนเกื้อกูลให้พัฒนาคุณภาพชีวิต ให้มีศีลมีธรรมอะไรให้มันดีขึ้นๆ ไปด้วยกัน ก็จะได้เป็นเพื่อนสหธรรมิกกันจริงๆ ทุกอย่างมันอยู่ใต้กฎแห่งกรรม ไม่มีบังเอิญ การที่เรามาเจอใครสักคนหนึ่งแล้วเราชอบ หรือเจอใครสักคนแล้วเราเกลียด ก็อยู่ในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้นไม่มีคำว่าบังเอิญ ไม่มีคำว่าฟลุก

ฉะนั้นเมื่อเจอกันแล้วก็ปฏิบัติต่อกันให้ดีที่สุด เพราะไม่นานก็จะต้องแยกจากกันไป อย่าให้นึกเสียใจทีหลัง อย่างบางคนพ่อแม่มีชีวิตอยู่ไม่สนใจปล่อยทิ้งขว้างอดๆ อยากๆ มัวแต่เลี้ยงลูกของตัวเองอยู่แล้วทิ้งพ่อทิ้งแม่ไปลำบาก พอพ่อแม่ตายเสียใจ มันเป็นความเสียใจที่แก้ไม่ตกแล้ว ความผิดพลาดบางอย่างแก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้แล้วก็เสียใจไปทั้งชาติ อย่างคนไหนดูแลพ่อแม่ดี มาเจอกันเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันก็ดูแลกันดี ตายไปนึกถึงก็ยังอิ่มอกอิ่มใจ ไม่ได้นึกถึงแล้วก็ตำหนิติเตียนตัวเอง ยกตัวอย่างพ่อกับแม่ สามีภรรยาก็เหมือนกัน พ่อแม่ลูกก็กลุ่มหนึ่ง สามีภรรยาก็กลุ่มหนึ่ง ปฏิบัติต่อกันให้มันดีๆ แล้วชีวิตในปัจจุบันร่มเย็นเป็นสุข ในอนาคตข้างหน้าโอกาสที่จะเจอกันอีกมันก็สูงขึ้น ลำพังแต่อยากอย่างเดียวแล้วก็มีทานไม่เสมอกัน มีศีลไม่เสมอกัน มีธรรมะไม่เสมอกันอะไรอย่างนี้ไม่ได้เจอกัน หรือเจอก็เกลียดกันไปเลย นิสัยใจคอมันจะต่างกันมาก

 

 

หลวงพ่อเคยบอกหลายทีแล้วว่า ศาสนาพุทธเป็นเรื่องเหตุกับผลทั้งนั้นเลย คำสอนทั้งหลายเป็นเรื่องเหตุกับผล ในทางโลกียะพระพุทธเจ้าท่านก็สอน เหตุในทางโลกียธรรม มีผลเป็นความสุขในโลก ในทางโลกุตตรธรรมพระพุทธเจ้าก็สอนเหตุ ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราทำเหตุสมบูรณ์ก็มีผลเกิดโลกุตตรผลขึ้นมา ได้มรรคผลสัมผัสพระนิพพาน ฉะนั้นไม่มีอะไรฟลุก ไม่มีอะไรบังเอิญ จะอยู่กับโลกก็ต้องทำเหตุ เพื่อเราจะได้อยู่กับโลกอย่างมีความสุข จะอยู่ในทางธรรม โลกกับธรรมมันอยู่ด้วยกัน มันแยกกันไม่ได้หรอก เราแยกหมวกของเรา แยกหน้าที่ของเราให้ออก ตอนนี้ทำหน้าที่ในทางโลกทำมาหากินก็ทำไป เลี้ยงดูครอบครัวพ่อแม่อะไรก็เลี้ยงดูไป ทำหน้าที่ในทางโลก ทำหน้าที่ของพลเมืองก็มีหน้าที่

ในทางธรรม ไม่ใช่ว่าเราทำหน้าที่ทางโลกแล้วงานทางธรรมจะเสีย ถ้าเราเข้าใจการปฏิบัติธรรมจริงๆ เราอยู่กับโลกนี่ล่ะงานทางธรรมของเราไม่เสีย มีพวกเราจำนวนมากไม่ได้บวช อาศัยฟังยูทูป ดูวีดิโอฟังซีดีอะไรที่ทีมงานเขาทำ ตั้งอกตั้งใจ สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองได้ พัฒนาตัวเองได้ทั้งๆ ที่ทำมาหากินอยู่นี่ล่ะ บางคนทำมาหากินอย่างยากลำบาก ลูกศิษย์หลวงพ่อไม่ได้ร่ำรวยทุกคนหรอก เพราะหลวงพ่อไม่ได้เลือกว่าคนไหนจนคนไหนรวย หลวงพ่อสอนให้เสมอกันหมด ใครรับได้แค่ไหนก็แค่นั้น บางคนรวยแต่มันรับได้แค่โลกียธรรม แค่ว่าทำอย่างไรชีวิตมันจะมีความสุข ก็รับธรรมะได้แค่นั้นก็แค่นั้น

บางคนยากจนชีวิตทางโลกอัตคัดขาดแคลนลำบาก เขาฟังซีดีดูยูทูปอะไรอย่างนี้ ภาวนา เขาสามารถมีความสุขท่ามกลางความวุ่นวาย มีความสุขอยู่ได้ ก็พัฒนาใจสูงขึ้นๆ ได้ แล้วเขารู้เลยว่าชีวิตเขาไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นหรอก จะพึ่งนักการเมืองก็พึ่งไม่ได้ พึ่งหัวคะแนนก็พึ่งไม่ได้ พึ่งเงินกู้นอกระบบยิ่งพึ่งไม่ได้ใหญ่เลย อย่าไปยุ่งกับมันเด็ดขาด พึ่งการพนันก็พึ่งไม่ได้ เขาพบว่าชีวิตเขาไม่มีที่พึ่งเลย คือถ้าไม่ได้มีธรรมะบางคนบอกเลย ไม่ได้ธรรมะก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว มันทนต่อความทุกข์ยากไม่ไหว ชีวิตสะสมมาในทางโลกไม่มากก็ค่อนข้างอัตคัดขาดแคลน แต่ว่าในทางธรรมคนที่ลำบากยากจนอาจจะเป็นเศรษฐีในทางธรรมะก็ได้ เอาแน่ไม่ได้

หลวงพ่อเคยเห็นหลายคน ตั้งแต่หลวงพ่อไปภาวนากับครูบาอาจารย์ใหม่ๆ อย่างไปทางสุรินทร์ คนเมืองสุรินทร์ยุคโน้น ที่เข้ามาภาวนาอยู่กับหลวงปู่ดูลย์อะไรนี้ ชาวบ้าน ชาวบ้านบางคนอดมื้อกินมื้อเลย บางคนทำงานก็มีเงินกินเป็นวันๆ ไป วันไหนไม่ทำก็ไม่มีอะไรอย่างนี้ พวกนี้ภาวนาได้ โอ้โห เรายกมือไหว้ได้เต็มไม้เต็มมือเลย น่านับถือจริงๆ คือบางคนทำสมบัติทางโลกมาน้อย ทำทานอะไรอย่างนี้ ถือศีลไม่ดีในที่ผ่านมา ทำทานมาน้อยเกิดมาลำบากยากจน บางคนมีศีล บางทีก็ศีลกระพร่องกระแพร่งไป เกิดมารูปร่างหน้าตาไม่ค่อยงาม บางคนมีศีลดีในอดีต เกิดมารูปร่างหน้าตาดี พอรูปร่างหน้าตาดีก็ไปทำชั่วก็ลงต่ำไปอีก หมุนเวียนนะวัฏฏะ

ที่สุรินทร์ชาวบ้านแท้ๆ เลยที่หลวงพ่อเห็นหลายคนเลย อัศจรรย์ น่าอัศจรรย์ เขาภาวนากัน บางคนตายไปแล้วพระท่านก่อเจดีย์ไว้ให้เลย ใส่เจดีย์บรรจุ เจดีย์ใหญ่ๆ เท่ากับเจดีย์ของพระเลย กระดูกออกมาเป็นพระธาตุก็มี บางคนภาวนาดีจริงๆ หลวงพ่อเจอหลายคนทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย ชาวบ้านธรรมดานี่ล่ะภาวนาดี บางคนเป็นแม่ค้า บางคนขี่สามล้อ ภาวนากันน่าดูมากเลย ถ้าเทียบกันแล้วเข้มแข็งกว่าพวกเรายุคหลังๆ นี้มาก เพราะเขารู้สึกชีวิตเขาลำบาก เขาไม่มีที่พึ่งอย่างอื่น เขาหันมาสนใจปฏิบัติธรรมะ อย่างบางคนนั่งขายผักขายยันผักเหี่ยวแล้วเหี่ยวอีก แต่หน้าแกใสปิ๊งไม่เหี่ยว ทั้งๆ ที่แก่หน้าตาสดใสมีความสุข

มีลุงคนหนึ่งผู้เฒ่าอายุมากแล้วไม่สบาย หลวงพ่อเห็นแกกินยาหม้ออยู่ วันหนึ่งตอนเย็นเดินไปเยี่ยมแก แกถือศีล 8 แต่แกกำลังหุงข้าวอยู่ หลวงพ่อก็แซวอ้าวลุงว่าถือศีล 8 ไง ทำไมหุงข้าวกิน แกบอกแกไม่ได้กินข้าวแกกินยา ข้าวที่แกกินเป็นส่วนประกอบของการกินยา เพราะหมอสั่งว่าให้กินหลังอาหาร วันหนึ่ง 3 มื้อ ดู ฉลาดนะ ไม่ได้ถือศีลอย่างงมงายเลย แต่เขาไม่ได้ฉวยโอกาสอ้างว่าป่วยแล้วก็กินโน้นกินนี้ ไม่ใช่ มีเหตุมีผล ใช้ชีวิตอย่างมีเหตุมีผล เราดูก็น่าเลื่อมใสหลายคน คนขี่สามล้อเข้าใจธรรมะ กว่าจะได้เงินบาทหนึ่ง ปั่นสามล้อขี่เอาถีบเอาลงทุนลงแรง คนเหล่านี้ถ้าจะพูดไปก็คือเขาทำเหตุในอดีตมา ในทางโลกเหตุทางโลกทำมาน้อย แต่เขามุ่งไปทำเหตุทางธรรมมาเยอะ

ครูบาอาจารย์บางองค์หลวงพ่อเคยเจอ ความเป็นอยู่ของท่านไม่ค่อยดีเท่าไร จีวรท่านก็ปะแล้วปะอีกอยู่นั่นล่ะ ในขณะที่ครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านมีความเป็นอยู่อย่างกับพระราชาเลย เพราะท่านทำของท่านมามาก ทำทานของท่านมามาก บางองค์ท่านมุ่งเจริญปัญญาเป็นหลักเลย ท่านไม่สนใจหรอกเรื่องทำบุญทำทาน อาหารการกินของท่านอัตคัดมากเลย เราไปเห็นแล้วโอ้ท่านไม่ค่อยมีอะไรจะฉันเลย มีข้าวเหนียวจิ้มพริกป่น ฉันอยู่อย่างนั้น คือท่านทำเหตุทางโลกมาน้อย แต่เหตุทางธรรมท่านทำมาเยอะ อย่างนี้ก็มี เหตุทางโลกก็ให้ผลทางโลก มีความสุขความสบาย มีรูปร่างหน้าตาดี มีสุขภาพดี เหตุทางธรรมก็คือ เขาเคยรักษาศีล เขาก็รักษาศีลได้เก่ง เคยฝึกสมาธิเขาก็ฝึกสมาธิง่าย เคยเจริญปัญญาเขาก็เจริญปัญญาได้ ในที่สุดเขาก็ได้มรรคได้ผลรวดเร็ว

ฉะนั้นอย่างคนได้มรรคได้ผล บางคนจน บางคนรวยด้วยหน้าตาก็ดีด้วย ภาวนาก็เก่งด้วย เขาทำทั้งทางโลกทางธรรม ตัวอย่างที่ท่านทำสมบูรณ์เลยทั้งทางโลกทางธรรม อย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนเป็นพระเวสสันดรท่านก็ทำทาน บางชาติท่านก็รักษาศีลจนยอมตายเลย ทานท่านดี ศีลท่านดี ท่านเกิดมาในตระกูลสูง ร่ำรวย รูปร่างหน้าตาดี แข็งแรง ในทางธรรมท่านก็สะสมของท่าน ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านก็ฝึกของท่านมา ฉะนั้นท่านก็สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างของคนที่สมบูรณ์ทั้งทางโลกทางธรรม

 

 

พวกเราสมมติชาตินี้เกิดมาไม่สมบูรณ์ทางโลก ก็ไม่เป็นไรมันแก้ไขยากแล้ว ทำทางธรรมให้สมบูรณ์ ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เคยรักษาศีลตั้งใจรักษาศีล ไม่เคยฝึกสมาธิก็ตั้งใจฝึกสมาธิไป ไม่เคยเจริญปัญญาก็ฝึกแยกรูปแยกนาม แยกธาตุแยกขันธ์ แล้วก็ดูรูปดูนาม ดูธาตุดูขันธ์แต่ละอันๆ มันทำงานของมันเอง จะเห็นรูปทุกอย่างเกิดแล้วดับ นามทุกอย่างเกิดแล้วดับ นี่เจริญปัญญา ในที่สุดก็เห็นสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ หลวงพ่อก็ปลื้มใจแทนพวกเราที่ภาวนา แล้วหลวงพ่ออนุโมทนากับพวกทีมงานที่ช่วยหลวงพ่อทำงาน พวกทำสื่อทั้งหลายช่วยกันทำสารพัด ใช้คนจำนวนมาก อย่างการถอดเทปถอดอะไรใช้คนเยอะช่วยกันทำ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีผลตอบแทนทางโลกให้หรอก เขาทำของเขาด้วยใจ

มีคนเขียนจดหมายมาอนุโมทนากับทีมงาน มีบ่อยๆ อย่างพวกเราก็เขียนจดหมายมาส่งการบ้านหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อไม่ได้ตอบหรอกบอกตามตรง อันแรกเลยตอบไม่ไหว แล้วหลวงพ่อตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี หลวงพ่อไม่ได้เขียนหนังสือเลย จบมายุคแรกหลวงพ่อก็พิมพ์ดีดอย่างเดียวเลย ไม่ได้เขียนหนังสือ พอมันมีคอมพิวเตอร์หลวงพ่อใช้คอมพิวเตอร์คีย์เอาทั้งนั้น ไม่เคยเขียนหนังสือ ยุคนี้ให้มานั่งเขียนหนังสือ เขียนไม่ได้ ตัวหนังสือ ก. ไก่ กับ ข. ไข่ ไปคนละทิศคนละทางแล้ว ก. ไก่ ตอนเริ่มต้นกับตอนหางมันก็ไปคนละทิศแล้ว คุมไม่ได้ แล้วสายตาเริ่มไม่ดี พวกเราเขียนจดหมายมาหลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบ แต่ว่ามาตอบในภาพรวมว่า ภาวนา ถ้าสงสัยแล้วก็ไปดูยูทูป ไปเปิดซีดี มีทุกคำตอบ กล้าบอกเลยว่ามีทุกคำตอบจริงๆ เพราะหลวงพ่อตอบคำถามมาตั้งหลายสิบปีแล้ว คำถามพวกเราสงสัยมันซ้ำๆ กัน วนๆ อยู่นั่นล่ะ

ฉะนั้นเวลาฟังคนอื่นเขาถามแล้วหลวงพ่อตอบให้ ก็คล้ายๆ ที่พวกเราทำ อย่างปัญหาหลักเลยของฆราวาสคือไม่มีสมาธิ ส่วนใหญ่คือเรื่องนี้เลย อย่างฆราวาสมาบวชกับหลวงพ่อ สิ่งที่ฝึกกันหนักเลยคือสติกับสมาธิ สองอย่างนี้ ฝึกสติ วิธีจะฝึกสตินอกจากการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ก็ยังมีเรื่องพระวินัย จะถือพระวินัยได้ดีต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติรักษาไม่ไหวหรอกศีลตั้งหลายร้อยข้อ แล้วก็ต้องฝึกสมาธิทำกรรมฐานกัน ก็คอยรู้เท่าทันจิตตัวเอง จิตเคลื่อนแล้วรู้ๆ ไปเรื่อยๆ บางคนก็ใช้อารมณ์กรรมฐานแตกต่างกันไป อย่างบางองค์หลวงพ่อให้ดูกระดูก พอดูกระดูกจิตมันเคลื่อนไปที่กระดูกก็รู้ จิตมันเคลื่อนไปที่อื่นก็รู้ ตรงที่จิตมันเคลื่อนแล้วไปนิ่งอยู่ที่กระดูกได้สมถกรรมฐาน ตรงที่จิตมันเคลื่อนหนีไปที่อื่น ฟุ้งซ่าน จิตเป็นอกุศลฟุ้งซ่าน

เพราะฉะนั้นเวลาเรามีสติ แล้วเราทำกรรมฐานอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างดูกระดูกหรือดูลมหายใจ ดูร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ทำเข้าไปเถอะแล้วคอยรู้ทันจิตไว้ อย่างบางคนดูท้องพองยุบ เห็นร่างกายพอง เห็นร่างกายยุบ บางทีจิตมันก็ไหลลงไปอยู่ที่ท้อง ถ้าจิตไหลลงไปอยู่ที่ท้องได้สมถะ สงบเฉยๆ ไม่มีปัญญา บางคนดูท้องพองยุบอีก จิตหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้วอันนี้ฟุ้งซ่าน จิตเป็นอกุศล ตรงที่รู้ว่าจิตมันหนีไปจิตก็ตั้งมั่นขึ้นมา ตรงนั้นจิตมีสมาธิที่ถูกต้อง มันจะมี 3 ลักษณะ อันหนึ่งถลำลงไปเพ่งได้สมถะ อันหนึ่งหลุดไปเลย ไม่มีทั้งสมาธิ ไม่มีทั้งปัญญา อีกอันหนึ่งจิตตั้งมั่น แล้วสติระลึกรู้ ไม่ว่าจะรู้ลงไปในรูปธรรมหรือนามธรรม ก็จะเห็นไตรลักษณ์ นั่นคือการเจริญปัญญา

 

ไม่เผลอ-ไม่เพ่ง

ฉะนั้นจิตจะมี 3 ลักษณะ ลักษณะที่หนึ่งเป็นจิตที่หลงไป ลักษณะที่สองเป็นจิตที่เพ่งไว้ เพ่งไว้คือจิตมันไหลไปรวมเข้ากับอารมณ์กรรมฐาน ลักษณะที่สาม คือเป็นจิตผู้รู้ ไม่เผลอ ไม่เพ่ง ที่หลวงพ่อสอนไม่เผลอไม่เพ่ง สอนแรกๆ คนหัวเราะเลย สอนอะไรของมัน สอนหัวใจของกรรมฐาน หัวใจของการฝึกสมถะ ฝึกสมาธิ ฝึกให้จิตมีสมาธิที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นอย่างบางทีบอกว่าทำไมไม่สอนพุทโธ พุทโธเป็นแค่รูปแบบ อย่างถ้าเราพุทโธแล้วเรารู้ทันจิต พุทโธๆ จิตหนีไปคิดเรารู้ จิตไปเพ่งพุทโธเพ่งลงไปนิ่งว่างเลยเราก็รู้ อันนี้เป็นสมถะ ถ้าจิตหนีไปลืมพุทโธไปคิดเรื่องอื่น จิตฟุ้งซ่านเป็นอกุศล ตรงที่จิตมันลงไปเพ่งเรารู้ทัน ตรงที่จิตมันเผลอไปคิดเรารู้ทัน ตรงนั้นล่ะจิตรู้

ฉะนั้นจิตจะมี 3 ลักษณะ จิต 3 ลักษณะนี้มันเป็นจิตที่อยู่ในทางสายกลาง ไม่เผลอ ไม่เพ่ง แล้วจิตที่สุดโต่งไป 2 ฝั่ง เผลอคือกามสุขัลลิกานุโยค เพ่งคืออัตตกิลมถานุโยค จิตเผลอจะไปอบาย จิตเพ่งไปสุคติได้แต่ไม่ไปนิพพาน มันได้สมาธิชนิดสงบเป็นพระพรหมได้ ที่หลวงพ่อสอนไม่เผลอ ไม่เพ่ง ทำไมไม่สอนให้รู้ รู้ไม่ต้องสอน เพราะรู้ทำขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเมื่อไรเผลอแล้วรู้ว่าเผลอเมื่อนั้นรู้จะเกิดเอง เมื่อไรเพ่งรู้ว่าเพ่งไม่ได้อยากแก้ เป็นกลางรู้ว่าเพ่งด้วยความเป็นกลาง ไม่เกลียดการเพ่ง ผู้รู้ก็เกิดเหมือนกัน ฉะนั้นจิตรู้ไม่ต้องสอน เรียนรู้สิ่งที่ผิด 2 อย่าง ถ้าจิตไม่สุดโต่งข้างซ้ายข้างขวา ข้างย่อหย่อน ข้างตึงเครียด จิตก็เข้าทางสายกลางของจิตเอง วิธีสอนอย่างนี้ไม่ใช่หลวงพ่อคิดเอง ไปดูธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระสูตรแรกเลยที่พระพุทธเจ้าสอน เริ่มต้นท่านสอนเรื่องไม่เผลอไม่เพ่ง แต่ภาษาที่ใช้เป็นคนละภาษากับที่หลวงพ่อใช้เท่านั้นเอง หลวงพ่อใช้ในภาษาของคนยุคนี้ เผลอรู้จักไหมเผลอ รู้จักใช่ไหมเผลอเป็นอย่างไร เพ่งอยู่รู้จักไหมเพ่งก็รู้จักใช่ไหม ถ้าหลวงพ่อบอกว่าเราอย่าทำ 2 อย่าง ไม่เอากามสุขัลลิกานุโยค ไม่เอาอัตตกิลมถานุโยค ทำไม่ถูกหรอกเพราะแปลไม่ออก

กามสุขัลลิกานุโยค ก็คือการที่ปล่อยจิต ปล่อยใจไหลตามกิเลสไป หลงไปดูรูป หลงไปฟังเสียง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปคิดนึกทางใจ เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค จิตมันไหลไปทางทวารทั้ง 6 แล้วทวารที่ไหลบ่อยที่สุด คือทวารใจ ทวารใจที่ไปทำงานมากที่สุดในทวารใจ ก็คือไปคิด ฉะนั้นครูบาอาจารย์บางทีท่านสอน จิตคิดแล้วรู้ๆ ก็คือรู้ทันจิตที่ไหลให้บ่อยที่สุด แล้วจิตที่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่บ่อยที่สุดคือที่ไหลทางใจ รองลงมาคือทางตา รองลงมาคือทางหู ทางใจไหลบ่อยที่สุด แล้วไหลไปทำอะไรมากที่สุด ทางใจทำได้หลายอย่าง ไหลไปเพ่งก็ได้ ไหลไปคิดก็ได้ ส่วนใหญ่ก็คือไหลไปคิด

ฉะนั้นท่านจับเอาสิ่งซึ่งเกิดบ่อยที่สุดมาสอน อย่างหลวงพ่อบอกเผลอแล้วรู้ๆ คิดอย่างนี้ มันคือสภาวะที่เกิดบ่อย จิตเผลอไปคิด พอเรารู้บ่อยๆ ต่อไปจิตก็จำสภาวะที่เผลอได้ ทันทีที่เผลอมันจำสภาวะเผลอได้สติจะเกิดเอง ทันทีที่สติเกิดรู้ว่าจิตหลงไป จิตเผลอไป จิตเผลอเป็นอกุศล ทันทีที่สติเกิดรู้ทันว่าจิตหลงไป จิตที่หลงจะดับ จิตที่เป็นกุศลที่แท้จริง คือจิตรู้จะเกิดขึ้นแทนที่อัตโนมัติ เพราะฉะนั้นจิตรู้ทำให้เกิดไม่ได้ แค่รู้ว่าจิตมันผิดนั่นล่ะมันถูกของมันเอง เมื่อไรไม่ผิดเมื่อนั้นถูก ก็แค่นี้เอง อีกอย่างหนึ่งก็คือจิตไปเพ่ง จิตไปเพ่งเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค บังคับตัวเอง เวลาเราเพ่งรู้สึกไหมมันอึดอัด บางคนเพ่งแรงคอเคล็ด หลังเคล็ด ไหล่ยอกอะไรอย่างนี้ เพ่งแรง นั่นทำตัวเองให้ลำบากแล้ว บางคนก็เพ่งบังคับจิตทรมานใจ ไม่ได้สงบดีเท่าไร เครียด เพ่งๆๆๆ แต่ไม่ได้ไปก่อกรรมทำชั่วอย่างอื่นเลย เพ่งลูกเดียวเลย อันนี้ทำตัวเองให้ลำบาก แต่ไม่ได้ไปทำคนอื่นให้เดือดร้อน ส่วนจิตเผลอทำตัวเองให้เดือดร้อน ทำคนอื่นให้เดือดร้อน

เพราะฉะนั้นท่านถึงบอกว่า จิตที่เผลอไป หรือกามสุขัลลิกานุโยค ทำแล้วจิตจะตกต่ำ ส่วนอัตตกิลมถานุโยค การคอยควบคุมตัวเอง ควบคุมกาย ควบคุมใจตัวเอง ตัวเองลำบากก็จริง แต่ว่าจะไปสุคติได้ ขึ้นสวรรค์ได้ ไปเป็นพรหมได้ เพราะไม่ได้ไปทำชั่วอะไร นั่งเพ่งของตัวเองอยู่คนเดียว ไม่มีทางผิดศีลอะไรหรอก ค่อยๆ ฝึกของตัวเองไป ไปเป็นพระพรหมก็ได้ ฉะนั้นท่านสอนบอกว่า “ถ้าท่านพยายามทำอันใดอันหนึ่ง ท่านจะไปเพ่งเอาไว้ ท่านจะไปบังคับไว้ แต่ถ้าท่านปล่อยตัวปล่อยใจ ท่านจะจมลง ถ้าท่านบังคับตัวเองอยู่ ท่านจะลอยขึ้น”

จมลงกับลอยขึ้น จมลงคือลงไปอบาย การปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลสจะลงอบาย การควบคุมกาย ควบคุมใจจะลอยขึ้นจะไปสุคติ แต่ยังไม่ใช่ทางสายกลาง ทางสายกลางไม่ลอยขึ้น ไม่จมลง ตรงไม่เผลอกับไม่เพ่งนั่นล่ะ วิธีที่จะทำให้เกิดทางสายกลาง บอกแล้วเรียนรู้ตรงที่ผิด แล้วมันไม่ผิดเมื่อไรมันก็ถูกเมื่อนั้น สิ่งที่ถูกคือจิตผู้รู้เราทำขึ้นมาไม่ได้ แต่รู้ทันว่าตอนนี้เป็นจิตผู้หลง จิตผู้คิด ทันทีที่รู้จิตผู้คิดดับ จิตผู้รู้เกิดทันทีเลย เราฝึกให้ชำนิชำนาญ จิตผู้รู้เกิดถี่ๆๆๆ ขึ้น จนจิตมันจำ ทรงจำได้ลักษณะของจิตผู้รู้ มันไม่เผลอ มันไม่เพ่ง ต่อไปมันไม่เผลอ มันไม่เพ่งอัตโนมัติ พอมันขยับตัวจะเผลอมันก็รู้แล้ว ขยับตัวจะเพ่งมันก็รู้แล้ว มันทรงตัวเป็นผู้รู้อยู่ แล้วก็ถึงตรงนี้ก็มาเดินปัญญาได้แล้ว

 

 

เรียนรู้ความจริงของกาย เรียนรู้ความจริงของใจไป แยกธาตุ แยกขันธ์ แล้วเรียนรู้ความจริง รูปมีธรรมชาติเกิดขึ้นแล้วก็แตกสลายไป ทนอยู่ไม่ได้ รูปที่หายใจออกอยู่ชั่วคราวแล้วก็แตกสลายดับไป กลายเป็นรูปหายใจเข้า รูปหายใจเข้าอยู่ชั่วคราวก็ดับไป กลายเป็นรูปหายใจออก รูปยืน เดิน นั่ง นอน ก็เปลี่ยนไปเรื่อย รูปเคลื่อนไหวรูปหยุดนิ่งก็เปลี่ยนไป เฝ้าดูไว้ เวทนาเป็นนามธรรม เราก็จะเห็นเดี๋ยวความสุขก็เกิดขึ้นในกาย เดี๋ยวความทุกข์ก็เกิดขึ้นในกาย เดี๋ยวความสุข เดี๋ยวความทุกข์ เดี๋ยวความเฉยๆ ก็เกิดขึ้นในจิต มันก็หมุนไปเรื่อย ในจิตเรามีเวทนาได้ 3 ชนิด คือสุข ทุกข์ กับอุเบกขา หมุนอยู่ 3 อย่างนี้ทั้งวันมีอยู่แค่นี้

ถ้าเราภาวนาโดยการดูเวทนาในจิต ก็เห็นทั้งวันมีอยู่แค่นี้จริงๆ สุดท้ายมันก็จะเห็นสุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง เฉยๆ ก็ไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับทั้งสิ้น ล้วนแต่ของไม่เที่ยง ดูแค่นี้ก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว ไม่ได้มีเรื่องอะไรลึกลับหรอก ปัญหาใหญ่ก็คือฝึกจิตให้มันตั้งมั่นให้ได้ก่อน จิตที่ตั้งมั่นคือจิตที่ไม่เผลอ แล้วก็ไม่เพ่ง โดยไม่ได้บังคับไว้ ไม่ได้บังคับไม่ให้เผลอ ไม่ได้บังคับให้เพ่ง ตรงที่พยายามบังคับนั่นล่ะจะเพ่งทันที เพราะฉะนั้นเราเผลอไปเรารู้ทัน เผลอไปเรารู้ทันไม่ว่ามันหรอก เผลอก็เผลอ แต่เผลอแล้วรู้ให้เร็วๆ ต่อไปสมาธิที่ถูกต้องมันจะเกิดขึ้น ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ ไป พอจิตเรามีสมาธิถูกต้องแล้ว การเจริญปัญญาจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปแล้ว

 

ฝึกทุกวันๆ สิ่งที่พวกเรานักปฏิบัติขาดคือสมาธิที่ถูกต้อง ส่วนบางคนขาดกระทั่งศีล หลวงพ่อไม่เรียกว่านักปฏิบัติแล้ว ถ้าไม่มีศีลอย่ามาเรียกตัวเองเป็นนักปฏิบัติเลย แล้วถ้ามีศีลแล้วก็ฝึกจิตฝึกใจให้มันอยู่กับเนื้อกับตัว ก็เป็นนักปฏิบัติที่ได้ขั้นสมาธิ พอจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เห็นความจริงของกายของใจเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม อันนั้นเป็นนักปฏิบัติโดยขั้นเจริญปัญญา ค่อยๆ ฝึกไป ค่อยยกระดับตัวเอง จากคนที่ไม่ได้ปฏิบัติมาสู่การปฏิบัติ เริ่มต้นก็รักษาศีลเอา 5 ข้อให้ดีที่สุด รักษาเอาไว้ ศีล 5 ตอนนี้ที่น่าห่วงที่สุด คือข้อ 4 น่าห่วงที่สุดเลย เราด่าคนง่ายเหลือเกินยุคนี้ ชอบเขียนลงอินเทอร์เน็ตใช่ไหม บางทีก็โกหก ด่าแบบหลอกๆ เลย แบบไม่มีความจริงเลย หรือมีเฟคนิวส์ต่างๆ โกหกหลอกลวงกันเต็มไปหมดเลย พวกนี้รู้สึกสนุก บางคนก็รับจ้างสร้างเฟคนิวส์ บางคนทำเพราะรู้สึกคะนองสนุก มีผลทั้งสิ้น ผลที่เห็นง่ายๆ เลยคือจะติดตะรางเอา นี่ผลทางโลก ผลทางธรรมก็คือจิตใจเราจะดื้อด้าน เราจะทำความชั่วได้อย่างหน้าตาเฉยมากขึ้นๆ

พระพุทธเจ้าท่านบอกท่านไม่เคยเห็นเลยว่า คนที่มันพูดเท็จได้ มันทำมุสาวาทได้ มันจะไม่ทำชั่วอย่างอื่น ท่านไม่เห็นหรอก ถ้ามันมุสาวาทได้มันก็ทำชั่วอย่างอื่นได้ ฉะนั้นพวกเราอันแรกเลยรักษาศีล 5 ให้ดีโดยเฉพาะข้อ 4 รักษาให้ดี ให้มันเข้มแข็งเด็ดขาดลงไป อย่าเพ้อเจ้อนั่งเขียนคอมเมนต์ เขียนอะไรกระทู้สเตตัส อะไรต่ออะไร เขียนตลอดวัน ไร้สาระ เลี้ยงแมววันนี้แมวขี้แล้ว ก็ต้องมาเขียนบอกคนอื่นเขาอะไรอย่างนี้ ไร้สาระที่สุดเลย นี่คือฟุ้งซ่าน เสียศีล

ฉะนั้นรักษาศีลให้ดี พอศีลเราดีสมาธิจะเกิดง่าย ถ้าวันๆ หนึ่งห่วงแต่อินเทอร์เน็ต ห่วงแต่โลกโซเชียล โลกโซเชียลไม่ใช่โลกที่แท้จริง โลกที่แท้จริงก็คือกายกับใจเราในปัจจุบันนี้ หลวงพ่อเห็นกระทั่งในวัดก็มี เดินจงกรม ถึงเวลาเดินจงกรมก็มีมือถืออยู่กับตัว แล้วก็เดินๆๆ ไม่กี่ก้าวก็ดูที คอมเมนต์หน่อยแล้วก็ไปเดินต่อ พอหมดหนึ่งชั่วโมงบอกวันนี้ปฏิบัติหนึ่งชั่วโมง ยังไม่ได้ปฏิบัติเลยเดินเล่นอินเทอร์เน็ต เป็นการเล่นอินเทอร์เน็ตในอิริยาบถเดินเท่านั้นเอง อย่ามาอวดว่าเป็นนักปฏิบัติ แล้วจะบอกธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ดี ฝึกตั้งนานแล้วกระทั่งความสงบยังไม่ได้เลย เพราะจริงๆ ไม่ได้ทำ จริงๆ ฟุ้งซ่าน

ฉะนั้นพยายาม ถึงเวลาที่เราจะนั่งสมาธิ เดินจงกรม เอามือถือไปไว้ไกลๆ เลย หรือปิดมันไปเลย ปิดเสียง ปิดสัญญาณเตือนทั้งหลาย ปิดให้มันหมดอย่าไปสนใจมัน มันเป็นเวลา 1 – 2 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ เป็นเวลาที่เราควรจะถวายเป็นพุทธบูชา ปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาห่วงอินเทอร์เน็ตอยู่อย่างนั้น มันไปไม่รอดหรอก เพราะจิตมันฟุ้งซ่าน ตั้งอกตั้งใจพยายามทำเข้า แต่ถ้าเราทำมาหากิน หรือมีธุระ การงานต้องใช้อินเทอร์เน็ตเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การเล่นแบบไม่มีแก่นสารสาระเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราทำมาหากินโดยใช้อินเทอร์เน็ตต้องคอยดู ต้องคอยระวังอะไรอย่างนี้ อันนี้หลวงพ่อไม่ว่าหรอกมันจำเป็น เป็นฆราวาสต้องทำมาหากิน แต่ไม่ได้มีธุระการงานแล้วก็เล่นทั้งวัน เอาดีไม่ได้หรอกอย่ามาคุยอวดเลยว่าเป็นนักปฏิบัติ เป็นไม่ได้จริงหรอก บางคนก็อวดแมวของฉันหางยาว ของคุณแมวหางสั้น เอาหางแมวมาเป็นสรณะไปแล้ว ไร้สาระ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
17 กรกฎาคม 2564