วิธีทดสอบเมื่อคิดว่าได้มรรคผล

ช่วงนี้มีคนแปลกๆ มาที่วัดเรื่อยๆ บางทีก็โทรศัพท์ไปที่มูลนิธิฯ ชอบคิดว่าบรรลุมรรคผล อยากได้รับใบรับรอง จะให้หลวงพ่อรับรอง ที่นี่ไม่ใช่ที่ออก Certificate ไม่ใช่ที่ออกใบรับรอง พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกว่า “วิญญูชนรู้ด้วยตนเอง” ไม่เห็นต้องถามใคร แต่คนจำนวนมากดูตัวเองไม่ออก ถ้าอยากรู้ด้วยตัวเองจริงๆ หัดดูตัวเองตั้งแต่เริ่มเลย รู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกกายรู้สึกใจ หัดดูไปเรื่อย กิเลสอะไรทำงานขึ้นมา รู้ทัน กิเลสอะไรซ่อนเร้นอยู่ รู้ทัน หัดรู้ไปเรื่อย ทีแรกก็รู้กิเลสหยาบๆ ต้องโกรธแรงๆ ถึงจะรู้ ต้องโลภแรงๆ ถึงจะรู้ หัดรู้บ่อยๆ ต่อไปขัดใจเล็กๆ ก็เห็น ความอยากเล็กๆ เกิดขึ้นก็เห็น หัดรู้กิเลสของตัวเองไว้ให้ดีตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ถ้ารู้ทันกิเลสตัวเอง เวลาที่คิดว่าบรรลุมรรคผลอะไร ก็คอยสังเกตกิเลสตัวเองไป กิเลสอะไรยังไม่ละ กิเลสอะไรละแล้ว แต่ละชั่วคราวหรือละถาวร สังเกตเอา ไม่ต้องเที่ยวถามคนโน้นคนนี้ เชื่อถือไม่ได้หรอก มีจำนวนมากเลยที่ไปเรียนที่โน้นที่นี้ที่โน่น ไปเรียนมาจากที่ต่างๆ แต่ละที่เขารับรองได้โสดาบัน ได้สกทาคามี ได้อนาคามี เขารับรองให้ ไปเรียนอยู่ที่อื่น เขารับรองแล้วมาถามหลวงพ่ออีก จะให้หลวงพ่อรับรอง เรารับรองให้ไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ แต่หลวงพ่อจะสอนให้ ไปสังเกตกิเลสตัวเองเอา กิเลสอะไรละแล้ว กิเลสอะไรยังไม่ละ ที่ละนั้นละเด็ดขาดหรือว่าละชั่วครั้งชั่วคราว กิเลสไม่ใช่ของเกิดตลอดเวลา มันเกิดเป็นคราวๆ กระทั่งสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ก็เกิดเป็นคราวๆ ฉะนั้นไม่ใช่นึกๆ เอาว่า เอ๊ะ ตอนนี้ไม่มี ตอนนี้ไม่มีประเดี๋ยวมันมีก็ได้

 

วัดคุณธรรมที่กิเลส ไม่ใช่ที่คนอื่นมาบอกเรา

ฉะนั้นหัดสังเกตกิเลสตัวเองไว้ให้ดีเถอะ หลวงพ่อไม่ได้พยากรณ์ให้ใครหรอก แต่จะชี้ให้ดู ชวนให้ดูกิเลสของตัวเอง บางคนบอกว่าได้โสดาบันมาแล้ว ไปเรียนที่ไหนก็ไม่รู้ได้โสดาบัน ได้รับการรับรอง หลวงพ่อก็ถาม “ยังรู้สึกไหมว่าจิตเป็นตัวเรา” “ไม่รู้” ทำหน้าอย่างนี้ “ไม่รู้” เราก็รู้ หลอกว่ารู้ไม่ได้หรอก เพราะจิตในขณะนั้นมันฟุ้งซ่านแหลกลาญ โมหะครอบอยู่ โมหะเป็นกิเลสชนิดที่ปิดบังความจริง ตัวฉกาจเลย ตัวหลง จิตกำลังอยู่ในโลกของความหลง ไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวจริง ฉะนั้นอ่านกิเลสตัวเองไม่ออกหรอก

บางคนบอกว่าเป็นพระอรหันต์ อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านเคยเจอ มีพระไปบอกหลวงปู่ดูลย์ว่าตัวเองได้พระอรหันต์แล้ว ก็อยากสอนคนโน้น อยากสอนคนนี้ หลวงปู่ก็พยายามแก้ให้ พยายามชี้ให้ดูกิเลสอะไร ไม่เห็น ดูอย่างไรๆ ก็ไม่เห็น สุดท้ายหลวงปู่เลยใช้ไม้ตาย หลวงปู่ด่าเอา “ไอ้สัตว์นรก ไสหัวไปเลย” โห พระอรหันต์โกรธ ถูกด่าแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างพวกเราถ้าหลวงพ่อด่าแบบไม่ทันตั้งตัวก็โกรธ แต่ถ้าเราตั้งหลัก เอ้า ให้หลวงพ่อด่าเลย เชิญด่าเลย ทำใจทื่อๆ ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น ใจมันไม่เป็นธรรมชาติ กิเลสมันก็ไม่โผล่ให้ดู พระองค์นั้นท่านโกรธหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็เดินออกจากวัดบูรพารามไปถึงวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ห่างออกไป 3 กิโลเมตร อยู่ตรงวิทยาลัยครูอะไรนั่น แล้วเพิ่งนึกได้ว่านี่โกรธ ไม่ใช่พระอรหันต์แล้ว

ฉะนั้นเวลาจะวัดคุณธรรม วัดที่กิเลส ไม่ใช่วัดที่คนอื่นมาบอกเรา เชื่อไม่ได้หรอก ยิ่งยุคนี้ยิ่งเชื่อไม่ได้เลย พยากรณ์กันง่ายๆ บางคนไปนั่งสมาธิจิตวูบเดียวแล้วบอกได้โสดาบัน ไปครั้งที่ 2 อีกวูบหนึ่งได้สกทาคามี 4 ครั้งได้พระอรหันต์แล้ว กลับมาบ้านก็เหมือนเดิม ไม่ได้ลดละกิเลสอะไร เพราะฉะนั้นถ้าใครเขาบอกเรา ว่าเราได้โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ ฟังเฉยๆ อย่าเพิ่งดีใจ มันก็น่าดีใจ เพราะเราชาวพุทธเราก็อยากได้เป็นพระอริยะ ปิดอบายภูมิได้ บางคนคิดถึงขนาดนี้ว่าอยากภาวนา ได้โสดาบันแล้วจะได้ไปทำตัวเหลวแหลกได้เต็มที่ ไม่ต้องตกนรก คิดอย่างนั้นมันไม่มีวันได้หรอก เพราะว่ามันไม่ได้คิดจะลดละกิเลสของตัวเองเลย

เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา เรามีสติไว้ อ่านจิตอ่านใจตัวเองเรื่อยๆ ไป จิตใจโลภก็รู้ จิตใจไม่โลภก็รู้ จิตใจโกรธก็รู้ จิตใจไม่โกรธก็รู้ จิตใจหลงไปก็รู้ จิตใจรู้สึกตัวก็รู้ จิตใจฟุ้งซ่านก็รู้ จิตใจหดหู่ก็รู้ หัดรู้เนืองๆ หัดรู้ไปเรื่อยๆ การที่เราคอยรู้ทันกิเลสตัวเอง กิเลสมันก็จะดับไป มันทำงานต่อไม่ได้ เมื่อกิเลสมันทำงานไม่ได้ ความฟุ้งซ่านปรุงแต่งของจิต มันก็จะไม่มีขึ้นมา เพราะจิตมันดิ้นรนปรุงแต่งไป ด้วยอำนาจผลักดันของกิเลส ราคะเกิดขึ้น จิตก็ทำงานต่อก็เกิดตัณหา อยากได้ อยากมี อยากเป็น โทสะเกิดขึ้น กิเลสมันก็แทรก มันก็ผลักดันให้เกิดวิภวตัณหา อยากให้สิ่งที่เราไม่ชอบ หมดไปสิ้นไป

กิเลสมันผลักดันให้มีตัณหาทำงานขึ้นมา ตัณหาก็ผลักดันให้จิตเกิดความปรุงแต่งดิ้นรนไป ความปรุงแต่งดิ้นรนของจิตนั้น ก็ผลักดันให้เกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา ความเป็นตัวตนคือความได้มาซึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตมันเข้าไปหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา แล้วก็มีความสำคัญมั่นหมายผิดๆ ว่าเป็นตัวเรา เป็นตัวเราขึ้นมา ถ้าเราคอยรู้ทันจิตใจของตัวเอง กิเลสเกิดปุ๊บรู้ปั๊บ มันจะไม่ผลักดันให้เกิดความอยาก เกิดตัณหา ไม่เกิดความดิ้นรนของจิต ไม่เกิดความยึดถือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือยึดถือจิตด้วย ยึดถือจิตทีไร ความเป็นตัวเรามันก็เกิดขึ้นทุกที หรือความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา

 

ไม่เข้าข้างตัวเอง

ค่อยภาวนาสังเกตกิเลสของตัวเองไปเรื่อยๆ สบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องอยากดี ดีหรือมรรคผลอะไร ไม่ได้เกิดเพราะอยาก มันเกิดเพราะสิ้นอยาก ฉะนั้นถ้าอยากดียังไม่ดีหรอก ภาวนาใจเย็นๆ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ดูไป ไม่เข้าข้างตัวเอง เข้าข้างตัวเองใช้ไม่ได้

หลวงพ่อมีครั้งหนึ่ง จิตมันแสดงอาการ มันแหวกออกแล้วแสงสว่างก็ผุดขึ้นมา เหมือนเป็นดวงโผล่ขึ้นมา แต่ไม่หลุด ติดขอบอยู่นิดหนึ่ง เหมือนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมา แล้วยังติดมีเมฆขอบอยู่ข้างล่าง ตั้งแต่วันนั้นกามราคะไม่มี ปฏิฆะไม่เกิด คือไม่มีกามราคะ แล้วก็ไม่มีความขัดใจ จิตใจมีแต่ความสุข เห็นตัวนี้แหวกขึ้นมา ก็นึกสงสัย เอ๊ะ ได้พระอนาคามีหรือเปล่า ตอนนั้นยังไม่ได้ไปถามหลวงปู่ดูลย์ ยังไม่มีเวลา รับราชการไม่ใช่ไปง่าย จะต้องลางานไป ไม่ได้ถามครูบาอาจารย์ แต่ใช้สังเกตเอา

ราคะไม่มี ไม่มีจริงหรือเปล่า ไม่มีชั่วคราวหรือไม่มีถาวร หลวงพ่อทดสอบ ไม่ได้หลงดีใจ โอ๊ย ไม่มีแล้ว รีบสรุปเลยว่าได้อนาคามีแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เชื่อไว้ก่อน ต้องทดสอบกิเลส ไปยืมหนังสือโป๊ของเพื่อนมา มีเพื่อนคนหนึ่งเขามีคลังหนังสือโป๊ แต่ไหนแต่ไรก็ชอบ ใจกว้างเผื่อแผ่ให้คนโน้นยืมคนนี้ยืม จะมาให้หลวงพ่อยืม หลวงพ่อไม่เอา กิเลสเราก็เยอะอยู่แล้ว ยังไปดูให้มันเยอะมากกว่าเก่าอีก สู้ไม่ไหว แต่คราวนี้หน้าด้านหน้าทนไปยืมหนังสือโป๊เขา เขาดีใจมาก ว่าหลวงพ่อมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว เข้าถึงสัจธรรมของชีวิตแล้ว ให้มาด้วยความยินดีเต็มใจ ก็มาดูๆ กลับมาบ้านมาดู ใจเฉยๆ ไม่มีความกระเพื่อม ไม่มีความหวั่นไหวเลย เช้าขึ้นเอาเล่มนี้ไปคืน เอาเล่มใหม่มาดูต่อ

พอถึงวันที่ 7 ใจมันกระเทือนขึ้นมา ใจกระเทือนขึ้นมา รู้แล้ว ไม่ใช่พระอนาคามีแล้ว จิตเกิดกามราคะขึ้นมาอีกแล้ว ไม่เสียใจเลย แต่ดีใจ ดีใจว่าเราไม่โดนกิเลสหลอก เราระมัดระวังในการสังเกตตัวเอง พอเห็นราคะเกิด คราวนี้ก็ไม่ยืมแล้ว เอาไปคืนแล้วบอกไม่ต้องแล้ว พอแล้ว บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ดูลย์ ไปเล่าถวายท่าน ท่านก็ยิ้มๆ ท่านบอกตรงที่ดวงสว่างผุดขึ้นมา มันเป็นนิมิต ดีแล้ว ฉลาดแล้ว ที่ไม่เชื่อมัน นี่หลวงพ่อไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นเวลาเราคิดว่า เราภาวนาแล้วบรรลุมรรคผลอะไร อย่าเพิ่งเชื่อ สังเกตนานๆ

มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งชื่อหลวงพ่อกิม ท่านเคยบอกว่า ถ้าใครเขาว่าเขาบรรลุพระอรหันต์ ให้เขาดูสัก 3 เดือน ดูสิจิตมันยังเปลี่ยนแปลงอีกไหม เราดู 3 เดือน หลวงพ่อพบอย่างหนึ่งว่าดู 7 วันเปลี่ยนแปลง หรือดู 3 เดือนเปลี่ยนแปลง จิตที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ ต้องไม่ทรงฌาน ถ้าจิตทรงสมาธิอยู่ สงบเงียบ สบายอย่างนี้ ราคะก็ไม่เกิด นานเท่าไรก็ไม่เกิด ปีหนึ่งยังไม่เกิดเลย ถ้าจิตที่มันทรงสมาธิจนเคยตัว เพราะในรูปฌาน ในรูปฌาน ไม่มีกามราคะอยู่แล้วในขณะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าจิตขณะนั้นเข้าฌานอยู่ ขณะนั้นไม่มีกามราคะอยู่แล้ว เพราะจิตมันเลยกามไป มันขึ้นไปถึงรูปพรหม อรูปพรหมแล้ว ไม่ใช่กามาวจร

 

ดูกิเลสในสภาวะที่จิตใจปกติ จิตใจธรรมดา

เพราะฉะนั้นเวลาที่จะดูจิตว่ามีกิเลสหรือเปล่า ให้ดูจิตในขณะที่จิตเราเป็นธรรมดาๆ ไม่ใช่จิตทรงสมาธิอยู่ ถ้าจิตทรงสมาธิอยู่ กิเลสหยาบๆ พวกนี้ไม่เกิดหรอก แล้วเราก็จะหลงผิดว่า เราละได้เด็ดขาดแล้ว เพราะฉะนั้นต้องใช้เป็นจิตใจที่ธรรมดาๆ อย่างพระที่หลวงปู่ดูลย์ท่านด่า ทีแรกก็จิตทรงสมาธิอยู่ เหมือนไม่มีกิเลส พอถูกท่านด่าอย่างแรงๆ มันตั้งหลักไม่ทัน ไม่ทันวางฟอร์มเป็นพระอรหันต์ จิตสะเทือนขึ้นมา พอสะเทือนขึ้นมา หลุดออกจากสมาธิที่กำหนดเอาไว้ คราวนี้กิเลสก็ทำงาน ตามธรรมชาติธรรมดาของมัน ก็จะเห็น ราคะมีไหม มีโทสะไหม มันจะเห็นด้วยตัวเองฉะนั้นเวลาที่เราจะดูกิเลส ให้ดูในสภาวะที่จิตใจปกติ จิตใจธรรมดาอย่างขณะนี้ของเรานี้ ใจธรรมดา ใจธรรมดาๆ อย่างนี้ มีอารมณ์นี้มากระทบ ราคะเกิด มีอารมณ์นี้มากระทบ โทสะเกิด เป็นธรรมชาติ

แล้วเวลาเผลอๆ บางทีเราก็อย่างนั้น เราก็อย่างนี้ บางคนก็กูอย่างนั้น กูอย่างนี้ขึ้นมา มันมีตัวมีตนขึ้นมาแล้ว มีตัว รู้สึกมีเราจริงๆ ไปทำสมาธิเงียบอย่างนี้ ไม่คิดไม่นึกอะไร เรามันก็ไม่เกิด แต่ไม่ใช่มันไม่มี มันแค่ยังไม่เกิด พอมีเหตุผล มีเหตุปัจจัยถูกต้อง มันก็เกิดอีก เพราะฉะนั้นเราเชื่อถือไม่ได้ อย่าไปเชื่อ เวลาภาวนาแล้วนึกว่าบรรลุแล้ว ให้สังเกตจิตใจไปหลายๆ วัน สังเกตด้วยใจปกติ ถ้าเราคิดว่าเราเป็นพระโสดาบัน เวลาเราเผลอๆ มันมีความรู้สึกว่ามีเราขึ้นมาไหมในใจนี้ ไม่ใช่เวลารู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ต้องเล่นตอนเผลอๆ นั่นล่ะ กิเลสมันเล่นเราทีเผลอ ถ้าเราอยากรู้ทันกิเลส ก็ต้องแอบดูมันตอนมันเผลอนี่ล่ะ พอใจเราเผลอปุ๊บ มันเกิดเราขึ้นมาแล้ว ยังไม่ได้โสดาบัน มีเราอยู่

หรือภาวนาไป สติเราเร็วขึ้นๆ กิเลสเบาบาง เพราะว่าสติมันเร็ว แต่สติที่มันเร็วนี้ยังเป็นโลกียธรรม สติ สมาธิ ปัญญา ที่เราฝึกกันทุกวันนี้ ยังเป็นในส่วนของโลกียะ เป็นของที่เสื่อมได้ บางครั้งสติเราดี กิเลสเบาบาง ไม่ได้แปลว่าเป็นพระสกทาคามี แต่เป็นเพราะช่วงนั้นสติมันดี แต่พอสติมันอ่อนลง คราวนี้กิเลสก็แรงเหมือนเดิมอะไรอย่างนี้ ก็วัดอย่างนี้ เออ ไม่ใช่พระสกทาคามีแล้ว

หรือว่าเป็นพระอนาคามี ใช้ใจธรรมดานี้ล่ะ อย่าไปทำสมาธินิ่งๆ อยู่ ให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ เดี๋ยวราคะ โทสะ มันก็เกิดขึ้นมา ก็ดูได้อีก ส่วนตรงที่จบแล้วก็ไกลหน่อย พวกเรายังไม่ต้องเรียนถึงตรงนั้นหรอก เมื่อก่อนเคยมีพระองค์หนึ่ง มาหาหลวงพ่อแล้วบอกว่าจบแล้ว อ้อ บอกว่าได้อนาคามีแล้ว ท่านบอกว่าท่านได้อนาคามีแล้ว หลวงพ่อบอกยังไม่ได้หรอก นี่แบบไม่ไว้หน้าเลย ต่อหน้าพระเยอะๆ เลย พระอาคันตุกะมาบอกว่าได้อนาคามีแล้ว

หลวงพ่อบอกยังไม่ได้หรอก พอบอกว่ายังไม่ได้ ใจนี้เสียใจเลย ใจเศร้าสลด บอกเห็นไหม นี่ใจมันสลดหดหู่แล้ว เออ ไม่ใช่ ทีแรกท่านบอกท่านเป็นพระอรหันต์ พอหลวงพ่อบอกว่าไม่ใช่หรอก ใจท่านก็เศร้าโศกขึ้นมา บอกอนาคามีก็ยังไม่ได้ ยังมีความเศร้าหมอง ปฏิฆะเกิดขึ้น ไล่ๆๆ ไปจนถึงยังไม่ได้อะไรเลย ไล่จากกิเลสนี่ล่ะ แต่จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว อายุ 72 แล้ว ความจำมันลดลงเรื่องหลายปีเกือบ 10 ปีแล้ว จำไม่ได้รายละเอียด แต่ไล่จี้ให้ท่านดูกิเลสของตัวเอง

แต่บางคนจี้ไม่ได้ด้วย มีคนหนึ่งไปเรียนมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วบอกว่าได้โสดาบันแล้ว อาจารย์รับรองมา หลวงพ่อบอกว่า “เห็นไหมจิตมันยังมีตัวตนอยู่เลย มันยังมีความเป็นตัวกูของกูอยู่” เขาบอกเขาไม่เห็น โมโหแล้ว แล้วก็บอกไม่เห็นหรอก ไม่มี บอกอย่างนี้ ยืนยันเด็ดขาด บอกว่า “โอ้ ไม่เป็นไร คุณว่าคุณไม่มี ไม่เป็นไร แต่หลวงพ่อว่าคุณมี” โกรธหลวงพ่อตั้งหลายปี ต่อมาถึงจะไปเห็นว่า เออ มันยังอยู่ จิตเวลาเผลอๆ ตัว ไม่ได้ไปเพ่งไปจ้องไว้ มันยังเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาแล้ว รู้สึกเกิดอะไรแปลกๆ สงสัยว่าบรรลุมรรคผล สังเกตเอา ในสภาวะที่จิตใจปกติ

มีบางคนอัศจรรย์หนักเข้าไปอีก โทรศัพท์มาที่มูลนิธิฯ บอกว่าจะมาพบหลวงพ่อ เขาได้ธรรมะแล้ว พระอาจารย์อ๊าบอกให้เขามาส่งการบ้านกับหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อดูให้ ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ก็ถามว่าพระอาจารย์อ๊าติดต่อไปทางไหน โอ๊ย บอกไม่ได้หรอก เดี๋ยวท่านจะถูกหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม ไปอย่างนั้นอีก มีบ่อยๆ ว่าหลวงพ่อส่งจิตไปเรียก อาจารย์อ๊าส่งจิตไปเรียก จิตมันหลอนทั้งนั้น จิตมันหลอน ไม่มีใครเขามานั่งส่งจิต ไปเรียกคนโน้นคนนี้หรอก จิตของใคร เจ้าของก็ดูแลเอาเอง เรื่องอะไรจะเที่ยวส่งไปหาคนโน้น ส่งไปหาคนนี้ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมา

อันนี้ส่วนใหญ่ก็คืออยากได้มรรคผลเร็วๆ ใจร้อน หรือบางคนมีปัญหาทางจิต ควรจะไปหาจิตแพทย์ ไม่ใช่มาหาพระ ทุกวันนี้เยอะ คนไทยเราเป็นโรคทางจิตใจเป็นล้านๆ เลย ชีวิตมันเครียดมาก ก็เลยหาทางออกด้วยการเป็นโรคจิตเสีย จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ แต่บางคนเป็นโรคจิตก็เศร้าโศก เสียใจ ร้องไห้อะไรต่ออะไร ฉะนั้นเราไม่เป็นดีกว่า ไม่ต้องไปเป็นหรอก มีสติไว้ก็ไม่เป็นโรคจิตหรอก

 

มีสติดูแลจิตใจของตัวเอง
กิเลสชั่วหยาบจะครอบงำจิตใจไม่ได้

มีสติก็คือคอยรู้เท่าทันจิตใจของตัวเองไป จิตใจมีความสุขก็รู้ จิตใจมีความทุกข์ก็รู้ จิตใจโลภก็รู้ จิตใจไม่โลภก็รู้ จิตใจโกรธก็รู้ จิตใจไม่โกรธก็รู้ จิตใจหลงก็รู้ จิตใจรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ก็รู้ จิตใจฟุ้งซ่านก็รู้ จิตใจหดหู่ก็รู้ หรือบางทีภาวนา จิตมันสว่างไสวขึ้นมา เราสงบอยู่กับความสว่างนี้ จิตมีอุปจารสมาธิก็รู้ จิตไม่มีอุปจารสมาธิก็รู้ รู้อย่างที่มันเป็น อ่านจิตอ่านใจของตัวเองไปเรื่อยๆๆ แล้วมันจะไม่โดนกิเลสหลอก ถ้าเราไม่คอยมีสติดูแลจิตใจของตัวเอง กิเลสมันก็จะหลอกเอา

การที่เรามีสติดูแลจิตใจของตัวเองนั้น เป็นของที่ดีมาก ควรทำอย่างยิ่ง การที่เรามีสติรู้ทันจิตใจของตัวเอง ราคะ โทสะ โมหะอะไรเกิด เรารู้ กิเลสชั่วหยาบมันจะครอบงำจิตใจไม่ได้ เมื่อกิเลสมันครอบงำจิตใจไม่ได้ เราจะไม่กล้าทำผิดศีล คนที่ทำผิดศีลได้เพราะถูกกิเลสครอบงำ อย่างไปฆ่าเขา ไปลักทรัพย์เขา ไปแกล้ง แย่งชิงคนรักของเขา ไปด่าเขา โทสะมันแทรก ก็เลยพยายามทำร้ายเขา ทำร้ายร่างกายเขา นี่ก็ผิดศีลข้อ 1 ทำร้ายทรัพย์สินของเขาก็ผิดศีลข้อ 2 ทำร้ายคนที่เขารักก็ผิดศีลข้อ 3 ไปว่าเขา ไปใส่ร้ายเขา พูดเท็จ ทำร้ายเขาให้เสียชื่อเสียง อันนี้ผิดศีลข้อ 4 คนเราทำผิดศีลได้ก็เพราะกิเลส เวลาราคะเกิดก็ทำผิดศีลได้หมด

ราคะเกิด เช่น เห็นเขามีของสวยๆ มีมือถือรุ่นใหม่ก็ไปขโมยเขา นี่ก็เพราะอำนาจราคะ หรือไปทำร้ายร่างกายเขาเพื่อแย่งของเขา อันนี้ก็ผิดศีลข้อ 1 ก็ไปอยากได้ของเขา แล้วไปแย่งเอามา ทำร้ายเขา ผิดศีลข้อ 1 ด้วย ไปชิงของเขามาด้วย นี่ผิดศีลข้อ 2 ด้วย ไปชอบเมียเขาก็ผิดศีลข้อ 3 ด้วย ไปปลิ้นปล้อนหลอกลวงเขา อยากได้เงินเขา ก็ไปประจบประแจงหลอกล่อนานาชนิด ชวนให้มาซื้อหุ้น ชวนโน้นชวนนี้ มาลงทุนของเรา อันนี้ก็ผิดศีลข้อ 4 เห็นไหม มีราคะก็ผิดศีลได้ทุกข้อ มีโทสะก็ผิดศีลได้ทุกข้อ แล้วตัวโมหะ ตัวหลง ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ตัวนั้นยิ่งร้ายกาจใหญ่

การที่เรามีสติรู้ทันจิตใจตัวเอง เราจะมีศีลอัตโนมัติ เพราะราคะไม่ครอบงำเรา เราก็ไม่ทำผิดศีลเพราะราคะ โทสะไม่ครอบงำจิตใจเรา เราก็ไม่ทำผิดศีล ไม่ทำผิดศีลเพราะโทสะ หัดดูไป เพราะฉะนั้นการที่เรามีสติรักษาจิตของตัวเอง ศีลของเราจะงดงามหมดจดมากขึ้นๆ พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกว่า ฆราวาสจะรักษาศีลให้หมดจด ท่านเปรียบเหมือนหอยสังข์ที่ขัดไว้ดีแล้ว หอยสังข์เปลือกมันไม่สวยหรอก เราต้องมาขัดๆๆ เอาผิวมันออก ข้างในมันสวย เหมือนศีลขัดเกลาเอากิเลสออกไปแล้ว แหม มันสวย บอก “ฆราวาสทำยาก ที่จะรักษาศีลให้สะอาดหมดจด เหมือนหอยสังข์ที่ขัดไว้ดีแล้ว”

แต่ถ้าเราเป็นฆราวาส ชนิดที่มีสติรู้ทันจิตของตัวเอง เราจะรักษาศีลให้สะอาดหมดจดได้ เพราะฉะนั้นมีสติดูแลจิตใจของตัวเองไว้ ราคะ โทสะ โมหะอะไรเกิด คอยรู้ทันไป ไม่ห้าม ไม่ต้องไปห้ามว่าอย่าโกรธ อย่ารัก ไม่ต้องห้ามหรอก มันโกรธขึ้นมารู้ทัน มันรักขึ้นมารู้ทัน กิเลสมันจะอยู่ไม่ได้หรอก กิเลสมันแพ้สติ พอกิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติมันก็เกิดขึ้น

แล้วการที่เรามีสติดูแลรักษาจิต จิตเราฟุ้งซ่านเรารู้ จิตเราคิดถึงสิ่งที่ชอบใจ เรียกกามคุณอารมณ์ เรารู้ จิตมันก็จะไม่ไหลออกไป อย่างจิตที่มันติดใจในกามคุณอารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอะไรทั้งหลาย มันก็จะไหลออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตที่หลงเพลินไปทางใจ ก็หลงไปคิดไปนึกอะไร ก็ไหลไปทางใจ ฉะนั้นจิตที่มันไม่มีสติดูแล มันก็จะไหลออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตที่มันไหลไปเขาเรียก จิตมันไม่ตั้งมั่น จิตมันไม่มีสมาธิ

 

คอยรู้ทันจิต จิตก็ไม่ฟุ้ง
เกิดสมาธิตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา

การที่เรามีสติอยู่ อย่างใจเราอยากดูผู้หญิงสวยๆ อยู่ข้างบ้านเรา ใจมันอยากดู เรารู้ทัน พอรู้ทันความอยากดูมันหายไป ใจเราก็สงบ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ไม่สนใจผู้หญิงข้างบ้านแล้ว เพราะใจเรารู้ทัน ตรงนั้นจิตมันฟุ้งออกไป ตรงที่เราคอยรู้ทันจิต ที่มันจะฟุ้งออกไปหาอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางใจคือไหลไปคิด ถ้าเรารู้ทัน จิตมันก็ไม่ฟุ้ง จิตมันก็เกิดสมาธิตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา คนทั่วไปจิตไม่มีพลัง เพราะจิตไหลตลอดเวลา เดี๋ยวไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เดี๋ยวไหลไปคิด จิตไหลไป จิตใช้พลังงาน จิตก็จะไม่มีเรี่ยวมีแรง ป้อแป้ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว

เรามีสติ จิตอยากดูรูป รู้ทัน จิตอยากฟังเสียง รู้ทัน จิตอยากดมกลิ่น อยากลิ้มรส อยากรู้สัมผัสทางกาย รู้ทัน จิตก็จะไม่หลงไม่ไหล ไปหากามคุณอารมณ์คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะทั้งหลาย จิตไม่ต้องไหลไป หรือจิตหนีไปคิดเรารู้ทัน จิตก็ไม่เปลืองพลังงานในการคิด เราบางทีเราเข้าใจผิดว่า จิตมันทำงานแล้วไม่เสียพลังงาน ร่างกายทำงานแล้วเสียพลังงาน อย่างร่างกายเรา เราใช้งานเยอะๆ แล้วมันปวด มันเมื่อย มันเหนื่อย จิตใช้งานมันมากๆ มันก็เหนื่อยเหมือนกัน เรียกว่าเหนื่อยใจ ใจไม่มีแรง ท้อแท้ ป้อแป้

เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปใช้งานมันมาก ให้จิตใจมันได้พักผ่อนบ้าง มีสติไว้ รู้ทัน จิตมันหิวอารมณ์ทางตา รู้ทัน มันก็ไม่ไหลไป ไม่ใช่บังคับไม่ให้ไหล แต่รู้ทันความอยากที่จะไหลไป มันก็เลยไม่ไหล เมื่อมันไม่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่เปลืองพลังงาน เมื่อไม่เปลืองพลังงาน จิตมันก็หยุดอยู่ แล้วแรงของมันก็จะมากขึ้นๆๆ จนกระทั่งพลังมันได้ที่ พลังมันได้ที่ก็จะใช้งานได้หลายอย่าง ใช้งานอย่างโลกๆ ก็ได้ อยากรู้อยากเห็นอะไร อยากรู้จิตคนอื่นอย่างไร นี้เป็นเรื่องของสมาธิทั้งหมด

ใช้ในทางธรรมก็คือ เอาจิตที่ตั้งมั่นมาเรียนรู้กาย มาเรียนรู้ใจของตัวเอง ถ้าเรียนรู้จิตใจไม่เห็น ดูจิตใจไม่ออก ดูกายไปเลย ไม่ใช่ว่าดูจิตดีกว่าดูกาย จะดูกาย ดูเวทนา หรือดูจิต เสมอกัน แล้วแต่ความถนัด ดูจิตไม่ได้ดูกายไป แล้วเวลาที่ปัญญาเกิด มันก็เห็นเรื่องเดียวกัน คือเห็นไตรลักษณ์ ดูกาย เวลาเดินปัญญาก็เพื่อเห็นไตรลักษณ์ ดูเวทนาก็เพื่อเห็นไตรลักษณ์ ดูจิตก็เพื่อให้เห็นไตรลักษณ์

เพราะฉะนั้นจะเริ่มต้นจากอะไรก็ได้ จะดูกายก็ได้ ดูจิตไม่ไหวก็ดูกาย ดูจิตได้ก็ดูจิต แล้วแต่ขีดความสามารถของจิตเราในขณะนั้น ฉะนั้นพอจิตมีกำลังแล้วอย่าอยู่เฉย ต้องเดินปัญญาต่อ การเดินปัญญาก็ใช้สติอีกล่ะ สติกับสมาธิ สมาธิเราอาศัยสติรู้ทันจิตที่ไหลไปๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในที่สุดจิตก็มีสมาธิขึ้นมา มีกำลังขึ้นมา ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา ถัดจากนั้นเราเดินปัญญา

เดินปัญญา สติระลึกรู้กาย ในขณะนั้นจิตตั้งมั่นอยู่ ไม่ได้บังคับให้ตั้ง สติระลึกรู้กายด้วยจิตที่ตั้งมั่นอยู่ ร่างกายก็จะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู สติระลึกรู้เวทนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นอยู่ เวทนาก็แสดงไตรลักษณ์ให้ดู สติระลึกรู้กุศลอกุศลทั้งหลาย ที่กำลังมีกำลังเป็นอยู่นั้น ด้วยจิตที่ตั้งมั่น กุศลอกุศลทั้งหลายก็จะแสดงไตรลักษณ์ให้ดู แล้วฝึกเรื่อยๆ ต่อไปเราเห็นตัวจิต จิตนี้เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปทางตา เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปทางหู เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ หลงไปทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตรงนี้จิตเองก็แสดงไตรลักษณ์ให้เราดู นี่คือการเจริญปัญญา

ถ้ารู้กายเราก็เห็น กายนี้ไม่เที่ยง กายนี้เป็นทุกข์ กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่วัตถุธาตุ จะรู้เวทนาเราก็เห็น เวทนาเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา สติระลึกรู้สังขาร จิตตั้งมั่นอยู่ก็จะเห็น สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เฝ้ารู้เฝ้าดู อาศัยสติ ทีแรกอาศัยสติรู้ทันจิตใจตัวเอง กิเลสอะไรเกิดก็คอยรู้ไว้ แล้วเราจะได้ศีล เราอาศัยสติรู้ทันจิตที่ชอบไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไหลทางใจคือไหลไปคิด จิตจะได้สมาธิขึ้นมา แล้วพอจิตมีสมาธิแล้ว สติไหลไปรู้อะไร ปัญญามันจะเกิด มันจะเห็นว่ารูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย ทั้งภายใน ทั้งภายนอก ล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เหมือนๆ กันหมด

อย่างตาเราเห็นผู้หญิงสวย แต่เดิมผู้หญิงมันสวย พอจิตมันตั้งมั่นจริงๆ มองเข้าไป สติระลึกถึงผู้หญิงคนนั้นปั๊บ มันเห็นเลย มันเป็นแค่สี ที่เรามองเห็นผู้หญิงสวย จริงๆ มันแค่สี สีที่มันตัดกันเป็นรูปร่าง ที่ใจเรามโนเอาว่าผู้หญิง สัญญาไปหมายรู้ว่าเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นจริงๆ สิ่งที่ตาเราเห็นก็แค่สี สิ่งที่หูได้ยินก็แค่เสียง ไม่ใช่เสียงดี เสียงไม่ดี เสียงชม เสียงด่า เสียงพูดเรื่องนั้น เสียงพูดเรื่องนี้ อันนั้นเป็นเสียงที่เติมบัญญัติลงไปแล้ว รู้สมมติบัญญัติเข้าไปด้วย

เพราะฉะนั้นจริงๆ สิ่งที่หูเราได้ยิน คือคลื่นเสียง สิ่งที่ตาเราเห็นก็คลื่นแสง สิ่งที่จมูกได้กลิ่นก็คืออณูของกลิ่นเท่านั้นเอง รสก็เหมือนกัน เป็นอณูของรสที่สัมผัสลิ้น สิ่งเหล่านี้ไม่มีตัวมีตนอะไรจริง หรือเรารู้สึก แหม หมาตัวนี้น่ารัก หมาเข้ามาเคล้าเคลียเรา สีขาเรานุ่มเชียว น่ารักน่ากอดอะไรอย่างนี้ ถ้าเรามีจิตตั้งมั่น สติระลึกรู้ลงไป สิ่งที่สัมผัสร่างกายเรา ก็เป็นความอ่อนโยน เป็นความนุ่มนวล เป็นความแข็ง ความอ่อน ความแข็ง ความตึง ความไหวอะไรพวกนี้ มันแค่นั้นเอง

สัญญามันเข้าไปแปลว่านี่หมาน่ารัก สวย แมวน่ารัก มันกำลังมาเล่นอยู่กับเรา มาคลอเคลีย ตัวนุ่มๆ ขนนุ่มๆ ตัวอาบน้ำมาดีหอมๆ จริงๆ มันไม่ได้มีหมาหรอก ตัวที่มากระทบร่างกายเรา ก็เป็นสิ่งที่อ่อน ที่แข็ง ที่ตึง ที่ไหว ไม่มีอะไรหรอก เหมือนสิ่งที่มากระทบตาเรา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรามีเขา สิ่งที่มากระทบตาก็แค่คลื่นแสงเท่านั้นเอง แล้วเรามาแปลเอาเองว่านี่เป็นรูปนี้ นี่เป็นรูปนี้ เราก็ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง สิ่งที่มากระทบ

เสียงก็ไม่มีตัวมีตนอะไร ไม่ใช่คน สัตว์ เรา เขา อะไร ก็แค่คลื่นเสียง แล้วเราก็มาแปลความหมายของเสียง สัญญาเข้าไปแปลความหมายว่า นี่เสียงชม นี่เสียงด่า ไปแปลความหมาย เห็นไหมจริงๆ สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเรา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรา ไม่มีเขาหรอก ถ้าเราฝึกจิตของเราตั้งมั่นดีๆ ตากระทบรูป เราก็เห็นรูปไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ตาเองก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ประสาทตา จอภาพ มีจอภาพ มีประสาทตา มีอะไรอย่างนี้

 

อาศัยกำลังของสติล้างความเห็นผิด

เฝ้ารู้เฝ้าดู แล้วมันจะล้างความเห็นผิด ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา ล้างความเห็นผิดว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรา เป็นเขา อาศัยที่จิตตั้งมั่น แล้วสติระลึกลงไปจริงๆ เราจะเห็นมันไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีเรามีเขาตรงไหนเลย ฉะนั้นการภาวนา ไม่ใช่ภาวนาเพื่อละความเป็นตัวตน เพราะตัวตนไม่มี สิ่งที่มีคือความหลงผิดว่ามีตัวตน ที่มันหลงผิดเพราะมันหมายรู้ผิดๆ สัญญาผิดๆ เข้าไปหมายรู้ผิด เวลาคิดมันก็คิดผิดๆ แล้วมันก็เลยเกิดความเห็นผิดขึ้นมา

ฉะนั้นเวลาที่เราจะภาวนา จนกระทั่งล้างความเห็นผิดได้ อาศัยกำลังของสติ ใช้สติคอยรู้เท่าทันใจของตัวเองบ่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ ศีลก็จะเกิด สมาธิก็จะเกิด แล้วต่อไปสติระลึกรู้อะไร ด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลางอยู่แล้วก็ สิ่งนั้นจะแสดงไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม แล้วสุดท้ายเราก็จะรู้ความจริง ตัวเราไม่มี แล้วพอตัวเราไม่มีแล้ว เราก็อาศัยสตินั่นล่ะมาทดสอบ สังเกตไปเรื่อยๆ เวลารู้ตัวอยู่ ไม่มีตัวเรา เวลาเผลอ พอเผลอแล้วระลึกย้อนหลังไป นึกถึงตอนที่เผลอ มันมีเราไหม

ถ้าไม่ใช่พระโสดาบัน ตอนเผลอมันมีเรา แต่มันไม่เห็น แล้วพอสติเกิด ระลึกย้อนไป มันจะพบว่าเมื่อกี้มีเรา นามธรรมเราดูตามหลัง แต่ดูตามหลังแบบกระชั้นชิด บางคนบอกนามธรรมดูไม่ได้ เจริญปัญญาไม่ได้ เพราะไม่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันมี 2 อย่าง ปัจจุบันขณะคือเดี๋ยวนี้ เช่น ร่างกายกำลังเคลื่อนไหว นี่ปัจจุบันขณะ ถ้าพูดภาษาไทยมีคำว่า “กำลัง” ได้ กำลังเดิน กำลังพูด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของทางร่างกาย

แต่นามธรรมมันจะรู้ตามหลัง เขาเรียกปัจจุบันสันตติ โกรธขึ้นมาก่อน แล้วมีสติรู้ทันว่าโกรธ ในขณะที่มีสติ จิตเป็นคนละดวงกับจิตที่โกรธแล้ว จิตที่โกรธนั้นไม่มีสติ แล้วเกิดมีสติรู้ว่า เอ๊ย เมื่อกี้นี้โกรธ เพราะฉะนั้นนามธรรมมันจะมีคำว่า “เมื่อกี้ๆๆ” แต่ไม่ใช่เมื่อวาน เมื่อวานนานไป ต้องเมื่อกี้เลย ถ้าชลบุรีเขาไม่เรียกเมื่อกี้ เขาเรียกเมื่อกี๋ เคยได้ยินไหมเมื่อกี๋ ถ้าคนภาคกลางกรุงเทพฯ เขาเรียกเมื่อกี้ แต่ถ้าเป็นรูปธรรม “กำลัง” กำลังเคลื่อนไหว กำลังหยุดนิ่ง กำลังแบ กำลังกำ แต่ถ้านามธรรม รักแล้ว โลภแล้ว โกรธแล้ว หลงแล้ว มีคำว่า “แล้ว” ตัวนี้ไม่ใช่ว่าไม่เป็นปัจจุบัน แต่มันเป็นปัจจุบัน แบบที่เรียกว่าปัจจุบันสันตติ คือสืบเนื่องกับปัจจุบัน การดูนามธรรมนั้น จะดูด้วยปัจจุบันสันตติ ไม่ใช่ปัจจุบันขณะ ถ้าอย่างนี้ปัจจุบันขณะ คือขณะนี้

แล้วทำไมดูนามธรรมบอกว่า มันคล้อยหลังนิดหนึ่ง ไม่ได้ๆ ก็พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ สอนในสติปัฏฐาน 4 ตัวรูปใช่ไหม ตัวรูปนี่เป็นรูปธรรม เวทนานี่นามธรรม สังขาร จิตตานุปัสสนา นี่นามธรรม ในธัมมานุปัสสนามีทั้งรูปธรรม มีทั้งนามธรรม ส่วนใหญ่ก็เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่า นามธรรมใช้ทำวิปัสสนาไม่ได้ นี่พูดเอาเอง

สรุป มีสติเอาไว้ให้ดี คอยอ่านจิตอ่านใจตัวเองไป จิตโลภก็รู้ จิตโกรธก็รู้ จิตหลงก็รู้ ต่อไปจิตไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รู้ ต่อไปพอจิตมันตั้งมั่นแล้ว สติระลึกรู้อะไรก็จะเห็น ระลึกรู้รูปก็เห็นไตรลักษณ์ ระลึกรู้นามก็เห็นไตรลักษณ์ รูปก็รู้ปัจจุบันขณะ เดี๋ยวนี้เลย รูปที่กำลังนี้ กำลังเคลื่อนไหว มันไม่ใช่เรา นามธรรมที่มันเพิ่งดับไปสดๆ ร้อนๆ มันไม่ใช่เรา หัดรู้เรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็จะได้มรรคได้ผลหรอก พอได้แล้วก็สังเกตตัวเองไป ได้จริงหรือไม่ได้จริง การสังเกตให้สังเกตในภาวะที่จิตใจธรรมดาๆ ไม่ใช่จิตใจทรงสมาธิอยู่

เอ้า วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ ที่เทศน์เรื่องนี้ เพราะว่าคนไม่ปกติเริ่มหลั่งไหลมา บอกให้ไปหาจิตแพทย์ ส่วนใหญ่มโนเอาทั้งนั้นเลย บางทีบอกหลวงพ่อส่งจิตไปสอน ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้น บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ไม่มีบอกอย่างนั้นหรอก จิตมันหลอน ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ฉะนั้นดูแลจิตใจของตนเองให้ดี จิตที่เราดูแลดีแล้วนำความสุขมาให้ จิตที่เราคุ้มครองรักษาดี นำความสุขมาให้

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 มกราคม 2567