สิ่งที่ควรทำคือความดี

ไปโรงพยาบาลตรวจร่างกาย ผลออกมาดี เชื้อมะเร็งเมื่อปี 2559 มันสงบ ไม่เจอเชื้อตัวนี้ 5 ปีแล้ว หมอเขาตรวจปีละครั้ง เข้าเครื่องเพ็ตสแกน บอกต่อไปนี้ไม่ต้องไปเข้าเครื่องนี้แล้ว ตรวจเฉยๆ ปีละครั้ง ตอนป่วยทีแรกไปเข้าที่ศิริราช อาจารย์ดูแลหลวงพ่อ กับอาจารย์หมออีกหลายท่าน คนละด้านทำด้านโน้นด้านนี้ อาจารย์เขาก็บอกว่าต้องให้คีโม 6 ครั้ง แล้วก็ให้แอนติบอดี้อีก 2 ครั้ง พอทำไปถึงครั้งที่สาม ให้คีโมครั้งที่สาม อาจารย์เขาบอกให้ไปเจาะคอดูดสเต็มเซลล์ ทำอยู่ 2 วัน อาจารย์เขาบอกว่าเก็บเอาไว้ เผื่อวันหลังเชื้อมันมาจะได้เอาไว้ใช้ นี่ศิลปะของหมอค่อยๆ พาเราเดินไปทีละก้าวๆ พอให้ยาครบ 6 รอบ ตามด้วยแอนติบอดีอีก 2 รอบ ก็นัดทำปลูกถ่ายไขกระดูก ปลูกถ่ายไขกระดูกอาจารย์ก็บอกเดี๋ยวพ้นตรงนี้แล้วก็ ให้แอนติบอดี้เดือนละครั้งปีหนึ่ง ค่อยๆ บอกเรา ค่อยๆ บอกทีละหน่อยๆ ถ้าบอกทีเดียวยาวๆ กลัวคนไข้ไม่รักษาแล้ว

เราก็อยู่กับปัจจุบันไป ถึงเวลาหมอเขาก็รักษาไป เราก็ไม่กังวลว่ามันจะยาวนานแค่ไหน แป๊บเดียว พอใจเราไม่ร้อน แป๊บเดียวก็ผ่านไป 5 ปีแล้ว โควิดนี้ก็เหมือนกัน มัน 2 ปีกว่าแล้ว แต่ก่อนโรคระบาดทั่วโลกแบบนี้ เกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็ราวๆ สัก 3 ปี แต่คนสมัยก่อนไม่มียาไม่มีวัคซีนอะไร ก็ตายเยอะ ข้อดีของคนยุคก่อนก็คือเขาเดินทางน้อย ของเรายุคนี้เดินทางเป็นว่าเล่น แพร่เชื้อไปแบ่งกันได้ทั่วๆ กันทั่วโลกในเวลาอันสั้น ถ้าทีแรกเขาบอกว่าต้องใช้เวลา 2 – 3 ปีเราถึงจะสบายขึ้น คงจะท้อใจกัน ก็ค่อยๆ เดินมาด้วยกัน ลำบากมาด้วยกัน มาถึงวันนี้สถานการณ์มันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว

 

ความทุกข์ทั้งหลายเดี๋ยวมันก็ผ่านไปทุกอย่าง

ถ้าใจเรามันไม่กังวล ไม่เครียด อะไรมันจะเกิดขึ้นมันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันก็ผ่านไป เมื่อก่อนหลวงพ่อถึงบอกพวกเราบ่อยๆ เวลามีความทุกข์เกิดขึ้น อย่ามัวแต่กลุ้มใจว่าเมื่อไหร่มันจะหมดไปเสียที ดูไปมันก็ของธรรมดา มันมาได้มันก็ไปได้ บางคนจิตใจอ่อนแอหน่อย หลวงพ่อก็สอนคาถาให้ ให้ท่องไว้ เวลามีความทุกข์ผ่านเข้ามาในชีวิตเรามากๆ ทำอะไรไม่ได้ก็ท่องคาถานี้ไว้ คาถาก็สั้นนิดเดียว “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” บอกมานานแล้วคาถาอันนี้ โควิดมันอย่างไรมันก็ต้องผ่านไป

บางคนอกหัก โลกมืดมน ฟ้ามืดไปหมด นกก็ไม่ร้องเพลง ชีวิตรู้สึกเศร้ามาก ถ้าใครเคยอกหักก็จะรู้ มันเหมือนโลกไม่มีทางไปให้เราอีกต่อไปแล้ว มืดไปหมด ท่องคาถาไว้ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” แล้วมันก็ผ่านจริงๆ ไม่มีหรอกความทุกข์ถาวรในโลกนี้ ถ้าใจเราตระหนักอย่างนี้ได้ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง เราก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป ถ้ายังไม่ได้รู้ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง ก็ให้กำลังใจตัวเองไว้ ความทุกข์ทั้งหลายเดี๋ยวมันก็ผ่านไปทุกอย่างล่ะ พอใจเราสงบร่มเย็น มันก็จะเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งหลายได้อย่างสบายๆ อาจจะยุ่งยากลำบากในการดำรงชีวิต แต่ใจไม่กังวล ใจไม่ทุกข์ ถ้าเราอยู่ในโลกได้โดยใจเราไม่ทุกข์ ก็วิเศษที่สุดแล้ว

ส่วนร่างกายนี้อย่างไรก็ทุกข์ มีกายอย่างไรก็ต้องมีทุกข์ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บ ทุกข์เพราะความตาย ก็มันเกิดมาแล้ว เกิดมาก็ต้องมีความแก่ ความเจ็บ ความตายตามมาเสมอ ถ้าใจยอมรับได้ เวลาความแก่มันเกิดขึ้นมาถึงตัวเรา ก็นึกไป อย่าไปนึกท้อถอยว่าตอนนี้แก่ อะไรๆ ก็ช่วยตัวเองไม่ค่อยจะได้ ต้องนึกว่าเราได้ใช้ประโยชน์ร่างกายนี้มานานแล้ว ถ้าเราสร้างคุณงามความดีสม่ำเสมอมา เราก็ใช้กายนี้เป็นเครื่องมือในการไปทำความดีทั้งหลาย เราระลึกถึงตอนที่ร่างกายมันเริ่มทรุดโทรมแก่เฒ่าลง นึกถึงเราใช้ร่างกายคุ้มค่าแล้ว จิตใจเราก็อบอุ่น จะอบอุ่นมีความสุข มีความสงบ แก่ก็แก่อย่างน่าดู ไม่ใช่แก่กะโหลกกะลา เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เวลาเจ็บไข้ก็พิจารณาลงไป ก็ร่างกายมันสบายมานานแล้ว มันก็ต้องเจ็บบ้างล่ะ หรือมันจะตายมันก็เรื่องธรรมชาติ ถ้าไม่ตายนี่ลำบากนะ ถ้าคนเกิดมาแล้วไม่ตายโอ๊ยทุกข์แย่เลย คนป่วยหนักๆ หลวงพ่อเคยเห็น เห็นกับตัวเองเลย เห็นด้วยตาเลย ไม่สบายมากอยู่ในโรงพยาบาล เอามือสอง มือจับที่กั้นเตียงเขย่าใหญ่ เมื่อไหร่จะตายเสียทีโว้ย อยากตายเพราะมันทุกข์ บางคนเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ มันทุกข์อยู่อย่างนั้น

ฉะนั้นความตายจริงๆ ก็เป็นความปราณีของธรรมชาติ ถ้าเราแก่เราเจ็บแล้วเราไม่ตาย น่าสยดสยองที่สุดเลย ฉะนั้นความตายมันก็เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ถ้าใจเราฉลาด เรารู้ว่าความแก่ ความเจ็บ ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่เศร้าโศก ไม่เสียใจ ไม่คร่ำครวญถึงอดีตสมัยยังแข็งแรง สมัยยังร่ำรวย สมัยยังมีความรักอันอบอุ่น มันรู้สึกว่าเราได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว อันนี้สำหรับคนมีศีลมีธรรม สำหรับคนชั่วใช้ร่างกาย ใช้จิตใจไปก่อกรรมทำชั่ว เวลาจะตายก็ทุเรศแน่นอน มันไม่มีที่พึ่งที่อาศัยอะไรเลย มีเงินหมื่นล้านก็ไม่มีใครช่วยได้ ถึงจุดนั้นก็ไม่มีใครช่วยได้ นึกถึงอดีตของตัวเองก็จะรู้สึกถึงความสูญเสีย สิ่งที่เคยแย่งมา นึกว่าดี นึกว่าวิเศษ พอมาถึงจุดนี้แล้วทุกอย่างว่างเปล่าไปหมดเลย เราไม่มีอะไรติดตัวเลย นอกจากความเศร้าหมองของจิต

 

การประกันชีวิตที่แท้จริง

ในตำราเขาสอนไว้ว่า “จิตที่เศร้าหมอง มีทุคติเป็นที่ไป จิตที่ผ่องใสมีบุญมีกุศล ก็มีสุคติเป็นที่ไป” บางคนกลัวตอนตาย เขามีเคล็ดลับว่าทำอย่างไรจะไม่กลัวตอนตาย ตอนเป็นทำตัวให้ดีเสียก่อน ถ้าตอนเป็นเรามีชีวิตที่ดี สร้างแต่คุณงามความดี เราจะไม่กลัวตอนตายหรอก ก็จะรู้สึกว่ามันธรรมดา ชีวิตนี้เราใช้มันคุ้มค่าแล้ว เอาชีวิตนี้มาทำทาน ถือศีล ภาวนา เราได้ประโยชน์จากการเกิดเต็มที่แล้ว ยิ่งถ้าเราได้มรรคผลยิ่งสมบูรณ์แบบ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้นๆ ถ้ายังไม่ได้มรรคผลก็เป็นคนที่ดี เรียกว่าเป็นกัลยาณปุถุชน เอาร่างกาย เอาจิตใจมาทำสิ่งดีๆ คิดดี พูดดี ทำดี ทำดีก็ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทำให้ได้ทุกวันสะสมของเราไป นี่คือการประกันชีวิตที่แท้จริง

ชีวิตนี้อย่างไรก็ตาย แต่การที่เราสะสมคุณงามความดีไว้ เป็นหลักประกันว่าเราจะตายอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ตาย แบบทุเรศๆ ทุลักทุเล เราจะรู้สึกว่าชีวิตเราคุ้มค่าแล้ว แต่ถ้าเราทำชั่วก็จะรู้สึกว่าติดลบแล้ว ถึงวันนั้นถึงจะหลอกตัวเองมาตลอดชีวิต ว่าเราจะมีความสุขอย่างโน้นอย่างนี้ เราโกงบ้านโกงเมืองมาได้ เรามีความสุขอะไรอย่างนี้ ไม่มีใครจับเราได้ ถึงวาระสุดท้ายใจมันระลึกขึ้นมา เศร้าหมอง ถ้าเราภาวนามีหูมีตา เราลองนึกถึงนักการเมืองที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าไม่ค่อยดีหรอก แต่บางคนก็ดี

พวกเราสร้างความดีให้ตัวเองตั้งแต่ตอนเป็นๆ นี้ล่ะ แล้วตอนตายจะตายอย่างสงบสุข เราก็มีสุคติเป็นที่ไป ใจร่มเย็นเป็นสุข ภาวนาไปเรารู้นะชีวิตหลังความตายมันมีอยู่จริงๆ ไม่ใช่ไม่มีหรอก จิตมันเป็นพลังงานอันหนึ่ง มันมีพลังงาน พลังงานมันก็ไม่ได้สูญหายไปไหน มันสืบต่อไปในภพภูมิใหม่ๆ สิ่งที่มาประกอบจิตนั้นทำให้มันได้ภพภูมิที่ดีหรือที่เลว ก็คือบุญกับกรรมของเรา บุญกับบาปนั่นล่ะ สิ่งที่เป็นความดีเรา ทำทาน รักษาศีล ภาวนา 3 อย่างนี้ควรทำ เราไม่มีเงินเราทำทานได้ไหม ทำได้ เราช่วยคนอื่น ช่วยสัตว์อื่น เท่าที่เราทำได้ ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ใช่เรื่องยากขอให้ตั้งใจให้ดี ต่อไปนี้เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นเลย ศีลเราก็มี เราช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือสัตว์อื่นได้ตามกำลังของเรา นี้ก็คือตัวทาน เรามีอาหารเหลือเล็กๆ น้อยๆ เอาไปให้ทิ้งลงไปที่ดิน ตั้งใจว่ามีอาหารติดมืออยู่หน่อยหนึ่ง ตั้งใจว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยจะได้ประโยชน์จากอาหารอันนี้

ในคัมภีร์เรามี มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร ชาติก่อนๆ ท่านยากจนมากเลย เกิดมาเป็นคนจนมากเลย ไม่มีเงินจะทำทานอะไรกับใครเขาหรอก วันหนึ่งกินข้าวเสร็จเห็นมดมันเดินอยู่ที่พื้น ก็บ้วนปากลงไปใกล้ๆ มัน ไม่ได้บ้วนใส่มัน บ้วนใกล้ๆ มัน มีเศษอาหารติดอยู่ในน้ำบ้วนปากอยู่หน่อย หวังว่ามดจะได้ประโยชน์ จะได้เป็นอาหารมัน ชาติสุดท้ายของท่านมาเกิดก็เป็นคนจนอีก เพราะไม่ค่อยได้ทำบุญทำทานอะไร บิณฑบาตไม่เคยอิ่มสักวันเลย มีอาหารน้อย บิณฑบาตก็ไม่ค่อยจะได้ แต่ท่านก็ไปบิณฑบาตในย่านของคนจนๆ คนยากจนพวกนี้มีอาหารอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถวาย ท่านดำรงชีวิตอยู่ด้วยวิธีนี้ แต่ตั้งใจภาวนามากเลย ช่วงหนึ่งพระสารีบุตรก็พิจารณาว่าองค์นี้ทำไม ความเพียรก็ดี ทำไมไม่เป็นพระอรหันต์เสียที ท่านพิจารณาดูองค์นี้ขาดอาหาร อาหารไม่พอ เพราะไม่ได้สร้างเอาไว้ ไม่ได้ทำทานตัวนี้ไว้

พระสารีบุตรท่านรู้ว่าองค์นี้ใกล้จะตายแล้ว ถึงเวลาจะสิ้นอายุแล้ว ทรุดโทรมมาก พระสารีบุตรท่านก็ไปบิณฑบาตมาให้ บิณฑบาตมาให้ฉัน วันนั้นท่านได้ฉันอิ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต แล้วท่านก็ภาวนาจบกิจในวันนั้นแล้วก็นิพพานในวันนั้นเลย ในตำราพูดรายละเอียดเอาไว้เยอะแยะ พระสารีบุตรเอาอาหารเทใส่บาตรของท่าน อาหารนั้นก็สลายตัวไป ไม่ใช่บุญของท่าน สุดท้ายพระสารีบุตรต้องถือบาตรของพระสารีบุตร ให้ท่านกินข้าวจากบาตรของพระสารีบุตร บุญของท่านเยอะท่านอุทิศบุญของท่านให้ ทำทานอย่านึกว่าเล็กๆ น้อยๆ ให้อาหารสัตว์เล็กๆ น้อยๆ ก็ตามมาช่วยได้ถึงนาทีสุดท้าย

การรักษาศีลไม่ต้องพูดถึง แค่ทานก็เป็นบุญที่ช่วยเราในยามยากลำบากได้ หลวงพ่อก็เคยเจอด้วยตัวเอง หลวงพ่อตอนเป็นโยม ท้ายรถหลวงพ่อต้องมีของกินของใช้ใส่ไว้ท้ายรถเสมอ บางทีก็ไปซื้อน้ำผึ้งมาเป็นลังๆ ไว้ แต่ก่อนนี้คิดว่าพระชอบฉันน้ำผึ้ง มีจีวรมีอะไรใส่ท้ายรถไว้ ไปไหนมาไหนเจอพระเจออะไร ดูท่านขาดแคลนเราก็ถวาย ทำทานของเราเรื่อยๆ หลวงพ่อสอนกรรมฐาน คนที่ไปเรียนกับหลวงพ่อไปเรียนที่ทำงาน อยู่ทีโอทีตอนนั้น นัดเรียนตอนกลางวัน ตอนที่หลวงพ่อพักกลางวัน หลวงพ่อก็ซื้อคูปองแจก คูปองอาหารแจกทุกวัน ไปเรียนกับหลวงพ่อนัดไปวันละ 5 คน ให้กินข้าวฟรี น้ำดื่มอะไรก็ฟรีให้หมด ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องทำทานอะไรหรอก ก็คิดถึงพวกเราบางคนก็ยังลำบากอยู่ สนับสนุนให้เขามีกำลังที่จะเรียนกรรมฐาน ก็จะได้มีได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข คิดอยู่แค่นั้น ไม่ได้คิดเรื่องบุญเรื่องบาปอะไรนักหนาหรอก

ออกมาบวชครั้งแรก ตอนนั้นยังไม่ได้สอนกรรมฐาน บวชครั้งแรกยังไม่เข้าใจธรรมะหรอก แต่ทานทำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ไปบวชวัดชลประทานฯ ท่านเจ้าคุณปัญญาฯ พระอุปัชฌาย์ ท่านเห็นหลวงพ่อท่านดูออกว่าเราตั้งใจจริงในการศึกษาปฏิบัติธรรม ท่านให้หลวงพ่ออยู่ตามลำพัง ไม่มีพระพี่เลี้ยง เช้าขึ้นมาพระใหม่ๆ ที่เขามีพระพี่เลี้ยง เขาก็พากันไปบิณฑบาต หลวงพ่อไม่รู้ว่าเขาบิณฑบาตที่ไหน เราก็เดินออกไป เห็นเขาเดินไปทางนี้ก็เดินๆ ไป ไม่มีคนใส่บาตรหรอก เราไม่รู้ว่าเขาเดินไปทางไหนกัน ตามดูเขาไม่ทัน ถือบาตรเปล่ากลับมาวัด คิดว่าเราต้องไม่ได้กินข้าวแล้ววันนี้ อดข้าวแต่ไม่เป็นไรอดก็อด ใจคิดอย่างนั้น พอมาถึงหน้าวัดคนขับรถเก๋งมาเพียบเลย ใส่บาตร ที่จริงคือเรารับบาตรหน้าวัดเลย เรากำลังจะกลับเข้าวัดแล้ว พวกที่เขาเดินเก่งๆ เขาเต็มบาตรมาแล้ว เลยไม่ได้รับอาหารตรงนี้ ไม่อดหรอก ไม่เคยอดเลย ถึงคราวจะต้องอดมันก็ไม่อดหรอก

 

ความดีช่วยเราได้ในยามคับขัน

ฉะนั้นความดีทำไปเถอะ มันช่วยเราได้ในยามคับขัน ศีลก็ช่วยเราได้ หลวงพ่อเคยเจอ มีครั้งหนึ่งไปทอดกฐินวัดป่าบ้านตาด นั่งรถตู้ไป พวกที่จัดรถตู้เขาเป็นทีมเดียวกัน เขารู้จักกันหมด เขาเหลือที่ว่าง 2 ที่ เขาต้องการคนมาแชร์ค่ารถ ชวนหลวงพ่อกับคุณแม่ชีไป ตอนนั้นยังไม่ได้บวชเป็นโยมนั่นล่ะ ก็นั่งอยู่ท้ายรถเลยเพราะว่าเราไม่ใช่กลุ่มเขา เขาเลือกที่นั่งที่แย่ที่สุดให้อยู่ตรงลูกล้อ นั่งต้องยกขาอยู่ข้างหนึ่ง นั่งอยู่อย่างนั้นตลอดคืน ไปถึงวัดป่าบ้านตาดเราก็มัวแต่ไปทำบุญ เขาไม่ได้คิดเรื่องทำบุญอะไรเท่าไรหรอก เขารีบไปตักอาหาร ตุนอาหารจากโรงทานกัน แล้วมีคนเขาบอก คนหนึ่งกระซิบบอกว่าต้องเอาอาหารไป พวกนี้ไม่หยุดพักหรอก ไม่มีการหยุดกินข้าวไม่มีอะไรทั้งสิ้น เราก็ อ้าวเหรอ เราไม่รู้ เราก็นึกว่าเหมือนทัวร์อื่นๆ เขา ถึงเวลาก็ไปจอดกินข้าว ก็ไปที่โรงทานได้ขนมมานิดหน่อยเอง นั่งรถต่อไปอีก เขาก็ตระเวนวัดโน้นวัดนี้

ตกเย็นหลวงพ่อไปถึงภูสิงห์ เขาจะไปพักที่ภูสิงห์ ลงจากรถเดี้ยงไปแล้ว เพราะนั่งรถอยู่ในท่าเดียว เท้ายกไว้ข้างหนึ่ง 24 ชั่วโมง กล้ามเนื้ออักเสบปวดมากเลย ครูบาอาจารย์ที่นั่นเห็นหน้าหลวงพ่อ ท่านบอกให้ขึ้นไปอยู่บนเขาอยู่กุฏิต่างหาก คนอื่นอยู่ศาลาข้างล่างรวมๆ กัน ท่านรู้ว่าหลวงพ่อภาวนาให้เราไปอยู่ตามลำพัง ขึ้นไปอยู่บนเขาไม่สูงหรอก ขึ้นไปเชิงเขาขึ้นไปไต่ก้อนหินขึ้นไป ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีตะเกียงแบตเตอรี่ไปดวงเดียว พอขึ้นไปถึง โอยมันปวดมากเลย ลงนอนก็ไม่ได้นอนก็ปวด นั่งตัวตรงๆ ก็ปวด อิริยาบถเดียวที่ทำได้คือนั่งเอียงๆ นั่งเอียง 45 องศา เรารู้เลยว่าถ้านั่งอย่างนี้แล้วถึงสว่าง เราจะยิ่งแย่กว่านี้อีก

หลวงพ่อเคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านพูดกันเรื่องการอธิษฐาน อธิษฐานจิต ก็ลองทดลองดู บอก “ถ้ามีเทวดาอยู่บนภูเขานี้ ให้รับรู้ไว้ เรามานี่เรามาสร้างคุณงามความดี เรามาทำทาน เรามีศีลไม่ด่างพร้อย เราตั้งใจจะเจริญสติ เจริญปัญญาไม่ย่อหย่อน ถ้าพอช่วยได้ก็ให้ช่วยด้วยเถอะ เพราะตอนนี้เราลำบากแล้ว เราจนมุมแล้ว พาราเซตามอลสักเม็ดหนึ่งยังไม่มีเลย ไม่มีอะไรเลยอยู่ตามลำพัง ใครจะช่วยเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าเทวดาอยู่ทางนี้ เป็นเส้นทางที่ครูบาอาจารย์ธุดงค์ผ่านไปผ่านมา เป็นพวกสัมมาทิฏฐิ ถ้ายังมีอยู่ช่วยเราได้ขอให้ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็แล้วแต่กรรม”

พออธิษฐานจบปุ๊บตะเกียงแบตเตอรี่มันสว่าง มันวาบๆๆ 3 ที หลวงพ่อนั่งเอียงๆ อยู่ ตกใจนึกว่าสมบัติชิ้นสุดท้ายของเราจะพังแล้วมั้ง ไฟช็อตหรือเปล่า ตกใจลุกขึ้นมานั่งดู ตัวตรงแล้วหยิบขึ้นมาเปิดปิดๆ มันก็ไม่เสียนะเสร็จแล้วนึกได้ อ้าวที่ปวดหายไปแล้ว หายทันทีเลย อัศจรรย์มากเลย ถ้าเรามีศีล คนมีศีลเป็นที่รักของเทวดา เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าเราไม่ได้มีกรรมตัดรอนจริงๆ เขาก็ช่วย เขาก็ช่วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำความดีนั้นทำไปเถอะ

 

อาจิณณกรรมฝ่ายดีทำทุกวัน

ทำทานเท่าที่มีโอกาส ศีลนั้นมีโอกาสอยู่แล้วก็ต้องทำต้องรักษา การภาวนาทำให้ได้ทุกวัน ให้เคยชินกับการปฏิบัติไว้ จิตมันจะมีสมาธิมีกำลัง แล้วก็มีปัญญาเห็นความจริงของโลก เห็นความจริงของชีวิต เวลาที่เราลำบาก เวลาเราจวนตัว มันมีฤทธิ์อยู่ชนิดหนึ่งของชาวพุทธเรา เราไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ ชาวพุทธเรามีบุญฤทธิ์ บุญฤทธิ์อธิษฐานเอา อธิษฐานจิตเอา นึกถึงคุณงามความดีที่เราได้สร้างไว้อะไรอย่างนี้ อธิษฐานก็ช่วยเราได้ นี้ไม่ใช่แค่ได้ยินครูบาอาจารย์เล่า หลวงพ่อเคยเจอ เคยเห็น เคยสัมผัส อย่างตอนบวชครั้งแรก โอ๊ย เมื่อยมากเลยๆ นั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืน คนอื่นเขาไม่เป็นเพราะเขาไม่ค่อยภาวนา เราอดทนทำๆๆ ปวดไปทั้งตัว ก็มีนิมิตคนมา เดินมานวดให้ กดเส้นปุ๊บที่เป็นเหน็บชาเจ็บปวดอะไรหายเลย

ฉะนั้นศีลรักษาไว้ ทานทำได้ถ้ามีโอกาสทำก็ทำ ศีลต้องทำเพราะมีโอกาสรักษาศีลอยู่แล้ว สมาธิทำทุกวัน ทุกวันต้องไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แบ่งเวลาไว้เลยให้มันเด็ดเดี่ยวลงไป ถ้าทำได้ ผ่านไปสัก 3 เดือนจิตเราจะมีกำลัง มันจะเข้มแข็งขึ้นมา อย่างในพรรษาเราก็ชอบตั้งอธิษฐานไว้ว่า พรรษานี้เราจะสร้างคุณงามความดีอย่างนี้ๆ เป็นพิเศษ เราก็ตั้งใจทำ ทำได้จริงๆ ตลอดพรรษา บางคนตั้งใจไม่กินเหล้าตลอดพรรษา ตอนออกพรรษาจิตมันจะมีพลัง แต่พวกนี้พอออกพรรษาก็รีบไปกินเหล้า ที่สะสมไว้มันก็สลายไปหมดอีก ความดีถ้าเราทำสม่ำเสมอ จนกระทั่งเป็นความเคยชินเขาเรียก อาจิณณกรรมฝ่ายดี ถ้าเคยชินจะทำชั่ว ก็เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว เป็นอาจิณเป็นประจำ

อาจิณณกรรมฝ่ายดีทำทุกวัน อย่างไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม อะไรอย่างนี้ทำทุกวันๆ มีอาจิณณกรรมที่ดี มันสะสมพลังของจิต จิตก็จะได้พลังมีเรี่ยวมีแรง เอาไปเดินปัญญาง่าย หรือเรามี อาจิณณกรรม ทำสมถะและวิปัสสนา สอง อย่างเลย เวลาเกิดอะไรขึ้นในชีวิต จิตมันจะไม่ดิ้น เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างนี้จะตายอยู่แล้ว จิตมันไม่ดิ้นรนหรอก มันมีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา ศีล พอคิดถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา รักษาศีลมาด้วยดี จิตมันจะอบอุ่น มันจะมีความอบอุ่นเกิดขึ้นในจิตใจ ใกล้จะตายแล้วจิตมันอบอุ่นขึ้นมา เคยทำสมาธิกำลังจะตาย จิตมันก็ทรงสมาธิอยู่ เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป เห็นลมหายใจกำลังจะขาดไปแล้ว จนกระทั่งมันขาดไปเลย ตายไปด้วยจิตที่ทรงสมาธิอย่างไรก็ไปดี

หรือเคยเจริญปัญญามาเชี่ยวชาญ ก็เห็นร่างกายที่กำลังเจ็บหนัก ร่างกายที่ใกล้จะตายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มันก็ทำหน้าที่ของมันสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้มันจะเลิกทำหน้าที่ของมันแล้ว ใจมันยอมรับได้ พวกปัญญา มีปัญญาใจมันก็ยอมรับ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ฉะนั้นจะตายด้วยความเบิกบาน ถ้ามีปัญญาจะเบิกบาน เห็นร่างกายมันตาย โอ๊ย ใจมันเบิกบาน ตัวทุกข์มันจะตายแล้วไม่ใช่ของดีตาย มันเห็นเลยตัวทุกข์มันจะตายแล้ว จิตมันเบิกบาน เพราะจิตมันอบรมมาดีแล้ว จิตที่อบรมมาดีแล้ว มันคืนกาย มันคืนใจให้ธรรมชาติ ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ใช่ตายแล้วก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ อันนั้นยังไม่ใช่ มันคืนธรรมชาติตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี่ล่ะ เราเห็นเลยกายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันสมบัติของโลก มันคืนให้โลกไปตั้งแต่ยังไม่ทันจะตาย อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าภาวนา

 

 

ฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจภาวนาของเราทุกวันๆ ไป ถึงวันหนึ่งเราคืนกายคืนใจให้โลกไป ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นชีวิตที่เบา ชีวิตที่รู้ตื่นเบิกบาน สัมผัสอยู่กับพระนิพพาน สงบ มีความสงบ มีความสุขอันมหาศาล เวลาจะตายก็จะเห็นว่าตัวทุกข์มันจะแตก จะรู้สึกอย่างนั้น ตัวทุกข์มันจะแตกไม่ใช่ตัวเราจะตาย ใจเบิกบาน คนทั่วไปยังรักกายหวงกายอะไรอย่างนี้ พอจะตายก็เสียดายร่างกายนี้ หรือทรัพย์สมบัติ ครอบครัวลูกเมีย ทุกสิ่งทุกอย่าง เคยอาศัยร่างกายนี้เที่ยวแสวงหามามากมาย พอมันจะตายแล้วจะสูญเสียทีเดียวทั้งหมด แต่เราภาวนาเราเจริญปัญญาเป็น เราคืนทุกอย่างแล้วมันสมบัติของโลกทั้งนั้น ร่างกายนี้ก็เป็นสมบัติของโลก ฉะนั้นบ้านช่องห้องหออะไรของเรา มันก็สมบัติของโลกทั้งหมด ใจมันไม่เดือดร้อน ภาวนาถึงจุดสุดท้ายแล้ว เวลาจะตายแล้วจะรู้ว่าตัวทุกข์มันจะแตกแล้ว ตัวทุกข์จะแตกเราจะกลุ้มไหม ไม่กลุ้มหรอกมันเบิกบาน

เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านผ่องใสที่สุดมี 2 วัน วันที่ตรัสรู้กับวันที่ปรินิพพาน 2 วันนี้เป็นวันที่ท่านผ่องใสที่สุด เบิกบาน ผ่องใส วันที่ตรัสรู้ท่านเข้าถึงพระนิพพานของกิเลส เป็นกิเลสปรินิพพาน เรียกสอุปาทิเสสนิพพาน จิตเข้าถึงพระนิพพาน ตรงนั้นล่ะท่านคืนทุกอย่างให้ธรรมชาติไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่คืนตอนปรินิพพาน ตอนตาย คืนตั้งแต่ตอนนั้นเลย ฉะนั้นท่านผ่องใส ท่านเบิกบาน ท่านเป็นอิสระ จิตตอนนั้นมีพลังงานมหาศาล มันจะฟอกขันธ์ ฉะนั้นท่านพูดไว้เองท่านบอกพระอานนท์ ท่านจะผ่องใสเป็นพิเศษ 2 วัน วันที่ท่านตรัสรู้ กับวันที่ท่านปรินิพพาน วันตรัสรู้จิตท่านทรงฌาน ทรงสมาธิ ทรงปัญญา มันเป็นความผ่องใสอย่างยิ่ง ถ้าเรามีสมาธิเราก็ผ่องใส แต่ถ้ามีปัญญาควบสมาธิเข้าไปจริงๆ แล้วก็ผ่องใสอย่างยิ่ง เวลาเราเห็นหน้าคน คนฟุ้งซ่านหน้าตาดูไม่ได้น่าเกลียด คนมีสมาธิสงบสุข ดูเขาผ่องใส แต่คนที่เขามีปัญญาเห็นความจริงของรูปนามกายใจ เขาวางได้เขาใสกริบเลย ใสแบบพูดไม่ถูกเลย

ฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ ความดีทั้งหลายนั่นล่ะทำไว้ ทานมีโอกาสทำก็ทำ ศีลต้องรักษา สมาธิต้องฝึกทั้งความสงบ ทั้งการเจริญปัญญา ถ้าเราทำอย่างนี้ได้เท่ากับเราได้ใช้ชีวิตของเรา ใช้ร่างกายของเรา ทำประโยชน์สูงสุดแล้วให้ตัวเอง การสงเคราะห์ช่วยเหลือคนอื่นก็เป็นประโยชน์รองลงไปแล้ว แต่ประโยชน์ที่สำคัญเลยคือพัฒนาตัวเองได้ นำตัวเองไปสู่ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก พ้นทุกข์ได้ สุดท้ายจิตมันอยู่กับสุญญตา อยู่กับความว่าง อยู่กับพระนิพพาน สงบสุข สว่าง ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ ธรรมะอย่างนี้ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินหรอก อาศัยปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านสอนมา ครูบาอาจารย์ท่านก็ศึกษาสืบเนื่องกันมา หลวงพ่อก็เรียนจากครูบาอาจารย์มา ถึงวันนี้ก็เอามาบอกพวกเราว่า เส้นทางไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นก็เส้นทางอย่างนี้ล่ะ ทำทาน ถือศีล ภาวนาไป ทั้งสมถกรรมฐาน ทั้งวิปัสสนากรรมฐาน ทำสมถะจะได้ความสงบ ทำวิปัสสนากรรมฐานจะได้ปัญญา บุญทั้งหลายสิ่งที่เรียกว่าบุญ เป็นการสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย เป็นบุญ แต่สิ่งที่เป็นกุศลต้องประกอบด้วยปัญญา กุศลแปลว่าความฉลาด

ทำบุญแล้วเราได้อะไร ทำบุญแล้วเราได้ความสุข เราเจริญกุศลเราได้อะไร เราได้ความพ้นทุกข์ มันเหนือกว่ากันอยู่ชั้นหนึ่ง เราทำบุญสิ่งที่เราจะได้คือความสุข อย่างเรารักษาศีลมาดี พอเรานึกถึงเราก็มีความสุขแล้ว เราได้ช่วยคนอื่น ช่วยสัตว์อื่นอะไรอย่างนี้ พอเรานึกถึงก็มีความสุขแล้ว เรานั่งสมาธิ เดินจงกรมจิตสงบ เข้าฌานได้อะไรได้ก็มีความสุข แต่เราเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ ได้ปัญญา มันเหนือกว่าบุญคือตัวกุศล กุศลเป็นความฉลาด รู้ผิดชอบชั่วดี รู้สิ่งที่ควรละเว้น สิ่งที่ควรประพฤติ มันจะรู้ ก็สามารถพัฒนาจิตใจตัวเองไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ ฉะนั้นบุญให้ความสุขเรา กุศลให้ความพ้นทุกข์เรา ทำได้ทั้งบุญทั้งกุศลดีที่สุด มีทั้งความสุขด้วยและไม่ทุกข์ด้วย

ความพ้นทุกข์มันเป็นอย่างไร ความพ้นทุกข์ อะไรคือทุกข์ รูปนามขันธ์ 5 นั่นล่ะคือตัวทุกข์ กายนี้ใจนี้คือตัวทุกข์ ทำกุศลให้ถึงพร้อม เห็นความจริงของรูปนามกายใจได้ วางความยึดถือในรูปนามกายใจได้ เรียกพ้นทุกข์ พอรูปนามกายใจมันถึงวาระที่มันแตกดับ นั่นคือดับทุกข์ ทุกข์มันดับไม่ใช่เราตาย มันไม่มีเรามาแต่แรกแล้ว ค่อยๆ เรียนค่อยๆ ฝึกไปอย่าท้อถอย ทำทุกวันๆ ไปเถอะความดีทั้งหลาย มีโอกาสทำๆ ไปเรื่อยๆ แล้วเวลาคับขันจวนตัว บุญจะมาช่วยเรา ส่วนกุศลจะพาเราพ้นทุกข์ได้.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
11 ธันวาคม 2564