วิเวก 3

ตอนนี้ที่ศรีราชามีโรคระบาดเยอะ ดีหลวงพ่อปิดวัดป้องกันไว้ก่อน แล้วก็ตอนนี้คนต่างจังหวัดจะเดินทางเข้าชลบุรีทำยาก หลวงพ่อประเมินสถานการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าคงระบาด ก็เลยปิดวัดไว้ก่อน อย่างน้อยก็ไม่มีคนมาติดเชื้อที่วัด

ตอนนี้เราก็ต้องอยู่บ้านกัน อยู่บ้านทำอย่างไรให้มีความสุขได้ อยู่ด้วยความมีสติ อย่าไปเสียอกเสียใจ กลุ้มใจ เคยทำอะไรอิสระตอนนี้ทำไม่ได้ มันก็แค่ความเคยชินเท่านั้นเอง เคยชินที่จะร่อนเร่ออกนอกบ้าน พอไม่ได้ไปแล้วกลุ้มใจ อย่างหลวงพ่อเคยชินอยู่ในวัด ไม่ได้ออกไปไหนไม่กลุ้มใจเลย สบายใจดีเสียอีกไม่ต้องยุ่งกับใคร

พยายามฝึกตัวเอง ให้เรามีความสุขอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง ความสุขที่อาศัยคนอื่น อาศัยสิ่งอื่นนั้นมันไม่ยั่งยืนหรอก ความสุขที่ต้องอาศัยคนอื่น พอเราไม่ได้อยู่กับคนนี้ เราก็ไม่มีความสุขแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่กับคนที่เราชอบได้ตลอดกาล ไม่เขาจากไป เราก็จากไป ความสุขที่อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ เคยชินจะต้องออกไปกินเหล้า ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ความสุขที่อิงอาศัยสิ่งอื่นมันไม่ยั่งยืน

ความสุขที่เราจะฝึกตัวเองให้เข้าถึงความสงบ เป็นความสุขที่ยั่งยืน พระพุทธเจ้าบอกว่า “ความสุขอื่น เสมอด้วยความสงบไม่มี” สงบก็สงบกาย สงบวาจา สงบใจ สงบกายของเราก็คือ อย่าไปทำผิด ทำบาปทางกาย ไปวุ่นวาย ไปคลุกคลีคนอื่น อยู่ลำพังได้ดีที่สุด ถ้าจำเป็นอยู่กับคนในครอบครัวเราก็ดี ถ้าต้องออกมายุ่งกับคนจำนวนมาก มันเริ่มไม่ดีแล้ว เริ่มวุ่นวาย ยุ่งกับคนมากก็เรื่องมาก คนนั้นอยากได้อย่างนี้ คนนี้อยากได้อย่างนั้น วุ่นวาย แต่บางคนก็มีหน้าที่ต้องยุ่งกับคน อย่างโฆษก ศบค. (ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019) ต้องยุ่งกับคน ไม่ยุ่งไม่ได้เพราะมีหน้าที่ ยุ่งกับคนก็วุ่นวาย คนโน้นมีความเห็นอย่างนี้ คนนี้มีความเห็นอย่างนั้น มีหน้าที่ต้องทำก็ทำไป ส่วนคนไหนไม่มีหน้าที่ก็อยู่เฉยๆ อยู่ลำพังได้ก็ดี หรือใหญ่ขึ้นมาหน่อย กว้างขวางขึ้นมาหน่อยก็อยู่ในครอบครัวเราในบ้านเรา จำเป็นต้องไปทำงาน อยู่ในที่ทำงาน เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน

แต่ไหนแต่ไรมาแล้วตั้งแต่หลวงพ่อยังไม่ได้บวช เป็นฆราวาส หลวงพ่อมีวินัยในตัวเอง ถ้าเลิกงานแล้วไม่มีธุระจำเป็นต้องไปที่ไหนก็ไม่ไป กระทั่งงานสังคมก็เลือกไป งานศพไป งานศพไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไร แต่งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ เลี่ยงได้หลวงพ่อเลี่ยงตลอด มันงานหลงโลก อย่างงานศพงานความจริงของโลก เราไปเห็นมีคนตาย มันก็เกิดความสำรวมระวังในตัวเราเองขึ้นมา

ปกติหลวงพ่อจะมีกายวิเวกไม่ไปยุ่งกับใคร มีจิตตวิเวก ฝึกจิตของเราให้มันสงบสันติ ถึงเวลาก็กลับมาบ้านมาภาวนา หรือไม่ได้ออกนอกบ้าน อยู่ในบ้านเฉยๆ ก็ภาวนา ทำอะไรไม่ได้ก็หายใจไป รู้สึกตัวไป หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ อะไรก็ทำไปเถอะ ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง หลวงพ่อชอบใช้ลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เราทำอานาปานสติไม่มีใครรู้ว่าเราปฏิบัติ แต่ถ้าเราทำกรรมฐานอย่างอื่น มันโจ่งแจ้งคนมันเห็นว่าปฏิบัติ

อย่างถ้าเราเดินจงกรม เดินไปเดินมา กลับไปกลับมา คนเขาก็รู้ว่าปฏิบัติ นั่งสมาธิอย่าไปนั่งให้คนเห็น นั่งของเราเงียบๆ ค่อยๆ ฝึกของเราไป อย่างขยับมือทำจังหวะอย่างหลวงพ่อเทียน คนเห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บ หรือไปเดินจงกรมเดินช้าๆ คนเขาเห็น เขาก็รู้ว่าปฏิบัติ ทำไมไม่อยากให้คนเห็น คนเห็นแล้วเรื่องมาก คนมันไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติ มันรู้สึกผู้ปฏิบัติมี 2 จำพวก คือพวกบ้ากับพวกใกล้บ้า มี 2 ชนิดเท่านั้น คือพวกบ้า ถ้าไม่บ้าก็ใกล้บ้า เขามองอย่างนั้น ฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปทำให้ใครเขาเห็น เราก็ภาวนาของเรา ตอนนี้ต้องอยู่บ้านยิ่งดีที่สุดเลย ได้ work from home แต่บางอาชีพก็ทำไม่ได้ อย่างเป็นกัปตันขับเครื่องบิน work from home ไม่ได้ ผู้โดยสารช็อกตาย เครื่องบินยังไม่ทันตกก็ช็อกตายไปก่อนแล้ว

ถ้าเราอยู่ของเราได้ที่บ้าน เราภาวนาฝึกจิตของเรา จิตมีธรรมชาติแส่ส่าย เดี๋ยวก็วิ่งไปทางโน้น วิ่งไปทางนี้ เมื่อจิตมันมีธรรมชาติแส่ส่าย มันก็เที่ยวหางานทำไปเรื่อยๆ วุ่นวาย หาเรื่องมาใส่ตัวเอง อย่างเราอยู่เฉยๆ อยู่บ้านเฉยๆ ก็ดูข่าวเรื่องโน้น ดูข่าวเรื่องนี้ จิตใจเราก็ฟุ้งซ่าน ดูข่าวโควิดระบาดใกล้บ้านเราแล้ว จิตใจก็กลุ้มใจกังวล ดูข่าวบางประเทศประชาธิปไตย ก็ก่อม็อบวุ่นวาย บางคนก็สะใจ ก็แล้วแต่จริตนิสัย แล้วแต่ประสบการณ์ แต่ใจมันไม่สงบหรอก พอรับข้อมูลข่าวสารมากๆ เกินความจำเป็น จิตใจฟุ้งซ่าน

ฉะนั้นจะอยู่บ้านให้สบาย ก็อย่าไปรับข้อมูลข่าวสารเกินความจำเป็น รับเท่าที่จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จริงๆ เวลาที่เหลืออย่ามัวแต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ต เอาเวลาที่เหลือมาภาวนา วิธีภาวนาก็ไม่ใช่แค่ว่านั่งสมาธิ เดินจงกรม อย่างเราปลูกต้นไม้ไว้ เราก็ไปรดต้นไม้ มีสติเคลื่อนไหวรดต้นไม้อยู่ นี่ก็คือการฝึกกรรมฐาน ไม่มีอะไรทำเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว ดูแมวมันเล่น แหม มันดูน่ารักอะไรแบบนี้ เราอ่านใจตัวเองได้ นี่ก็ฝึกกรรมฐาน

 

ฝึกกรรมฐานสำหรับการอยู่ในบ้าน

อ่านตัวเองไปเรื่อยๆ อ่านกายอ่านใจไปนี่คือการทำกรรมฐาน อยู่บ้านกวาดบ้าน ถูบ้าน บางคนไม่เคยทำงานบ้าน ให้ภรรยาทำตลอด พอปิดงานไปทำงานไม่ได้ บางคนก็มาช่วยภรรยาทำงาน บางคนตรอมใจรู้สึกแย่จังเลย ทำไมต้องมาทำงานบ้าน ถ้าภาวนาเป็นจะไม่รู้สึกแย่ การทำงานบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน เราเจริญสติไปเรื่อยๆ เห็นร่างกายมันทำงาน ไม่ใช่เราทำงาน เห็นใจมันทำงาน ไม่ใช่เราทำงาน เราดูกาย ดูใจมันทำงานไปเรื่อยๆ เราเป็นแค่คนรู้ คนดูไป นี่เรียกว่าการปฏิบัติ ถึงเวลาสมควรเราก็ไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมในบ้านเรา ไม่ต้องโฆษณาให้ใครเขาเห็น

ทำเงียบๆ ของเรา ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ เราจะไม่รู้สึกเบื่อ เบื่อเพราะว่ารู้สึกไม่มีงานทำ ถ้าเราทำกรรมฐานเป็น อยู่ในบ้านก็ทำงานได้ ไม่เบื่อหรอก ก็คือทำกรรมฐานไปเรื่อยๆ เห็นร่างกายมันทำงาน เราก็รู้สึกไป ดูเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่งมันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ กวาดบ้านเห็นร่างกายมันขยับมือ ขยับตัว เราเป็นแค่คนรู้ คนดู มันจะไม่รู้สึกว่า โอ๊ย ลำบากเหลือเกินต้องมากวาดบ้าน ถูบ้าน มันจะรู้สึกว่าร่างกายมันทำ เราไม่ได้ทำ ร่างกายมันทำ เราเป็นแค่คนดูเท่านั้นเอง ดูคนอื่นเขาทำงานจะไปเดือดร้อนอะไรนักหนา แต่ถ้าคิดว่านี่คือตัวเรา นี่คือตัวเรามันก็เดือดร้อน ไม่อยากทำก็เดือดร้อนขึ้นมาแล้ว

ค่อยๆ ฝึกตัวเอง อยู่ในบ้านก็ฝึกกรรมฐานสำหรับการอยู่ในบ้าน ไม่เคยล้างห้องน้ำ ก็ไปล้างเสียบ้าง ทำความสะอาดบ้าง ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก อย่างเราทำความสะอาดห้องน้ำ แล้วคนอื่นมาทำสกปรก ก็คนในบ้านเรานั่นแหละ เราก็หงุดหงิด เราอุตส่าห์ทำสะอาด เช็ดพื้นซะแห้ง มาถึงก็ย่ำเปียกไปหมดอีกแล้ว ลื่น สกปรก หงุดหงิด พอหงุดหงิด คนที่ไม่ได้ฝึกกรรมฐาน ก็จะเริ่มไปด่าคนอื่น คนที่ฝึกกรรมฐานก็เห็นจิตตัวเองที่หงุดหงิดก่อน ถัดจากนั้นสมควรด่าก็ด่า ไม่ใช่ว่าห้ามด่า แต่ไม่ใช่ด่าหรอก คุยกันให้รู้เรื่อง ด่ามันภาษาชาวบ้าน ก็บอกกันดีๆ ว่าอย่าทำอย่างนี้ ไม่ชอบ

เวลาอยู่ในบ้าน เราไม่เคยอยู่แล้วพอต้องไปอยู่ บางทีก็กระทบกระทั่งกันได้ง่าย อย่างสามีภรรยา แต่เดิมไม่ทะเลาะกัน เพราะเช้าขึ้นมาต่างคนต่างไป มาเจอกันอีกทีตอนค่ำๆ หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีแรงจะทะเลาะกันแล้ว พออยู่บ้านด้วยกันทั้งวันทั้งคืนด้วย มันเริ่มหงุดหงิด เคยออกไปนอกบ้านแล้วต่างคนต่างต้องนั่งมองหน้ากันทั้งวัน เวลามองหน้าก็เจริญสติไปปฏิบัติไป มองหน้าภรรยา แล้วก็มองไป เออปีนี้แก่ลงไปเยอะ ความแก่ไม่เข้าใครออกใคร ดูเริ่มเหี่ยว เริ่มย่น พิจารณาลงไป น่าสงสารนะอยู่กันมาแต่สาวๆ เผลอแป๊บเดียวแก่เสียแล้ว ดูแล้วมีความเมตตาสงสารเกิดขึ้น ภรรยาก็เหมือนกัน เห็นหน้าสามีแทนที่จะรู้สึกไอ้แก่ก่อกวน ไอ้แก่ก่อเรื่อง ไอ้แก่พูดมาก ไอ้แก่ขี้เกียจ ก็ดูไป โอ้ อยู่กันมานานเริ่มแก่แล้ว ลำบากมาด้วยกันตั้งเยอะ เห็นอกเห็นใจกัน มองหน้ากันแล้วก็ยิ้มๆ กัน ไม่ใช่เห็นแล้วก็เบื่อ

บางคนไม่ทำงาน ภรรยาไปทำงานคนเดียว สามีอยู่บ้าน สามีเบื่อภรรยาเต็มทีแล้ว ก็บอกภรรยาช่วงนี้เธอออกจากบ้านบ่อย ต้องแยกตัวต้องกักตัว เราจะอยู่คนเดียว อันนี้ ไม่มีความเมตตาต่อกัน อยู่ในบ้านต้องมีความเมตตาต่อกัน แล้วเราก็ภาวนาของเราไปเรื่อยๆ เราจะผ่านช่วงเวลานี้ อาจจะหลายเดือน 3 – 4 เดือนเราจะผ่านมันไปอย่างรวดเร็ว เพราะเราไม่รู้สึกเป็นทุกข์อะไรเท่าไหร่ ฉะนั้นภาวนาเอาไว้แล้วก็ดีเอง ค่อยๆ ฝึกตัวเองไป

 

วิเวกคือการฝึกอยู่ในความสงบ

วิธีฝึกกรรมฐานให้จิตตวิเวก ฝึกจิตใจของตัวเอง กับฝึกอุปธิวิเวก ฝึกสู้กิเลส ลดละกิเลส วิเวกคือการฝึกอยู่ในความสงบ มี 3 อัน มีกายวิเวก คือไม่คลุกคลี คลุกคลีเท่าที่จำเป็น ยุ่งกับคนอื่นเท่าที่จำเป็น มีจิตตวิเวก อยู่กับตัวเองให้เยอะๆ เรียนรู้ตัวเองให้มาก แล้วต่อไปจะได้ผลพลอยได้อันหนึ่ง คืออุปธิวิเวก สงบจากกิเลส ถ้าเราภาวนาเป็นเราจะรู้เลย ตัวที่ทำให้จิตใจเราไม่สงบก็คือกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวอื่นเลย เราหัดภาวนา จิตเราก็สงบได้จิตตวิเวก แล้วก็ได้เห็นความจริง เวลากิเลสเกิด จิตใจมันดิ้นรน ฟุ้งซ่านวุ่นวาย พอเราเห็นอย่างนี้เรื่อยๆ เห็นบ่อยๆ ไปจะรู้เลย ศัตรูของชีวิตเราไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่โควิด

ศัตรูในชีวิตของเราจริงๆ ที่ทำให้เราไม่มีความสงบสุข ก็คือกิเลสของเราเอง หัดสังเกตไปเรื่อยๆ การรู้เท่าทันกิเลสไม่ใช่เรื่องยากอะไร เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะละเลยที่จะรู้ ถ้าไม่ละเลยก็สามารถรู้ได้ง่ายๆ อย่างเราโกรธขึ้นมา พอเราโกรธขึ้นมา คนส่วนใหญ่จะไปดูคนที่ทำให้เราโกรธ หรือบางทีหมาเข้ามาในบ้าน แมวเข้ามาในบ้าน เราไม่ชอบ หรือหนูเข้าบ้าน งูเข้าบ้าน เราไม่ชอบโทสะมันขึ้น ถ้าเป็นตัวอะไรที่ไม่น่ากลัวมาก อย่างหมาขี้เรื้อนเข้ามาในบ้าน เราไม่กลัวมาก เราก็โมโหมีโทสะขึ้น ถ้าจิ้งจก ตุ๊กแกเข้ามาในบ้าน บางคนกลัว เห็นจิ้งจกใจจะขาดให้ได้เลย อันนี้กลัว กลัวก็เป็นโทสะเหมือนกัน โกรธก็เป็นโทสะ กลัวก็เป็นโทสะ ถ้าเราจะฝึกกรรมฐาน ตอนนี้มีงูเลื้อยเข้าบ้านใจมันกลัวรู้ว่ากลัว ค่อยๆ เขี่ยมันออกไป งูเองก็ต้องการที่สงบสุขเหมือนกัน ต้องการที่ปลอดภัยเหมือนกัน ถ้ามันรู้สึกว่ามันอยู่ตรงนี้ไม่ปลอดภัย ไม่ต้องไปตีมันหรอก แค่มันรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยเดี๋ยวมันก็ไปเอง ถ้ามันไม่ไปเราก็เรียกพวกอาสาสมัครอะไรพวกนั้นมาช่วย เขาฝึกมา

เราฝึกใจของเรา อย่างคนทั่วไปโกรธ เวลาโกรธจะไปสนใจสิ่งที่ทำให้โกรธ สนใจคนที่ทำให้โกรธ สนใจสัตว์ที่ทำให้โกรธ บางคนโกรธต้นไม้ ต้นไม้นี้มันงอกตรงนี้ ตรงนี้ไม่พอใจ คนส่วนใหญ่มันได้แค่นี้ คือมันดูอารมณ์ที่ทำให้โกรธ สนใจแต่สิ่งเหล่านั้น ไม่เคยย้อนมาดูว่าจิตกำลังโกรธ พวกเรานักปฏิบัติ เราต่างกับชาวบ้านเขานิดเดียว โกรธได้ คนอื่นโกรธได้เราก็โกรธได้ ไม่ต้องแกล้งมารยาทำเป็นว่าใจดีหรอก เพราะเรายังมีความโกรธอยู่ เราก็รู้ว่าโกรธ แต่ว่าความโกรธเกิดขึ้น แทนที่จะไปสนใจคนที่ทำให้โกรธ เราย้อนมาดู นี่ความโกรธกำลังผุดขึ้นมา มันผุดขึ้นมาจากกลางหน้าอก มันผุดขึ้นมา ผุดๆๆ ขึ้นมา ถ้ามันเบา เราเห็นมันผุดนิดเดียวเท่านั้น มันดับไปเลย ถ้ามันแรงเป็นอารมณ์ที่แรง โกรธแรงๆ พุ่งขึ้นถึงหัวเลย เลือดขึ้นหน้าเลย เราคอยเห็นไป เราเห็นใจที่โกรธ แค่นี้ก็เรียกว่าปฏิบัติแล้ว หรือเวลาโลภ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ว่าใจเราโลภ คนอื่นเวลาโลภ เขาจะไปสนใจสิ่งซึ่งเขารู้ เขาเห็น เขาสัมผัสแล้วพอใจ อย่างไปเดินศูนย์การค้า ไปเจอมือถือยี่ห้อใหม่ หรือรุ่นใหม่ อยากได้ พออยากได้เขาไม่เห็นใจที่อยาก เขาจะเห็นแต่มือถืออันนั้น มันก็แค่นี้เอง

ฉะนั้นเราเป็นนักปฏิบัติ ไม่ใช่ผิดมนุษย์มนา ไม่ใช่ทำตัวเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก ความรู้สึกอะไรมีอยู่ก็แค่รู้ว่ามันมีความรู้สึกอันนั้นเกิดขึ้น เห็นความรู้สึกอันนั้นเกิดขึ้น ความรู้สึกอันนั้นตั้งอยู่ ความรู้สึกอันนั้นดับไป แค่นี้แหละเรียกว่าการปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่ว่าเหมือนคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยรู้ทันความรู้สึกของตัวเอง รู้ทันแต่เรื่องข้างนอก ไอ้คนนี้ทำให้เราโกรธ พอมันมาเราก็สนใจมัน คอยจ้องจับผิดมันตลอดเวลา คนนี้เราชอบก็คอยตามดูด้วยความเพลิดเพลินพอใจ ด้วยความเคลิบเคลิ้ม อยู่เฉยๆ แล้วก็ใจลอย คิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปหลงไป

เราคอยรู้ทันจิตใจตนเอง มันไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถหลอมรวมการปฏิบัติ เข้าในชีวิตจริงของเราได้เลย เวลาเจอสิ่งที่ทำให้ไม่ชอบใจ อย่ามัวแต่ดูสิ่งที่เราไม่ชอบ ให้ดูใจที่ไม่ชอบ เวลาเจอสิ่งที่ชอบใจอย่ามัวดูแต่ของที่เราชอบอันนั้น ให้เราย้อนมาดูว่าใจมันกำลังชอบอยู่ เวลาเรานั่งเพลินๆ คิดไปอดีต คิดไปอนาคต มันลืมปัจจุบันไป นี่หลงแล้วลืมปัจจุบัน คำว่าโมหะ ก็คือการที่เราไม่เห็นสภาวะที่กำลังมีอยู่ สภาวธรรมรูปธรรม นามธรรมมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น ในอดีตไม่มีสภาวะอะไรแล้ว เป็นเรื่องความจำเลื่อนๆ ลอยๆ อนาคตก็ยังไม่มีสภาวะเกิดขึ้น เป็นแค่ความคิดเท่านั้นเอง

การที่เราคอยอยู่กับปัจจุบันไม่หลง ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก นี้เรากำลังสู้อยู่กับโมหะ แต่ถ้าร่างกายขยับเราก็ไม่รู้ จิตใจเคลื่อนไหวเราก็ไม่รู้ อันนี้เรากำลังมีโมหะอยู่ เรามาฝึกตัวเอง ราคะเกิดขึ้นในใจ เราคอยรู้อย่ามัวแต่ดูสิ่งที่ทำให้เกิดราคะ โทสะเกิดขึ้นในใจให้รู้ รู้ที่ใจเรา อย่ามัวแต่ดูสิ่งที่ทำให้โทสะเกิดขึ้น อาจจะเป็นคนอื่น สัตว์อื่น สิ่งอื่น อะไรต่างๆ จะไม่ค่อยโมโหตัวเอง บางคนโมโหตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะโมโหคนอื่น รักนี่รักตัวเองที่สุด แต่ลืมตัวเองบ่อยที่สุด อาภัพจริงๆ มนุษย์เรา รักตัวเองแต่ก็ลืมตัวเองทั้งวันเลย ปกติถ้ารักอะไร ก็ชอบไปนั่งดูนั่งเฝ้า แต่รักตัวเองแล้วลืมไม่สนใจ

เราจะต่างกับชาวบ้านเขา ต่างกับคนไม่ภาวนานิดเดียวเอง คนอื่นเขามัวแต่สนใจสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู ของเราสนใจจิตใจของเราที่เป็นผู้รู้ ผู้ดู จิตใจเรามีราคะรู้ทัน จิตใจเรามีโทสะรู้ทัน จิตใจเราฟุ้งซ่านไปอดีต ไปอนาคต ลืมกายลืมใจในปัจจุบัน รู้ทัน การที่เรารู้ทันๆๆๆ มันคือการฝึก เราจะได้ทั้งจิตตวิเวก แล้วต่อไปจะได้อุปธิวิเวก คือจะได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งปัญญา เวลาที่ใจเราจะไม่มีสมาธิ ก็เกิดจากกิเลสมันมาลากจูงใจเราไป

เราคอยรู้เท่าทันกิเลส กิเลสลากใจเราไปไม่ได้ ใจเราก็ไม่ฟุ้งซ่าน ใจเราก็สงบ ก็ได้จิตตวิเวก แล้วการที่เราเห็นสภาวะทั้งหลาย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สุดท้ายเราก็รู้ความจริง สภาวะทั้งหลายจะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้ มีอยู่เพียงชั่วคราว ไม่ใช่ไม่มี มีอยู่ชั่วคราวตามเหตุ ตามปัจจัย แต่ว่าเมื่อเหตุปัจจัยนั้นหมดไปแล้ว มันก็ดับ เราเฝ้ารู้อย่างนี้ ต่อไปเราก็จะรู้ความจริง ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่ตัวเรา มันของถูกรู้ถูกดูเท่านั้นเอง ยังมีเหตุอยู่ ยังมีความสืบเนื่องของชีวิตอยู่ ชีวิตินทรีย์ ยังมีอยู่ ก็ยังไม่ตาย มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกอยู่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขาหรอก

มาดูความสุข ความทุกข์ที่เกิดในร่างกาย ก็เป็นของถูกรู้ถูกดู อย่างเดินไปชนอะไรแรงๆ ก็เจ็บขึ้นมา ความเจ็บไม่ใช่ร่างกาย ความเจ็บเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา อาศัยร่างกาย เราเฝ้ารู้เฝ้าดู เราจะเห็นร่างกายก็ไม่ใช่เรา ความเจ็บปวดก็ไม่ใช่เรา มันเป็นความรู้สึกที่แทรกเข้ามาเท่านั้นเอง หรือความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ในใจเรา ก็เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาเป็นคราวๆ ใจเราเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ หมุนเวียนอยู่แค่นี้ทั้งวัน อันนี้เรียกว่าเรารู้เวทนา เฝ้ารู้เวทนา เวทนามีทั้งทางกาย และทางใจ เวทนาทางกายก็มีสุข มีทุกข์ เวทนาทางใจมีสุข มีทุกข์ มีเฉยๆ ทำอะไรไม่เป็นนะเฝ้ารู้ 3 อันนี้ แค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็เรียกว่าปฏิบัติแล้ว เราจะเห็นเลยความสุขมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้ ความทุกข์ ความเฉยๆ มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับบังคับไม่ได้

ดูจิตต่อไป สุขทุกข์เกิดแล้วเรารู้ทันแล้ว ต่อไปดีชั่วเกิด โลภเกิดเรารู้ ไม่โลภก็รู้ โกรธเราก็รู้ ไม่โกรธก็รู้ หลงก็รู้ ไม่หลง รู้เนื้อ รู้ตัวอยู่ เราก็รู้ คอยรู้เรื่อยๆ การที่เราคอยรู้ทันจิตใจเรื่อยๆ ต่อไปเราจะเห็น จิตโลภมันอยู่ชั่วคราวแล้วมันก็ดับ จิตโกรธ จิตหลง จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ จิตดี อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ แล้วเราก็บังคับมันไม่ได้ สั่งมันไม่ได้ สั่งว่าอย่าโกรธ มันก็โกรธ อย่าโลภ มันก็โลภ จงรู้สึกตัวทั้งวันก็สั่งมันไม่ได้ ตรงที่เราเห็นความจริง เราจะรู้เลย สังขารทั้งหลาย ความปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

 

ดวงตาเห็นธรรม

ต่อไปเราก็ฝึกไปเรื่อยๆ มันจะเข้ามาที่จิตได้ จะเห็นตัวจิตที่เป็นคนรู้ เดี๋ยวก็มีจิตที่เป็นคนรู้ เดี๋ยวก็มีจิตที่เป็นคนหลง จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดู เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปฟัง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดมกลิ่น เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปลิ้มรส ไปรู้รส เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปหลงคิดนึกปรุงแต่ง เราจะเห็นตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง จิตรู้เป็นจิตที่เป็นกุศลอย่างยิ่งก็ไม่เที่ยง จิตหลงซึ่งเป็นจิตเลวอย่างยิ่งก็ไม่เที่ยง จิตนานาชนิด จะดีหรือจะเลว ล้วนแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้นเลย แล้วก็บังคับไม่ได้ควบคุมไม่ได้ สั่งมันให้ดีมันก็ไม่เชื่อ สั่งมันว่าอย่าเลว มันก็ไม่เชื่อ สั่งมันไม่ได้สักอย่าง สั่งว่าจงดี มันก็ไม่เชื่ออีก ห้ามเลวก็ไม่เชื่ออีก สั่งอะไรมันไม่ได้จริงเลย ดูจากของจริง

อ่านจิตอ่านใจของเราไปเรื่อยๆ จนเราเห็นความจริง จิตใจนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์เท่านั้นเอง เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวเรา บางคนภาวนาแล้วบอกจิตเที่ยง นั่นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเห็นจิตว่าเที่ยงยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าบอกจิตมันไม่เที่ยง อย่าไปพูดรวมกับธรรมธาตุ ธรรมธาตุพวกเราไม่มี ยังเข้าไม่ถึง เรายังไม่รู้จักหรอกจิตเที่ยง เราค่อยๆ ดูไปก็จะเห็นเลย ร่างกายก็ไม่ใช่ตัวเรา สุขทุกข์ก็ไม่ใช่ตัวเรา ดีชั่วก็ไม่ใช่ตัวเรา จิตใจก็ไม่ใช่ตัวเรา สุดท้ายปัญญารวบยอดมันจะเกิดขึ้น ตรงที่อริยมรรคโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น ปัญญารวบยอด ที่เป็นสัมมาทิฏฐิตัวแท้ตัวจริงก็จะเกิดขึ้น แต่เป็นสัมมาทิฏฐิในขั้นที่ยังไม่แก่กล้า ก็จะเห็นความจริงเท่านั้นว่าตัวเราไม่มี

ขันธ์ 5 นี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวเราในขันธ์ 5 นี้ กระทั่งจิตยังไม่เป็นเราเลย อะไรจะมาเป็นเราได้นอกเหนือจากขันธ์ 5 ยิ่งไม่มีตัวเราใหญ่ กระทั่งตัวนี้ยังไม่ใช่เราเลย กระทั่งจิตนี้ก็ยังไม่ใช่เราเลย ต้นไม้จะเป็นเราได้อย่างไร ภูเขาจะเป็นเราได้อย่างไร รถยนต์จะเป็นตัวเราได้อย่างไร มันไม่มีเราที่ไหนเลย ถ้าเห็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเราได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว

ดวงตาเห็นธรรมก็คือ มีญาณทัสสนะ ดวงตานี้ไม่ใช่ตาเนื้อ เป็นญาณทัสสนะของจิต ได้ดวงตาเห็นธรรม ก็คือมีปัญญาเห็นความจริง ว่าจริงๆ แล้วตัวเราไม่มีหรอก ก่อนที่เราจะเห็นตรงนี้ได้ เราก็หัดดูไป ดูความรู้สึก ดูกาย ดูความรู้สึกสุขทุกข์ ดูความรู้สึกดี ความรู้สึกโลภ โกรธ หลง หัดดูไปเรื่อยๆ ต่อไปก็ดูจิต ดูใจได้ จิตเป็นผู้รู้ก็รู้ จิตเป็นผู้คิดก็รู้ จิตเป็นผู้หลงไปเรื่องอื่นก็รู้ หลงไปดู หลงไปฟัง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย หลงไปคิดนึกทางใจ

ฝึกไปเรื่อยๆ ก็จะเห็น จิตมันเกิดดับอยู่ทางอายตนะทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตมันเกิดดับไปเรื่อยๆ ที่โน้นที่นี้ไปเรื่อยๆ ล้วนแต่ห้ามไม่ได้บังคับไม่ได้ การที่เราเห็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกบางคน 7 วัน บางคน 7 เดือน บางคน 7 ปี ในพระไตรปิฎกพูดถึงบางคน 7 วัน 7 เดือน 7 ปีบรรลุพระอรหันต์ หรือพระอนาคามี รุ่นเราเอาให้ได้แค่โสดาบันก็บุญนักหนาแล้ว อินทรีย์ของเราอ่อน บารมีของเราน้อย อย่านึกว่ากูแน่ กูเก่ง ไม่แน่จริง ไม่เก่งจริงหรอก ถ้าแน่จริง เก่งจริงไม่มาเกิดยุคนี้หรอก คงนิพพานไปตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้ายังอยู่แล้ว

 

ชีวิตช่วงนี้เป็นช่วงนาทีทองของนักปฏิบัติ

พวกเราพวกไม่ได้เรื่องด้วยกัน ทั้งหลวงพ่อด้วย พวกเราด้วย ถึงได้มาเจอกันในยุคนี้ ต้องฉวยโอกาส ตอนนี้ต้องอยู่บ้านมากๆ ทางราชการเขาก็ขอร้องให้อยู่บ้าน เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ภาวนา คอยรู้สึกกาย ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ความรู้สึกสุข ทุกข์ ดี ชั่ว อะไรเกิดขึ้นคอยรู้สึก จิตใจของเรามันทำงานอยู่ เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดู ผู้ไปฟัง ผู้ไปดมกลิ่น ลิ้มรส ผู้ไปรู้สัมผัสทางกาย ผู้ไปคิดนึกทางใจ รู้มันไปเรื่อยๆ อาศัยช่วงที่โควิดระบาดนี้แหละภาวนา มันคงเกิน 7 วันที่จะต้องอยู่บ้าน อาจจะได้โสดาบันอะไรขึ้นมาบ้าง แต่ถ้า 7 วันนี้กลุ้มใจ โอยอยากไปเที่ยว อยากไปเข้าผับ เข้าบาร์ อยากไปเข้าบ่อน เมืองชลฯ ศรีราชา ผับ บาร์ บ่อนเยอะ อันนี้เดาเอานะหลวงพ่อไม่เคยไปเที่ยวหรอก ไม่ได้ออกจากวัดเท่าไหร่ เดาเอาได้เพราะว่าคนมันติดเยอะเหลือเกิน บางคนบอกไม่ได้ติดจากศรีราชาหรอก ไปติดจากระยอง รู้ดีซะอีก

คนอื่นเขากลุ้มใจไม่ได้ออกจากบ้าน แต่ว่ามันคือโอกาสทองของนักปฏิบัติ มันเป็นเวลาที่เราจะได้อยู่กับตัวเองได้เยอะๆ ถ้ารู้จักมองนี่คือเวลาที่ดี ที่พิเศษที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตเรา ไม่ใช่เวลาที่จะต้องทุกข์ร้อนอะไรนักหนา คอยรู้สึก คอยรู้สึกไปที่กายที่ใจนี้ สุดท้ายบุญบารมีพอโควิดมารอบนี้ บางคนอาจจะได้โสดาบัน สกทาคามี อะไรก็ได้ เอาแน่ไม่ได้หรอก แล้วแต่บุญวาสนา บารมีสะสมมาแค่ไหน แต่ถ้าเอาแต่กลุ้มใจ ไม่ได้อะไรนอกจากตกนรกทั้งเป็น

นรกไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ใจที่มีความทุกข์แผดเผาอยู่นั่นแหละ มันตกนรกอยู่แล้ว ถ้าใจเราสงบสุข เราก็ได้เป็นนักปฏิบัติที่ดี ถึงไม่ได้บรรลุมรรคผล เราก็ได้เป็นเทวดา เป็นเทวดาอยู่ในบ้าน นั่งดูอะไรก็ยิ้มมีความสุขอยู่อย่างนั้น สบายใจ ไม่ก่อกวน ไม่อาละวาด ไม่หงุดหงิด บ้านเรากลายเป็นวิมานเลย เคยได้ยินไหม เพลงโบราณมีนะบ้านคือวิมานของเรา เอาจริงๆ ไม่ค่อยเป็นหรอก ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้บ้านเป็นฟืน เป็นไฟ

ฉะนั้นมาฝึกตัวเองตอนอยู่บ้านนี่ล่ะ ฝึกให้บ้านเป็นวิมานให้ได้ วิมานอยู่คนเดียวก็เหงา มีใครอยู่ในบ้านอยู่กับเราด้วย อยู่กันอย่างมีความสุข ต่างคนต่างช่วยกันเตือนกันให้ภาวนา ใครหลงขึ้นมาก็สะกิดกันว่าหลงแล้วนะ แต่ก่อนสะกิดต้องดู เขากำลังอารมณ์ร้ายๆ อยู่ อย่างนี้อย่าเพิ่งไปสะกิดเดี๋ยวมันต่อยเอา ต้องระมัดระวังเหมือนกัน ทะนุถนอมกันในบ้าน ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน แล้วบ้านเราร่มเย็น จิตใจเราก็ร่มเย็น ช่วงนี้ก็จะเป็นช่วงที่ภาวนาได้เต็มที่ เรื่องอื่นๆ มันก็น้อยลง

วันนี้เทศน์เท่านี้พอ 35 นาทีแล้ว เทศน์มากไปเดี๋ยวพวกเราไม่ทำ เทศน์น้อยๆ แล้วไปลงมือปฏิบัติเอา ใครตั้งใจจะฟังหลวงพ่อเทศน์ถึง 10 โมง ยังไม่ถึง 10 โมงไปนั่งภาวนา หรือไปเดินจงกรมให้ถึง 10 โมง ถ้าเมื่อไรพวกเราภาวนาอยู่ เมื่อนั้นพวกเราฟังธรรมอยู่ เมื่อไรพวกเราขาดสติ เมื่อนั้นถึงมานั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ พวกเราก็ไม่ได้ฟังธรรม

ฉะนั้นเรามีสติอยู่นี่เราได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยสอนว่า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา ท่านเคยพูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนยังภาวนาไม่เป็นก็ไม่เข้าใจ ภาวนาเป็นแล้วถึงเข้าใจ พุทธะก็คือตัวจิตของเรานี่เอง มันแสดงให้เราเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นตลอดเวลา เดี๋ยวธรรมะฝ่ายกุศลก็เกิด เดี๋ยวธรรมะฝ่ายอกุศลก็เกิด เดี๋ยวธรรมะที่กลางๆ ไม่เป็นกุศล ไม่เป็นอกุศลก็เกิดขึ้น ฉะนั้นธรรมะได้ถ่ายทอด ได้แสดงตัวอยู่ตลอดเวลาที่จิตของเรานี่เอง ฉะนั้นถ้าเรามีสติรู้เท่าทันจิตตนเอง เราจะได้ฟังธรรมตลอดเวลา เราจะไม่ขาดแคลนธรรมะเลย ไม่ต้องหิวโหย ว่าต้องไปฟังที่โน่น ต้องไปฟังที่นี่ อยู่กับตัวเองนั่นแหละ อ่านจิตตนเองให้ออกนั่นแหละ เราได้ฟังธรรมะแล้ว

หลวงปู่ดูลย์เคยสอนหลวงพ่อบอกธรรมะ พระธรรม 84000 พระธรรมขันธ์เกิดขึ้นที่จิตนี่เอง เกิดจากจิตนี่เองถ่ายทอดออกมา แต่ว่าส่วนใหญ่เป็นจิตของพระพุทธเจ้า เพราะท่านสะอาดหมดจด จิตของเราไม่ค่อยถ่ายทอดธรรมะที่เป็นกุศลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ถ่ายทอดธรรมะที่เป็นอกุศล เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง เดี๋ยวฟุ้งซ่าน เดี๋ยวหดหู่ อะไรต่างๆ นานา คนทั่วไปก็เป็นอย่างนั้นทำอกุศลตลอด แต่พวกเราฉวยโอกาสตอนนี้ อ่านจิตตนเองไป ตรงที่เรามีสติรู้ทันจิตโลภ โกรธ หลง ตรงที่มีสตินั่นแหละจิตเป็นกุศลเรียบร้อยแล้ว โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นกิเลสกลายเป็นเครื่องมือให้เราพัฒนาสติขึ้นมา กลายเป็นคุณประโยชน์แก่เรา แต่เป็นคุณประโยชน์ที่เราไม่ได้ตามมันไป โลภเกิดขึ้นเรารู้มีสติรู้ทัน โกรธ หลงอะไรเกิดขึ้น มีสติรู้ทันไปเรื่อย

เราได้ฝึกสติของเราให้เข้มแข็ง รวดเร็ว แล้วเราจะเห็นเลย เดี๋ยวธรรมะก็แสดงเรื่องอกุศล แสดงเรื่องโลภแล้ว แสดงเรื่องโกรธแล้ว แสดงเรื่องหลงแล้ว เดี๋ยวธรรมะก็แสดงเรื่องกุศล คิดถึงการปฏิบัติ คิดถึงการสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสัตว์อื่น นี่เป็นเรื่องดี จิตเป็นกุศล คอยรู้เข้าไป รู้เข้าไป เราจะได้ฟังธรรมะทั้งวันทั้งคืน เราจะไม่รู้สึกว่าเราห่างวัด วัดไม่ต้องไปวัดที่อื่นเลย วัดใจตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง เราจะถึงวัดอย่างแท้จริง

ฉะนั้นไม่ต้องคร่ำครวญว่าไม่ได้มาวัด ตอนนี้จะบอกให้ วัดสวนสันติธรรมน่าอยู่ที่สุดเลย สงบ ร่มเย็น ลมพลิ้วเลย ทำเสียงด้วยนะพลิ้วเลยสบาย แต่ว่าโยมอยู่บ้านไปภาวนาไป จนกระทั่งบ้านเราร่มเย็น ที่วัดนี่ร่มเย็นมาก สบาย พระอยู่กันก็สงบสันติ ก็มีพระสึกไปบ้าง ลางานมาได้แค่นี้สึกออกไปก็มี พระบวชเข้ามาก็พอมี แต่ว่ามีกฎเกณฑ์ พระบวชเข้ามาอยู่ที่นี่ช่วงนี้กักตัว 14 วัน ถูกกักตัวเหมือนกัน ที่นี่เข้มข้นมาก เข้มงวดในการรักษาระยะห่วง เราอยู่กันอย่างสงบ ในนี้สบาย

ฉะนั้นพวกเราฝึกอยู่ที่ไหน ก็ให้มีความสุข อยู่ที่ไหนก็ให้มีความสงบ มีความวิเวกอยู่ในตัวเอง วิเวกมันตรงข้ามกับคำว่าวุ่นวาย ว.ว. เหมือนกัน ถ้าไม่วิเวกก็วุ่นวายเท่านั้นล่ะ ค่อยๆ ฝึกแล้วเราจะรู้สึกว่าชีวิตช่วงนี้เป็นช่วงนาทีทอง ช่วงที่เราไปซนไม่ได้ เราถูกความจำเป็นบังคับ ให้ต้องอยู่กับตัวเอง ไหนๆ อยู่กับตัวเองแล้ว ก็พัฒนาตัวเองไปด้วย

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
9 มกราคม 2564