เข้าใจธรรมดาของโลก

จะสิ้นปีแล้ว เวลาผ่านรวดเร็วมากเลย แป๊บหนึ่งก็ปีหนึ่งแล้ว คนยุคเราอายุเฉลี่ย 75 ปี ประมาณนั้น ปีหนึ่งใช้เวลาให้คุ้มค่า เดี๋ยวก็หมดปีหนึ่งๆ โควิดก็อยู่กับเรามา 2 ปีแล้ว แต่ก่อนเวลามีโรคระบาดก็ประมาณ 3 ปี เราอย่าใช้เวลาให้หมดเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เราใกล้ความตายเข้าไป ทุกขณะ ชีวิตคนไม่ได้ยั่งยืนอะไร มองไปรอบๆ ตัวเรา คนที่เรารู้จักก็ล้มหายตายจากไปทีละคนๆ สิ่งที่เราเคยมีเคยเป็นค่อยๆ เปลี่ยนเจ้าของไปบางที สิ่งที่เคยคุ้นเคย มันก็หมดไป

ตอนหลวงพ่อเด็กๆ เกิดในกรุงเทพฯ นี้ล่ะ แต่กรุงเทพฯ กลางคืนก็ไม่ได้เอะอะโวยวาย เงียบ ไม่ต่างกับบ้านนอกตอนนี้ บ้านนอกตอนนี้ยังเสียงดังกว่าอีก เมื่อก่อน 1 – 2 ทุ่ม คนก็เข้าบ้านแล้ว อยู่กันเงียบๆ อย่างมากก็เปิดวิทยุหรือเปิดโทรทัศน์อยู่กันในครอบครัว บ้านเมืองเงียบ เสียงจิ้งหรีด เสียงอะไรก็ยังร้องกันเยอะแยะ ผ่านมาเกือบ 70 ปีแล้ว บรรยากาศอย่างนั้นหายไปหมดแล้ว กรุงเทพฯ ทุกวันนี้ทันสมัยมาก มีรถไฟฟ้า มีอะไรต่ออะไร ถนนก็ตั้งหลายชั้น บ้านเรือนก็สูงๆ กันไป ถนนใหม่ๆ ก็เยอะแยะ เอาหลวงพ่อไปปล่อยกรุงเทพฯ ตอนนี้ หลงเลย ไปไหนไม่ถูกแล้ว ทุกอย่างที่เราคุ้นเคย มันก็หมดไปสิ้นไปตลอดเวลา

 

ใจทุกข์เพราะยอมรับความจริงไม่ได้

ถ้าเรายอมรับความจริงได้ เราปรับตัวได้ก็อยู่ได้ บางคนยอมรับไม่ได้ ติดอดีตอยู่ มีชีวิตในปัจจุบันไม่มีความสุข ที่จริงแล้ว ถ้าเราติด ไม่ว่าติดอดีต หรือติดอนาคต หรือติดอะไรก็ตาม มันจะไม่มีความสุขหรอก ถ้าไม่ติดแล้วจะมีความสุขกว่า อย่างถ้าเราติดผู้หญิงสักคน เราต้องไปจีบเขาอะไรอย่างนี้ เราฝากชีวิตเรา ฝากความสุขของเราไว้กับคนอื่นอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอะไรหรอก แต่ถ้าเราเห็นความจริงของชีวิตว่ามันเป็นของที่ไม่ยั่งยืน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเรายอมรับตรงนี้ได้ ใจเราจะไม่ทุกข์หรอก

ที่ใจเราทุกข์ เพราะใจมันยอมรับความจริงไม่ได้ อย่างเรายอมรับไม่ได้ว่าเราจะแก่อย่างนี้ พอแก่ขึ้นมาก็ทุกข์ ยอมรับไม่ได้ว่าเราจะต้องเจ็บไข้เข้าสักวันหนึ่ง เราก็ทุกข์เวลาเจ็บไข้ทีหนึ่งทนไม่ไหว ยอมรับไม่ได้ว่าเราจะต้องตาย หรือคนที่เรารักจะต้องตายอะไร พอมีความตายเกิดขึ้น มีความทุกข์ ใกล้ตายก็ทุกข์มากแล้ว เสียดาย กลัวจะพลัดพราก กลัวความพลัดพราก กลัวตายแล้วตกนรก กลัวตายแล้วตกนรกก็คือกลัวเจอกับสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ถ้าเรายอมรับความจริงได้ ความจริงของร่างกาย มันต้องแก่ มันต้องเจ็บ มันต้องตายเป็นเรื่องธรรมดา เวลาความแก่ ความเจ็บ ความตายมาถึงตัว มันจะไม่กลุ้มหรอก มันรู้สึกธรรมดา

ถ้าไม่รู้จักตาย น่ากลัวที่สุดเลย อย่างเกิดเราเป็นอมตะอยู่คนเดียว คนที่เรารัก คนที่เรารู้จักตายไปหมดแล้ว เหลือเราอยู่คนเดียว อยู่ไม่ไหว มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ฉะนั้นความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรนักหนาหรอก บางคนเขามองโลกแง่ดี บอกความตายเป็นความปราณีของธรรมชาติ อย่างถ้าเจ็บป่วยพิกลพิการแล้วไม่รู้จักตาย โอ๊ย ทรมานนาน

ถ้าเราภาวนาเรื่อยๆ เราเห็นว่าเกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เป็นเรื่องธรรมดา เราเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นเราก็ไม่ทุกข์ ถ้าเรายอมรับไม่ได้ เราจะทุกข์ ในด้านจิตใจเหมือนกัน ทุกคนแสวงหาความสุข ดิ้นรนที่จะหนีความทุกข์ แต่เราเลือกไม่ได้ว่าสิ่งที่เราจะสัมผัสต่อไปนี้ อารมณ์ที่จะสัมผัสต่อไปนี้ มันจะนำความสุขหรือความทุกข์มาให้ อยู่ที่วิบากของเรา มีวิบากที่ไม่ดีให้ผลมา เรากระทบอารมณ์ที่ไม่ดี เรียกประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ มีวิบากที่ดีให้ผลมา เราเจอสิ่งที่ดี รู้สึกมีความสุข แต่ไม่มีอะไรยั่งยืน ถึงวันหนึ่งสิ่งที่ดีมันก็ผ่านเราไป เราก็พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์อีกแล้ว

แต่ถ้าเราเห็นความเป็นธรรมดา อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาให้จิตรู้จิตเห็น เป็นของชั่วคราว อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับไป เดี๋ยวอารมณ์อื่นก็เกิดขึ้นมาแทนที่แล้วก็ดับไปอีก ถ้าใจมันเห็นอย่างนี้ ยอมรับอย่างนี้ได้ มันจะรู้เลยว่าความสุขหรือความทุกข์มันก็เท่าเทียมกัน คือเกิดแล้วก็ดับเหมือนๆ กัน ใจมันก็จะไม่หิวความสุข ใจมันก็จะไม่เกลียดความทุกข์ ใจเป็นกลางต่อความสุขความทุกข์ ใจก็ไม่ดิ้นรน พอจิตใจไม่ดิ้นรนจิตใจก็มีความสงบ

ความสงบนั้นล่ะเป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสงบสูงสุดคือพระนิพพาน ก็เป็นบรมสุข ใจของเรายังไม่ถึงนิพพาน ใจเราก็จะกระทบอารมณ์โน้นอารมณ์นี้ แล้วก็แกว่งขึ้นแกว่งลงไป แทนที่จะให้มันกระทบตามยถากรรม การกระทบเราห้ามไม่ได้อยู่แล้ว กระทบแล้วแทนที่จะปล่อยให้จิตใจยินดี ยินร้าย สุข ทุกข์ เป็นกุศล เป็นอกุศลอะไรเลอะเทอะไป มีสติไว้ พอกระทบอารมณ์แล้ว มีความสุขเกิดขึ้นให้รู้ทัน กระทบแล้ว มีความทุกข์เกิดขึ้นให้รู้ทัน ถึงจุดหนึ่งมันก็เห็น สุขหรือทุกข์มันก็แค่นั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

ฉะนั้นเราจะไม่กังวลกับโลกกับชีวิต เราเข้าใจตรงนี้ได้ เราจะไม่กังวลมากหรอก โควิดมันจะอยู่กี่ปี คนที่ไม่ได้ฝึกกลุ้มใจ เมื่อไหร่มันจะหมดเสียที มันทุกข์เหลือเกิน ลำบากเหลือเกิน ถ้าคนภาวนาก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา อกุศลวิบากให้ผลมา เราก็ต้องมาเผชิญสถานการณ์ที่ย่ำแย่ รุ่นพ่อรุ่นแม่เราก็เจอสิ่งที่ย่ำแย่มาแล้วทั้งนั้น อย่างรุ่นก่อนหลวงพ่อนิดๆ หน่อยๆ เขาก็เจอสงครามโลก ถัดจากสงครามโลกมา มีสงครามเกาหลี มีสงครามเวียดนาม เขาเผชิญความทุกข์ เขาเผชิญปัญหากันมาทุกรุ่นล่ะ ย้อนไปดู ไม่เห็นมีชีวิตของคนรุ่นไหนเลยที่จะมีความสุขจริง

 

ชีวิตนี้สั้นเพียงชั่วลมหายใจหนึ่งเท่านั้นเอง

ถ้าเรายอมรับความจริงได้ ชีวิตมันเป็นอย่างนี้ล่ะ เวลาเจอปัญหาขึ้นมาก็รู้สึกธรรมดา เวลาเจอความสุขเข้ามาก็ไม่หลงระเริง ลืมเนื้อลืมตัว พวกลืมตัวเราเห็นได้เยอะแยะเลย อย่างเล่นหุ้นเล่นอะไรพวกนี้ พอได้มาก็ดีใจลืมตัว เล่นเงินคริปโตอะไร ได้ก็ดีใจ คิดย่ามใจ ยิ่งเล่นหนักขึ้นๆ พอเจ๊งขึ้นมาก็เสียใจอีก ถ้าเราหัดภาวนา เราจะเห็นทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราเป็นของชั่วคราวทั้งหมด จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือชั่ว มันก็ชั่วคราว ฉะนั้นเวลาความสุขเกิดขึ้น เราก็ไม่หลงระเริง อย่างเล่นหุ้นได้เงินเยอะ ก็ไม่หลงระเริงว่าจะต้องได้ตลอด เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่คร่ำครวญ

อย่างขณะนี้โควิดระบาด มีความทุกข์ บางคนก็คร่ำครวญโทษโน้นโทษนี้ โทษทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นไม่โทษตัวเอง โทษแต่คนอื่น โทษรัฐบาล โทษประเทศนั้นประเทศนี้อะไรอย่างนี้ ไม่โทษตัวเองว่าไม่ระวัง ไม่รักษาตัวเอง โวยวายว่าหากินยาก ตอนหากินง่าย เอาเงินไปใช้หมด ฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักเก็บออม สายป่านก็เลยสั้น เรียกร้องคนโน้นต้องช่วยคนนี้ต้องช่วย ถ้าเราภาวนา เรารู้ว่าทุกอย่างมันไม่แน่นอนหรอก ช่วงไหนมีความสุขหรือช่วงไหนชีวิตเราราบรื่นอะไรอย่างนี้ ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่ราบรื่น ทำมาหากินได้ก็รู้จัก เก็บออมไว้ ถึงคราวลำบากมันก็พอเอาตัวรอดได้

แล้วก็ไม่ยึดติด เคยทำมาหากินแบบนี้ จะต้องทำแบบนี้ตลอด มันเป็นไปไม่ได้ อย่างสมัยหลวงพ่อเด็กๆ ใครมีร้านโชห่วยถือว่ามีฐานะดีในชุมชน ร้านโชห่วยก็ทำอยู่อย่างนั้น ขายอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันมีร้านที่ทันสมัยกว่า ติดแอร์ ติดอะไร อยู่ทั่วทุกหมู่บ้าน มีแทบทุกหมู่บ้าน ร้านโชห่วยจะมาร่ำร้องว่าจะให้คนโน้นช่วยคนนี้ช่วย มันช่วยไม่ได้หรอก ก็ปรับตัวไม่เป็น ปรับตัวไม่ได้ มันอยู่ไม่ได้ ยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ทุกข์

เพราะฉะนั้นเรามาภาวนาให้มาก ดูกายดูใจของตัวเองไปเรื่อยๆ เราจะรู้ว่าร่างกายเราก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก อย่างเราหายใจออก หายใจเข้า รู้สึกๆๆ ไปเรื่อย เราจะรู้ ถึงจุดหนึ่งเราจะรู้เลยว่า ชีวิตเราหมดไปสิ้นไปทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว มันจะไม่ประมาทหรอก พอเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก ก็ตายแล้ว หายใจออกแล้วไม่ได้หายใจเข้าก็ตายแล้ว ชีวิตอยู่ที่ปลายจมูกนิดเดียว ชีวิตนี้เป็นของที่ไม่ยั่งยืนอะไรเลยร่างกายนี้ เรามาภาวนา เราก็เห็นชีวิตนี้ ร่างกายนี้ ไม่ยั่งยืนอะไรหรอก หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย กินอาหารแล้วไม่ขับถ่ายก็ตาย ขับถ่ายแล้วมากเกินไป ก็ตายอีก ร้อนเกินไปก็ตาย หนาวเกินไปก็ตาย มันตายง่าย

เราภาวนาเราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ ชีวิตนี้สั้นนัก สั้นอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่งเท่านั้นเอง หยุดหายใจก็ตายแล้ว ภาวนาๆ ไป ยอมรับความจริงได้ ชีวิตนี้ไม่ยั่งยืน เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้หรอกร่างกายนี้ ฉะนั้นมันจะแก่ มันจะเจ็บ มันจะตาย ใจไม่เศร้าหมองหรอก เพราะมันเห็นความจริงเสียแล้ว ใจมันยอมรับความจริงแล้ว มันไม่เศร้าหมอง มาดูจิตดูใจของเรา เราก็จะเห็นเลย ใจเราเดี๋ยวก็สุข ใจเราเดี๋ยวก็ทุกข์ ใจเราเดี๋ยวก็ดี ใจเราเดี๋ยวก็ร้าย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตลอด สั่งให้สุขตลอดก็ไม่ได้ ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ สั่งให้ดีตลอดก็ไม่ได้ ห้ามว่าอย่าโลภ โกรธ หลงก็ห้ามไม่ได้

เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป มันจะสุขหรือมันจะทุกข์อะไรนี่ มันเกิดจากผัสสะ มีการกระทบอารมณ์ การกระทบอารมณ์ เราก็เลือกอารมณ์ไม่ได้ว่าเราจะได้เจออารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดี อันนี้อยู่ที่กรรมของเรา กรรมดีให้ผลตอนนั้น เราก็กระทบอารมณ์ที่ดี ก็มีความสุข กรรมชั่วให้ผลมา กระทบอารมณ์ที่ไม่ดี ก็มีความทุกข์ อันนี้ช็อตหนึ่ง เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา เสร็จแล้วถัดจากนั้นจิตมันจะปรุง ปรุงดีปรุงชั่วขึ้นมา สุขทุกข์มันมาก่อนเป็นตัวตั้งต้น การกระทบอารมณ์เกิดขึ้น เกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้น เสร็จแล้วพอมีความสุข ก็มีความอยากเกิดขึ้น อยากให้ความสุขอยู่นานๆ โลภะ มันเกิดแล้ว มีความทุกข์เกิดขึ้น ก็อยากให้มันหมดไปสิ้นไป โทสะมันเกิด มันไม่ชอบ กิเลสมันก็ตามหลัง เกิดเนื่องมาด้วยเวทนา มันก็ทำงานอย่างนี้

ถ้าเราเฝ้ารู้เฝ้าดูอยู่เรื่อยๆ เราจะรู้เลย อันแรกเราเลือกอารมณ์ไม่ได้ อย่างเราจะเห็นรูปที่ดี หรือรูปที่ไม่ดีเราเลือกไม่ได้ เราจะได้ยินเสียงที่ดีหรือเสียงที่ไม่ดี เราเลือกไม่ได้ จะได้กลิ่นที่ดี กลิ่นที่ไม่ดีเลือกไม่ได้ จะคิดเรื่องดีหรือเรื่องเลวก็เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวอารมณ์เราเลือกไม่ได้ พอกระทบอารมณ์แล้ว จะเกิดสุขหรือเกิดทุกข์ หรือจะเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เราก็เลือกไม่ได้อีก เรียนรู้ความจริงไป จะเห็นเลย โอ้ ความสุขมันก็เลือกไม่ได้ สั่งให้อยู่ก็ไม่ได้ สั่งให้เกิดก็ไม่ได้ ความทุกข์ เราห้ามมันไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วบอกให้ดับเร็วๆ ก็ไม่ได้ เวทนาก็เป็นของที่อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับของเรา สุขหรือทุกข์ หรือใจมันจะเฉยๆ อะไรนี่ เราเลือกไม่ได้ ห้ามไม่ได้ทั้งหมดล่ะ

พอสุขพอทุกข์แล้ว กิเลสมันก็จะแทรกตัวเข้ามา มีความสุข ราคะมันก็แทรก มีความทุกข์ โทสะมันก็แทรก เวลาเฉยๆ โมหะยังแทรกเลย พอไม่มีอารมณ์ที่แรงๆ มากระทบ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เผลอ ใจลอย ฟุ้งไปเรื่องอื่น อันนี้โมหะมันเอาไปกินแล้ว ฉะนั้นกิเลสมันก็ตามแทรกตัวตามเวทนามาอีกทีหนึ่ง แต่กิเลส ตัวผัสสะ ตัวที่มากระทบอารมณ์ต่างๆ เราเลือกไม่ได้ เลือกอารมณ์ไม่ได้ เวทนาเราสั่งไม่ได้ แต่ถัดจากเวทนาแล้ว จิตจะเป็นกุศลหรืออกุศล ตัวนี้ฝึกได้ๆ พอเราฝึกมีสติรู้ทันจิตใจตัวเองบ่อยๆ พอจิตมันเกิดอกุศลขึ้นมา รู้ทัน อกุศลจะดับทันที ไม่เกิดยาว จิตเป็นกุศล เรารู้ทัน จิตก็จะเป็นกุศลขึ้นมาอีก

 

เข้าสู่คำว่าธรรมดา

เฝ้าดูเฝ้ารู้ไปเรื่อยๆ ในที่สุดสติเราอัตโนมัติขึ้นมา พอกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี โทสะจะเกิด พอไหวตัวนิดเดียว สติเห็นแล้ว โทสะก็ดับ อกุศลก็สั้นลงๆๆ กุศลก็เกิดถี่ขึ้นๆ ฝึกเรื่อยไป ในที่สุดกุศลมันก็เต็ม ตัวกุศลมันก็เต็มเปี่ยมขึ้นมา คราวนี้ถึงจุดหนึ่งใจมันจะไม่ทุกข์อีกแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นใจมันไม่ทุกข์ เพราะมันเห็นว่ามันธรรมดา การกระทบอารมณ์ที่ถูกใจ หรือกระทบอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ เราเลือกไม่ได้ เป็นธรรมดาอย่างนี้ กระทบแล้ว มันจะเกิดความรู้สึกสุขหรือความรู้สึกทุกข์ หรือเฉยๆ เราก็เลือกไม่ได้ มีสุข มีทุกข์แล้ว กุศล อกุศลจะเกิดตามมาจริงๆ ก็เลือกไม่ได้ อย่างอกุศลมันเกิดแล้ว สติเรารู้ทัน อกุศลมันก็ดับ ก็เกิดกุศลขึ้นมาแทน จิตจะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล อยู่ที่ว่ามีสติหรือไม่มีสติ ถ้ามีสติ จิตก็เป็นกุศล ถ้าขาดสติ จิตอาจจะเฉยๆ หรือจิตเป็นอกุศลไป สติก็เป็นอนัตตา สั่งให้เกิดไม่ได้อีก แต่ฝึกให้มันมีบ่อยๆ ได้

วิธีที่จะทำให้สติเกิดบ่อยๆ คือหัดรู้สภาวะไป รู้รูปรู้นามอะไรสักอย่างหนึ่ง เอาให้ชำนิชำนาญสักอย่างเดียวก็พอแล้ว อย่างหลวงพ่อเจริญสติ ถ้าจะทำสมถะ หลวงพ่อใช้อานาปานสติ หายใจไปด้วยความรู้สึกตัว ไม่ใช่หายใจแล้วเคลิ้ม ก็มีสมาธิที่ดี จิตมันตั้งมั่น เวลาเจริญปัญญา หลวงพ่อดูจิตมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ดูมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าดูแล้ว มันจะต้องสุขตลอด ไม่ใช่ดูแล้ว มันจะต้องดีตลอด ดูจนเห็นความจริงเลยว่า สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีก็ชั่วคราว โลภ โกรธ หลงก็ชั่วคราว ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก จนจิตมันยอมรับความจริงได้ว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในความรับรู้ของจิต ล้วนแต่ชั่วคราวทั้งสิ้น แล้วสุดท้ายก็เห็นกระทั่งว่าตัวจิตเองก็ของชั่วคราว จิตรู้ก็ชั่วคราว จิตที่ไปดูรูปก็ชั่วคราว จิตที่ไปฟังเสียง จิตที่ไปดมกลิ่น จิตที่ไปลิ้มรส จิตที่ไปรู้สัมผัสทางกายก็ชั่วคราว จิตที่คิดนึกก็ชั่วคราว จิตที่ไปเพ่งอารมณ์ก็ชั่วคราว

 

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา”

 

เฝ้าดูจนเห็นความจริง ทุกอย่างของชั่วคราวหมดเลย ถึงจุดหนึ่งจิตมันก็สรุป มันสรุปขึ้นมาได้เองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล่ะมีความดับเป็นธรรมดา มันเข้ามาสู่คำว่า ธรรมดา ฉะนั้นเราจะฝึกจนจิตมันเข้าถึงความเป็นธรรมดา อย่างเราดูร่างกาย เข้าถึงความเป็นธรรมดา ร่างกายต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จิตใจก็ธรรมดา สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย ไหลมาไหลไป เป็นเรื่องธรรมดา จิตจะโคจรไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นเรื่องธรรมดา วิ่งไปหารูป หาเสียง หากลิ่น หารส หาโผฏฐัพพะอะไรอย่างนี้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เลยเรียกโคจรรูป รูปที่เป็นที่โคจรของจิต โคจรไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือโคจรไปทางใจ จิตในส่วนที่เป็นรูป มันก็อยู่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย การเที่ยวไปของจิตในภายใน เป็นเรื่องทางนามธรรม

เฝ้าดู ภาวนาทุกวันๆ จนกระทั่งเข้าใจคำว่า ธรรมดา ธรรมดาอย่างนี้ล่ะ มันเป็นอย่างนี้ล่ะ มีคำอยู่คำ หลวงพ่อพุทธทาสท่านชอบพูด ตถตาๆ มันเป็นอย่างนี้ล่ะ มันธรรมดานั้นล่ะ ภาวนาทุกวันๆ จนเห็นกายเห็นใจมันเป็นธรรมดาอย่างนี้ แล้วคราวนี้อะไรจะเกิดไม่สำคัญแล้ว โควิดจะเกิด ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็อยู่ที่กายที่ใจ จะอกหัก ความทุกข์มันก็ลงมาอยู่ที่กายที่ใจ อกหักกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับใช่ไหม ก็กระทบมาที่กาย ใจเศร้าหมองกระทบอยู่ที่ใจ ถ้าเราเห็นกาย เห็นใจมันมีธรรมดา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น ใจมันไม่ทุกข์หรอก ฉะนั้นที่เราฝึกกันแทบเป็นแทบตาย ไม่ได้ฝึกเพื่อเอาดี เอาสุข เอาสงบอะไรหรอก ฝึกจนจิตมันเข้าใจ มันยอมรับความจริงได้ว่าธรรมดามันเป็นอย่างไร.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
26 ธันวาคม 2564