หลวงปู่อบรมทีมงาน

เราทำงานอาสาสมัคร สิ่งแรกที่เราต้องมีก็คือต้องมีอุดมการณ์ร่วมกัน อุดมการณ์สำหรับหลวงพ่อ คือการรักษาสืบทอดพระศาสนา อันนี้มันเป็นหน้าที่ของพระโดยตรงอยู่แล้ว พวกเราจะมาช่วยงานหลวงพ่อ ต้องมีอุดมการณ์ด้วยกัน เราทำอะไรไม่ได้เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง มองว่าทำอย่างไร จะช่วยกันรักษาพระศาสนาเอาไว้ให้ได้ ศาสนาพุทธไม่ได้แข็งแรงหรอก ร่อแร่เต็มทีแล้ว มันเสื่อมไปหมดทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติมันเสื่อมลงทุกรุ่น ครูบาอาจารย์ท่านเล่ารุ่นของท่านเทียบกับรุ่นหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์ ก็เทียบไม่ได้ มารุ่นลูกศิษย์หลานศิษย์ถัดๆ มา มันยิ่งหย่อนลงเรื่อยๆ

สังคมมันเปลี่ยน เมื่อก่อนเป็นสังคมเกษตร คนมีเวลามาก อยู่กับบ้าน ปีหนึ่งทำงานช่วงหนึ่งมีเวลาเหลือเยอะ จะเอาเวลามาภาวนาให้จริงจัง ทำได้ไม่ยากมีเวลามาก ทุกวันนี้ทำงานอุตลุด ทำธรรมดายังไม่พอต้องทำโอทีอีก คนไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง ชีวิตมันไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนอยู่ในสังคมมีศีลธรรมมีวัฒนธรรม เด็กรุ่นนี้ไม่ได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรม มันไปเรียนเอาเองจากอินเทอร์เน็ต ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่กับปู่ย่าตายาย เด็กรุ่นหลวงพ่อนี้อยู่กับครอบครัวใหญ่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายอยู่กัน ก็ได้รับการเรียนรู้สืบทอดวัฒนธรรมกัน เดี๋ยวนี้เด็กต้องไปหาเอาเอง

สังคมมันเปลี่ยน การทำมาหากินก็แข่งขันสูง วันนี้รวยพรุ่งนี้จนไปแล้วก็มี ชีวิตวุ่นวายมาก ต้องคิดมาก โอกาสที่จะทำความสงบจิตใจยากมาก เมื่อก่อนคนอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับป่าเขา อยู่กับแม่น้ำลำธาร ทุกวันนี้อยู่กับตึกอยู่กับถนน ความร่มเย็นในจิตใจมันก็จะเกิดขึ้นยากขึ้น เมื่อก่อนทุกสิ่งทุกอย่างรวมศูนย์อยู่กับวัด ไม่สบายก็ไปหาหมอพระ ทำอะไรก็ต้องเข้าวัด เดี๋ยวนี้เข้าไปเฉพาะงานศพกับเข้าไปขอหวย วัดหมดบทบาทหมดหน้าที่ที่จะเป็นศูนย์กลางของสังคม แล้วคนก็เลยไม่เห็นความสำคัญของวัดของพระ ก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ พระส่วนใหญ่การศึกษาทางโลกน้อย ส่วนใหญ่ก็ยิ่งไม่น่าเชื่อถือหนักเข้าไปอีก ความรู้ทางธรรมะก็หายาก สิ่งแวดล้อมมันไม่ให้ จะเป็นธุดงค์ตามป่าตามเขาก็ไม่มีที่ ไปที่ไหนมันก็เจอแต่คน

สังคมมันเปลี่ยนอย่างนี้เราก็ต้องปรับตัวให้ได้ ทำอย่างไรเราจะรักษาสืบทอดพระศาสนาเอาไว้ในสังคมสมัยใหม่นี้ สังคมยุคนี้เป็นสังคมของคนใจร้อน เป็นสังคมของคนสมาธิสั้น เป็นสังคมที่หวังความสำเร็จรวดเร็ว ต้องเร็ว แล้วคนยุคนี้มันสุขสบายในการดำรงชีวิตมาก ถ้ามีเงินก็มีอยู่มีกินสบาย ดูก็ไม่เห็นทุกข์ ดูให้เห็นทุกข์นั้นยากมาก อย่างรุ่นครูบาอาจารย์ทำไร่ทำนามันทุกข์จริงๆ แค่เกี่ยวข้าวใบข้าวก็บาดแล้ว ละอองมันก็คันมากเลย นี่ชีวิต

กรรมฐานที่มันเหมาะกับคนในเมืองคนยุคของเรา มันก็คือการดูจิตดูใจตัวเอง อันนี้ไม่เฉพาะที่หลวงพ่อคิดเอาเอง หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกเอาไว้ต่อไปการดูจิตจะรุ่งเรืองในเมือง หลวงพ่อเคยเจอครูบาอาจารย์สายหลวงพ่อชา เป็นพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งเหมือนกัน ท่านบอกหลวงพ่อชาสั่งไว้เลย คนเมืองอย่าไปสอนเลยเรื่องพุทโธพิจารณากาย ต้องสอนดูจิต มันเหมาะกับปัญญาชนเหมาะกับคนคิดมาก มันก็สอดคล้องกับตำราอภิธรรม จิตตานุปัสสนาเหมาะกับพวกทิฏฐิจริต พวกเจ้าความคิดเจ้าความเห็น

 

อุดมการณ์ร่วมกันไม่ใช่หาผลประโยชน์

เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ประมาณปี 2526-2527 ราวๆ นั้น หลวงพ่อพุธท่านเคยสั่งหลวงพ่อ ว่าให้คุณไปทำงานเผยแพร่ เพราะหลวงพ่อภาวนามา หลวงพ่อดูจิตมา ในขณะที่ยุคนั้นมีแต่คนดูกาย ทุกสำนักเป็นเรื่องกายทั้งนั้น หรืออย่างน้อยก็เริ่มจากกาย วัดป่าก็พุทโธพิจารณากาย โคเอ็นก้าก็ทำสมาธิก่อนแล้วดูเวทนาทางกาย สายหลวงพ่อเทียน ขยับมือก็กาย สายพองยุบก็กาย อานาปานสติก็กาย ท่านบอกว่าให้หลวงพ่อไปทำงานเผยแพร่ แนวทางที่หลวงพ่อเรียนมาจากหลวงปู่ดูลย์ ต่อไปคนจะต้องเรียนแนวนี้ เพราะแนวดั้งเดิมยากมาก แค่จะทำฌานให้เกิดมันก็ไม่เกิดแล้วล่ะ ยุคนี้เข้าฌานได้มีสักกี่คน อย่างเป็นวสีชำนิชำนาญมันไม่ค่อยมี

หลวงปู่สิม หลวงพ่อเข้าไปกราบท่าน วันที่ 5 สิงหาคม ปี 2526 ไปถามกรรมฐานท่านข้อหนึ่ง ออกจากท่านมา ท่านเรียกพระอุปัฏฐากเข้าไปบอกว่าโยมคนเมื่อกี้เข้าใจธรรมะ เดี๋ยวพรรษานี้จะเข้าใจเยอะขึ้น ต่อไปจะเป็นกำลังของพระศาสนา ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้อย่างนี้ พระอุปัฏฐากท่านตอนหลวงพ่อบวชท่านมาบอก ฉะนั้นที่หลวงพ่อทำงานอยู่ทุกวันนี้เพราะครูบาอาจารย์ท่านมอบหมายไว้

งานอันนี้คนเดียวทำไม่ได้ เวลาทำงานหลวงพ่อจะเน้นมากเลยการสร้างทีม วันแมนโชว์ไปไม่รอดหรอก มันจะเก่งสักแค่ไหนเชียว การสร้างทีมงานนั้นสำคัญมาก แต่จุดอ่อนของคนไทยคือทำงานเป็นทีมไม่เป็น นี้จุดอ่อนเลย กูแน่กูหนึ่งกันทุกคน บางทีกูห่วยแตก อย่านึกว่ากูแน่ ทำงานเป็นทีมด้วยกันตีกันทะเลาะกัน นี่จุดอ่อน ทั้งๆ ที่ทีมนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเลย หลวงพ่อก็พยายามสอน เริ่มงานขนานกัน 2 งาน งานหนึ่งก็เผยแพร่ไปในทางกว้าง งานหนึ่งก็สร้างทีมสร้างคน คนจากวงกว้างก็จะมีคนซึ่งเป็นครีมขึ้นมา แล้วมาสร้างเป็นทีมเป็นกลุ่มๆ ขึ้นมา

ตอนนี้มีทีมอยู่หลายทีมที่ช่วยหลวงพ่อทำงาน เริ่มที่ทีมแม่ครัว ไม่มีแม่ครัวพระขนาดนี้อดตาย บิณฑบาตนั้นพอฉันได้ 3 – 4 องค์เองแหละ มีทีมมูลนิธิฯ ทีมหนึ่งก็ทีมของมูลนิธิจีน อีกทีมหนึ่งเป็นทีมพวกไลฟ์ ทำงานไลฟ์ ทำงานผลิตสื่อ แล้วก็มีทีมบ้านจิตสบายอีกทีม แต่ละคนร้อยพ่อพันแม่ ถ้าไม่มีอุดมการณ์ว่าจะทำงานเพื่อพระศาสนา รับใช้พระพุทธเจ้าร่วมกันอยู่ อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราคอยสังเกตตัวเอง

คนที่อยู่ในทีมงาน สิ่งที่เราคิดสิ่งที่เราพูดสิ่งที่เราทำนั้น เป็นไปเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้า หรือเพื่อสนองกิเลสลึกๆ ของตัวเอง ดูให้ดีจุดนี้จุดสำคัญเลย คือถ้าใจมันไม่ถูก มันก็คิดไม่ถูกพูดไม่ถูกทำไม่ถูก จะเห็นแก่ตัว บางคนมาทำงานเพราะว่าอยากใกล้ชิดหลวงพ่อ อยากเป็นคนสำคัญ เป็นนัมเบอร์วันอะไรอย่างนี้ พวกนี้ขาดคุณสมบัติที่จะทำงาน บางคนเห็นหลวงพ่อมีลูกศิษย์เยอะ เข้ามาหวังผลประโยชน์ พวกนี้ถ้าหลวงพ่อรู้เห็น หลวงพ่อก็ไล่ออกไปหมด ไล่ออกไปหลายรุ่นหลายคน บางทีก็มาตั้งวงสอนกรรมฐานอยู่ในนี้มี

ฉะนั้นสิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร เราทำงานสืบทอดปณิธานของพระพุทธเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ยากเย็นแสนเข็ญ ท่านสร้างบารมีมา องค์นี้เร็ว องค์นี้ท่านเดินด้วยปัญญามาได้เร็ว ท่านสร้างบารมี 20 อสงไขยแสนมหากัป ท่านได้รับพยากรณ์ 4 อสงไขยแสนมหากัป ก่อนหน้านั้นยังไม่ได้รับพยากรณ์พยายามมาเรื่อย ลองผิดลองถูกมา แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่คนยอมรับได้ยาก เพราะเป็นศาสนาที่พึ่งตัวเอง ให้พึ่งผีพึ่งเทวดาพึ่งอะไรนี่ แหม มันง่าย ให้พึ่งตัวเองต้องเข้มแข็งจริงๆ

แล้วศาสนาพุทธสอนให้เราลดละกิเลส ไม่ใช่ให้พอกพูน มันฝืนกับความรู้สึกของสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะมนุษย์ ความต้องการมันไม่มีที่สิ้นสุด ขยายความต้องการไปเรื่อยๆ ฉะนั้นโอกาสที่ศาสนาพุทธจะยั่งยืนไม่มากหรอก โดยธรรมชาติบางพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้แล้วท่านสอนคนได้กลุ่มหนึ่ง พอท่านปรินิพพานแล้วคนกลุ่มนั้นตายไป ศาสนาพุทธก็จบตรงนั้นเลย ไม่ได้สืบทอด ได้ 1 รุ่นเท่านั้นเองสาวก อย่างพระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พอท่านนิพพานแล้ว สาวกที่ท่านสอนไว้นิพพานไปแล้วก็หมด ส่วนพระพุทธเจ้าของเรายังสืบทอดได้หลายเจนเนอเรชั่น แล้วสืบทอดมาได้เพราะท่านมีปัญญามาก ท่านบัญญัติพระธรรม บัญญัติพระวินัยเอาไว้เยอะแยะ ธรรมวินัยเป็นเรื่องสำคัญ

 

“พวกเราทำงานอาสาสมัคร อย่าให้การปฏิบัติเสีย
อันนี้ข้อที่หนึ่งเลย จำเป็นที่สุดเลย
อย่าให้หน้าที่การงานเสีย อย่าให้ครอบครัวเสีย”

 

บางคนมาทำงานจิตใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวก็ทำเกินพอดี บางคนมาทำงานอาสาสมัคร จนกระทั่งไม่มีเวลาภาวนา อันนี้ไม่ถูก เพราะฉะนั้นถึงเราเป็นทีมงานของหลวงพ่อ จุดสำคัญที่หนึ่งเลย ตัวเองต้องพัฒนาได้ จุดที่สอง อย่าให้กระทบการทำมาหากินของตัวเอง เป็นฆราวาสต้องทำมาหากินด้วย ไม่ใช่จะมาทำงานอาสาสมัครจนกระทั่งไม่มีจะกิน อีกจุดหนึ่ง ครอบครัวสำคัญ มีลูกมีครอบครัวต้องดูแล ไม่ใช่ทิ้งครอบครัวทิ้งลูกตามยถากรรม มาทำงานอาสาสมัครช่วยหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ต้องการ คือพวกเราทำงานอาสาสมัคร อย่าให้การปฏิบัติเสีย อันนี้ข้อที่หนึ่งเลย จำเป็นที่สุดเลย อย่าให้หน้าที่การงานเสีย อย่าให้ครอบครัวเสีย

ครอบครัวที่อบอุ่นมีความสำคัญมาก โลกข้างนอกนี่ร้อน ถ้ากลับบ้านแล้วร่มเย็นเรายังมีเซฟโซน มีเซฟโซนที่จะอยู่ได้ อย่างคนโบราณไม่ค่อยเป็นโรคจิต ตกงานก็ยังไปช่วยกันทำไร่ทำนา สังคมตรงนี้ยังเหลืออยู่ สังเกตไหมช่วงโควิดช่วงอะไรอย่างนี้ คนก็ยังกลับบ้านต่างจังหวัดกัน ไปทำไร่ ทำนา ปลูกผักปลูกอะไรก็ยังพอมีชีวิตอยู่ได้ มันเป็นหลังพิง แต่ต่อไปข้างหน้าจะไม่มีหลังพิงอย่างนี้ ฉะนั้นการจะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ มันเครียดมาก รักษาครอบครัวให้ดี แล้วชีวิตเรายังมีที่หลบภัยไว้สักที่หนึ่งก็ยังดี เมื่อก่อนมีปัญหาขึ้นมาหลบภัยเข้าวัด หลวงพ่อไม่แนะนำแล้วหลบภัยเข้าวัด ในวัดจำนวนมากเป็นภัย เป็นภัยอันตราย ทำพื้นที่ของเรา แอเรียของเราเฉพาะตัว มีเวลาหลบจากโลกข้างนอกที่วุ่นวายก็มาภาวนาอยู่ในบ้าน

พอจำได้ไหมที่หลวงพ่อพูดวันนี้ อันแรกมาช่วยงานหลวงพ่อ ต้องมีอุดมการณ์ร่วมกันไม่ใช่หาผลประโยชน์ บางช่วงคนเข้ามาที่หลวงพ่อหวังผลประโยชน์ หลวงพ่อไม่เอาไว้หรอก จะดังแค่ไหนจะเก่งแค่ไหนก็ไม่เอา ที่นี่ไม่ได้รับแต่คนรวย ทุกคนที่สนใจธรรมะเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างชาติ วัดนี้ คนจีนเยอะแยะ ชาติอื่นๆ ก็พอมี ส่วนใหญ่เป็นคนจีน คนจีนมาเรียน มาเรียนหลักในการปฏิบัติ

 

อ่านสภาวะออก เราจะเดินต่อได้

เรียนหลักก็คือ หัดรู้สึกตัวไว้ รู้สึกตัวได้ก็หัดรู้สภาวะ สภาวะของร่างกาย สภาวะของจิตใจ พอเราดูสภาวะได้แล้ว เราต้องไปทำเอาเอง อย่างถ้าเราดูได้ว่า จิตโกรธมันเป็นอย่างนี้ เวลาความโกรธเกิดมันพุ่งขึ้นมาจากกลางอก ความโลภความหลงแต่ละตัวแต่ละตัวเป็นอย่างนี้ ความสุขเป็นแบบนี้ ความทุกข์เป็นแบบนี้ อันนี้เรียกว่าเราอ่านสภาวะออก ถ้าอ่านสภาวะออก เราจะเดินต่อได้แล้ว

เราจะอ่านสภาวะได้ จิตใจต้องตั้งมั่น จิตใจต้องอยู่กับเนื้อกับตัว พอจิตใจอยู่กับตัวเอง เราก็จะเห็นเลยร่างกายกับจิตใจคนละอันกัน ร่างกายกับจิตใจคนละอันนี่เริ่มแยกขันธ์แล้ว ร่างกายก็เป็นสภาวธรรมอันหนึ่งเป็นรูปธรรม ทางด้านจิตใจก็เป็นนามธรรม แยกย่อยออกไปก็เป็นความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ ตัวนึก ตัวจำได้หมายรู้ ตัวคิดและตัวปรุงดีปรุงชั่ว กับจิตเป็นคนรู้คนดู

อย่างถ้าเราเห็นว่าความสุขกับความทุกข์เป็นคนละอันกับจิต นี่แยกได้ ร่างกายเป็นคนละอันกับจิต ความปรุงดีปรุงชั่ว เช่น โลภโกรธหลง เป็นคนละอันกับจิต อันนี้เรียกว่าเราแยกขันธ์ได้ เราเห็นสภาวะได้ ความโกรธเกิดขึ้นเรารู้ ความหลงเกิดขึ้นเรารู้ ฟุ้งซ่านเกิดขึ้นรู้ หดหู่เกิดขึ้นเรารู้

เมื่อเราเห็นสภาวะได้ ถัดจากการเห็นสภาวะ ก็คือเห็นตัวจริงของสภาวะลักษณะร่วมของสภาวะ สภาวะแต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน มีลักษณะเฉพาะตัว ความสุขก็มีลักษณะเฉพาะตัว ความทุกข์ก็มีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน ความดีก็มีลักษณะเฉพาะตัว ความโลภก็มีลักษณะเฉพาะตัว ความโกรธความหลงก็มีลักษณะเฉพาะตัว การที่เราเห็นสภาวะต่างๆ ได้ก็เพราะเราเห็นความแตกต่างของสภาวะแต่ละตัวแต่ละตัว

สภาวะเฉพาะตัวเรียกว่าวิเสสลักษณะ วิเศษ พิเศษ ลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ความโกรธก็มีลักษณะพิเศษของมันเอง มีลักษณะผลักดันทำลายล้าง ความโลภก็มีลักษณะพิเศษ ดึงดูดเข้ามาหาตัวเองอยากให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ความหลงก็มีลักษณะพิเศษ จับอารมณ์ได้ไม่ชัดเจนเช่นใจลอย คิดอะไรยังไม่รู้เลยบางที

พอเรารู้ลักษณะเฉพาะตัวแล้ว ต่อไปเราก็จะเห็นทุกๆ ตัวที่เกิดขึ้นล้วนแต่ดับทั้งสิ้น ความสุขเกิดแล้วก็ดับ ความทุกข์เกิดแล้วก็ดับ ความดีเกิดแล้วก็ดับ ความโลภความโกรธความหลงเกิดแล้วก็ดับ เราเห็นสภาวธรรมทั้งหลายทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม ซึ่งไม่เหมือนกัน มีลักษณะเฉพาะตัว แต่ทุกตัวมีลักษณะร่วม คือเกิดแล้วก็ดับ แล้วทุกตัวที่เกิดอยู่ กำลังถูกบีบคั้นให้แตกสลายไป แล้วทุกตัวนั้นจะมีขึ้นมา จะตั้งอยู่หรือจะดับไป เป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่ใช่ตามที่เราสั่งได้ อย่างเราสั่งให้ใจเราดีตลอด สั่งไม่ได้ สั่งว่าอย่าทุกข์ สั่งไม่ได้ สั่งว่าจงมีแต่ความสุข สั่งไม่ได้ การที่เราเห็นสภาวะแต่ละตัวๆๆ เกิดดับ เกิดดับๆ ไปเรื่อย

ถึงจุดหนึ่งจิตจะเกิดปัญญารวบยอด จิตจะรู้แจ้งแทงตลอดว่าสภาวะทั้งหลายทั้งปวง มีลักษณะร่วมกัน ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา เห็นไหมมันเริ่มมาจากการเห็นลักษณะเฉพาะตัว แต่ละตัวๆ ไม่เหมือนกัน เราแยกธาตุแยกขันธ์ได้ เราจะเห็นสภาวะแต่ละตัว พอเห็นสภาวะแต่ละตัว ก็ดูสภาวะแต่ละตัวเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ดูไปเรื่อยๆ เท่าที่ดูได้ ดูบ่อยๆ ต่อไปจิตมันเกิดปัญญารวบยอด สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงดับเป็นธรรมดา ความรู้รวบยอดอันนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ นั้นคือพระโสดาบัน

พระโสดาบันนั้นรู้ความรู้รวบยอด ของสภาวธรรมทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรมนั่นแหละ ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วมันก็ต้องดับไปทั้งสิ้น ตรงที่มันเคยมีแล้วมันไม่มี อันนั้นเรียกว่าอนิจจัง ตรงที่มันกำลังมีอยู่ แต่ว่ามันกำลังจะแตกสลายไป ถูกบีบคั้นให้แตกสลายไป เรียกว่าทุกขัง ตรงที่มันมีหรือมันตั้งอยู่หรือมันแตกสลาย เพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เพราะเราสั่ง สั่งไม่ได้ ไม่มีอำนาจสั่ง อย่างเราสั่งร่างกายว่าอย่าแก่อย่าเจ็บอย่าตายเราสั่งไม่ได้ ฉะนั้นเราจะเห็นอันนั้นเรียกว่าอนัตตา

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเลยเป็นลักษณะร่วมของสภาวธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ของทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เว้นพระนิพพานอันเดียว ฉะนั้นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเรียกว่าสามัญลักษณะ ลักษณะทั่วไปของสิ่งที่เป็นสังขาร ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม เข้าใจตรงนี้เราจะเข้าใจทั้งหมด ถ้าเราเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสิ่งนั้นก็ดับเป็นธรรมดา เราเรียนอยู่ในกายในใจ เข้าใจตรงนี้เข้าใจโลกทั้งโลกเลย ทั้งโลกทั้งจักรวาลก็ตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์อันเดียวกันนี้เอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เจ้าของ เราไม่ได้เป็นเจ้าของมัน

เอาละวันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ นี่คือภาพรวมทั้งหมดแล้ว ที่จริงเทศน์แต่ละวันก็เป็นภาพรวมทุกที แต่ว่ามุมนั้นมุมนี้

 

หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
4 ธันวาคม 2566