ตายอย่างไม่ขาดทุน

เรามาเจอกันในงานศพของแหวว ความตายของเขาไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ก่อนจะตายเขาเตรียมตัวของเขามานานแล้ว ทำทาน รักษาศีล ภาวนา เขาทำของเขามาตลอด ฉะนั้นไม่ได้น่าห่วงว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร อย่างคนเป็นมะเร็งเวลาจะตายส่วนใหญ่ก็ทรมานมาก นี่บุญก็รักษาเขา ก็ซึมไปเฉยๆ ไม่ได้ทรมานอะไร นี่มันอยู่เกินสิ่งที่จะประเมินได้ว่ามันเป็นผลของบุญหรือเปล่า แต่ปกติคนเป็นมะเร็ง ตอนจะตายจะเจ็บมาก ของเขานี่เชื้อมันลามขึ้นสมอง แล้วก็เลยซึมหลับไป

พวกเราก็ต้องเอาอย่าง เตรียมตัวเองให้พร้อมเสียก่อน ความตายนั้นไม่มีลำดับว่าผู้อาวุโสต้องไปก่อน เด็กๆ บางทีก็ไปก่อน อย่างแหววนี่พ่อแม่ยังอยู่ ไปก่อน หลวงพ่อเจอพ่อแม่ของแหววเขาก็ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่เก่ง ทำใจได้มาก ลูกยิ่งเก่งใหญ่ ไม่เศร้าโศกเท่าไหร่หรอก คนมีธรรมะก็เผื่อแผ่เข้าไปถึงคนในบ้าน คนในบ้านก็พลอยยอมรับความจริงของชีวิตได้มากกว่าคนที่มันไม่ยอม คนส่วนใหญ่ยอมไม่ได้

อันที่จริงแล้วความตายมันมีกับพวกเราทุกคน ทันทีที่เราเกิดมา เราก็มีวันตายของเรารออยู่ข้างหน้า ทุกปีๆ อายุของเราก็สั้นลง ทุกเดือนทุกวันอายุเราก็สั้นลงเรื่อยๆ กระทั่งทุกลมหายใจเข้าออก อายุเราก็น้อยลงไปเรื่อยๆ หายใจเข้าทีหนึ่ง หายใจออกทีหนึ่งอะไรอย่างนี้ ชีวิตก็สั้นลงไปรอบหนึ่งแล้ว ฉะนั้นสิ่งที่พวกเราควรเรียนรู้ก็คือ อย่าประมาท รีบพัฒนาจิตใจให้ดีที่สุด ให้สมกับที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา

พยายามฝึกอย่างที่แหววเขาทำ แหววไม่ใช่คนร่ำรวย แต่ทุกเช้าตอนที่ยังเดินได้ เขาทำน้ำหวาน ส่วนหนึ่งขายส่วนหนึ่งเอาไปถวายที่วัดทุกวันๆ ทำทานอันนี้ทำเป็นนิจ เพราะอย่างนั้นกุศลของเขาเป็นกุศลที่มีกำลังแรง มันเป็นอาจิณณกรรม เวลาที่เราทำความดีทำประจำเขาเรียกว่าอาจิณณกรรม ถ้าทำชั่วเป็นอาจิณณกรรม ผลชั่วมันก็แรงรองจากอนันตริยกรรมเท่านั้น ทำความดีทำเป็นอาจิณประจำก็มีผลแรง รองจากอนันตริยกรรมฝ่ายดี อนันตริยกรรมฝ่ายดีเช่น การเข้าฌานสมาบัติได้ การบรรลุมรรคผล อันนี้เป็นอนันตริยกรรมฝ่ายดี ถ้ายังเข้าฌานสมาบัติไม่ได้ ยังไม่บรรลุมรรคผล การทำความดีให้สม่ำเสมอเป็นกรรมที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

แหววเขาทำของเขาทุกวันทุกวัน อย่างบางคนมีเงินไม่มาก จะทำบุญเขาก็ยังตระหนี่เสียดาย แต่แหววไม่ได้เป็นอย่างนั้น พากเพียรอดทนทำ ไม่ได้หวังว่าทำแล้วจะรวย ไม่เคยขอพรหลวงพ่อเลยตั้งแต่คบกันมาหลายปี ไม่เคยขอเลยว่าขอให้หนูรวยๆ

คนที่มาขอรวยๆ นี่ ส่วนใหญ่มันรวยอยู่แล้วแต่มันไม่พอ แต่นี่เขาไม่ขอ เขาทำความดีไปโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร อยากได้ธรรมะ อยากให้จิตใจเจริญขึ้น ทานเขาก็ทำ ศีลเขาก็รักษา การปฏิบัติก็ปฏิบัติได้ตามระดับของเขา การปฎิบัติธรรมมันไม่ใช่ว่าปุบปับภาวนา 2 – 3 วัน 7 วัน 7 เดือน 7 ปีอะไรจะบรรลุมรรคผลทุกคน มันอยู่ที่ว่ามีบุญเก่าทำมาดีไหม ถ้าบุญเก่าทำมาดี มาต่อยอดเอา มันก็ได้ผลเร็ว ได้ผลง่าย ถ้าต้นทุนเดิมมันน้อย ยิ่งบางคนต้นทุนต่ำมาก เกิดมาโดยที่จิตใจเกิดมาด้วยเหตุ 2 อย่าง ไม่โลภกับไม่โกรธ แต่โมหะเยอะ พวกนี้ภาวนายาก ภาวนาลำบาก

 

พยายามรู้สึกตัว ฝึกความไม่หลงไว้

หลวงพ่อพยายามจ้ำจี้จ้ำไชพวกเรา พยายามรู้สึกตัวไว้ อย่าหลงอย่าฟุ้งซ่านไป ถ้าเราฝึกตรงนี้ได้ โอกาสที่จะพัฒนามันก็สูง บางคนทำไม่ได้ เป็นเรื่องปกติเลย อย่าว่าแต่เจอหลวงพ่อเลย คนที่เจอพระพุทธเจ้าบางคนก็ภาวนาไม่ได้ บางคนติดลบด้วยอย่างเทวทัตติดลบด้วย พวกพระไม่ดีทั้งหลายพวกนี้ติดลบ ฉะนั้นอย่างเรามาเจอหลวงพ่อ ไม่ใช่หลักประกันว่าพวกเราจะบรรลุมรรคผลในชีวิตนี้

อันแรกเลยของเรามีต้นทุนแค่ไหน ถ้าต้นทุนน้อยเราก็พยายามฝึกไป มีสติไปเรื่อยๆ ใจไม่หลง ฝึกความไม่หลงไว้ ตายไป ไปเกิดใหม่ สติมันจะดี จะตายไปแล้วไปเกิดใหม่สติมันจะดี ภาวนาจะง่ายกว่านี้เยอะเลย

แหววน่ะตอนท้ายๆ ของชีวิต จิตตั้งมั่นได้แล้ว จิตตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมาได้ดี แสดงว่าไม่ได้เกิดด้วยเหตุสอง จิตมันเริ่มทรงสมาธิขึ้นมาแล้ว แต่ว่ามารคือมัจจุมาร ขันธมารตัดรอน ตายเสียก่อน เพราะฉะนั้นโดยภาพรวมเขาทำทาน เขารักษาศีล เขาภาวนาเป็นนิจ ความดีของเขามีอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว เรื่องโมโหโทโสอะไรมันเรื่องธรรมดา โมโหวูบวาบอะไรอย่างนี้ก็เป็นธรรมดา จิตมันยังไม่ใช่พระอนาคามี หงุดหงิดบางที แต่หงุดหงิดแล้วก็พยายามดูของตัวเอง ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่พวกเราจะเรียนรู้จากเขา

ความดีทำเข้าไว้เถอะ เล็กน้อยแค่ไหนก็ทำเอาไว้ให้มันเคยชิน ความชั่วเล็กน้อยก็อย่าทำ เดี๋ยวมันเคย ทำชั่วมันเคยง่าย อย่างความชั่วเบื้องต้น พูดชั่วพูดเท็จผิดศีลมุสาวาท เป็นความชั่วที่พวกเราไม่ค่อยเห็นโทษเท่าไหร่ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย แต่พอเราทำชั่วเล็กๆ ได้ ต่อไปมันก็ทำชั่วใหญ่ๆ ได้ ฉะนั้นความชั่วเล็กน้อยก็อย่าพยายามไปทำมัน หลีกเลี่ยงซะ โกรธเขาจะด่าเขาจะตีเขาอะไรอย่างนี้ ดูจิตดูใจตัวเอง จะได้ไม่ฟุ้งไปกับกิเลส

พวกเราทุกคนวันหนึ่งเราต้องเจอจุดสุดท้ายอันนี้เหมือนกัน แต่ใครจะเจอได้อย่างเข้มแข็งองอาจกล้าหาญ หรือใครจะเจอแบบหวาดกลัว ถ้าเราภาวนาของเราจนดีแล้วใจมันกล้าหาญ เรามีทาน เรามีศีล เราได้ฟังธรรมะเป็นประจำ เราได้เจริญสมาธิ เราได้เจริญปัญญา ใจเรามีความกล้าหาญ กระทั่งความตายมารออยู่ต่อหน้า ใจมันก็กล้าหาญ มันดูร่างกายมันป่วย ใจมันเป็นคนดู ร่างกายมันเจ็บ จิตใจมันเป็นคนดู กระทั่งร่างกายมันจะตาย ตอนที่มันจะตายเราหายใจแขม่วๆ หรือหายใจจะไม่ออกแล้ว เราดูร่างกายมันหายใจไป ถ้าจิตกังวล ดูจิตกังวล รู้ทัน ไม่ต้องแก้ รู้เฉยๆ จิตมันจะไม่กังวล เราก็ดูร่างกายหายใจไป จนลมหายใจมันสิ้นสุดลง

พยายามฝึกทุกวันๆ ตอนเราจะนอนเราฝึกเลย ฝึกหายใจไป หายใจออกหายใจเข้า หายใจเข้าพุทโธๆ อะไรก็ได้ หรือหายใจเข้าหายใจออกก็ได้ พุทโธๆ ไปเรื่อยๆ ดูสิมันจะไปหลับตอนไหน มันเหมือนเตรียมตัวไว้ เวลาเราจะตาย เราก็นอนหายใจไป ดูสิมันจะตายตอนไหน ถ้าสติปัญญามันพอมันจะเห็น ไม่มีคนตาย มีแต่ธาตุขันธ์มันแตกมันดับ แต่ธาตุขันธ์มันเกิดแล้วมันก็ต้องดับ ใจไม่หวั่นไหว

เวลาเรานอนหลับเราเตรียมฝึก หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นอนไป ใจมันสงบ ใจมันมีความสุข ใจมันผ่อนคลาย อย่าภาวนาแบบเคร่งเครียด ถ้าเครียดๆ ภาวนาเครียด หายใจเข้าพุทออกโธแบบเคร่งเครียด มันจะไม่หลับ ใจมันไม่ผ่อนคลาย หายใจไปด้วยใจที่สบายๆ ให้ใจมีความสุขใจก็จะหลับ หลับแล้วถ้าฝันมันจะฝันดี มันจะไม่ได้ฝันร้าย ฝึกตัวนี้ไว้บ่อยๆ จนกระทั่งฝันก็ฝันดี ไม่ฝันร้าย

ตอนที่เราจะตาย มันจะเกิดนิมิตขึ้น มันจะมีนิมิต เห็นกรรมที่เคยทำมา อย่างแหววนี่ทำกรรมดีเยอะ อาจจะเห็นกรรมที่ทำก็คือ เห็นว่ามาทำบุญที่วัดตอนเช้าๆ อาจจะฝันอย่างนี้ก็ได้ หรือฝันถึงอุปกรณ์ในการทำบุญของเขา ฝันถึงเขาทำน้ำปานะหิ้วมา ฝันอย่างนี้ก็มีอีกแบบหนึ่ง ก็ไปสุคติได้ ฝันเห็นเครื่องมือในการทำน้ำปานะของเขา น้ำหวานของเขา เห็นแล้วจิตใจแช่มชื่นเพราะว่าได้ทำบุญ ความฝันมันจะเกิด นิมิตมันจะมี 3 แบบ บางทีก็นิมิตถึงที่ที่จะไปว่าจะไปเกิดที่ไหนจะเห็นล่วงหน้า นิมิตตรงนี้มันเกิดขึ้นโดยที่เราเลือกไม่ได้หรอก มันก็เหมือนที่เราฝัน เราเลือกไม่ได้ว่าจะฝันเรื่องอะไร

ทีนี้ถ้าเราหายใจเข้าพุทออกโธจนเคยชิน เราหลับไปเราไม่ฝันร้าย แล้วเราทำอย่างนี้แหละตอนที่เราจะตาย เราหายใจเข้าพุทออกโธของเราไปเรื่อยๆ มันจะไม่มีนิมิตร้าย ถ้ามีนิมิตก็เป็นนิมิตดีๆ เห็นเทวดาเห็นอะไรต่ออะไรที่ดีๆ เห็นการทำบุญทำทานอะไรของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย ถ้าพวกเราภาวนาให้มากพอ เราจะรู้เราจะเห็นได้ ความตาย คนที่มันตาย ถ้าเราภาวนาเข้าจริงๆ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็นหรอก แต่บางคนก็จะรู้จะเห็นว่า เห็นผี เห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก เห็นเปรตอะไรอย่างนี้ ถ้าเราได้เคยเห็น เราจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันมีจริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้หลอกเรา บางคนคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนรกเรื่องสวรรค์เพื่อขู่ให้เรากลัว คิดว่าเป็นคำขู่ พระพุทธเจ้าไม่เคยขู่ใคร สิ่งที่ท่านพูดเป็นสัจจะเป็นความจริงทั้งนั้น

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ประโยชน์เราในปัจจุบัน
อย่างเราภาวนาเราจะมีความสุขอยู่ในปัจจุบัน
ให้ประโยชน์ในอนาคต อย่างตายไปเราจะไปสู่ที่ๆ ดี
ให้ประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้เราเข้าถึงมรรคผลนิพาน

 

ทีนี้ใครจะเชื่อหรือใครจะไม่เชื่อ อันนี้ห้ามไม่ได้ แล้วแต่ ฟังแล้วไม่เชื่อก็ช่วยไม่ได้ เดี๋ยววันหนึ่งก็เชื่อเอง ตอนตายแล้วก็จะรู้หรอกว่าจริงหรือไม่จริง ตอนยังไม่ตายก็ยโสโอหัง ไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราภาวนาเราเห็นผีเห็นอะไรอย่างนี้ เราจะรู้เลยความตายไม่ได้สูญ ร่างกายนี้แตกดับไป จิตดวงสุดท้ายดับไป ก็เกิดจิตดวงใหม่ขึ้นทันทีเลยในภพใหม่ เกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉานอะไรนี่ หรือเป็นคน หรือเป็นเทวดา หรือเป็นพรหม ก็แล้วแต่จะเกิด เฝ้ารู้เฝ้าดู ภาวนาของเราไป ถ้าเรายังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องตะเกียกตะกายเห็น อยากเห็น บางคนไม่เห็นเลย เวลาเห็นไม่ได้อยาก เวลาอยากจะไม่เห็น เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนาของเราไปเรื่อยๆ สมควรจะรู้จะเห็นได้มันก็รู้เห็นได้ อย่างบางที่เขาภาวนากัน เขาจะฝึกให้ไปดูนรกดูสวรรค์ได้ อันนั้นมันมีข้อดีเหมือนกัน ทำให้กลัวบาป ไม่กล้าทำชั่ว อยากจะทำความดี คนส่วนใหญ่ได้แค่นั้นก็ดีถมไปแล้ว

นี่พวกเราไม่ได้หวังแค่นั้น เราก็หวังให้สูงกว่านั้น ไหนๆ จะหวังทั้งทีแล้ว เจอศาสนาพุทธทั้งทีแล้ว จะหวังแค่ไปสวรรค์มันไม่มีคุณค่าเท่าไหร่หรอก ถึงไม่มีพระพุทธเจ้าคนก็ไปสวรรค์กันอยู่แล้ว ไปได้อยู่แล้ว ไปนรกได้อยู่แล้ว ไปสวรรค์ได้อยู่แล้ว ไปเป็นพรหมได้อยู่แล้ว แต่ไปนิพพานไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเราเจอศาสนาพุทธเจอพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว เราก็พยายามพัฒนาตนเองไป มีทาน มีศีล ฝึกสมาธิ ฝึกจิตฝึกใจเรานี่ล่ะ หายใจเข้าพุท ออกโธ อะไรก็ทำไปเถอะ ไม่ชอบอันนี้จะใช้อย่างอื่นก็ได้ จะนะมะพะธะ สัมมาอะระหัง อะไรอย่างนี้ อะไรก็ได้ กรรมฐานน่ะทำไปเถอะ แล้วก็รู้ทันจิตใจของตัวเองไว้ให้ได้เท่านั้นล่ะ ก่อนนอนอย่างที่หลวงพ่อบอก นอนหายใจไปเรื่อยๆ มันก็ได้ฝึกกรรมฐาน ได้สมาธิ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำทาน ถือศีล ภาวนา ก็เรียกว่าเราทำหน้าที่ของฆราวาสได้ดีแล้ว หน้าที่ฆราวาสก็มีทาน มีศีล มีภาวนา

ถ้าหน้าที่ของนักบวช ก็มีเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา มันขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แหววเขาก็ทำของเขาใช่ไหม ทาน ศีล ภาวนา เขาก็ทำของเขาตามกำลังที่จะทำได้ ความตายแบบนี้เรียกว่าความตายแบบที่ไม่น่าจะขาดทุน เขาก็ได้ทำของเขาไว้แล้ว พวกเราก็ต้องทำของเรา จะรอให้คนอื่นมาทำบุญให้ ไม่ปลอดภัยเลย บางคนไม่ทำ กะว่าลูกหลานจะทำให้ ลูกหลานไม่เชื่อ ลูกหลานคิดว่าตายแล้วสูญ คราวนี้ล่ะแย่เลย ตัวเองก็ไม่ได้ทำ ลูกหลานก็ไม่ทำให้ ฉะนั้นเราทำความดีของเราด้วยตัวของเราเอง พึ่งตัวเองให้ได้ดีที่สุด

ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ประโยชน์เราในปัจจุบัน อย่างเราภาวนาเราจะมีความสุขอยู่ในปัจจุบัน ให้ประโยชน์ในอนาคต อย่างตายไปเราจะไปสู่ที่ๆ ดี ให้ประโยชน์อย่างยิ่ง คือให้เราเข้าถึงมรรคผลนิพาน ฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีประโยชน์ทุกระดับเลย ระดับตื้นๆ เลย เราจะสามารถอยู่เป็นสุขในปัจจุบันได้ มีความสุขในก้าวต่อไปข้างหน้า ในที่สุดก็มีความสุขจากการบรรลุมรรคผลนิพาน

พยายามฝึกตัวเองทุกวันทุกวันไป ความชั่วอะไรที่เคยทำก็เลิกเสียเถอะ ความดีอันไหนเคยทำแล้วก็ทำต่อไป ความดีอันไหนยังไม่เคยทำก็ทำเสีย อย่างพวกเราบางทีก็แค่ทำทาน ถือศีลอะไรอย่างนี้ แต่ยังไม่เคยภาวนา เราก็ภาวนาเสีย ภาวนาก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฝึกจิตฝึกใจให้มันอยู่กับเนื้อกับตัว หายใจเข้าพุทหายใจออกโธไป สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง หายใจไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งมันก็สงบของมันเอง ใจมันสงบแล้ว มันก็จะเกิดปัญญารู้ผิดชอบชั่วดีขึ้นมา ใจฟุ้งซ่านมันก็ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอะไรทั้งสิ้น

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
8 กุมภาพันธ์ 2564