วันอาสาฬหบูชา เราก็เรียนกันมาเยอะแล้ว รู้เป็นวันสำคัญอย่างไร สรุปย่อๆ ก็คือพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องทางสายกลาง ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ตัวทางสายกลางนั้นคืออริยมรรคมีองค์ 8 ประการ ถ้ารู้ทางก็หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าใจเส้นทางแล้ว พระโกณฑัญญะเข้าใจ
เมื่อเราเดินอยู่ในทางสายกลาง เจริญสติเรื่อยๆ ไป รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่รู้เฉยๆ รู้แล้วก็หมายรู้ คือมองกายในมุมของความเป็นไตรลักษณ์ มองจิตใจในมุมของความเป็นไตรลักษณ์ ไม่ใช่ดูกายเฉยๆ ดูใจอยู่เฉยๆ ถ้าเราดูกายอยู่เฉยๆ ก็เป็นสมถกรรมฐาน ดูใจอยู่เฉยๆ ก็เป็นสมถกรรมฐาน ฉะนั้นอารมณ์รูปนามกายใจใช้ทำวิปัสสนาก็ได้ ใช้ทำสมถะก็ได้ อย่างบางคนกำหนดลมหายใจ หายใจออก หายใจเข้า จ้องอยู่ที่ลมไป ใจไม่หนีไปที่อื่น ใจก็มีความสุข มีความสงบ ก็ได้สมาธิ ได้สมถะ
หรือดูจิตนั้นก็ไปจ้องจิต เพ่งอยู่ที่ มองลงไปทีแรกมันว่างๆ ก็ไปเพ่งในความว่างก็เป็นสมถะ ชื่ออากาสานัญจายตนะ ก็เห็นช่องว่างความว่างมันถูกรู้ จิตมันเป็นผู้รู้ผู้ดู ก็วางการเพ่งความว่าง หันมาจ้องอยู่ที่จิตผู้รู้ มาเพ่งจิตผู้รู้นั้นมันก็เป็นสมถกรรมฐาน ชื่อว่าวิญญาณัญจายตนะ ภาวนาต่อไปอีกก็เห็นว่าอารมณ์คือช่องว่าง จิตผู้รู้เป็นผู้ไปรู้อารมณ์ ทั้งคู่ ทั้งอารมณ์ ทั้งจิต ถ้ายังต้องคอยสังเกตคอยหมายรู้อยู่ มันเป็นภาระ จิตก็ไม่เอาทั้งอารมณ์ ไม่เอาทั้งจิต ก็เป็นสมถะอีกแบบหนึ่งชื่อ อากิญจัญญายตนะ
ตราบใดที่ไม่เห็นไตรลักษณ์ ถึงจะดูกายหรือดูจิตก็ตาม มันก็จะเป็นสมถกรรมฐานทั้งหมด สมถกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่ไม่เลือกอารมณ์ ใช้รูปธรรมเป็นอารมณ์ก็ได้ อย่างเราจุดเทียนขึ้นมาแล้วจ้องอยู่ที่ไฟ ใช้ไฟเป็นอารมณ์เป็นกสิณไฟ หรือเอาน้ำใส่กะละมังมาตั้งข้างหน้าเราแล้วก็ดูอยู่ที่น้ำ ก็เป็นกสิณน้ำ ไม่เห็นไตรลักษณ์ก็เป็นสมถะทั้งหมด รู้ลมหายใจ เพ่งลมหายใจ ก็เป็นสมถะ ฉะนั้นสมถะโอกาสที่เราจะทำสูงกว่าวิปัสสนามากเลย บางคนคิดว่าดูกายดูใจจะเป็นวิปัสสนา ไม่เป็นหรอก เกือบร้อยละร้อยของคนที่ดูกายดูใจทำแต่สมถะ มีกายก็เพ่งกาย มีใจก็เพ่งใจ
อารมณ์ที่ใช้ทำสมถะนั้นยังมีอีก 2 อย่าง นอกจากอารมณ์รูปนาม อารมณ์บัญญัติ เรื่องราวที่เราคิด อย่างเราคิดพิจารณาร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ ไม่สวยไม่งาม เราคิดๆ เอา หรือกำหนดจิตลงไปดูลงในร่างกาย แล้วพิจารณาเป็นซากศพ ถ้าตาย 1 ชั่วโมงเป็นอย่างนี้ ตาย 6 ชั่วโมงเป็นอย่างนี้ เริ่มตัวแข็งแล้ว 6 ชั่วโมง ตาย 12 ชั่วโมงเริ่มเน่าตัวเริ่มนิ่มลง พิจารณาไปเรื่อยเห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง จิตก็สงบ ราคะเข้ามาแทรกแซงจิตไม่ได้ จิตสงบ สบาย เงียบ การใช้การคิดพิจารณาก็เป็นสมถะ ถึงจะพิจารณาร่างกายก็เป็นสมถะ
ฉะนั้นสมถะมันกว้างขวาง ใช้อารมณ์บัญญัติคือเรื่องราวที่คิดก็ได้ ใช้อารมณ์รูปธรรมก็ได้ อารมณ์นามธรรมก็ได้ อารมณ์มี 4 ชนิด อารมณ์บัญญัติ รูปธรรม นามธรรม และก็นิพพาน อารมณ์นิพพานพวกเราไม่ต้องพูดถึงเพราะเราไม่เห็น เราเอามาทำสมถะไม่ได้ ก็จะมี 3 อันที่เราจะทำสมถะได้ อารมณ์นิพพานนั้นต้องพระอริยบุคคล ท่านใช้อารมณ์นิพพานทำสมถะได้ ปุถุชนทำไม่ได้ ฉะนั้นเวลาเราภาวนา เรามาเห็นจิตบางคนบอกว่า ถ้าเห็นจิตเป็นวิปัสสนา เห็นกายเป็นสมถะ อันนี้เข้าใจผิด
หมายรู้ไตรลักษณ์
ถ้าเราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกายนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้าเราเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตถึงจะเป็นวิปัสสนา ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ไม่ใช่วิปัสสนา อย่างเห็นร่างกายเป็นปฏิกูลอสุภะ ไม่ใช่วิปัสสนาเป็นสมถะ เพราะอะไร ไตรลักษณ์นี้เป็นของจริง เป็นของจริงแท้แน่นอน สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สภาวะทั้งหลายเป็นอนัตตา มันแน่นอนไม่กลับกลอก ส่วนปฏิกูลอสุภะนั้นเป็นเรื่องคิดๆ เอา อย่างเราบอกว่าขี้หมาสกปรกเป็นอสุภะ แมลงวันบอก แหม หอมชื่นใจ ฉะนั้นมันไม่ใช่ของจริง มันไม่ใช่ความจริง
ถ้าเราดูร่างกาย แล้วก็เห็นความน่ารังเกียจ แล้วเราก็เข้าฌานถอดจิตไปดูในพรหมโลก หรือในเทวโลก กายของเทพของพรหม มันไม่มีอสุภะให้ดู ดูสวยดูงามไปหมด เพราะฉะนั้นมันเป็นอสุภะเฉพาะกายบางอย่าง กายบางอย่างไม่เป็น ไม่เหมือนไตรลักษณ์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง จะเป็นสังขารที่หยาบที่ละเอียด สังขารของสัตว์นรก ของเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน สังขารมนุษย์ สังขารเทวดา สังขารของพรหม ไม่เที่ยงเหมือนกันทั้งนั้น มันเป็นหลักตายตัว ปฏิกูลอสุภะไม่ใช่ของตายตัว อยู่ที่จิตกำหนดเอา ถ้าจิตสำคัญมั่นหมายว่ามันสกปรก มันก็สกปรก สำคัญมั่นหมายว่ามันสวยงาม มันก็สวยงาม
ฉะนั้นในตำรามี ในพระไตรปิฎกบอก พระอริยบุคคลทุกองค์ มีฤทธิ์อยู่ชนิดหนึ่ง คือสามารถเห็นของที่เป็นอสุภะว่าเป็นสุภะได้ ของสกปรกดูให้มันไม่สกปรกก็ได้ ของที่มันสวยงามไม่สกปรกดูให้สกปรกก็ได้ ฉะนั้นมันไม่ใช่ของที่แน่นอน เวลาเราจะเจริญวิปัสสนาจริงๆ ต้องเห็นไตรลักษณ์ กายมนุษย์หรือกายเปรต หรือกายเทวดา กายพรหม ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ทนอยู่ไม่ได้เหมือนกัน แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับควบคุมเหมือนๆ กัน นี่เป็นความจริงทั่วๆ ไปถึงเรียกว่าสามัญญลักษณะ สามัญญลักษณะคือลักษณะร่วม ลักษณะทั่วๆ ไปของสังขารทั้งหลาย สังขารก็คือ สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาทั้งหลาย
พอเราภาวนาแล้วค่อยๆ สังเกตไป เรารู้ลงในร่างกาย อย่าดูกายอยู่เฉยๆ ให้หัดมองกายในมุมของไตรลักษณ์ หรือเวลาดูจิตอย่าไปเพ่งจิตอยู่เฉยๆ ให้หัดดูจิตในมุมของความเป็นไตรลักษณ์ไว้ การที่เราหมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ เรียกเรามีสัญญาที่ถูกต้อง วิปัสสนาจะทำไม่ได้ถ้าไม่มีสัญญาที่ถูกต้อง อย่างบางคนบอกว่า ถ้ามีสัญญาจะไม่ใช่ สัญญากับปัญญาเป็นสิ่งตรงข้ามกัน อันนั้นไม่ใช่ อันนั้นเป็นพูดๆ เอาเอง ฉะนั้นอย่างเราดูกาย เราต้องหมายรู้กายในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วปัญญาถึงจะเกิด ถ้าเราไปหมายรู้กายเป็นของสวยของงามอะไรอย่างนี้ ราคะมันก็เกิด
ฉะนั้นเราต้องหัดหมายรู้ หัดหมายรู้จะดูกาย ก็หัดหมายรู้กายว่าเป็นไตรลักษณ์ จะหัดดูจิตก็หมายรู้จิตว่าเป็นไตรลักษณ์ วิธีหัดหมายรู้ทำอย่างไร จิตใจเราไม่คุ้นเคยกับการหมายรู้ไตรลักษณ์ จิตใจของเราตั้งแต่เกิดมา เราถูกสอนให้หมายรู้ผิด มันหมายรู้ผิดเรียกสัญญาวิปลาส หมายรู้ผิดมี 4 อย่าง หมายรู้ของมันไม่สวยไม่งาม หมายรู้ว่าสวยว่างาม อย่างพวกผู้หญิงชอบหมายรู้ ว่าเรานี้สวยงามเหลือเกิน วิธีสวยก็คือถ้าหนังมันหย่อนมันยานก็ไปดึงให้ตึง แล้วก็บอกว่าสวยแล้ว ที่จริงข้างในไม่สวยอะไร หรือแต่งหน้า ทาปาก เขียนคิ้ว ย้อมผม บอกสวยๆ แต่ข้างในก็เป็นเหมือนโรงงานอันหนึ่ง ร่างกายนี้เหมือนโรงงานอันหนึ่ง เอาวัตถุดิบป้อนเข้าไป ผลผลิตออกมาคืออุจจาระปัสสาวะนั่นล่ะ พอเข้าไปในกระบวนการ เข้าในร่างกายนี้ออกมา ไม่ดีไม่วิเศษแล้ว นี้สำหรับพวกที่หลงในรูปมากๆ ก็หัดดูกายให้เห็นมันเป็นอสุภะเป็นปฏิกูลบ้าง ถึงยังไม่ขึ้นวิปัสสนา แต่มันทำให้ใจหายฟุ้งซ่าน หมายรู้อสุภะยังไม่ได้เป็นวิปัสสนา
หมายรู้อย่างที่สอง คือหมายรู้ความไม่เที่ยง หมายรู้อันที่สาม หมายรู้การทนอยู่ไม่ได้ มันถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา หมายรู้อันที่สี่คือ หมายรู้ความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทำอย่างไรมันจะหมายรู้ได้ ถ้าจิตนี้ไม่เคยหมายรู้ถูก เคยแต่หมายรู้ผิด อย่างพอมองร่างกายเรา ก็หมายรู้ว่านี้คือตัวเราทุกทีเลย มันหมายรู้ผิดมาตั้งแต่เด็ก เด็กเล็กๆ พอเกิดมา ผู้ใหญ่ก็ไปล้อมจ๊ะเอ๋ๆ ชวนเด็กคุย สอนเด็กนี่พ่อ นี่แม่ นี่ปู่ ย่า ตา ยาย สอน ไม่มีใครไปสอนเด็กว่า เห็นไหมโลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีใครไปสอนเด็ก สอน สอนย้ำในความมีตัวมีตนตลอดเวลา ตัวตนของพ่อของแม่ โตขึ้นมาหน่อยก็มีตัวตนของตัวเอง มีเราอย่างโน้นเราอย่างนี้ ตั้งแต่เด็กๆ ลองคิดดู วันหนึ่งๆ เราคิดถึงคำว่าเราๆ กี่ครั้ง บางคนไม่คิดคำว่าเรา กูอย่างโน้นกูอย่างนี้ มันย้ำมันเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ มันหมายรู้ผิดอย่างนี้มาตลอด แล้วจะต้องมาหัดใหม่ หมายรู้ให้ถูก ทีแรกมันก็ยากเหมือนกัน
วิธีฝึกให้หมายรู้ถูก
เพราะฉะนั้นวิธีฝึกที่ให้หมายรู้ถูก ขั้นแรกทำใจให้สบายก่อน ทำสมถะ ไหว้พระ สวดมนต์ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ให้ใจมันสบายๆ ก่อน อย่าเครียด พอจิตใจมันสบายแล้ว คิดพิจารณาลงไปในร่างกายนี้ ร่างกายของเรานี้ไม่เที่ยง เมื่อก่อนเราเป็นเด็ก ตอนนี้โตขึ้นมาเป็นคนกลางคนแล้ว หรือว่าแก่แล้ว หรือพิจารณาไปมันทนอยู่ไม่ได้จริง ความเป็นเด็กมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ความเป็นวัยรุ่นมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ความเป็นหนุ่มสาวมันก็ทนอยู่ไม่ได้ ความแก่มันก็ทนอยู่ไม่ได้ ค่อยๆ สอนมันไป หรือบางทีการสอนนั้นก็สอนแบบมีตัวอย่างให้ดู เห็นไหมคนรอบๆ ตัวเรา คนที่เรารู้จัก คนนั้นแก่ คนนี้เจ็บ คนนี้ตาย สอนมันไปเรื่อยๆ ตรงนี้ยังไม่เป็นวิปัสสนา ยังเจือการคิดพิจารณาอยู่
แต่การคิดพิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูลอสุภะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มันเป็นการกระตุ้นให้จิตหัดหมายรู้ให้ถูก อย่างเราพิจารณาร่างกายเรื่อยๆ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต่อไปเราไม่ได้เจตนาจะมองอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตมันมองได้เอง ตรงนั้นจิตมันหมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ได้เองแล้ว ถ้ามันหมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ได้เอง มันจะขึ้นวิปัสสนาได้ วิปัสสนาจะไม่ใช่คิดเอา แต่วิปัสสนานั้นจะต้องเห็นเอา เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของกาย เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของจิตใจ อย่างนี้เป็นอุบาย เป็นวิธีกระตุ้นให้จิตเห็นไตรลักษณ์ของร่างกาย
เราจะมาดู หัดกระตุ้นให้จิตเห็นไตรลักษณ์ของจิตจะทำอย่างไร เราลองพิจารณาลงไป จิตเราแต่ละวันไม่เคยเหมือนกันเลย วันนี้สุข วันนี้ทุกข์ วันนี้ดี วันนี้โลภ วันนี้โกรธ วันนี้หลง บางวันโมโหทั้งวัน เบื้องต้นก็มองเป็นวันๆ ไป ต่อมาเราก็ละเอียดขึ้นไปอีก ในหนึ่งวันตอนเช้าจิตใจเราก็เป็นแบบหนึ่ง ตอนสายจิตใจเราก็เป็นแบบหนึ่ง ตอนกลางวัน ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนดึก จิตใจเราไม่เหมือนกัน จิตใจจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เฝ้ารู้เฝ้าดูเรื่อยๆ อย่างคนส่วนใหญ่เช้าๆ โมหะเยอะ ตอนเช้าตื่นมาซึมๆ งัวเงียๆ อยู่ โมหะมันครอบเอา แล้วตื่นออกมาแข็งใจออกมา ทำกิจกรรมประจำวันต่างๆ มาทำมาหากิน ทำงาน กระทบกระทั่งอารมณ์ โทสะมักจะเกิดเยอะเลยช่วงกลางวัน พอตอนเย็นสบายใจแล้ว งานการเสร็จไม่มีธุระอะไรสบายใจ ราคะมักจะเอาไปกิน
เราหัดสังเกต แต่บางคนก็อาจจะไม่เรียงลำดับอย่างนี้ ไม่ใช่โมหะ ราคะ โทสะเหมือนกันทุกคนหรอก เราไปดูของจริงของเราเอง เราจะพบว่าในหนึ่งวันแต่ละช่วงเวลา จิตใจเราก็ไม่เหมือนกัน ไม่เที่ยง พอเราดูได้อย่างนี้แล้ว ต่อไปเราก็ดูละเอียดเข้าไปอีก เราจะพบว่าจิตใจของเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อตาเห็นรูปจิตเราก็เปลี่ยน เห็นรูปบางอย่างมีความสุข เห็นรูปบางอย่างมีความทุกข์ เห็นรูปบางอย่างจิตเป็นกุศล เห็นรูปบางอย่างจิตโลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่าน หดหู่ ได้ยินเสียงบางอย่างจิตก็มีความสุข ได้ยินเสียงบางอย่างจิตก็มีความทุกข์ ได้ยินเสียงบางอย่างจิตก็เป็นกุศล ได้ยินเสียงบางอย่างจิตโลภ โกรธ หลง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ เราก็จะเห็นว่าจิตเราเปลี่ยน ทุกครั้งที่มีการกระทบอารมณ์ ใจเราคิด พอใจเราคิดบางทีก็มีความสุข ใจเราคิดบางทีก็มีความทุกข์ เราก็เห็นใจนี้เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ คิดเรื่องนี้สุข คิดเรื่องนี้ทุกข์ คิดเรื่องนี้เป็นกุศล คิดเรื่องนี้โลภ คิดเรื่องนี้โกรธ คิดเรื่องนี้หลง ใจไม่แน่นอน
หัดดูไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่าเมื่อมีการกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตใจเราเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ หัดรู้หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ทีแรกก็ดูเป็นวันๆ แต่ละวันไม่เหมือนกัน ต่อมาละเอียดขึ้นในวันเดียวกัน เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ ดึก ไม่เหมือนกัน พอละเอียดขึ้นมาถึงที่สุดเลย ก็จะเห็นทุกคราวที่มีผัสสะ มีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตใจเราก็ไม่เหมือนกัน เปลี่ยนตลอด ถ้าเห็นอย่างนี้เราจะดูจิตได้ละเอียดยิบเลย จะเห็นจิตมันทำงาน เดี๋ยวปรุงดี เดี๋ยวปรุงชั่ว เดี๋ยวปรุงสุข เดี๋ยวปรุงทุกข์ สารพัดจะปรุง แล้วต่อไปเราไม่ได้เจตนาจะเห็น จิตมันเคยเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของจิต เราไม่ได้เจตนาจะเห็น มันเห็นเอง
หลวงพ่อเรียนอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ 3 เดือนแรกที่ไปเรียนกับท่าน ทำผิด ไปเพ่งเอาตัวผู้รู้อยู่เฉยๆ คิดว่านี่ถูกต้อง ท่านบอกอย่างนั้นยังไม่ถูก เพ่งตัวรู้มันคือสมถะ ก็ทำผิดมาก่อน หลวงพ่อไม่ใช่คนเก่งอะไร โง่แต่อึด ทดลองทำแล้วทำอีกไม่เลิกหรอก ขยันภาวนา ผิดอยู่ 3 เดือนหลวงปู่ท่านแก้ให้ ท่านบอกให้ไปดู ไม่ได้ให้ไปทำอะไร ไม่ให้ไปแทรกแซงอาการของจิต แล้วก็เลยดูจริงๆ ก็เห็นจิตแต่ละวันไม่เหมือนกัน จิตแต่ละเวลาไม่เหมือนกัน จิตแต่ละขณะไม่เหมือนกัน ดูซ้ำๆๆๆ จนกระทั่งมันดูได้อัตโนมัติ วันหนึ่งใจมันกังวล ฝนตกแบบนี้เปียกฝนทั้งตัวเลย ใจมันกังวล เฮ้อ เปียกฝนอย่างนี้เดี๋ยวต้องเป็นหวัด พอใจมันกังวล สติมันระลึกรู้ใจที่กังวล ไม่ได้เจตนาจะเห็น แล้วเห็นความกังวลดับวับไปต่อหน้าต่อตา อย่างนี้จิตมันเดินวิปัสสนาแล้ว มันเดินได้แล้ว เราไม่ได้เจตนาจะเห็นไตรลักษณ์ แต่มันเห็นเอง ที่มันเห็นเองเพราะมันเคยหัดเห็น หัดหมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ของจิต
อย่างบางคนแปรงฟันอยู่ แปรงฟัน อยู่ๆ รู้สึกปุ๊บมานี่ไม่ใช่คนแล้ว ไม่ใช่แขนเราแล้ว มันเป็นอะไรท่อนๆ หนึ่ง ที่จริงก็คือเป็นรูปที่เรามองเห็นนั่นเอง รูปไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา อันนี้จิตมันเกิดปัญญาขึ้นมา เพราะเราเกิดไปหมายรู้ไตรลักษณ์โดยไม่ได้เจตนา หมายรู้เอง อย่างนี้ดี แต่ก่อนที่มันจะหมายรู้โดยไม่เจตนาได้ ก็ต้องเจตนาไปก่อน หัดไปก่อน ดูกายก็พยายามพิจารณาลงไปเรื่อยๆ ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดูจิตก็ดูมันไป จิตมันเปลี่ยนแปลงตลอดไม่เคยเหมือนกันสักวัน ไม่เคยเหมือนกันสักเวลา ไม่เคยเหมือนกันสักขณะ มีหลายดีกรี ทีแรกดูเป็นวันๆ ดูเป็นเวลา เวลาเช้า เวลาสาย ต่อไปเป็นขณะ ขณะที่มองเห็นจิตเปลี่ยน ขณะที่หูได้ยินเสียงจิตก็เปลี่ยน ขณะที่จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด จิตก็เปลี่ยน หัดดู ดูจนมันเห็นโดยไม่ได้เจตนาจะเห็น ตรงนั้นล่ะถึงจะได้ดี ถึงจะใช้ได้
วิปัสสนาจริงๆ ไม่ได้ทำได้ตลอดเวลา ถึงเราดูกายหรือเราดูจิต มันก็ไม่ได้เป็นวิปัสสนา คือเราไม่ได้หมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์ได้ตลอดเวลาหรอก อย่างเราดูกายบางทีก็เห็นกายอยู่เฉยๆ เห็นกายไม่เห็นไตรลักษณ์ อย่างนี้เป็นสมถะ ดูกายอยู่แล้วเห็นกายเป็นไตรลักษณ์โดยไม่เจตนา ตรงนั้นขึ้นวิปัสสนา ดูจิตก็เหมือนกัน ไปดูจิตไปเพ่งความว่าง เพ่งจิตผู้รู้ เพ่งความไม่มีอะไรเลย เคลิ้มๆ ลงไป ไม่เห็นไตรลักษณ์ไม่ใช่วิปัสสนา ดูจิตก็เป็นสมถะ ฉะนั้นดูจิตเป็นวิปัสสนาก็เห็นจิตเกิดดับ เปลี่ยนแปลง จิตสุขเกิดแล้วดับ จิตทุกข์เกิดแล้วดับ จิตที่เป็นกุศลเกิดแล้วดับ จิตที่เป็นอกุศลเกิดแล้วดับ เฝ้ารู้ความเปลี่ยนแปลงของมันไป
ถ้าเราทำได้ เวลาเราเจริญวิปัสสนาเราเห็นจิตเกิดดับๆๆ สักช่วงหนึ่ง จิตหมดกำลังที่จะเดินวิปัสสนา จิตมันจะพลิกเข้ามาทำสมถะของมันเอง อย่างเราเห็นโทสะผุดขึ้นมา โทสะดับไปปุ๊บ จิตมันหมดกำลังแล้ว มันก็จะไปจับความว่างๆ ไว้แทน ว่างๆ ไม่มีอะไร ตรงนั้นจิตพลิกไปเป็นสมถะแล้ว แล้วในขณะที่เราเดินวิปัสสนา แล้วกำลังของเราไม่พอ จิตไม่ตั้งมั่นพอ จิตมันจะหลงออกไป ไปหลง อย่างหลงไปในแสง คราวนี้เห็นโน้นเห็นนี้ขึ้นมาแล้ว คิดว่าเราบรรลุมรรคผลแล้ว คิดว่าเราได้หูทิพย์ ตาทิพย์ เห็นผี เห็นเปรต เห็นเทวดา เห็นสัตว์นรก ที่จริงจิตมันหลอนขึ้นมาก็ได้
“ภาวนาแล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้น
ใจเราเป็นอย่างไรตัวนี้สำคัญที่สุด”
นิมิตทั้งหลายมีตั้ง 6 แบบ นิมิตที่เป็นรูป เรามองเห็นก็มี นิมิตที่เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัส หรือนิมิตที่เป็นความรู้สึกทางใจก็มี นิมิตมีตั้งเยอะตั้งแยะ นิมิตมี 2 อย่างอีก 2 ค่าย นิมิตจริงกับนิมิตปลอม นิมิตปลอมคือสิ่งที่จิตเราหลอนขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่ที่ไปเห็นโน้นนี้คือนิมิตปลอม ที่รู้ได้อย่างจริงจัง นิมิตอย่างจริงจังอะไรนั่น ส่วนใหญ่ต้องทรงฌานถึงจะเห็นจริง อย่างเราเที่ยวนั่งเคลิ้มๆ ไปแล้วเราบอก เราเคยเกิดเป็นพระอินทร์ สมมติอย่างนี้ นี่จิตมันหลอนเอา เกิดเป็นโน้นเป็นนี้ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ลองไปดูประวัติครูบาอาจารย์ หลายองค์เลยท่านเล่าไว้ประวัติท่าน ท่านเคยเกิดเป็นหมา มีตั้งหลายองค์ ไม่เห็นท่านบอกเลยท่านเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นหมา เป็นแมว
มีอยู่องค์หนึ่งหลวงพ่อเคยเรียนกับท่าน คือหลวงพ่อกิม ท่านบอกท่านเห็นทุกข์เพราะท่านเคยเกิดเป็นวัว ท่านว่าอย่างนี้ เป็นวัวแล้วมันเห็นทุกข์อย่างไร ท่านเป็นวัว เจ้าของพาไปตอกหลักผูกไว้ใต้ต้นไม้ริมทุ่งนา เขากะว่าเขาจะไปธุระประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่ามันไปแล้วมันติดลม มีธุระอื่นๆ ต่อๆๆ ไปทั้งวันเลย วัวนี้ไม่มีหญ้ากิน ไม่มีน้ำกิน ทีแรกก็อยู่ในร่ม พอแดดมันเปลี่ยนมุม ตากแดดอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรกิน น้ำก็ไม่มี ก็กระหายอย่างแรง นี้ท่านเล่าบอกท่านกระหายน้ำอย่างแรงเลย ทรมานมาก พอเห็นคนเดินมาก็ดีใจกระโดดโลดเต้น น้ำลายฟูมปากเป็นฟองออกมา กระโดดคิดว่าคนมา เดี๋ยวคนคงจะเอาน้ำมาให้กิน คนเห็นวัวกระโดดไปกระโดดมายิ่งกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้ หนีหมดเลย กว่าเจ้าของจะกลับมาเอาท่านไปกินน้ำบอกตั้งเย็น ท่านบอกท่านเห็นทุกข์แสนสาหัสเลย สังสารวัฏนี้มันทุกข์จริงๆ แค่อดน้ำท่านก็เห็นทุกข์แล้ว เคยเกิดเป็นวัว ท่านเล่าให้ฟัง
นิมิตแบบนี้ของท่านเชื่อได้ เพราะจิตท่านทรงสมาธิสูง ถ้าอย่างพวกเรานั่งๆ แล้วเคลิ้มเป็นโน้นเป็นนี้ ส่วนใหญ่หลอก แหม มันจะเป็นอะไรที่ใหญ่ๆ ไปหมด ไม่เป็นเล็กๆ หรอก ครูบาอาจารย์เยอะเลยที่เป็นเดรัจฉาน ท่านเคยอย่างนั้นมาก่อน ในพระไตรปิฎกก็มี พระอานนท์เคยตกนรกมาท่านก็จำได้ ขึ้นมาเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็จำได้ เป็นคนไม่สมประกอบท่านก็จำได้ อย่างนี้ใจที่ทรงสมาธิ นิมิตมันถึงเชื่อได้ ฉะนั้นเวลาเราเจริญปัญญาไป แล้วกำลังสมาธิเราไม่พอ จิตมันจะเคลิ้มลงไป นิมิตอะไรทั้งหลายมันก็เกิดได้ แล้วถ้าเราไปหลงสำคัญมั่นหมายว่าจริงจัง ก็เพี้ยนไปเลยอย่าไปเชื่อมัน
หลวงพ่อถือหลักอย่างนี้เลย นิมิตทั้งหลายจะจริงหรือจะปลอม ไม่มีความสำคัญ นิมิตอย่างนี้เกิดขึ้น จิตเราเป็นอย่างไร ตรงนี้ต่างหากของสำคัญ เช่น เรานิมิตว่าเราเป็นเทวดา เคยเป็นเทวดา แล้วใจเราดีใจ เราเห็นความดีใจอย่างนี้เราได้ประโยชน์ ถึงจะจิตหลอนก็ตาม แต่ว่าเราย้อนมาดูจิตดูใจได้ อย่างนี้ถือว่าดี เพราะฉะนั้นนิมิตที่จิตไปรู้ไปเห็นเข้า กับสิ่งซึ่งตามองเห็น หูได้ยินเสียง หรือกลิ่นที่เราได้กลิ่นจริงๆ รสที่เราได้รสจริงๆ มันเสมอกัน ของจริงกับของปลอมเสมอกัน ไม่ต้องตกใจที่เห็นจริงหรือปลอม ไม่สำคัญ เอาเข้าจริงก็คือปลอมทั้งนั้น ล้วนแต่ของที่หลอกๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับทั้งสิ้น
ฉะนั้นเวลาภาวนาแล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้น ใจเราเป็นอย่างไรตัวนี้สำคัญที่สุด เราเห็นนิมิตแล้วใจเราฟูเชียวเราก็ภูมิใจ เราเห็นเลยใจมันฟูขึ้นมา เรานิมิตไม่ดี เช่น พ่อแม่เราตาย เราก็ฝันไปว่าไปตกนรกอยู่ ไปเป็นหมาเป็นแมวอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนเที่ยวตามหา ไปเป็นหมาอยู่ที่ไหนจะตามไปเก็บมาเลี้ยง อันนี้ฟุ้งซ่านแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพอมีนิมิตอะไรเกิด ให้รู้ใจตัวเองเลย เราจะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ หรือบางทีเราภาวนาไปเจริญวิปัสสนาไป สมาธิเราไม่พอ ในขณะที่กำลังเดินวิปัสสนาอยู่แล้วสมาธิไม่พอ มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลสขึ้น แล้วเวลาเราทำสมถะ แล้วใจเรามันมีสมาธิไม่พอ มันจะมีนิมิตขึ้น ถ้าจิตมีสมาธิพอเข้าอัปปนาไปแล้วนิมิตไม่มี
“ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น จะนิมิตหรือจะวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น ย้อนมาที่จิตเลย
จิตเรารู้สึกอย่างไร ยินดียินร้ายไหม ดูลงมาที่จิต
ถ้าเข้าถึงจิตตัวเอง ของปลอมทั้งหลายจะสลายตัวไปหมดอัตโนมัติ”
มันจะมีสิ่งซึ่งหลอกลวงเรา สิ่งที่หลอกลวงตอนที่เราทำสมถะ แล้วจิตเราไม่สงบพอคือพวกนิมิตทั้งหลาย แล้วสิ่งที่หลอกลวงเรา ตอนเราทำวิปัสสนาแล้วสมาธิไม่พอ คือพวกวิปัสสนูปกิเลส เราค่อยๆ สังเกต แต่ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น จะนิมิตหรือจะวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น ย้อนมาที่จิตเลย จิตเรารู้สึกอย่างไร ยินดียินร้ายไหม ดูลงมาที่จิต ถ้าเข้าถึงจิตตัวเอง ของปลอมทั้งหลายจะสลายตัวไปหมดอัตโนมัติเลย หัดรู้หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ ไป มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก พอไหวไหม หัดดูกายในมุมของความเป็นไตรลักษณ์ไว้ หัดดูจิตในมุมของความเป็นไตรลักษณ์ไว้ ตรงที่เราเห็นไตรลักษณ์ไม่เห็นตลอด บางทีจิตก็พลิกไปทำสมถะ ฉะนั้นทำสมถะไป
เดินวิปัสสนาอยู่แล้วจิตพลิกไปทำสมถะ เกิดอะไรขึ้นมาเรียกวิปัสสนูปกิเลส เราก็คิดว่าเราบรรลุแล้ว ถ้าเราทำสมถะอยู่แล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้นมา เป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย เป็นสิ่งสังเกตเท่านั้น มีประโยชน์ไหม บางอย่างมีประโยชน์ อย่างเรานั่งสมาธิแล้วนิมิต เราเห็นสัตว์นรกเห็นอะไรอย่างนี้ ใจเราก็กลัวที่จะทำบาป กลัวจะทำชั่ว ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านจะสอน ให้เรามีนิมิตอันนี้ขึ้นมา ไปเที่ยวนรก ไปเที่ยวสวรรค์อะไรอย่างนี้ คนจะได้กลัวไม่อยากทำบาป อยากจะทำความดี อันนี้เป็นอุบายสอนคนซึ่งอยากเกิด คนส่วนใหญ่มันอยากเกิดทั้งนั้น คนที่อยากนิพพาน มันอยากแต่ชื่อ อยากแต่ปาก ใจจริงไม่อยากหรอก
ลองวัดใจตัวเอง ให้นิพพานตอนนี้เอาไหม ไม่เอา ส่วนใหญ่ไม่เอา ฉะนั้นท่านก็เลยคนยังอ่อนอยู่ ท่านก็หลอกล่อ นั่งสมาธิเห็นสัตว์นรกจะได้กลัวบาป นั่งสมาธิเห็นเทวดาจะได้อยากทำบุญ อย่างน้อยก็เป็นคนดีไว้ก่อน แล้วบุญบารมีมากพอ ได้ยินได้ฟังธรรมะเกี่ยวกับการเจริญสติ เจริญปัญญา ใจมันก็รับได้ ถ้าใจเราต่ำช้ามากหยาบช้ามาก ฟังธรรมะอย่างไร มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก ฉะนั้นการที่บางที่บางสำนัก ครูบาอาจารย์สอนให้เห็นผี เห็นเปรต ถ้าเห็นแล้วรู้จักน้อมนำเอามาเป็นธรรมะก็ใช้ได้ แต่ที่สำคัญก็คือถ้าเราเจริญปัญญาแล้ว จะเห็นนิมิตทั้งหลาย จะจริงหรือจะปลอม ไม่สำคัญแล้วคราวนี้ เสมอกัน พอเห็นแล้วจิตเราเป็นอย่างไร เรารู้ทันอย่างนั้นใช้ได้
นิมิตมีเยอะ นิมิตเป็นรูปก็มี เช่นเราเห็นคนเดินมาอย่างนี้ จริงๆ ไม่ใช่คนหรอก เป็นผีเดินมา หรือบางทีจิตเราหลอนเห็นโน่นเห็นนี่ นิมิตทางตาก็มีทั้งจริงทั้งปลอม นิมิตทางหูได้ยินเสียง บางทีก็มีทั้งจริงทั้งปลอม จิตหลอน ทุกวันนี้มีเยอะ จิตไม่ปกติ นั่งๆ อยู่หรือเดินอยู่ได้ยินเสียง ได้ยินเสียงคนโน้นว่าคนนี้ว่า หรือหวาดระแวง จิตมันหลอน อันนั้นต้องปรึกษาจิตแพทย์เลย เป็นอาการหนักแล้ว หรือเราไม่ได้จิตหลอนมันได้ยินจริงๆ พวกโอปปาติกะพูดอะไรอย่างนี้เราได้ยิน อันนี้ก็เป็นนิมิต นิมิตเป็นกลิ่นก็มี กลิ่นหอมมี กลิ่นเหม็นก็มี นิมิตเป็นรสก็มี นิมิตเป็นสัมผัสก็มี บางทีรู้สึกเหมือนคนนวดให้เลย รู้สึก นิมิตทั้งนั้นไม่สำคัญ
ภาวนาอะไรๆ ก็สู้ความสังเกตเอาไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราหัดดูไตรลักษณ์ไป แล้วก็สังเกตจิต ตอนนี้จิตพลิกไปทำสมาธิแล้วรู้ทัน ตอนนี้จิตหมดกำลังของสมาธิแล้วรู้ทัน ถ้ารู้ทันเราก็จะไม่ไปหลงนิมิต ไม่หลงเกิดวิปัสสนูปกิเลส คอยรู้ทันจิตไป จิตทำสมถะก็รู้ จิตทำวิปัสสนาก็รู้ หัดสังเกตเอา ถ้าเมื่อไรจิตมันไปหมายรู้กายในมุมของไตรลักษณ์ ไปหมายรู้จิตในมุมของไตรลักษณ์ อันนั้นเป็นวิปัสสนา ถ้ามันไปรู้กายนิ่งๆ รู้ใจนิ่งๆ อยู่เป็นสมถะ แล้วถ้ามันไม่รู้กาย ไม่รู้ใจ มันหนีไปเลย อันนั้นเป็นความฟุ้งซ่าน ตรงฟุ้งซ่านนี่ล่ะนิมิตอะไรก็เกิดง่าย มันหลอน จิตหลอนไม่อยากเรียกนิมิตหรอกเรียกมันหลอน ฉะนั้นเราภาวนาอะไรๆ ก็สู้ความสังเกตเอาไม่ได้
หลวงพ่อเรียนจากครูบาอาจารย์ไม่มากหรอก เราเป็นคนกรุงเทพฯ เป็นข้าราชการวันลามีไม่มากหรอก ปีหนึ่งได้ 10 วัน 15 วัน ก็ลาไปเรียน เวลาส่วนใหญ่เราอยู่ที่บ้าน เราไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดเลยที่หลวงพ่อเห็น คือโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเองอย่างแยบคายเลย อย่างเราภาวนาอยู่แล้วจิตมันก็ว่างสว่าง มีความสุขอยู่แรมเดือนแรมปี มันผิดหลักของไตรลักษณ์ จิตไม่เที่ยงทำไมจิตเราเที่ยง จิตเป็นทุกข์ทำไมจิตเราเป็นสุข จิตบังคับไม่ได้ทำไมเราบังคับได้ พอมันเห็นอย่างนี้เรียกว่ามันเฉลียวใจแล้ว
ฉะนั้นโยนิโสมนสิการ ไม่ได้ฉลาดอะไรหรอก มันน่าจะแปลว่าเฉลียวมากกว่า เฉลียวใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่มันตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนไหม หรือมันขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เฉลียวใจ อาศัยสิ่งนี้ในการภาวนา ในเพศของฆราวาส เราไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ได้ทุกวันแบบพวกพระ พระบวชอยู่กับครูบาอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่ในวัดป่าจริงๆ ครูบาอาจารย์ไม่ได้สอนทุกวัน วันพระ วันปาฏิโมกข์ ท่านถึงจะเทศน์ให้ฟัง ให้พระฟัง เดือนหนึ่งมี 2 ครั้งเอง เวลาที่เหลือก็ไปทำเอาเอง จะทำหรือไม่ทำก็เรื่องของเธอแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่ สังเกตตัวเองไป สังเกตที่ทำอยู่มันถูกไหม มันเห็นไตรลักษณ์ไหม หรือมันคิด มันได้แค่คิดเรื่องไตรลักษณ์ หรือไม่สนใจไตรลักษณ์เลย ดูแต่รูปดูแต่นาม สังเกตตัวเองเรื่อยๆ เราจะรู้เลยว่าตอนนี้จิตทำสมถะ ตอนนี้จิตทำวิปัสสนา จิตทำวิปัสสนาอยู่สักช่วงหนึ่ง จิตตกจากวิปัสสนาลงมาเป็นสมถะ มันจะพลิกไปพลิกมาได้ ถ้าคนไม่ทรงฌานมันทำวิปัสสนาได้ไม่นาน ได้สั้นๆ ด้วยกำลังของขณิกสมาธิ แต่ถ้าได้ฌาน ก็เดินวิปัสสนาได้นานหน่อย แต่ก็ไม่เกิน 7 วันฌานมันก็เสื่อม มันเป็นของเสื่อมก็ต้องทำอีก
ฉะนั้นฝึกตัวเองทุกวัน ฝึกไป ดูกาย ดูใจ รู้สึกอยู่ที่กาย รู้สึกอยู่ที่ใจ ไม่วอกแวกไปที่อื่นได้สมถะ เห็นกายแสดงไตรลักษณ์โดยที่ไม่ได้เจตนาเห็น เห็นจิตแสดงไตรลักษณ์โดยไม่ได้เจตนาเห็น อันนั้นเป็นวิปัสสนา บอกแล้ววิปัสสนาไม่ทำตลอดเวลาหรอก พอกำลังของสมาธิอ่อนลง บางทีจิตก็พลิกเข้าไปทำสมถะเอง หรือบางทีสมาธิอ่อนลง จิตไม่ยอมพลิกไปทำสมถะด้วย จิตหลอนไปเลย เกิดวิปัสสนูปกิเลสขึ้นมา ฉะนั้นถ้าจิตพลิกมาทำสมถะไม่เป็นไร แล้วก็ถ้ามันไม่มาทำสมถะ มันเคลิ้มลงไป อันนั้นวิปัสสนูปกิเลสจะเกิด หรือถ้าเราทำสมถะอยู่ เรารู้ว่าทำสมถะ จิตเราอยู่ในอารมณ์อันเดียว แล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้นมา อันนั้นตัวนิมิต ทำสมถะอยู่แล้วเกิดรู้เกิดเห็นอะไร พวกนั้นเรียกนิมิต
ทำวิปัสสนาอยู่แล้วกำลังสมาธิอ่อน จิตไม่ตั้งมั่น จิตเคลิ้มออกไปเห็นโน้นเห็นนี้ แล้วมันจะหลง เป็นวิปัสสนูปกิเลส ตรงนี้ส่วนใหญ่จะคิดว่าได้มรรคผลชั้นนั้นชั้นนี้ ฉะนั้นต้องระมัดระวัง อะไรๆ ก็สู้ 2 สิ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า 2 สิ่งนี้อันใดอันหนึ่งก็ได้ คือต้นทางของอริยมรรค อันที่หนึ่งคือกัลยาณมิตร แต่ในยุคนี้เราไม่รู้ว่าใครคือกัลยาณมิตร สิ่งที่หลวงพ่ออยากให้พวกเราใส่ใจให้มาก คือโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเองไป อย่าเข้าข้างตัวเอง สังเกตไป
อย่างถ้าเราคิดว่าเราบรรลุมรรคผลชั้นนั้นชั้นนี้แล้ว ใจเย็นๆ สังเกตไป ได้โสดาบันแล้ว ความรู้สึกว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวเป็นตน ยังมีอยู่ไหม นี่ตัวเรายังอยู่ไหม ค่อยๆ สังเกต รู้ไปเรื่อยๆ หรือคิดว่าได้พระอนาคามี สังเกตไปเรื่อยๆ กามราคะยังเกิดไหม ดูไป ปฏิฆะยังเกิดไหม หัดรู้หัดดูไป หรือคิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว จิตยังเข้าไปหยิบฉวยธาตุฉวยขันธ์อะไรอยู่ไหม จิตยังหลงตามความปรุงแต่งอยู่ไหม มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ดูจากของจริงๆ ไม่เข้าข้างตัวเองหรอก นี่โยนิโสมนสิการ สำคัญมาก
อย่าไปเชื่อเรื่องกัลยาณมิตร ชอบนักเชียว ชอบตั้งองค์นี้เป็นพระอรหันต์ องค์นี้เป็นพระอนาคามี องค์นี้ได้โสดาบัน เอากิเลสของเราไปตั้งพระ อย่ามาตั้งใส่หลวงพ่อ หลวงพ่อได้ชั้นนั้นชั้นนี้ หลวงพ่อเทศน์มาร่วม 20 ปี ลองไปดูหลวงพ่อเทศน์ไว้หลายพันกัณฑ์ มีไหมหลวงพ่อบอกว่า หลวงพ่อบรรลุพระอรหันต์วันนั้นวันนี้ เมื่อนั้นเมื่อนี้ มโนกันทั้งนั้น ฉะนั้นตัวสำคัญเรื่องกัลยาณมิตร ฟังแล้วพิจารณาดูว่า สิ่งที่ครูบาอาจารย์องค์นี้สอน มันเป็นไปเพื่อการลดละกิเลสได้จริงไหม ลองดูก็ได้ ลองทำดู ถ้าทำแล้วกิเลสไม่กระเทือน หรือกิเลสโตขึ้น ไม่ใช่แน่นอน
แต่ที่สำคัญที่สุดมีโยนิโสมนสิการ สังเกตตัวเอง ที่ทำอยู่ตรงนี้หลงอยู่หรือว่าปฏิบัติอยู่ ขั้นหยาบๆ เลย แล้วที่ปฏิบัติอยู่สมถะหรือวิปัสสนา สังเกตไป ตอนทำสมถะอยู่อันนี้นิมิตเกิดขึ้น เรายินดีในนิมิต หรือเราวางนิมิตย้อนเข้ามารู้ทันจิตตนเองได้ ถ้ายินดีในนิมิต นิมิตจริง นิมิตปลอมก็โง่เหมือนกัน หลงออกไปแล้ว ลืมจิตใจตัวเอง สังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ หลวงพ่อสู้มาทุกวันนี้ ตั้งแต่เป็นโยม ใช้ความสังเกต ใช้โยนิโสมนสิการมาก ในชีวิตหลวงพ่อเรียนกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อเคยถามกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ทั้งหมด 7 ครั้ง จากครูบาอาจารย์ 6 องค์ ที่ถามมีแค่นั้นเองนอกนั้นสังเกตเอา อย่างภาวนาไปช่วงนี้ เกิดสภาวะอย่างนี้มันใช่มันไม่ใช่ หลวงพ่อสังเกตไปเรื่อย ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับมัน ค่อยรู้ค่อยดูไป เกิดความเข้าใจขึ้นมาแล้ว มีโอกาสเจอครูบาอาจารย์ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น จะเข้าใจก่อนที่จะเจอครูบาอาจารย์ แล้วก็ไปเล่าให้ท่านฟัง บอก “ผมดูแล้วมันเป็นอย่างนี้ๆ มันคืออย่างนี้” ท่านบอก “ใช่แล้ว ถูกแล้ว” ท่านจะชมว่าฉลาด ฉลาด ช่วยตัวเองมาได้ ถ้าเอะอะวิ่งถามครูบาอาจารย์ตลอด ไม่ฉลาดหรอก
โดยเฉพาะทุกวันนี้ เราไม่รู้ว่าองค์ไหนจริงไม่จริง อย่ามั่ว แล้วไม่ต้องมาตั้งองค์นั้นเป็นนั้น องค์นี้เป็นนี้ แล้วอีกอย่างชอบมากเลย ทุกวันนี้สำนวน เวลามีนักปฏิบัติตายหรือมรณภาพ “น้อมส่งสู่พระนิพพาน” นิพพานไม่ต้องส่ง นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อหน้านี้ ส่งไปนิพพานก็คือส่งจิตออกนอกอีกล่ะ เราไปส่งใครไปนิพพานไม่ได้หรอก เราส่งตัวเองไปนิพพานยังไม่ได้เลย ฉะนั้นอย่าเพ้อ อย่าไปตั้งพระอริยะเล่น พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ทำอย่างนั้น เอกสิทธิ์ในการพยากรณ์เป็นของพระพุทธเจ้า ของสาวกรู้ด้วยตัวเอง แต่อย่างพระคุยกันเป็นอีกแบบหนึ่ง พระคุยกันท่านแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อันนี้ไม่ได้ผิด ไม่ได้ว่าอวดอุตริฯ อะไรหรอก พระทำอย่างนั้นด้วยเรียก ธรรมสากัจฉา สนทนากัน ถูกต้อง
วัดสวนสันติธรรม
13 กรกฎาคม 2565