กถาวัตถุ ๑๐

มีคำถาม พวกเราลองตอบแทนหลวงพ่อดู
ข้อที่หนึ่ง “มีธรรมะอันไหนที่เมื่อเราทำมากๆ แล้วจะทำให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม”
ข้อที่สอง “มีธรรมะอะไรที่ทำมากๆ แล้ว จะเสื่อมทั้งทางโลกและทางธรรม”
ข้อที่สาม “มีธรรมะอะไรที่ทำมากๆ แล้ว ทางโลกจะเสื่อมแต่ทางธรรมเจริญ”
แล้วข้อสุดท้าย “มีธรรมะอะไรที่ทำแล้ว ทางโลกเจริญแต่ธรรมะเสื่อม”
ถ้าจะตอบนี่ยาวหลายชั่วโมง เอาย่อๆ ก็แล้วกัน

ข้อที่หนึ่ง ธรรมะที่ถ้าเรามี เราเสพ เราคุ้นเคยแล้ว เราเจริญทั้งทางโลกทางธรรม คือ การมีกัลยาณมิตร กับ การมีโยนิโสมนสิการ

อยู่ในโลก ถ้ามีกัลยาณมิตร จะช่วยกันแนะนำอะไรดีๆ ให้ กระทั่งเรื่องทำมาหากิน การมีกัลยาณมิตร อยู่ใน ๑ ใน ๔ ของคาถาที่ทำให้รวย การมีโยนิโสมนสิการ มีความแยบคายในการใช้เหตุใช้ผล คิดพิจารณาอย่างมีเหตุผล อันนี้สำหรับทางโลก

สำหรับทางธรรม การมีกัลยาณมิตร แล้วก็โยนิโสมนสิการเพียงอันใดอันหนึ่ง เป็นต้นทางของอริยมรรค พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้เลย มีกัลยาณมิตรก็มีต้นทางของอริยมรรค มีโยนิโสมนสิการก็มีต้นทางของอริยมรรค แต่โยนิโสมนสิการของธรรมะกับโลกก็ไม่เหมือนกันทีเดียว

กัลยาณมิตรทางโลกกับทางธรรมก็ไม่เหมือนกัน กัลยาณมิตรทางโลกจะชวนเราลงทุน ซื้อหุ้นบริษัทอะไรดีที่กำลังดี ที่ใกล้เจ๊งไม่เอา เขาแนะนำได้ โยนิโสมนสิการในทางธรรม ไม่ได้คิดเอาเอง ต้องดูว่าสิ่งที่เราทำตรงกับที่พระพุทธเจ้าให้ทำไหม สิ่งที่เรางดเว้น ตรงกับที่พระพุทธเจ้าให้งดเว้นไหม ถ้าเราไปทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าให้เว้น ไม่ทำในสิ่งที่ท่านให้ทำ เรียกว่าไม่มีโยนิโสมนสิการ ใช้ไม่ได้

ข้อที่สอง ธรรมที่เรามีมากๆ แล้วจะเสื่อมทั้งทางโลกทางธรรม คืออบายมุข อันนี้ไม่ต้องอธิบายมากเลย เสื่อมทั้งทางโลกทางธรรม อยู่กับอบายมุข มี ๖ ตัว

๑. ดื่มน้ำเมา

๒. เที่ยวกลางคืน กลางคืนควรจะเอาเวลาไว้พักผ่อนหรือไว้ภาวนา ผ่าไปเที่ยวอยู่ตามผับตามบาร์ กินเหล้าเมายาอะไรอย่างนี้ มันเจริญไม่ได้หรอกทั้งทางโลกทางธรรม

๓. ดูการละเล่นทั้งหลายทั้งปวง หรือจะดูซีรีส์ทั้งวันทั้งคืน ดูบอลโต้รุ่งอะไรอย่างนี้ ก็เสื่อมแน่นอน เช้าขึ้นมาก็ตาแดงมาทำงาน แทบจะทำไม่ไหว แอบมานั่งหลับในที่ทำงาน ดูบอลดึกหรือดูซีรีส์ คือดูการละเล่น

๔. เล่นการพนันนี่ไม่ต้องอธิบาย

๕. คบคนชั่วเป็นมิตร อย่างเป็นพระ ไปคบพระชั่ว ไปคบเทวทัต ก็เสื่อม

๖. เกียจคร้านในการงาน อย่างโยมขี้เกียจทำงาน ถึงเวลาทำงาน บางคนก็บอกว่าไม่อยากทำงาน อยากภาวนา ให้เมียเลี้ยง ให้พ่อให้แม่เลี้ยง หลวงพ่อเคยเจอคนหนึ่ง อายุตั้ง ๓๐ แล้ว ให้พ่อให้แม่เลี้ยง แล้วเลี้ยงแบบเลี้ยงพระเลย ต้องเอาอาหารมาประเคน ต้องรับ อะไรอย่างนี้ ไม่เจริญเลย เสื่อม เกียจคร้าน สิ่งที่ควรทำ หน้าที่ที่ควรทำไม่ทำ ละเลย อย่างเป็นพระ เกียจคร้านก็มี มีหน้าที่บิณฑบาต ก็ไม่อยากจะบิณฑบาต มีหน้าที่กวาดวัด ก็จะไม่กวาด อ้างโน่นอ้างนี่ ฝนตก แดดออก ร้อนไป หนาวไป เหนื่อยไป หิวไป ง่วงไป สารพัดเลย อิ่มเกินไปก็ทำงานไม่ได้ พวกนี้พวกขี้เกียจ เป็นทางเสื่อม

ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านในการงาน ถ้าทำแล้วเสื่อมทั้งทางโลกทางธรรม

ข้อที่สาม ธรรมะที่ทำแล้วทางโลกอาจจะเสื่อมถอยไป แต่ทางธรรมเจริญ ลองไปดูในเรื่องกถาวัตถุ ๑๐ ข้อ เริ่มจากมักน้อย สันโดษ ฝักใฝ่ในความสงบ ไม่คลุกคลี ไม่มั่วสุม ปรารภความเพียร คือพิจารณาตัวเองแล้ว อกุศลอะไรยังไม่ละ ก็ละเสีย กุศลอะไรยังไม่เจริญ ก็เจริญเสีย

๕ ตัวแรกนี้ มักน้อย หมายถึง ปรารถนาน้อย รู้จักพอเพียง สันโดษ หมายถึง พอใจในสิ่งซึ่งเราทำมาเต็มที่แล้ว ทุ่มเทลงไปแล้ว เราได้แค่นี้ พอใจ ฝักใฝ่ในความสงบ ถ้าวันๆ คิดแต่เรื่องฟุ้งซ่าน ฝักใฝ่ไปทางฟุ้งซ่าน ไม่มีทางเจริญ ไม่คลุกคลี ถ้าคลุกคลี เจริญไม่ได้ แต่อยู่ในโลก ไม่คลุกคลีไม่ได้ อยู่ในโลก มักน้อยมากๆ เลย ทำงานแบบนิดเดียวพอกินแล้ว พรุ่งนี้มีกิน ไม่มีกินก็ช่างมัน อย่างนี้อยู่ไม่ได้

ในทางโลก บางคนไปทำ ๕ ตัวแรกนี้ งานทางโลกเสื่อมลงไป แต่ในทางธรรมจะเจริญ

พอมีมักน้อย สันโดษ ใฝ่หาความสงบ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียรแล้ว ก็ลงมือทำ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ ๕ ตัวแรกเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เราทำ ๓ ตัวนี้ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา

ถัดจากศีล สมาธิ ปัญญาอีก ๒ ตัว วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นผลจากการที่เรามีศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่า กถาวัตถุ ๑๐ เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าบอกให้ศึกษา ให้เรียน ให้ฟัง ให้สอนกัน ในเรื่องกถาวัตถุ ๑๐ ท่านยกย่อง จนมีพระองค์หนึ่งนะ พระปุณณมันตานีบุตร ได้รับยกย่องว่าสอนแต่เรื่องกถาวัตถุ ทำกถาวัตถุด้วย สอนกถาวัตถุด้วย เป็นหนึ่งเลย เรื่องนี้

ถ้าเราทำในสิ่งเหล่านี้ บางทีทางโลกหย่อนไป เพราะใจมันจะไม่เอาโลก ใจมันหนีโลก กิจกรรมทางโลกอาจจะเสียไป แต่ถ้ามองในมุมที่ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ถ้าเรามีองค์ธรรม ๑๐ ข้อนี้ เราเสื่อมจากโลกจริงๆ มันจะขึ้นไปอยู่เหนือโลก ขึ้นสู่โลกุตระ เพราะอย่างนั้นโลกนี้เสื่อมจริงๆ เสื่อมจากกิจการทางโลก จะขึ้นสู่โลกุตระ

ถ้าเราทำกถาวัตถุ ๑๐ นี้ ทางโลก โลกอย่างนี้ อาจจะไม่ค่อยดี อย่างเจ้านายก็จะดูว่าพวกชอบเข้าวัด ไม่ค่อยไว้ใจ กลัวมันจะขี้เกียจ กลัวมันอย่างโน้นอย่างนี้ หรือกลัวมันบ้า คนส่วนใหญ่บางทีมันก็คิดว่าไปฝึกกรรมฐานแล้วจะบ้า

ถ้ามีกถาวัตถุ ๑๐ ข้อ มักน้อย สันโดษ ไฝ่หาความสงบ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร อะไรที่เลวไม่ทำ อะไรที่ดีก็ทำ สำรวจเอา สิ่งที่จะต้องทำก็คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าทำเต็มที่แล้ว จะได้วิมุตติ ก็คืออริยมรรค อริยผล วิมุตติญาณทัสสนะ ถ้าตามปริยัติ ก็คือปัจจเวกขณญาณ ต่อจากมรรคญาณ ผลญาณ จะเป็นการทวนเข้ามาสำรวจ ว่ากิเลสอะไรล้างแล้ว กิเลสอะไรยังไม่ล้าง กิเลสที่ล้าง ตัวไหนล้างเด็ดขาด ตัวไหนล้างชั่วคราว มันจะสำรวจ ถ้าเป็นขั้นสุดท้าย มันจะทำพระนิพพานให้แจ้ง ถ้ามีกถาวัตถุ จะเสื่อมจากโลก จะขึ้นสู่โลกุตระ จะทิ้งโลก

ข้อสุดท้าย ธรรมะที่ทำแล้ว ทำบ่อยๆ คุ้นเคย ทางโลกเจริญ ทางธรรมเสื่อม ก็กลับข้างกับกถาวัตถุ ทำสิ่งที่ตรงข้ามไป มักมาก โลภมาก หาความวุ่นวาย อยู่อย่างนี้ สนุก แต่ธรรมะเสียหมด

ที่เราไปเที่ยววุ่นวายทุกวันนี้ เรารู้สึกมีความสุขไหม กระทั่งเฮฮา ปาร์ตี้ พากันไปทำบุญนู่นนี่
บางทีก็สนุก ขึ้นรถทัวร์ไป เที่ยววัดโน้นวัดนี้ คลุกคลี รวมกลุ่มกัน ไม่เคยสนใจความสงบสุข ไม่สนใจศีล สมาธิ ปัญญา

ทางโลกไปได้ เพราะโลกทุกวันนี้เป็นโลกของอธรรม พวกอธรรมมันเจริญรุ่งเรือง พวกธรรมะถดถอย ยุคนี้เป็นยุคที่อธรรมเจริญรุ่งเรืองแต่ธรรมะถดถอย มาตรฐานสังคมนี้ชั่ว ใครที่ดีเกินไป มันไม่ชอบหรอก ถ้าชั่วด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ ช่วยกันกอบโกยผลประโยชน์ไปได้ ต่างคนต่างก็ช่วยกันโลภมาก รวมฝูงกันไป ในทางธรรมะ เสื่อมไปหมดเลย

ยุคที่ธรรมะเจริญ อธรรมถดถอย ใครทำชั่วสักนิดเดียว สังคมลงโทษ ยุคนี้ทำชั่ว สังคมไม่ลงโทษเท่าไร เดี๋ยวนี้มีโซเชียล โซเชียลก็ยังเชื่อไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ มันไม่ใช่หลักการไม่ใช่เหตุผล

อย่างเรื่องป้าเอาขวานมาฟันรถ ทีแรกก็ด่าป้า พอคนบอกว่า นี่ขวางออกจากบ้านไม่ได้ คนตายจะทำอย่างไร ก็เห็นใจป้า กลับมาด่าคนจอด การตัดสินของโซเชียลเป็นอย่างนั้น ยังเชื่อถืออะไรไม่ได้หรอก มันเป็นเสียงข้างมากเรียกว่าประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ธรรมาธิปไตย ไม่ได้ตัดสินกันด้วยธรรมะ อะไรถูกอะไรผิด ไม่ได้ตัดสินอย่างนั้น

ฉะนั้นในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยความชั่วร้าย การทำความชั่วร้ายไม่ใช่ความผิดที่คนจะมองว่าผิด
ถ้าทุกคนคอรัปชั่น ทุกพรรคคอรัปชั่น มันแทบจะไม่ใช่มีคำว่าถ้าด้วย แทบจะไม่มีคำว่าถ้าเลย ทุกคนเป็นอย่างนี้ เหมือนๆ กัน ไม่เป็นไร ทฤษฎีแมลงวันไม่ตอมแมลงวัน คนชั่วไม่ทำร้ายกัน ปล่อยไว้ คนดีขึ้นมาค้าน โดนเหยียบ ในสังคมที่แย่ การทำความชั่วนำความเจริญทางโลกมาให้
แต่ยังไงก็เสื่อมทางธรรม เสื่อมแน่นอน

ถ้าจะพูดให้ละเอียดใช้เวลาไม่น้อยกว่า ๓ ชั่วโมง พูดสั้นๆ พอ แล้วไปศึกษาเพิ่มเติมเอาเอง

ไปภาวนาเข้า แล้วชีวิตจะได้ดีขึ้น แต่ต้องรู้จักคำว่าหน้าที่ เป็นฆราวาสก็มีหน้าที่ เป็นพระก็มีหน้าที่ ถ้าจะภาวนาแล้วทิ้งหน้าที่ มันก็เสื่อม

อย่างหลวงพ่ออยู่ในโลก หลวงพ่อไม่เสื่อม ทั้งๆ ที่หลวงพ่อทำตามกถาวัตถุ ๑๐ ไม่เสื่อมทางโลก แล้วก็เจริญทางธรรมด้วย งานเราก็ทำได้ดี ทำได้เก่ง เพราะ เราฝึกจิตเราดี สมาธิเราดี บางทีเวลาหลวงพ่อทำงาน บางทีจะส่งรัฐมนตรี เจ้านายทั้งหลาย มาชุมนุมอยู่รอบโต๊ะเราเลย คุยกันจ๊อกแจ๊กๆ มารอเซ็น ถ้าสมาธิเราไม่ดี ตบะเราแตก เครียดตายเลย เกร็ง เราศีกษาเอกสารเยอะแยะ ศึกษาคนเยอะแยะ หาข้อสรุปออกมา อ่านรวดเดียว หนังสือตั้งหนึ่งนี่หลวงพ่อดูฟืบๆๆ ใช้เวลาไม่มาก เวลาอ่านหนังสือ อ่านตรงกลาง อ่านเฉพาะตรงกลาง ไม่ต้องอ่านหัวท้าย แล้วมันจะ relate ได้เอง ถ้าสมาธิพอ แล้วลงมือพิมพ์เลย คีย์เข้าคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว ปริ๊นท์ออกมา ก็เซ็นได้แล้ว พอเจ้านายเซ็นเสร็จ เขาก็ไป เราเนี่ย (หลวงพ่อทำเสียงถอนหายใจ) หมดเรี่ยวหมดแรง

อยู่ในทางโลก ถ้าบริหารจัดการเป็นไม่เสื่อมหรอก มีศีลมีธรรม แรกๆ คนอาจจะหัวเราะ แต่นานไม่หัวเราะ ตอนเรา (เป็นข้าราชการ) ซีน้อยๆ ไปนั่งโต๊ะกับผู้ใหญ่ เขากินเหล้า เราไม่กิน ทำยังไงจะรักษาตัว รักษาศีลเราได้ ต้องใช้สติ ใช้ปัญญามากมาย แต่พอเขารู้ว่าเราไม่กิน พอเราโตขึ้นมา ใครมานั่งโต๊ะเราไม่กล้ากินเหล้า ไม่กล้า มันกลับกัน ขอให้ตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว

แต่รู้หน้าที่ ไม่ใช่ทิ้งหน้าที่ มีหน้าที่ทำมาหากิน ทำหน้าที่ที่เขาจ้างเรา มีหน้าที่ต่อเจ้านาย ต่อบริษัท มีหน้าที่ต่อลูกค้า มีหน้าที่ต่อครอบครัวเรา มีหน้าที่ต่อตัวเอง คือพัฒนาใจ ต้องรู้จักทำหน้าที่ให้ดี ถ้าทำงานอันหนึ่งแล้วหน้าที่ของเราเสีย นี่ไม่ถูก อย่างหลวงพ่อกว่าจะได้บวช อายุตั้ง ๔๘ ปี หลวงพ่อมีหน้าที่ หลวงพ่อต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อยู่ พ่อแม่บุญธรรม จริงๆ เป็นระดับปู่ย่า แต่เขาไม่มีลูก เขาขอหลวงพ่อไปเลี้ยงแต่เล็กๆ แม่แท้ๆ ของหลวงพ่อยังอยู่

ทีนี้แม่บุญธรรมอายุ ๙๐ ปีตาย พ่อก็อายุประมาณเดียวกัน เราก็นึกทุกวันเลย ถ้าเขาตาย เราจะบวช แล้ววันหนึ่งก็นึกได้ มันเหมือนแช่งกลายๆ เลยไปชวนเขา “ไปอยู่วัดด้วยกันไหม” เขารู้ว่าเราอยากบวช เอาพ่อเข้ามาอยู่วัดด้วย มีความสุขมากเลย อยู่บ้านธรรมดามีเด็กมาช่วยทำงานที่บ้าน จ้างเขามา จะเหงา ไม่มีคนคุยด้วย มาอยู่วัด คนเรียงหน้ากระดานเข้าไปคุยด้วย ชอบมากเลย แกช่างคุย คุยๆๆ คุยเช้ายันเย็น พอตกเย็นจะเข้าบ้าน ลุกขึ้นมา ขามันไม่ได้ออกกำลังเลย พับลงไป สะโพกหัก เข้าโรงพยาบาล จะไปผ่า ก็ผ่าไม่ได้ เบาหวานขึ้น รอไปรอมา สำลักอาหาร ปอดอักเสบ ติดเชื้อ ตาย อยู่วัด (กับหลวงพ่อ) ได้เดือนเดียว แต่ว่าได้อยู่วัดแล้ว

หลวงพ่อมีหน้าที่ เราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว มาบวช เราไม่นึกกังวลทีหลัง อย่างที่นี่ก็มีพระองค์หนึ่ง ท่านทำมาหากิน เอาเงินไว้ให้พ่อให้แม่ จัดสรรให้ ก็มีเวลาให้ตัวเอง อย่างนี้ทำหน้าที่ได้ครบถ้วนอยู่ ฉะนั้นไปฝึกตัวเอง

กถาวัตถุ : หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรมที่วัดสวนสันติธรรม
วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๑ ไฟล์ 610318 ซีดีแผ่นที่ ๗๕

 

Download PDF