ความสุขที่เกิดจากปัญญา

เราปรารถนาความสุขในชีวิต เราต้องรู้ว่าความสุขอย่างโลกๆ มันสุขหลอกๆ มันสุขเพื่อให้เราทุกข์ต่อไป สุขหลอกๆ ให้เรามีแรงที่จะวิ่งพล่านๆ ตามกิเลสตัณหาต่อไป แล้วความสุขที่ประณีตกว่านั้น คือความสุขของสมถกรรมฐาน ความสุขของการทำวิปัสสนากรรมฐาน ความสุขเมื่อเกิดอริยมรรค เกิดอริยผล ความสุขเมื่อจิตทรงพระนิพพาน มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางเรื่อยๆ ไป แล้วสติปัญญาจะค่อยพัฒนาแก่กล้าขึ้น ใจจะปล่อยวางจางคลายจากโลกมากขึ้นๆ พอใจมันคลายตรงนี้ มันจะรู้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีสาระ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เราถูกหลอกให้วิ่งพล่านๆ แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อวันหนึ่งจะสูญเสียมันทั้งหมดไป ใจฉลาดขึ้นมา ใจมีปัญญาขึ้นมา ใจก็ค่อยสงบ ใจมีความสุข

ธรรมะช่วยเราได้

คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักธรรมะ คิดว่าเข้าวัดต้องไปไหว้โน้นไหว้นี้ เพราะชีวิตมันไม่มีที่พึ่ง แต่พวกเรามีโอกาสได้เรียนธรรมะแล้ว เรารู้วิธีที่จะฝึกจิตตัวเอง เราสามารถอยู่กับโลกได้โดยมีความทุกข์น้อยๆ ไม่ถึงขั้นอยู่กับโลกแล้วไม่ทุกข์เลยหรอก ถ้าภาวนาจริงจังอันนั้น จิตพ้นโลกไปแล้ว ถึงจะพ้นทุกข์จริงๆ มาหัดภาวนา ภาวนาปฏิบัติ เจริญสติ รักษาศีล สร้างสมาธิ เจริญปัญญาไป เวลาผ่านไปช่วงหนึ่งจะพบความแตกต่างๆ เราจะรู้สึกเลยว่าคนในโลกน่าสงสาร คนในโลกมันอยู่ในความมืดบอด เราไม่ได้ดูถูกเขา แต่ใจมันสงสาร แล้วก็นึกเมื่อก่อนเราก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ดีว่าเราได้พบธรรมะของพระพุทธศาสนา เราก็ลงมือปฏิบัติ เราก็สะอาดหมดจดมากขึ้นๆ ทุกข์น้อยลงๆ อันนี้เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง เราเคยทุกข์นานๆ ก็ทุกข์สั้นลง เคยทุกข์หนักๆ ก็ทุกข์เบาๆ ทุกข์นิดๆ หน่อยๆ ใจมันเปลี่ยน ซึ่งเรารู้ได้ด้วยตัวเอง มันเห็นด้วยตัวเองได้

มีปัญหาชีวิตที่ส่งผลกับสุขภาพ การปฏิบัติช่วงนี้มีโทสะกิเลสครอบงำจิตบ่อยครั้งมาก

คำถาม:

โยมทำอานาปานสติเป็นหลัก ยึดศีล 5 ในการดำรงชีวิตประจำวัน ทำตามรูปแบบเกือบทุกวัน เน้นดูจิตเป็นหลักสลับกับดูกายในระหว่างวัน 2 เดือนที่ผ่านมา มีความย่อหย่อน เหตุจากตะลุมบอนกับปัญหาชีวิตที่ส่งผลสุขภาพ ภาพรวมการปฏิบัติช่วงนี้ มีโทสะกิเลสครอบงำจิตบ่อยครั้งมาก ขาดสติ เห็นหลงคิดบ่อย และควบคุมไม่ได้ มีสติน้อยลง ขอคำแนะนำจากหลวงพ่อเพื่อให้มีสติได้ทันท่วงที และมีสมาธิที่ถูกต้องด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

ที่หลวงพ่อพูดวันนี้ก็คือเรื่องพวกนี้ล่ะ พวกเราตอนนี้มันเต็มไปด้วยโทสะ เป็นทุกคนเลย เกือบทุกคนเลย ฉะนั้นเราบริโภคข่าวเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นเพื่อจะต้องทำมาหากินอะไรก็จำเป็นต้องบริโภค แต่ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินอะไร บริโภคข่าวให้น้อยๆ เอาข่าวที่เป็นทางการจริงๆ เป็นวิชาการจริงๆ จากคนที่เกี่ยวข้องจริงๆ บริโภคข่าวมากไปจิตใจวุ่นวาย โทสะขึ้นแน่นอน อันนี้ไม่มีทางแก้หรอก ฉะนั้นพยายามรักษาตัว นี่เป็นช่วงความยากลำบากของทุกคน ไม่เฉพาะเรา ตอนนี้ใครๆ ก็ยากลำบากด้วยกัน ฉะนั้นเราอย่างน้อย เราไม่ไปเพิ่มความวุ่นวายให้คนอื่น ด้วยการออกความเห็นอย่างโน้นอย่างนี้

แล้วเราก็พยายามฝึกจิตใจตัวเองไว้ เจริญเมตตาให้มากไว้นะช่วงนี้ เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับสถานการณ์ คือการเจริญเมตตา นึกในใจไปเรื่อย “สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุขๆ เถิด” นึกไปเรื่อยๆ บริกรรมไป พอใจเราสงบ ใจเราร่มเย็น ใจเราไม่ถูกเร้าด้วยข้อมูลไม่ดี ใจมันก็จะสงบลงมา เราก็จะสามารถดูกายดูใจได้ คราวนี้ถ้าเราฝึกของเราดีแล้ว เราจะอยู่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ สมมติว่าคนในบ้านเราติดโควิดหมดเลย หรือเราติดโควิดเอง นอนอยู่โรงพยาบาลสนาม หรือนอนอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็เจริญสติของเราได้ ร่างกายอาจจะทุกข์ แต่ใจมันจะไม่ทุกข์ เราสามารถทำได้ อยู่ที่เราฝึกเอา ฉะนั้นช่วงนี้เจริญเมตตาให้เยอะๆ ไว้ ถ้าใจเราไม่มีสมาธิพอ มันภาวนาไม่ได้จริง ช่วงนี้ต้องอดทน

มองอีกแง่หนึ่งก็น่าจะภูมิใจ สถานการณ์อย่างที่เราเจอตอนนี้ 100 ปีมีครั้งหนึ่ง เราได้เจอแล้วเท่ชะมัดเลย เมื่อปี พ.ศ.2462 มีไข้หวัดสเปนระบาด คนก็ตายทั่วโลกเลยเยอะแยะหลายสิบล้าน ตายกันเยอะแยะ ในเมืองไทยมีพลเมืองไม่มาก มีไม่ถึง 7 ล้านคน ตายไป 8 หมื่นคน ติดโรคไป 2.8 ล้านคน ตายไป 8 หมื่นคน ฉะนั้นสถานการณ์อย่างนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ ของโลก มันมีอยู่เรื่อยๆ เราได้พบได้เห็น เรามีสติมีปัญญาตั้งมั่นอยู่ มันเห็นโลกนี้ทุกข์ โลกนี้ไม่เห็นดีตรงไหนเลย

ถ้าภาวนา อย่างหลวงพ่อมองไป ในชีวิตเราที่ผ่านมาตรงไหนที่เรียกว่าสุข หาไม่ได้ ตรงไหนที่เรียกว่ามีความสุข เรารู้สึกไหมชีวิตเรามีปัญหาอยู่ทุกวัน เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเรื่องโน้น เดี๋ยวเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของเราก็เรื่องของญาติพี่น้อง ครอบครัวเราอะไรอย่างนี้ ไม่เรื่องสุขภาพ ก็เรื่องหน้าที่การงาน เรื่องการทำมาหากิน หรือเรื่องความวุ่นวาย บางยุคก็อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองเลย บางยุคก็เฟคนิวส์เต็มบ้านเต็มเมืองอะไรอย่างนี้ อย่างตอนนี้เต็มไปหมด

ฉะนั้นจริงๆ โลกนี้ไม่เคยสงบสุขเลย ถ้าเราตั้งหลักได้ เราจะเห็นโลกนี้ไม่น่ารักหรอก โลกนี้ไม่น่าปรารถนา ไม่มีหรอกโลกที่สงบสันติ สงบสันติหรือเปล่าอยู่ที่ใจเรา ใจคนอื่นเขาไม่ได้ฝึก เขาก็เร่าร้อน เขาก็วุ่นวาย เขาก็ก่อปัญหา เราจะให้ทุกคนไม่ก่อปัญหา เป็นความไร้เดียงสาอย่างยิ่งเลย มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องอยู่กับโลกไปอย่างนี้ เราก็จะเห็นความจริงว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ โลกนี้มีแต่ความวุ่นวาย โลกมีแต่ความไม่สงบ เราเห็นอย่างนี้เราก็อยู่กับมันไป มันวุ่นวายเราไม่วุ่นวาย มันทุกข์เราไม่ทุกข์ ฝึกไปเรื่อยๆ มันชั่วร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง ห้ามมันไม่ได้หรอก

พยายามฝึกตัวเองเข้า เราจะอยู่กับโลกอย่างรู้เท่าทันมัน ไม่ทุกข์ไปกับมัน ฝึกเสีย ตั้งใจ เป็นเวลาที่ดีในเวลานี้ เวลาที่ทุกข์เป็นเวลาที่ดีสำหรับการปฏิบัติ เวลาที่มีแต่ความสุขมันเป็นเวลาที่เผลอเพลินง่าย เป็นเวลาที่ทำให้เราประมาท อย่างขณะนี้เราจะต้องเจริญสติมากเลย จะหยิบจะจับอะไรต้องมีสติตลอด จะมาจับหน้าตัวเองก็ต้องมีสติ ทำอะไรก็ต้องมีสติ โควิดนี้มีคุณประโยชน์มาก ทำให้เราต้องฝึกสติอย่างเข้มงวด ลองมองมันในแง่น่ารักบ้าง มันไม่ได้เลวตลอดหรอก.

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2564

มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิม รู้สึกเหมือนเห็นทุกข์ของโลก

คำถาม:

ผ่านวิกฤตโรคร้ายในชีวิตมา ทำให้รู้สึกว่ามุมมองชีวิตในหลายด้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากๆ ค่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่าเหมือนเห็นทุกข์ของโลกอยู่บ่อยครั้ง ไม่แน่ใจว่าเห็นจริง หรือเพราะความวุ่นวายของโลก และเราไม่ชอบใจสภาวะที่เป็นจึงคิดไปเพื่อปลอบใจตนเอง กราบขอแนวทางการภาวนาต่อไป ว่าควรมีอะไรปรับปรุงหรือไม่คะ

 

หลวงพ่อ:

เห็นมันก็เห็นอยู่ โลกมันวุ่นวาย โลกนี้น่าเบื่อหน่าย โลกนี้น่าเหน็ดเหนื่อย โลกนี้ไม่เป็นไปอย่างใจปรารถนา เห็นตรงนี้เรื่อยๆ แล้วก็ดูต่อไปอีกเราจะหนีจากโลกก็หนีไม่ได้ ขันธ์มันเป็นเรื่องของโลก ที่เราอยู่เราก็อยู่กับขันธ์นี่ล่ะ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องอยู่กับมัน อยู่กับมันสังเกตใจเรา ถ้าใจเรายังเกลียดมันอยู่ ใจเราจะไม่มีความสุข ถ้าโลกวุ่นวายแต่ใจเราไม่ได้เกลียดมัน ใจจะสงบสุข สังเกตง่ายๆ เลย อยู่กับโลกแล้วจิตใจสงบสุขไหม ถ้ายังไม่สงบสุขแสดงว่ายังเกลียดอยู่ ยังไม่เป็นกลาง แสดงว่ายังไม่เข้าใจโลกตามความเป็นจริง โลกนี้ทุกข์จะไปทำให้มันเป็นสุขเป็นไปไม่ได้

โลกมีทั้งโลกภายนอกกับโลกภายใน โลกภายในก็คือรูปนามขันธ์ 5 ของเรานี่ล่ะ มันก็ทุกข์เหมือนกัน จะไปสั่งมันให้ไม่ทุกข์ก็ทำไม่ได้ ก็พยายามเรียนรู้โลกภายในนี้ให้มากๆ มันไม่สามารถทำอะไรได้หรอก มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของบังคับไม่ได้ ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกไปจนจิตมันเป็นกลาง ขณะนี้จิตยังไม่ค่อยเป็นกลาง จิตยังไม่ค่อยชอบอยู่ จะมีความเศร้าหมองแทรกเข้ามาได้ ค่อยๆ ดูเอา

ที่จริงช่วงนี้มันก็เป็นกันแทบทุกคน เพราะชีวิตเรามันต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่เราเคยชินมาตั้งคนละหลายๆ สิบปี ดูมันวุ่นวายไปหมดเลย ยิ่งบริโภคข่าวปลอมๆ ทั้งหลาย ยิ่งเป็นมาก คือบางทีมองอะไร ถ้ามองอ่านข่าวแล้วก็เต้นตามไปเรื่อยๆ ไม่บ้าก็บุญแล้ว บอกอย่างนี้เลยนะไม่บ้าก็บุญแล้ว แต่ถ้ามองมันอย่างเข้าใจ มันจะรู้เลยว่าข้อเท็จจริงอยู่ตรงไหน อย่างเรารู้สึกบ้านเมืองเราตอนนี้แย่เต็มทีแล้ว ลองไปดูว่าจริงๆ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อย่างลองดู มันมีตัวเลขอยู่ สัดส่วนคนไทยที่ตาย เราก็ โห ตายเยอะแยะเลย คนไทยตาย 49 คนต่อ 1 ล้านคน พลเมือง 1 ล้านคน เป็นโควิดตาย 49 เก้าคน ยุโรป อเมริกาหลักพัน เขาหลักพันหลายๆ พันด้วยต่อ 1 ล้านคน ตรงนี้มันสะท้อนอะไร สะท้อน จริงๆ คุณภาพด้านสาธารณสุขเราดี คุณภาพของคนเราส่วนใหญ่ใช้ได้

ถ้าคนส่วนใหญ่ของเราเลวเหลวไหล อย่างที่เห็นในหนังสือพิมพ์ในข่าว ป่านนี้หายนะไปหมดแล้ว คนของเราก็ยังระวังตัวใช่ไหม ไปไหนก็ยังใส่แมสก์อะไรอย่างนี้ มันยังมีอยู่ ส่วนน้อยที่มันไม่ระวัง คุณภาพคนอย่างนี้ของเราสูง ฉะนั้นไม่ใช่ว่า เราวิกฤติ เราไม่มีทางออกอะไรอย่างนี้ อันนั้นเป็นภาพที่สร้างขึ้นมา เพื่อประโยชน์ในสิ่งอื่น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ด้านการรักษาสุขภาพอะไรพวกนี้หรอก ถ้าเราดู fact จริงๆ ดูตัวเลขจริงๆ แต่ตัวเลขบางทีก็หลอกได้เหมือนกัน ต้องดูเหมือนกัน ค่อยๆ สังเกตว่าอะไรเป็นความจริง อย่าแตกตื่น ถ้าเราแตกตื่นเราเสพข่าวมากแล้วเราแตกตื่นมาก อาจจะไม่เป็นโควิดตาย แต่เป็นบ้าตาย

อย่างเราเห็นข่าวใช่ไหม มีคนตายอยู่ที่บ้าน มีคนตายอยู่บนถนน ตกอกตกใจคนมาตายที่ถนน ไปดูข่าวอย่าเพิ่งดูวันเดียวจบ ดูผลการตรวจด้วยมันไม่ได้ตายด้วยโควิด ตายตามถนนเป็นโรคอื่น หลวงพ่อมีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่มีโควิดหรอก แข็งแรงดีทุกประการ เดินๆ อยู่ล้มลงไปตาย หัวใจวายเฉยๆ ตายอยู่ที่ถนน ทุกวันนี้พวกเราอย่าเป็นลมนะ ถ้าเราเป็นลมที่ถนนจะไม่มีใครช่วยเราแล้ว เพราะทุกคนบอก โอ๊ย โควิดๆ รีบถ่ายคลิปเอาไปลง tiktok ลงอะไรต่ออะไร ลงเฟซบุ๊ก คนเป็นโควิดตายอีกคนแล้วอยู่กลางถนนอะไรอย่างนี้ เสพข่าวต้องมีสติ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเสียสติ ใจมันจะเครียด

ระวังตัวให้ดีที่สุด รักษาตัวเองให้ดีที่สุด วัตถุมงคลยุคนี้คือแมสก์ คือแอลกอฮอล์ นั่นล่ะวัตถุมงคลที่แท้จริง ตะกรุดอะไรแขวนไว้ให้กำลังใจ ห้อยตะกรุดวิเศษหรือห้อยท้าวเวสสุวรรณ แล้วเอามือป้ายหน้าไปเรื่อยๆ ท่านก็ไม่ช่วยหรอก ท่านช่วยไม่ได้ ฉะนั้นมีสติ รู้จักวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี อะไรน่าตกใจ ไม่มีอะไรน่าตกใจสักเรื่องเดียวเลย สมมติว่าเกิดโควิดจริงๆ ตายกันเป็นล้านๆ คนก็ไม่น่าตกใจ สิ่งนี้เป็นไปตามเหตุ มีเหตุคนประมาทอะไรต่ออะไรก็เป็น เป็นเรื่องธรรมดา ภาวนาเป็นเราจะรู้สึกว่านั่นก็ธรรมดานี่ก็ธรรมดา ไม่ตกใจหรอก

ถ้าภาวนาไม่เป็นก็เต็มไปด้วยความอยาก เต็มไปด้วยความกลัว ลำเอียงเพราะความอยาก อย่างอยากให้มันสงบแล้วมันไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างก่อนเลย ชีวิตเดี๋ยวนี้เลว หรือเป็นด้วยความกลัว กลัวข่าวโน้นข่าวนี้กลัว หรือเพราะอคติ เพราะ Bias เยอะแยะเลยความลำเอียง มันทำให้เราเสพข้อมูลแบบเพี้ยนๆ คนเราชอบเชื่อข้อมูลที่ตัวเองเชื่อ ไปสังเกตให้ดี หลวงพ่อสังเกตมานานแล้ว คนเราชอบเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ ของจริงข้อมูลจริงๆ บางทีไม่ตรงกับที่อยากเชื่อก็ไม่อยากเชื่อ ก็ไม่ยอมเชื่อ ไปสังเกตดูโลกนี้มันเป็นอย่างนี้ กระทั่งตัวเราเองเราอยากเลือกเชื่อสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2564