การเตรียมตัวตาย

หากเราจะตาย ถ้าเราเคยภาวนา เราภาวนา ตายเลย ไม่ต้องคิดว่าจะหายหรือไม่หาย ดูมันไป ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมันมาอยู่ได้ตั้งหลายปีแล้ว คุ้มค่าแล้ว ตอนนี้ร่างกายเราเหมือนรถยนต์เก่าๆ ซ่อมแล้วซ่อมอีก ซ่อมไม่ไหวแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปโละ ไปขาย คือถึงเวลาต้องทิ้งแล้ว ร่างกายนี้เหมือนกัน เหมือนเครื่องยนต์ พอใช้มานานเริ่มสะดุด เริ่มชำรุดตรงนั้นตรงนี้ แรกๆ ก็ซ่อม ซ่อมโน้นซ่อมนี้ไป ถึงจุดที่มันซ่อมไม่ไหว ซ่อมไม่ไหวก็ทิ้งมัน เราภาวนาของเรา อยู่กับธรรมะของเรา ภาวนาไป พุทโธไป หายใจไป หรือเจริญปัญญาไป เห็นร่างกายมันจะตาย ใจเป็นคนดูอะไรอย่างนี้ ฝึกเรื่อยๆ ไม่ต้องมาห่วงหาอาทรใครทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ต่อไปไม่นานก็จะเป็นของคนอื่น ทิ้งให้หมดเลย ตั้งใจอย่างนี้ ถ้าไม่เคยปฏิบัติ ทำไม่ได้หรอก ญาติเราจะตายแล้ว อย่าไปทำให้เขากลุ้มใจ อย่างคนใกล้ตาย ชวนเขาคุยในเรื่องดีๆ ถ้าคุยแล้วเขารำคาญ อย่างชวนคุยเรื่องไปทำบุญไปอะไร เขารำคาญนี้หยุดเลย ไม่ต้องฝืน ต้องรักษาจิตของเขาให้ดี บางคนก็ใช้วิธี คนจะตาย คนใกล้ตัว อย่างพ่อแม่จะตาย จับมือไว้ บอกทำใจสบายๆ ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วงอะไร ปลอบๆ อย่างนี้ อันนี้แบบชาวโลกก็ยังดี ถ้าไปถึงก็ร้องไห้โฮๆ จะตายแล้วๆ ตายแล้วจะไปไหน สงสัยตกนรกแน่เลย ชอบกินเหล้า โอ๊ย อย่างนี้ อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย

วางขันธ์ได้ก็คือวางโลกได้

ถ้าดูจิตได้ ไม่นานเราก็จะเห็นจิตไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ตัวเราเพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับอะไรไม่ได้ ถ้าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 มันก็อาศัยจิตเกิดขึ้นมา ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ก็จะไม่ใช่เรา โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาลก็ไม่ใช่เรา แล้วถ้าวันใดที่ภาวนาจนเห็นความจริงว่าจิตคือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 ก็คือทุกข์ โลกก็คือทุกข์ จักรวาลทั้งหมดก็คือทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย จิตก็จะวางจิต วางจิตได้ก็คือวางขันธ์ได้ วางขันธ์ได้ก็คือวางโลกได้ ฉะนั้นหลุดพ้นที่จิตที่เดียวนี้เอง ก็จะหลุดพ้นจากขันธ์ 5 ทั้งหมดได้