ซ้อมในรูปแบบแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง

ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ เวลาทำในรูปแบบ ไหว้พระสวดมนต์คิดถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระคุณของท่าน ไม่ได้ปฏิบัติเอาดีวิเศษอะไรหรอก ลงมือทำไป อย่าใจโลภ ถือว่าปฏิบัติบูชา วันไหนฟุ้งซ่านทำความสงบ วันไหนสงบแล้วทำจิตตั้งมั่นด้วยการรู้เท่าทันจิตที่ไหลไปไหลมา มีจิตตั้งมั่นแล้ว แยกขันธ์ เห็นกายกับใจมันคนละอัน เห็นสุข ทุกข์ ดี ชั่วกับจิตใจก็เป็นคนละอัน ซ้อมอยู่ในรูปแบบ เสร็จแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง พอร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติรู้ไปเรื่อยๆ รู้อะไร รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู รู้ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร กุศลเกิดหรืออกุศลเกิด ฝึกเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจที่หลวงพ่อพุธบอก ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติไว้ แค่นี้อย่าว่าแต่จะบรรลุโสดาบันเลย บรรลุพระอรหันต์ยังได้เลย

พิจารณาปฏิกูลอสุภะ

พิจารณาอสุภะมันมีข้อดีสำหรับพระ พระหนุ่มเณรน้อยอะไรอย่างนี้ กามราคะมันแรง พระไม่ใช่ว่าพอบวชปุ๊บแล้วไม่มีราคะเสียเมื่อไร เป็นโยมมีราคะอย่างไรมาบวชแล้วราคะมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วเป็นโยมมันยังมีการผ่อนคลาย เป็นพระมันเก็บกด เก็บกดมากๆ เครียดมากๆ ก็เพี้ยนไป ทีนี้การพิจารณาปฏิกูลอสุภะเลยเป็นข้อดี เพราะมันเป็นสมถกรรมฐานที่ใช้ข่มราคะโดยตรง เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์กรรมฐานท่านจะสอนลูกศิษย์ให้พิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ วิธีพิจารณาปฏิกูลอสุภะทำได้หลากหลาย แล้วแต่กลวิธีของใคร บางคนก็ผลิตวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ทำได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของการคิด คิดอย่างไรก็ได้ให้มันลงอสุภะให้ได้ อย่างนี้ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ

ทำถูกแล้วต้องทำให้มาก

พอรู้หลักแล้วก็เร่งให้ภาวนาให้มาก พอทำถูกแล้วต้องทำให้พอ ทำให้มาก เจริญให้มาก
เจริญสติให้มาก ตอนนี้พวกเราจำนวนมากจิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ตั้งมั่นนี่มันตื่น มันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน เราก็ได้ลิ้มรสชาติของสภาวะแห่งความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็คือสมาธินั่นล่ะ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น
ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ เดี๋ยวมันก็เห็นเองล่ะว่าทางที่จะเดิน เดินไปทางไหน แล้วแต่ละก้าวที่เดิน มันจะมีความรู้สึกเลย แต่เดิมเราเหมือนอยู่ในป่าที่ทึบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน คลำๆ เหมือนคนตาบอด พอเราภาวนารู้ทิศรู้ทาง ค่อยๆ คลำๆ ไป เราก็ออกมาสู่ที่โล่งขึ้นๆ จากป่าทึบก็มาเป็นป่าโปร่ง จากป่าโปร่งก็ออกมาเป็นไร่อ้อยไร่มันอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ออกมาเจอถนนได้ ค่อยๆ ทำ ตั้งอกตั้งใจเข้า

รีบปฏิบัติเข้า

รีบๆ ปฏิบัติเข้า อย่าขี้เกียจ ตอนนี้พวกเราส่วนหนึ่ง ภาวนาแบบก้าวกระโดดไปเยอะแล้ว พวกนี้เขาไม่สงสัยแล้ว ว่าจิตตื่นเป็นอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร ขันธ์แยกเป็นอย่างไร เห็นไตรลักษณ์เห็นอย่างไร เขาไม่ต้องมาถามหลวงพ่อแล้ว ภาวนาแล้วมันรู้ด้วยตัวเอง เวลาจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันแยกออกไป เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนคนเดิม คนเดิมเราจะรู้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกตัว จิตหลงโลก หลงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ยังหนุ่มยังสาว เป็นช่วงเวลาที่เราแข็งแรงที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ช่วงเวลานี้ มารีบภาวนาให้ดี เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยเรียนกับท่าน แต่เคยได้ยิน ท่านพูดบอกว่า ท่านมาบวชตั้งแต่หนุ่ม เพราะว่าชีวิตวัยหนุ่ม เป็นวัยที่สดชื่นแข็งแรง คนเราเวลาจะทำบุญ พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เอาไปทำบุญถวายพระ ท่านเลยถวายชีวิตช่วงหนุ่มของท่านนี้ให้พระพุทธเจ้า ออกมาบวชแล้วไม่ยอมสึก ลงมือปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ไม่ยอมเลิก ท่านบอก ท่านถวายของที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา