พิจารณาปฏิกูลอสุภะ

พิจารณาอสุภะมันมีข้อดีสำหรับพระ พระหนุ่มเณรน้อยอะไรอย่างนี้ กามราคะมันแรง พระไม่ใช่ว่าพอบวชปุ๊บแล้วไม่มีราคะเสียเมื่อไร เป็นโยมมีราคะอย่างไรมาบวชแล้วราคะมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วเป็นโยมมันยังมีการผ่อนคลาย เป็นพระมันเก็บกด เก็บกดมากๆ เครียดมากๆ ก็เพี้ยนไป ทีนี้การพิจารณาปฏิกูลอสุภะเลยเป็นข้อดี เพราะมันเป็นสมถกรรมฐานที่ใช้ข่มราคะโดยตรง เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์กรรมฐานท่านจะสอนลูกศิษย์ให้พิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ วิธีพิจารณาปฏิกูลอสุภะทำได้หลากหลาย แล้วแต่กลวิธีของใคร บางคนก็ผลิตวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ทำได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของการคิด คิดอย่างไรก็ได้ให้มันลงอสุภะให้ได้ อย่างนี้ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ

ทำถูกแล้วต้องทำให้มาก

พอรู้หลักแล้วก็เร่งให้ภาวนาให้มาก พอทำถูกแล้วต้องทำให้พอ ทำให้มาก เจริญให้มาก
เจริญสติให้มาก ตอนนี้พวกเราจำนวนมากจิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ตั้งมั่นนี่มันตื่น มันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน เราก็ได้ลิ้มรสชาติของสภาวะแห่งความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็คือสมาธินั่นล่ะ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น
ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ เดี๋ยวมันก็เห็นเองล่ะว่าทางที่จะเดิน เดินไปทางไหน แล้วแต่ละก้าวที่เดิน มันจะมีความรู้สึกเลย แต่เดิมเราเหมือนอยู่ในป่าที่ทึบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน คลำๆ เหมือนคนตาบอด พอเราภาวนารู้ทิศรู้ทาง ค่อยๆ คลำๆ ไป เราก็ออกมาสู่ที่โล่งขึ้นๆ จากป่าทึบก็มาเป็นป่าโปร่ง จากป่าโปร่งก็ออกมาเป็นไร่อ้อยไร่มันอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ออกมาเจอถนนได้ ค่อยๆ ทำ ตั้งอกตั้งใจเข้า

การเทียบเคียงของการปฏิบัติ ปัญญายังไม่พอ กลัวหลงในทางที่ละเอียด

การภาวนา หยาบหรือละเอียดมีผลเท่ากัน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียด ถ้ารู้ของหยาบได้ เราก็รู้ของหยาบ ของหยาบก็สอนไตรลักษณ์ รู้ได้ละเอียด มันรู้เอง ไม่ได้เจตนารู้ สิ่งที่ละเอียดก็แสดงไตรลักษณ์ แสดงอันเดียวกัน

ธุรกิจครอบครัวทรุดหนัก ทุกข์มาก กายก็มีวิบาก ระหว่างวันจิตรู้สภาวะได้เอง ใจเบามากขึ้น เห็นกายไม่ใช่เรา แต่จิตยังมีเราอยู่ ต้องพัฒนาอย่างไร

โลกไม่เคยสงบสุข โลกไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะธรรมะประจำโลก มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ อันนั้นคือธรรมะประจำโลก เราไม่ได้ภาวนาเพื่อว่าจะทำลายธรรมะประจำโลก แต่เราจะอยู่กับโลกอย่างเข้าใจโลก เข้าใจธรรมะประจำโลก เชื่อหรือยังว่ามีลาภ แล้วก็เสื่อมลาภได้ นั่นล่ะคือสัจจะ คือความจริง ถ้าใจเรายอมรับได้ ช่วงนี้ทำธุรกิจได้ไม่ดี ใจเรายอมรับได้ ธุรกิจมีปัญหาแต่ใจเราไม่ทุกข์

เจอการกระทบทางอารมณ์เวลาทำงาน เวลาทำงานแล้วกายล้ามากๆ จะควบคุมสติให้อยู่เหนือความล้าของกายได้อย่างไร

เราต้องรู้จักเบรกตัวเองเป็นช่วงๆ เราทำงานไปสักชั่วโมงหนึ่งอะไรอย่างนี้ ก็เบรกตัวเองได้ก็เบรก เดินไปห้องน้ำไปอะไรอย่างนี้ เปลี่ยนอารมณ์ ตอนที่เราเบรกใจเราจะสดชื่นขึ้นมาหน่อย ก็มาทำงานต่อ แต่ถ้าตะลุมบอนเช้ายันเย็น มันล้า จิตมันก็ล้า มันไม่ล้าเฉพาะกายหรอก จิตมันก็เหนื่อย เพราะฉะนั้นก็ให้มันได้พักเป็นระยะๆ ไป ชั่วโมงหนึ่งให้พักสัก 5 นาที เก็บเล็กเก็บน้อยไป ถ้าชั่วโมงหนึ่งเราทำสมาธิ 5 นาที 12 ชั่วโมงเท่ากับเราทำสมาธิ 1 ชั่วโมงแล้ว ฉะนั้นเราเก็บไปเรื่อยๆ จิตมันจะมีแรง

ที่ผ่านมามีทุกข์ทางความรักและโรคจิตเวช พยายามหาทางออกด้วยการปฏิบัติธรรม ฟังธรรม

ไปฟังเทศน์ที่หลวงพ่อเทศน์ ไม่ต้องรีบปฏิบัติหรอก ฟังเทศน์ไป สบายใจก็รู้ กลุ้มใจก็รู้ รู้ไปเรื่อยๆ ฟังเทศน์ไปเรื่อยๆ ฟังแล้วสบายใจก็รู้ ตอนนี้ไม่ได้ฟังแล้ว ไม่สบายใจก็รู้ รู้เรื่อยๆ ไม่ต้องหาทางทำให้ดี จิตเวชคนไทยเป็นเยอะหลาย 10 เปอร์เซนต์เลย แต่คนไทยไม่ค่อยยอมรับ กลัว ไปหาหมอจิตแพทย์ กลัวเดี๋ยวคนจะว่าเป็นบ้า มันคนละเรื่องกันเลย อย่างเราเป็นโรคซึมเศร้า ไปหาหมอก็ไม่เป็นไร แล้วก็อย่าไปคิดว่าถ้าเป็นโรคทางจิตใจ แล้วจะไปนั่งสมาธิแล้วหาย บางคนยิ่งนั่งยิ่งเป็นก็มี

รีบปฏิบัติเข้า

รีบๆ ปฏิบัติเข้า อย่าขี้เกียจ ตอนนี้พวกเราส่วนหนึ่ง ภาวนาแบบก้าวกระโดดไปเยอะแล้ว พวกนี้เขาไม่สงสัยแล้ว ว่าจิตตื่นเป็นอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร ขันธ์แยกเป็นอย่างไร เห็นไตรลักษณ์เห็นอย่างไร เขาไม่ต้องมาถามหลวงพ่อแล้ว ภาวนาแล้วมันรู้ด้วยตัวเอง เวลาจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันแยกออกไป เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนคนเดิม คนเดิมเราจะรู้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกตัว จิตหลงโลก หลงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ยังหนุ่มยังสาว เป็นช่วงเวลาที่เราแข็งแรงที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ช่วงเวลานี้ มารีบภาวนาให้ดี เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยเรียนกับท่าน แต่เคยได้ยิน ท่านพูดบอกว่า ท่านมาบวชตั้งแต่หนุ่ม เพราะว่าชีวิตวัยหนุ่ม เป็นวัยที่สดชื่นแข็งแรง คนเราเวลาจะทำบุญ พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เอาไปทำบุญถวายพระ ท่านเลยถวายชีวิตช่วงหนุ่มของท่านนี้ให้พระพุทธเจ้า ออกมาบวชแล้วไม่ยอมสึก ลงมือปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ไม่ยอมเลิก ท่านบอก ท่านถวายของที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา

ภาวนาในรูปแบบโดยรู้ท้องพองท้องยุบ กำหนดรู้ท้องพองยุบ รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก จึงเปลี่ยนรู้ลมหายใจ แต่ลมหายใจเบาจนแทบรู้สึกไม่ได้

ใช้กรรมฐานอะไรก็ได้ ถ้าต้องการให้สงบ เราก็ดูท้องเราหรือดูลมหายใจ แต่ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่น ก็รู้ทันจิตตนเองว่าตอนนี้จิตไปอยู่ที่ท้องแล้ว ตอนนี้จิตไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว สมาธิเลยมี 2 แบบ สมาธิอย่างที่หนึ่ง จิตเข้าไปนอนพักในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อย่างไปอยู่กับท้องแล้วสบายใจ อยู่กับลมแล้วสบายใจ นี่เป็นสมาธิเอาไว้พักผ่อน สมาธิอีกชนิดหนึ่ง เป็นสมาธิที่ทำให้จิตตั้งมั่น บางคนไปบอกว่าสมาธิคือจิตตั้งมั่น ไม่ถูก ชอบไปบอกว่าหลวงพ่อสอนว่า สมาธิคือจิตตั้งมั่น สมาธิมันก็เป็นเจตสิก องค์ธรรมมันคนละตัวกับจิต มันคนละเรื่องกันเลย แต่ว่าจิตที่ตั้งมั่นก็คือจิตที่มีสัมมาสมาธิ ต้องแทรกตัวนี้นิดหนึ่ง ชอบโควทที่หลวงพ่อพูดแล้วเอาไปมั่วๆ โควทผิด ของเราถ้าอยากให้จิตตั้งมั่น ตอนนี้รู้ทันจิต เห็นไหมจิตมันส่ายไปส่ายมา ให้รู้ตัวนี้แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา รู้สึกไหมจิตตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกันแล้ว นี่คือสภาวะที่จิตตั้งมั่นขึ้นมา แล้วพอจิตตั้งมั่นแล้วลองดูร่างกายสิ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา รู้สึกไหมร่างกายไม่ใช่เราหรอก แต่ถ้าจิตสงบไปดูร่างกาย มันก็เราอีกล่ะ ฉะนั้นจิตที่สงบอยู่เฉยๆ กับจิตที่ตั้งมั่นไม่เหมือนกัน แล้วสมาธิในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้แปลว่าสงบ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่คือจิตตั้งมั่นด้วย คือความตั้งมั่นของจิต ตรงนี้จิตไม่ตั้งมั่นแล้ว จิตไหลไปแล้วดูออกไหม ถ้าดูออกก็ภาวนาได้ล่ะ ไปทำเอา ในที่สุดจิตจะตั้งมั่น แล้วคราวนี้ สติระลึกอะไรลงไป มันจะเห็นเลยว่าไม่ใช่เราหรอก

ครูบาอาจารย์สอนแล้วเรามีหน้าที่ทำ

ทำผิดทำถูกแล้วไปส่งการบ้าน ตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ไม่มั่นใจไม่แน่ใจ ค่อยไปถามครูบาอาจารย์ ไม่ได้ถามทุกวันถามทุกเรื่อง ถามทุกวันถามทุกเรื่องไม่พัฒนาหรอก ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นธรรมะใช้โยนิโสมนสิการให้มาก พิจารณาตัวเองให้มาก สิ่งที่เราทำอยู่หรือผลที่เราทำอยู่ สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าของครูบาอาจารย์ไหม อย่างที่หลวงพ่อไปถามหลวงตามหาบัว เพราะหลวงพ่อสังเกตุเราต้องทำผิด ทำไมจิตเราว่างสว่าง ไม่มีกิเลสมีแต่ความสุข ก็เฉลียวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเรามีแต่ความสุข ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ สังเกตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา ตรวจสอบการปฏิบัติของเราเอง ให้สม่ำเสมอ ตรวจเป็นระยะๆ ไม่ต้องตรวจตลอดเวลา ตรวจตลอดเวลาเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ไม่ได้ปฏิบัติ

การภาวนาในรูปแบบ

อดทนนิดหนึ่ง ทำวันหนึ่ง 3 ชั่วโมงจะแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ได้ ตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนกลางวันครึ่งชั่วโมง ตอนก่อนนอนสักชั่วโมงครึ่ง เก็บๆๆ รวมให้ได้สัก 3 ชั่วโมงทำไป วิธีทำก็ทำกรรมฐานที่เราถนัด จิตหลงไปที่อื่น รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน อย่างดูท้อง จิตไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน รู้ทันจิต ทำกรรมฐานไปแล้วรู้ทันจิตไป เรียกว่าอธิจิตตสิกขา สิ่งที่เราจะได้ก็คือสัมมาสมาธิ พอสติระลึกรู้ จิตมันเคลื่อนไปทางไหน สติรู้ทันปั๊บ ความที่ไหลไปมันก็จะดับ จิตก็จะตั้งมั่น พอตั้งมั่นถี่ๆๆๆ มันจะตั้งได้แข็งแรงขึ้น มันจะเหมือนจิตเราตั้งมั่นอยู่ทั้งวันเลย โดยที่ไม่ได้เจตนา จิตที่ตั้งมั่นตัวนี้ เป็นจิตที่มีสติกำกับ รู้เนื้อรู้ตัว ผ่องใส นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ ไม่เซื่องซึม แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซงการรู้อารมณ์ เรามีจิตที่ทรงคุณภาพสูงแบบนี้แล้ว เราไปเดินปัญญาได้ ถ้าจิตของเราถูกต้อง การเจริญปัญญาจะใช้เวลาไม่มากหรอก แต่ถ้าจิตเรายังไม่ถูก บอกว่าเจริญปัญญาๆ 10 ปี 20 ปี ใช้เวลานาน บางทียังไม่ได้เรื่องเลย ฉะนั้นตัวที่แตกหักก็คือจิตเรามีคุณภาพหรือเปล่า ที่เราฝึกกรรมฐานบอกวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อพัฒนาจิตใจของเราให้ตั้งมั่น ให้มีคุณภาพ

Page 2 of 69
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 69