ทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้

การปฏิบัติ จิตจะต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าจิตไม่มีเครื่องอยู่ จิตก็ร่อนเร่ไป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในขั้นไหนก็ต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ อย่าว่าแต่พวกเราเลย กระทั่งพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีการเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ ใช้กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ใจมีบ้านอยู่ แต่พวกเราต่างกับพระอรหันต์ ตรงที่ เรายังยึดถือกายใจขันธ์ 5 อยู่ เราเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ถูกเข้าใจถูก แล้วปล่อยวาง ในขณะที่พระอรหันต์ท่านมีกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเครื่องอยู่ แล้วจิตท่านพรากออกไป แยกออกไปจากขันธ์ ไม่เกาะเกี่ยว มองเห็นขันธ์เป็นความว่าง ในขณะที่พวกเรามองเห็นขันธ์เป็นตัวเรา ปุถุชน เพราะฉะนั้นจะทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้ สังเกตตัวเอง อยู่กับเครื่องอยู่ชนิดไหนแล้วสติเกิดบ่อย เอาอันนั้นล่ะดี

มงคลชีวิต

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่มีแต่ธรรมะระดับพ้นโลก ธรรมะที่จะอยู่กับโลกอย่างมีความสุขท่านก็สอนเอาไว้ ฉะนั้นเราลองไปสังเกตในมงคลสูตรก็ได้ ดูสักสูตรหนึ่ง อะไรที่ท่านบอกให้ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ อะไรที่ท่านห้าม เราก็อย่าไปทำ ชีวิตเราก็จะเจริญ มีความสุข มีความเจริญมากขึ้นๆ ยิ่งอย่างเราได้ฟังธรรมแล้วเราก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรม ท่านบอกการเห็นสมณะ การฟังธรรมตามกาล การบำเพ็ญตบะคือการแผดเผากิเลสด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมงคลอย่างยิ่ง ถัดจากนั้นก็เห็นอริยสัจ พ้นจากโลกธรรมทั้งหลาย จิตใจเข้าถึงความไม่เศร้าโศก การไม่มีกิเลส จิตใจเข้าถึงความปลอดภัย ไม่ถูกอะไรมาเสียดแทงจิตใจให้เศร้าหมองลงมาได้อีก ฉะนั้นธรรมะ ดีทั้งทางโลก ดีทั้งทางธรรม