เคยบวชจำพรรษา ไม่ได้ศึกษาหลักธรรม หลังจากสึกมาแล้ว ฟังธรรมะหลวงพ่อ จึงได้ทราบว่าตนเองติดอาบัติสังฆาทิเสส ออกมาถึงเป็นตาลยอดด้วน

อาบัติสังฆาทิเสส ไม่ถึงระดับตาลยอดด้วน อันนั้นปาราชิก ฉะนั้นเราไม่ใช่ถึงระดับขนาดนั้น ภาวนาเยอะๆ มีโอกาสก็ไปหาที่บวช แล้วไปอยู่ปริวาสให้มันจริงจัง ต้องอยู่วัดที่เขาทำกรรมฐานจริงๆ วัดบ้านทำปริวาสเป็นแค่กิจกรรมเฉยๆ ไม่ได้อยู่ปริวาสจริง เรียกว่าจัดปริวาสอย่างโน้น จัดปริวาสอย่างนี้ ไม่ถูกต้องตามพระวินัย

เดินจงกรมเป็นหลัก พยายามดูร่างกายเดิน แต่เหมือนไม่ค่อยรู้เรื่อง มักสงสัยว่าทำถูก และเหมาะกับจริตหรือไม่

การภาวนาไม่ต้องพยายามจะรู้เรื่อง เราไม่ได้ภาวนาเพื่อจะรู้เรื่อง เราภาวนาเพื่อจะรู้สึกกายอย่างที่กายเป็น รู้สึกใจอย่างที่ใจเป็น ไม่ใช่ภาวนาเอาเรื่อง ไม่ต้องมีความรู้อะไรเยอะหรอก เห็นร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู เห็นจิตใจมันทำงานไป ใจเป็นคนดู แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว หน้าที่รู้เรื่องเป็นหน้าที่ของปัญญา มันเกิดเอง ทำเหตุให้พอ แล้วปัญญามันก็เกิด

ในชีวิตประจำวัน ดูร่างกายเคลื่อนไหว เพ่งน้อยลง แต่จะไหลไปจมเบลอๆ นั่งสมาธิไม่ได้ เพราะจะเคลิ้ม ง่วง ขอหลวงพ่อช่วยสอนวิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่นด้วยค่ะ

เวลาเรากวาดบ้าน พอกวาดเสร็จ ขี้ฝุ่นมันก็มาแล้วล่ะ กวาดเสร็จปุ๊บ ฝุ่นมันก็มาแล้ว ให้เรากวาดอีก กวาดไปเรื่อยๆ บอกว่าภาวนาก็เหมือนกัน ภาวนาแล้วกิเลสมันก็มาบ่อยๆ สงบไปแป๊บเดียวกิเลสแทรกแล้วอย่างนี้ ก็มีหน้าที่กวาดมัน สู้กับมันด้วยการเรียนรู้มัน รู้ทันมัน ทำแล้วทำอีก เหมือนกวาดบ้าน กวาดแล้วกวาดอีก หรือเหมือนซักผ้า ไม่ใช่ซักทีเดียวใช้ทั้งชาติเมื่อไร ใจเราจะได้สะอาด

ตัดทอนพระไตรปิฎกตามใจชอบไม่ได้

ปริยัติสิ่งที่เป็นหลักของเราก็คือพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้มันอาถรรพ์อะไร มันเหมือนอาถรรพ์เหมือนต้องคำสาป คนที่พยายามทำลายพระไตรปิฎกมีเสมอ จริงๆ ในพระไตรปิฎกมีทั้งพุทธวจนมีทั้งคำสอนของพระเถระ พระเถรี คำพูดคำแสดงธรรมของเทวดา ของฤๅษีของอะไร มีเยอะแยะเลย ของเปรตยังมีเลย พวกเปรตมันได้รับความทุกข์ก็พูดเป็นธรรมะขึ้นมา มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง คือหลวงปู่มหาเขียน พระอริยเวที องค์นี้จบเปรียญ 9 ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เก่งทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ท่านบอกเลยว่าท่านท่องพระไตรปิฎกได้ แล้วท่านบอกพระไตรปิฎกทั้งหมดทุกเรื่องเลยสอนเรื่องการปฏิบัติทั้งนั้น คนที่รู้จริงมองปุ๊บบอกตรงนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ อันนี้ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัดทอนไปเฉยๆ

ว่างไม่ใช่ว่างเปล่า

ว่างกับว่างเปล่าไม่เหมือนกัน ว่างเปล่ามันไม่ใช่ อะไรๆ ก็ไม่เอา อะไรก็ไม่ยึดอะไรอย่างนี้ อันนี้มโนเอา ฉะนั้นก่อนที่เราจะสัมผัสความว่างนี้ ให้เราเรียนรู้ความวุ่นไว้ อะไรเป็นตัววุ่นวาย ขันธ์ 5 เป็นตัววุ่นวาย เป็นตัวปรุงแต่ง
ตามรู้ตามเห็นมันไป จนกระทั่งมันวางเอง ไม่ต้องอวดอุตริไปวาง แล้วว่างอันนี้มันจะไม่เหมือนว่างที่เราไปอ่านหนังสือเซน เลยทำใจว่างๆ ขึ้นมา ไม่เหมือนกันเลย ว่างอันนั้นแกล้งทำเป็นภพอันหนึ่ง ส่วนว่างจริงมันพ้นจากภพแล้ว คนละแบบ แล้วคนละเรื่องกันเลย คนละวิธีการ ว่างอันนั้นมโนเอา คิดเอา ถ้าว่างจริงเกิดจากปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในความจริงของรูปนาม ขันธ์ 5 ไม่เหมือนกัน ถ้าว่างจริงก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ จะเห็นอย่างนี้

การเตรียมตัวตาย

หากเราจะตาย ถ้าเราเคยภาวนา เราภาวนา ตายเลย ไม่ต้องคิดว่าจะหายหรือไม่หาย ดูมันไป ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมันมาอยู่ได้ตั้งหลายปีแล้ว คุ้มค่าแล้ว ตอนนี้ร่างกายเราเหมือนรถยนต์เก่าๆ ซ่อมแล้วซ่อมอีก ซ่อมไม่ไหวแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปโละ ไปขาย คือถึงเวลาต้องทิ้งแล้ว ร่างกายนี้เหมือนกัน เหมือนเครื่องยนต์ พอใช้มานานเริ่มสะดุด เริ่มชำรุดตรงนั้นตรงนี้ แรกๆ ก็ซ่อม ซ่อมโน้นซ่อมนี้ไป ถึงจุดที่มันซ่อมไม่ไหว ซ่อมไม่ไหวก็ทิ้งมัน เราภาวนาของเรา อยู่กับธรรมะของเรา ภาวนาไป พุทโธไป หายใจไป หรือเจริญปัญญาไป เห็นร่างกายมันจะตาย ใจเป็นคนดูอะไรอย่างนี้ ฝึกเรื่อยๆ ไม่ต้องมาห่วงหาอาทรใครทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ต่อไปไม่นานก็จะเป็นของคนอื่น ทิ้งให้หมดเลย ตั้งใจอย่างนี้ ถ้าไม่เคยปฏิบัติ ทำไม่ได้หรอก ญาติเราจะตายแล้ว อย่าไปทำให้เขากลุ้มใจ อย่างคนใกล้ตาย ชวนเขาคุยในเรื่องดีๆ ถ้าคุยแล้วเขารำคาญ อย่างชวนคุยเรื่องไปทำบุญไปอะไร เขารำคาญนี้หยุดเลย ไม่ต้องฝืน ต้องรักษาจิตของเขาให้ดี บางคนก็ใช้วิธี คนจะตาย คนใกล้ตัว อย่างพ่อแม่จะตาย จับมือไว้ บอกทำใจสบายๆ ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วงอะไร ปลอบๆ อย่างนี้ อันนี้แบบชาวโลกก็ยังดี ถ้าไปถึงก็ร้องไห้โฮๆ จะตายแล้วๆ ตายแล้วจะไปไหน สงสัยตกนรกแน่เลย ชอบกินเหล้า โอ๊ย อย่างนี้ อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย

ซ้อมในรูปแบบแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง

ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ เวลาทำในรูปแบบ ไหว้พระสวดมนต์คิดถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระคุณของท่าน ไม่ได้ปฏิบัติเอาดีวิเศษอะไรหรอก ลงมือทำไป อย่าใจโลภ ถือว่าปฏิบัติบูชา วันไหนฟุ้งซ่านทำความสงบ วันไหนสงบแล้วทำจิตตั้งมั่นด้วยการรู้เท่าทันจิตที่ไหลไปไหลมา มีจิตตั้งมั่นแล้ว แยกขันธ์ เห็นกายกับใจมันคนละอัน เห็นสุข ทุกข์ ดี ชั่วกับจิตใจก็เป็นคนละอัน ซ้อมอยู่ในรูปแบบ เสร็จแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง พอร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติรู้ไปเรื่อยๆ รู้อะไร รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู รู้ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร กุศลเกิดหรืออกุศลเกิด ฝึกเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจที่หลวงพ่อพุธบอก ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติไว้ แค่นี้อย่าว่าแต่จะบรรลุโสดาบันเลย บรรลุพระอรหันต์ยังได้เลย

ชอบใช้พุทโธถี่ๆ มากกว่าดูลมหายใจ ยังฟุ้งซ่าน และหลงโลกอยู่มาก ยังเดินปัญญาไม่เป็น พยายามจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่บางทีก็ยังทำไม่ค่อยได้

เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิต โดยที่เราไม่เข้าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิตได้ เมื่อจิตของเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครูบาอาจารย์วัดป่าจะเรียกว่าจิตผู้รู้ หรือจิตประภัสสร พระพุทธเจ้าบอกว่า เดิมนั้นจิตมันประภัสสร คือจิตปกติของเรานั่นล่ะ มันประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสมันจรมา นี้เราพยายามฝึกจนกระทั่งจิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมา สว่าง ผ่องใส สบาย เงียบๆ แล้วพอมันปรุงอะไรขึ้นแม้แต่เล็กๆ เราก็จะเห็น ตรงนี้ที่เรารู้ทันความปรุงแต่งได้ เพราะจิตของเรามีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา

ภาวนาช่วงนี้มักมีอุปสรรค จึงเปลี่ยนมาใช้การสวดบทมหาจักรพรรดิ์ ควบคู่กับบริกรรมพุทโธไว้ที่กลางอก เวลาที่จิตออกนอก พยายามกลับมารู้ลมหายใจ แต่ยังมีการบังคับจิตอยู่บ้าง

บทจักรพรรดิ์ หลวงปู่ดู่ท่านเรียกบทบูชาพระ ในนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิ์สักนิดเลย คนรุ่นหลังอยากมีโชค มีลาภ มีอะไร ก็แต่ง เปลี่ยนชื่อไป ท่องไปหวังว่าจะรวย จะอย่างโน้นอย่างนี้ ผิดวัตถุประสงค์ของครูบาอาจารย์ มันแค่บทบูชาพระเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเราพยายามรักษาคำสอน ของครูบาอาจารย์ที่ดีๆ เอาไว้ ทุกวันนี้มันบิด บิดไป สนองกิเลส คนส่วนใหญ่มันอยากรวย ครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านก็ฉลาดเหมือนกัน อยากรวยก็ให้มันสวดแล้วรวย สวดไปเรื่อยๆ มันก็ได้สมาธิ แต่ถ้าไม่มีปัญญาประกอบ สวดแล้วก็เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะรวย ตราบใดที่อยากรวย ขณะนั้นยังจนอยู่ คนที่รวยคือคนพอ ถ้าพอแล้ว รวยแล้ว มีแสนล้านมันยังไม่พอ อันนี้ยังจน

ดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ ไม่อยากให้พ่อตาย จึงปฏิบัติทุกวันเพื่อให้ผลบุญส่งให้พ่ออยู่กับเรานานๆ

บุญไม่ได้ช่วยให้ใครรอดตายหรอก แต่บุญกุศลทำให้เราไม่ทุกข์ พ่อยังอยู่เราก็มีความปลื้มใจได้ดูแล ได้ทำสิ่งที่ดีงาม ใจเราเป็นบุญ ใจเรามีความสุข ไม่กังวล ถ้าพ่อจะตาย ใจเรามีปัญญารู้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ใจเราไม่เศร้าหมอง ผลของการปฏิบัติจะเป็นอย่างนี้ คือถ้าใครช่วยใครได้ให้มันไม่ตายได้ พระพุทธเจ้าไม่นิพพานหรอก ไม่มีใครห้ามความตายได้หรอก เพียงแต่ว่าเมื่อความตายของคนที่เรารักมาถึง ตั้งสติให้ได้ ไม่เศร้าหมองเท่านั้นล่ะ

Page 1 of 69
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 69