รู้ว่ากายใจเป็นทุกข์จึงหมดความยึดมั่น

ถ้ามีสติอยู่กับร่างกาย รู้สึกไป ไม่นานเราก็จะเห็นความทุกข์ ร่างกายมีแต่ทุกข์ มีสติรู้สึกจิตไปเรื่อยๆ ไม่นานเราก็จะรู้สึกว่าจิตนั้นก็เป็นตัวทุกข์ มีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เฝ้ารู้เฝ้าดู ถ้ารู้ทุกข์เมื่อไร ก็เป็นอันละสมุทัยเมื่อนั้น เรายึดกายมากเพราะเราเห็นว่ากายเป็นตัวสุข เป็นตัวดี พอเรามีสติรู้สึกอยู่ในกายเนืองๆ กายนี้เป็นตัวทุกข์ ความรักใคร่หวงแหนในร่างกาย ก็จะลดลงจนกระทั่งวันหนึ่งมันไม่ยึดถือในร่างกาย ต่อไปก็ดูจิตใจไป เห็นจิตใจเป็นตัวทุกข์ เรียกรู้ทุกข์ มันก็ละสมุทัย ละความรักใคร่หวงแหนในจิตใจ ก็วางตรงที่วางนั่นล่ะคือตัวนิโรธ ปล่อยวางได้

เห็นจิตแน่นได้เอง หายเเน่นเอง ไม่ชอบเวลาแน่น เห็นว่าชอบเวลาไม่แน่น

ที่หนูทำนั้นเป็นการเจริญปัญญา ทำได้ดี การเจริญปัญญาถ้าทำรวดไปเลย จิตไม่ได้พัก ถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่มีกำลังมันจะฟุ้งซ่าน พอจิตมันเหนื่อยขึ้นมามันจะไปติดอยู่ในว่างๆ สว่างว่างๆ เฉยๆ เพราะจิตมันพักไม่พอ เพราะอย่างนั้นมาทำสมาธิให้มันเป็นเรื่องเป็นราว นั่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ถึงเวลาเราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำด้วยความอยาก สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง แต่จิตจะได้พัก จิตได้พักแล้วเราจะเห็นสภาวะทำงานได้ดี