ภาวนาช่วงนี้มักมีอุปสรรค จึงเปลี่ยนมาใช้การสวดบทมหาจักรพรรดิ์ ควบคู่กับบริกรรมพุทโธไว้ที่กลางอก เวลาที่จิตออกนอก พยายามกลับมารู้ลมหายใจ แต่ยังมีการบังคับจิตอยู่บ้าง

บทจักรพรรดิ์ หลวงปู่ดู่ท่านเรียกบทบูชาพระ ในนั้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับจักรพรรดิ์สักนิดเลย คนรุ่นหลังอยากมีโชค มีลาภ มีอะไร ก็แต่ง เปลี่ยนชื่อไป ท่องไปหวังว่าจะรวย จะอย่างโน้นอย่างนี้ ผิดวัตถุประสงค์ของครูบาอาจารย์ มันแค่บทบูชาพระเท่านั้นเอง
ฉะนั้นเราพยายามรักษาคำสอน ของครูบาอาจารย์ที่ดีๆ เอาไว้ ทุกวันนี้มันบิด บิดไป สนองกิเลส คนส่วนใหญ่มันอยากรวย ครูบาอาจารย์รุ่นหลังท่านก็ฉลาดเหมือนกัน อยากรวยก็ให้มันสวดแล้วรวย สวดไปเรื่อยๆ มันก็ได้สมาธิ แต่ถ้าไม่มีปัญญาประกอบ สวดแล้วก็เมื่อไรจะรวย เมื่อไรจะรวย ตราบใดที่อยากรวย ขณะนั้นยังจนอยู่ คนที่รวยคือคนพอ ถ้าพอแล้ว รวยแล้ว มีแสนล้านมันยังไม่พอ อันนี้ยังจน

พิจารณาปฏิกูลอสุภะ

พิจารณาอสุภะมันมีข้อดีสำหรับพระ พระหนุ่มเณรน้อยอะไรอย่างนี้ กามราคะมันแรง พระไม่ใช่ว่าพอบวชปุ๊บแล้วไม่มีราคะเสียเมื่อไร เป็นโยมมีราคะอย่างไรมาบวชแล้วราคะมันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วเป็นโยมมันยังมีการผ่อนคลาย เป็นพระมันเก็บกด เก็บกดมากๆ เครียดมากๆ ก็เพี้ยนไป ทีนี้การพิจารณาปฏิกูลอสุภะเลยเป็นข้อดี เพราะมันเป็นสมถกรรมฐานที่ใช้ข่มราคะโดยตรง เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์กรรมฐานท่านจะสอนลูกศิษย์ให้พิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูลเป็นอสุภะ วิธีพิจารณาปฏิกูลอสุภะทำได้หลากหลาย แล้วแต่กลวิธีของใคร บางคนก็ผลิตวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมา ทำได้ทั้งนั้นล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของการคิด คิดอย่างไรก็ได้ให้มันลงอสุภะให้ได้ อย่างนี้ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ

การเทียบเคียงของการปฏิบัติ ปัญญายังไม่พอ กลัวหลงในทางที่ละเอียด

การภาวนา หยาบหรือละเอียดมีผลเท่ากัน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียด ถ้ารู้ของหยาบได้ เราก็รู้ของหยาบ ของหยาบก็สอนไตรลักษณ์ รู้ได้ละเอียด มันรู้เอง ไม่ได้เจตนารู้ สิ่งที่ละเอียดก็แสดงไตรลักษณ์ แสดงอันเดียวกัน

ภาวนาในรูปแบบโดยรู้ท้องพองท้องยุบ กำหนดรู้ท้องพองยุบ รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก จึงเปลี่ยนรู้ลมหายใจ แต่ลมหายใจเบาจนแทบรู้สึกไม่ได้

ใช้กรรมฐานอะไรก็ได้ ถ้าต้องการให้สงบ เราก็ดูท้องเราหรือดูลมหายใจ แต่ถ้าต้องการให้จิตตั้งมั่น ก็รู้ทันจิตตนเองว่าตอนนี้จิตไปอยู่ที่ท้องแล้ว ตอนนี้จิตไปอยู่ที่ลมหายใจแล้ว สมาธิเลยมี 2 แบบ สมาธิอย่างที่หนึ่ง จิตเข้าไปนอนพักในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุข อย่างไปอยู่กับท้องแล้วสบายใจ อยู่กับลมแล้วสบายใจ นี่เป็นสมาธิเอาไว้พักผ่อน สมาธิอีกชนิดหนึ่ง เป็นสมาธิที่ทำให้จิตตั้งมั่น บางคนไปบอกว่าสมาธิคือจิตตั้งมั่น ไม่ถูก ชอบไปบอกว่าหลวงพ่อสอนว่า สมาธิคือจิตตั้งมั่น สมาธิมันก็เป็นเจตสิก องค์ธรรมมันคนละตัวกับจิต มันคนละเรื่องกันเลย แต่ว่าจิตที่ตั้งมั่นก็คือจิตที่มีสัมมาสมาธิ ต้องแทรกตัวนี้นิดหนึ่ง ชอบโควทที่หลวงพ่อพูดแล้วเอาไปมั่วๆ โควทผิด ของเราถ้าอยากให้จิตตั้งมั่น ตอนนี้รู้ทันจิต เห็นไหมจิตมันส่ายไปส่ายมา ให้รู้ตัวนี้แล้วจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา รู้สึกไหมจิตตรงนี้กับเมื่อกี้ไม่เหมือนกันแล้ว นี่คือสภาวะที่จิตตั้งมั่นขึ้นมา แล้วพอจิตตั้งมั่นแล้วลองดูร่างกายสิ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา รู้สึกไหมร่างกายไม่ใช่เราหรอก แต่ถ้าจิตสงบไปดูร่างกาย มันก็เราอีกล่ะ ฉะนั้นจิตที่สงบอยู่เฉยๆ กับจิตที่ตั้งมั่นไม่เหมือนกัน แล้วสมาธิในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้แปลว่าสงบ สมาธิคือความตั้งมั่นของจิต ไม่ใช่คือจิตตั้งมั่นด้วย คือความตั้งมั่นของจิต ตรงนี้จิตไม่ตั้งมั่นแล้ว จิตไหลไปแล้วดูออกไหม ถ้าดูออกก็ภาวนาได้ล่ะ ไปทำเอา ในที่สุดจิตจะตั้งมั่น แล้วคราวนี้ สติระลึกอะไรลงไป มันจะเห็นเลยว่าไม่ใช่เราหรอก

จิตเกิดดับหมุนเวียน

จิตก็เป็นธาตุอันหนึ่ง เป็นวิญญาณธาตุ ก็เกิดดับหมุนเวียนไป จิตดวงใหม่ก็ไม่ใช่ดวงเดิม อย่างพวกคนจำนวนมากก็คิดว่าพวกเรามีจิตวิญญาณอยู่ พอเราตายแล้วจิตใจของเราดวงนี้ ออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างใหม่ อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ คิดว่าจิตนี่เที่ยงจิตเป็นอมตะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้หรือกว่าจิตเองเกิดดับตลอดเวลา ถ้าเราภาวนายังไม่ละเอียดพอ เราก็เห็นว่าจิตมีดวงเดียว จิตอยู่กับตัวเรา เดี๋ยวก็วิ่งไปที่ตาแล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่หูแล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปคิดแล้วก็วิ่งกลับมา เราคิดว่าจิตมีดวงเดียว อันนี้เพราะสติปัญญาของเรายังไม่แก่กล้าพอ ต้องฝึกอีก ถ้าฝึกแล้วเราจะเห็นเลย จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั่น จิตนั้นเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว

ความเพียรชอบอาศัยสติ

ความเพียรชอบกับความเพียรอย่างที่เราคิดกันมันคนละเรื่องกัน ความเพียรชอบเพียรลดละกิเลสที่มีอยู่ เพียรปิดกั้นอกุศลใหม่ไม่ให้เกิด เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรทำกุศลที่เกิดแล้วให้เจริญให้มากขึ้น จะทำได้ก็อาศัยสติ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย อย่างเรามีกิเลส เรามีสติปุ๊บ กิเลสดับทันทีเลย กิเลสที่มีอยู่ดับ ในขณะที่มีสติอยู่กิเลสใหม่ก็ไม่เกิด เห็นไหมเรามีสัมมาวายามะแล้ว หรือการที่เรามีสติขึ้นมา กุศลได้เกิดเรียบร้อยแล้ว แล้วถ้าสติของเราถี่ยิบขึ้นมา กุศลเราก็จะพัฒนาขึ้นไปเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ถึงจุดหนึ่งวิมุตติก็เกิดขึ้น

เรียนรู้ความจริงของขันธ์ 5

เราฟังแล้ว เราก็ไปลงมือทำ ถ้าเดินอย่างที่หลวงพ่อบอกนี่ เดินครบทุกขั้นทุกตอน ตามลำดับมาเลย ทำสมถะให้จิตมีกำลัง ให้จิตตั้งมั่น แล้วเจริญปัญญาเห็นความจริงของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณคือจิตนั้นล่ะ มันเกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดูไปเรื่อยๆ ต่อไปก็พบว่า ไม่มีเราตรงไหนเลย รูปไม่ใช่เรา เวทนา สัญญา สังขาร ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ตรงนั้นล่ะเราจะได้ธรรมะแล้ว ได้โสดาบันแล้ว วันนี้เทศน์ตามลำดับขั้นตอน ครบทั้งหลักสูตรเลย แต่บางคนเรียนข้ามขั้นได้ อย่างหลวงพ่อไม่ได้เริ่มจากรูป หลวงปู่ดูลย์สอนหลวงพ่อตัดเข้าที่จิตเลย แล้วหลวงพ่อดูจิตที่จิต หลวงพ่อเห็นเวทนาทางใจ เห็นสังขาร ความปรุงดีปรุงชั่วทางใจ แล้วเห็นจิตเป็นผู้รู้ เป็นผู้หลง ตัดเข้ามาตรงนี้เลย ก็ย่นย่อหน่อย ถ้าดูเข้ามาตรงนี้ไม่ได้ ก็ดูร่างกายถูกรู้ ไม่ใช่เรา ดูไป เวทนาทางกายถูกรู้ ไม่ใช่เรา ไล่ไปอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็เจอจิตจนได้

อ่านจิตตัวเองได้จะเข้าใจจิต

อ่านจิตตัวเองให้ออก เข้าใจจิตว่าเป็นอย่างไร เข้าใจจิตว่าจิตไม่เที่ยง เข้าใจจิตว่าไม่ใช่ตัวเราหรอก เราบังคับมันไม่ได้ คือเห็นอนิจจัง เห็นอนัตตาไป นั่นล่ะคือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะฉะนั้นเราอ่านจิตเราอย่างที่จิตเป็นนั่นล่ะ จิตรักก็รู้ จิตโกรธก็รู้ จิตโลภ จิตหลง ก็รู้ไป ในที่สุดปัญญามันจะเกิด จิตแต่ละอย่างไม่เคยเที่ยง โกรธก็ไม่โกรธตลอด รักก็ไม่รักตลอด จิตทุกอย่างเราสั่งไม่ได้ มันทำงานของมันเอง มันโกรธเรา มันก็โกรธได้เอง มันรัก มันก็รักได้เอง นี่เห็นอนัตตา เพราะฉะนั้นการอ่านจิตตนเอง เราก็จะเห็นความจริงของจิตว่า จิตมันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเห็นตรงนี้ เราก็ได้ธรรมะแล้ว

การปฏิบัติเริ่มต้นที่จิตจบลงที่จิต

ค่อยภาวนา อย่าทิ้งจิตตัวเอง เรียนรู้จิตตัวเอง เรียนรู้จิตของเราแต่เบื้องต้น เราจะมีศีลอัตโนมัติ เพราะว่ากิเลสใดๆ เกิดขึ้นที่จิตเรารู้ทัน กิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิด เรียนรู้จิตตัวเอง รู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา จิตก็หยุดการไหล ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เราก็ได้สมาธิที่ถูกต้อง เห็นไหมเรื่องของจิตทั้งนั้นเลย แล้วในขั้นเจริญปัญญา จะเริ่มจากกาย เวทนา อะไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ลงมาที่จิตจนได้

การปฏิบัติสู่อริยมรรคอริยผล

การที่เราทำกรรมฐานแล้วเราคอยรู้เท่าทันจิตตัวเองด้วย นอกจากจะสงบ เรายังจะได้สมาธิอีกชนิดหนึ่งแถมมาด้วย คือจิตจะตั้งมั่นอัตโนมัติ พอตั้งมั่นแล้วก็มีแรงแล้วก็ต้องเดินปัญญา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิดนึกปรุงแต่ง แล้วจิตเราเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา เกิดสุขให้รู้ เกิดทุกข์ก็ให้รู้ เกิดกุศลก็ให้รู้ เกิดโลภก็ให้รู้ เกิดโกรธก็ให้รู้ เกิดหลงก็ให้รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ หดหู่ก็รู้ ตามรู้ตามเห็นไปเรื่อยๆ แล้วต่อไปปัญญามันก็พอกพูนขึ้น ถึงจุดหนึ่งก็จะเข้าสู่สังขารุเปกขาญาณ มันรู้จริงแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับ มันก็เลยเป็นกลาง ไม่หลงยินดีกับสุข ไม่หลงยินร้ายกับทุกข์ ไม่หลงยินดีกับกุศล ไม่หลงยินร้ายกับอกุศล ถ้าเดินปัญญาถึงจุดนี้ เราเข้ามาสู่ประตูของอริยมรรคอริยผลแล้ว ถ้าบุญบารมีเราสะสมมาเพียงพอ อริยมรรคอริยผลจะเกิดขึ้นไม่มีใครสั่งจิตให้เกิดอริยมรรคอริยผลได้ จิตเกิดอริยมรรคอริยผลของจิตเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญานั้นสมบูรณ์แก่รอบแล้ว

Page 1 of 4
1 2 3 4