ฝึกความเคยชินที่จะรู้สึกตัว

ทางสายกลางคือทางที่มันไม่สุดโต่งไป 2 ฝั่ง ฝั่งที่หลงไปกับฝั่งที่บังคับไว้ เพ่งไว้ ทีนี้ธรรมชาติของพวกเราเวลาไม่ได้ปฏิบัติ เราก็หลงเพลินๆ ไป เวลาปฏิบัติเราก็มานั่งเพ่งเอาไว้บังคับไว้ เรื่องของความเคยชินทั้งหมดเลย เราไม่เคยจะรู้ด้วยความเป็นกลาง จิตไม่เข้าสู่ทางสายกลาง ภาวนากี่ปีๆ มันก็อยู่อย่างนั้นล่ะ อาจจะบังคับตัวเองได้เก่งขึ้นเนียนขึ้น แต่สุดท้ายมันก็คือบังคับอยู่ พยายามฝึกความเคยชินใหม่ เบื้องต้น ฝึกความเคยชินที่จะรู้ทันเวลาจิตมันหลงไป ส่วนใหญ่มันหลงไปคิด มันชินอย่างนั้น หลงทั้งวัน หลงทั้งคืน กลางคืนก็ฝันไป กลางวันก็คิดไปมันแบบเดียวกัน ไปตลอดเวลา ลืมกายลืมใจของตัวเอง เราก็ต้องมาฝึกความเคยชินอันใหม่ คือความเคยชินที่จะคอยรู้สึกตัว ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้ๆ ทำไปเถอะ แล้วคอยสังเกตจิตใจของตัวเอง อ่านใจตัวเองให้ออก

วิธีเจริญสติในชีวิตประจำวัน

ถ้าเราฝึก นอกจากเราจะรู้ทันว่าตอนนี้มีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่วแล้ว เรายังได้เห็นพฤติกรรมของจิตด้วย จะเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตก็ใช้ได้จะเห็นพฤติกรรมของจิตที่เกิดดับทางทวารทั้ง 6 ก็ใช้ได้ เราดูจิต เราจะดูกันอย่างนี้

ทำสัมมาวายามะให้บริบูรณ์

สัมมาวายามะ คือมีความเพียรชอบ อกุศลเกิดขึ้นรู้ทัน อกุศลก็ดับไป ในขณะที่มีสติอยู่ อกุศลใหม่ก็ไม่เกิด ในขณะที่มีสตินั้น กุศลได้เกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่สติเกิดบ่อยๆ กุศลก็จะเจริญขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะทำสัมมาสติได้บริบูรณ์ ต้องทำสัมมาวายามะให้บริบูรณ์ มีสติรู้ทันจิตตัวเองไป แล้วอกุศลที่มีอยู่จะดับ อกุศลใหม่จะไม่เกิด กุศลที่ยังไม่เกิดก็จะเกิด ที่เกิดแล้วก็จะงอกงามพัฒนาขึ้นไป จนถึงกุศลสูงสุด สิ่งที่เรียกว่ากุศลขั้นสูงสุด คือปัญญา ในบรรดากุศลทั้งหลาย ปัญญาเป็นกุศลสูงสุด พอมีปัญญา เมื่อกี้บอกแล้ว เห็นตามความเป็นจริงจึงเบื่อหน่าย คลายความยึดถือ หลุดพ้น

บางคนไม่สามารถดูจิตดูใจได้ ยังไม่สามารถทำสัมมาวายามะให้บริบูรณ์ได้ อย่างไปนั่งสมาธิ ทำความสงบไป จมอยู่กับกิเลส เผลอเพลิน มีความสุข อันนั้นไม่มีสัมมาวายามะ กิเลสไม่เร่าร้อน เลยไม่ได้แผดเผากิเลส ไม่มีอาตาปี ไม่ได้แผดเผากิเลส แต่เบื้องต้นบางคนก็ต้องดูกาย ดูเวทนาไปก่อน พอทำมากๆ เข้า ชำนิชำนาญขึ้น สติดีขึ้น มันก็เริ่มสังเกตจิตใจออก ตรงที่สังเกตจิตใจออก สัมมาวายามะก็จะเจริญขึ้น สัมมาสติก็จะเจริญ สัมมาสมาธิก็จะเจริญขึ้น

รู้สึกว่ากิเลสเบาบางลง สิ้นสงสัยในพระรัตนตรัยแล้ว ผมติดวิปัสสนูปกิเลสไหม

คำถาม: ผมเปลี่ยนวิหารธรรมเป็นรู้ทันจิตที่คิด เพราะทำงาน …

Read more

มีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเอง

อาศัยมีสติรู้พฤติกรรมของจิตตัวเองเรื่อยๆ ไป เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว รู้ไป จิตไม่เป็นกลาง ยินดียินร้ายขึ้นมา ยินดีต่อความสุข ยินร้ายต่อความทุกข์ ยินดีต่อกุศล ยินร้ายกับอกุศล รู้ทัน จิตจะเป็นกลางด้วยสติ พอรู้เรื่อยๆ ไป ต่อไปก็เป็นกลางด้วยปัญญา รู้ว่าสุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่ว เสมอภาคกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์ พอเป็นกลางด้วยปัญญา จิตจะหมดความดิ้นรนปรุงแต่ง จิตจะพ้นจากภพ แล้วสัมผัสพระนิพพาน