ทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้

การปฏิบัติ จิตจะต้องมีเครื่องอยู่ ถ้าจิตไม่มีเครื่องอยู่ จิตก็ร่อนเร่ไป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในขั้นไหนก็ต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ อย่าว่าแต่พวกเราเลย กระทั่งพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีการเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ ใช้กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ใจมีบ้านอยู่ แต่พวกเราต่างกับพระอรหันต์ ตรงที่ เรายังยึดถือกายใจขันธ์ 5 อยู่ เราเจริญสติปัฏฐานเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ถูกเข้าใจถูก แล้วปล่อยวาง ในขณะที่พระอรหันต์ท่านมีกาย เวทนา จิต ธรรมเป็นเครื่องอยู่ แล้วจิตท่านพรากออกไป แยกออกไปจากขันธ์ ไม่เกาะเกี่ยว มองเห็นขันธ์เป็นความว่าง ในขณะที่พวกเรามองเห็นขันธ์เป็นตัวเรา ปุถุชน เพราะฉะนั้นจะทิ้งการมีเครื่องอยู่ของจิตไม่ได้ สังเกตตัวเอง อยู่กับเครื่องอยู่ชนิดไหนแล้วสติเกิดบ่อย เอาอันนั้นล่ะดี

การทำสมาธิกับการเจริญปัญญา

การทำสมาธิกับการเจริญปัญญาทำได้ตั้งหลายรูปแบบ ใช้ปัญญานำสมาธิ คิดพิจารณาไปก่อน แล้วทำความสงบเป็นระยะๆ ไป แล้วถึงจุดที่กำลังมันพอ สติ สมาธิ ปัญญาพอ ก็จะเกิดอริยมรรคได้ หรือใช้สมาธินำปัญญา ทำความสงบลึกลงไปก่อน พอถอนออกมา ให้ดูกาย อย่าดูจิต ดูจิตมันจะว่างๆ เพราะจิตมันยังทรงกำลังของสมาธิอยู่ พอพิจารณาลงไปในร่างกาย ไม่ต้องพิจารณามากอันนี้ ไม่ต้องคิดเยอะเลย พอจิตทรงสมาธิแล้วพอถอยออกมาปุ๊บ มันเห็นเลยร่างกายไม่ใช่เราหรอก เป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ มีเวทนาเกิดขึ้นในร่างกายก็รู้ เห็นเวทนาในร่างกายดับไปก็รู้ จิตตั้งมั่น เป็นคนรู้ อันนี้เราใช้สมาธินำปัญญา อีกแบบหนึ่ง แบบที่สาม ใช้ปัญญากับสมาธิควบกัน

เห็นจิตแน่นได้เอง หายเเน่นเอง ไม่ชอบเวลาแน่น เห็นว่าชอบเวลาไม่แน่น

ที่หนูทำนั้นเป็นการเจริญปัญญา ทำได้ดี การเจริญปัญญาถ้าทำรวดไปเลย จิตไม่ได้พัก ถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่มีกำลังมันจะฟุ้งซ่าน พอจิตมันเหนื่อยขึ้นมามันจะไปติดอยู่ในว่างๆ สว่างว่างๆ เฉยๆ เพราะจิตมันพักไม่พอ เพราะอย่างนั้นมาทำสมาธิให้มันเป็นเรื่องเป็นราว นั่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ถึงเวลาเราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำด้วยความอยาก สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง แต่จิตจะได้พัก จิตได้พักแล้วเราจะเห็นสภาวะทำงานได้ดี

กำลังของจิตไม่พอ จิตไม่ตั้งมั่น เวลานั่งสมาธิจิตไม่เข้าฐาน

คำถาม:

ใจเป็นกลางมากขึ้น เป็นผู้ดูมากขึ้น แต่ก็ยังมีช่วงที่ไปคลุกอารมณ์ ไม่เป็นกลางกับความทุกข์ความสุขอยู่ ปัญหาเหมือนจะยังเป็นเรื่องกำลังไม่พอ จิตไม่ตั้งมั่น ช่วงนี้รู้สึกกระแสคนอื่นรบกวนข้างใน เหมือนกำลังหมดเร็ว การปฏิบัติในรูปแบบ เวลานั่งสมาธิจิตไม่เข้าฐาน จะได้แค่รู้สึกตัวเป็นขณะแต่ไม่รวม เหมือนจิตไม่ทราบว่าจิตถึงฐานเป็นอย่างไร ไม่แน่ใจว่าเดินตรงไหนผิดทางหรือไม่ หรือยังทำน้อยไป ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

จิตถึงฐานทำเอาไม่ได้ เราสั่งให้จิตถึงฐานไม่ได้ เพราะจิตเป็นอนัตตา เรารู้ทันจิตที่มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา แล้วมันจะถึงฐานเอง แต่ตอนนี้จิตใจมันถูกกระแสที่กวนความสงบสุข ฉะนั้นเจริญเมตตาให้เยอะๆ ไว้ สวดมนต์แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ เลย สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด บริกรรมไปเรื่อยๆ จงเป็นสุขๆ เถิด จงเป็นสุขๆ เถิดอะไรอย่างนี้ว่าไปเรื่อยๆ แล้วก็ใจมันจะค่อยๆ เย็นลงมา สมาธิมันจะเกิดขึ้น พอสมาธิเกิดขึ้นการเดินปัญญามันถึงจะทำได้จริง ตอนนี้จิตมันว้าวุ่น ฉะนั้นไปเจริญเมตตาให้เยอะๆ เลย

จริงๆ ทุกคนในช่วงนี้ ควรเจริญเมตตาให้มาก เพราะว่ากระแสข่าวสารทั้งหลายมันกระตุ้นโทสะเราตลอดเวลา อย่างจริงๆ บ้านเมืองเราตอนนี้ต้องการทุ่มเทกำลังทั้งหลาย ไปช่วยกันแก้ปัญหาโรคระบาด แต่ว่าเราเสียพลังจากการทะเลาะกันเองเยอะแยะไปหมดเลย เรื่องไม่เป็นเรื่องเต็มไปหมดเลย คนที่จะทำงานก็ถูกบั่นทอนกำลังใจไปเรื่อยๆ เพื่ออะไร เพื่ออะไรก็แต่ละคนมีจุดมุ่งหมายไม่เหมือนกัน บางคนหวังดีจริงๆ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ หมอบางคนก็ชอบให้ข้อมูล ถูกบ้างผิดบ้าง ถือว่าเป็นหมอ ไม่ใช่หน้าที่ก็ออกมาพูดอะไรอย่างนี้ มันทำให้คนเครียดมากขึ้น ไม่ใช่เรื่อง fact ล้วนๆ

เราไปห้ามทุกคนไม่ให้พูดมากไม่ได้ เราเจริญเมตตาไว้ อย่างน้อยจิตของเราสงบร่มเย็น บรรยากาศรอบๆ ตัวเราก็จะสงบร่มเย็น แล้วถ้าหลายๆ คนช่วยกันทำ ความสงบร่มเย็นก็จะแผ่ออกไป อย่างมาดูในวัดหลวงพ่อนี่สิ สงบร่มเย็น ถ้าพูดถึงมาตรฐาน เพราะทุกคนพยายามฝึกตัวเอง ไม่สนใจสิ่งเร้า ถูกเร้าแล้วก็เต้นตามโลกไป มีแต่ทุกข์ไม่มีอะไร ถ้าไม่แน่จริง ไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องมีความเห็นมาก

ภาวนาของเราให้ดี การที่เราออกความเห็นมั่วซั่วไปเรื่อยๆ หรือแชร์อะไรมั่วซั่วไปเรื่อยๆ มันกระตุ้นให้สังคมส่วนรวมวุ่นวายมากขึ้น คนต้องการผู้ทำงานตอนนี้ต้องการกำลังใจ เพราะว่าร่างกายเขาเหนื่อยเต็มทีแล้ว ถ้าไม่มีกำลังใจก็ทำไม่ได้แล้ว ฉะนั้นพวกเราก็อย่าไปสร้างความเครียด ให้เกิดขึ้นในสังคมให้มากขึ้น อย่างน้อยในบ้านเรารักษาความสงบไว้ ตั้งกฎเกณฑ์ในบ้านเลยว่า เข้าบ้านห้ามพูดเรื่องการเมือง บอกไว้เลยอยู่ในบ้านห้ามพูดเรื่องการเมือง บ้านจะสงบ ค่อยๆ ฝึกไป ของหนูเจริญเมตตาไว้ แล้วมันจะดีขึ้น

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 กรกฎาคม 2564

เห็นสภาวะ แต่จิตไม่มีกำลังมากพอ

คำถาม:

ทำสมาธิภาวนา เห็นว่ากายไม่มี กายว่างเปล่า มีจิตเป็นตัวรู้สภาวะ เห็นจิตเกิดดับบังคับไม่ได้ค่ะ ขอคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไปค่ะ

 

หลวงพ่อ:

เห็นก็ดีแล้ว แต่ใจมันต้องแข็งแรงกว่านี้หน่อย ใจยังไม่ค่อยมีกำลังหรอก มันเห็นไปอย่างนี้ มันต้องเห็นแบบ แหม องอาจ ผึ่งผาย อืม เห็น ถ้าเห็นอย่างนี้ เห็นแบบเหี่ยวๆ อย่างนี้ จิตไม่มีกำลังพอ หนูลองหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป เพิ่มกำลังของสมาธิขึ้น เราทำทุกวันๆ หรือเราเดินจงกรมไป เคลื่อนไหวแล้วทำในรูปแบบไปเรื่อยๆ จิตเราจะมีกำลังขึ้นมา ของหนูนี่ไปทำในรูปแบบ ทำไปเรื่อยๆ พอจิตมันมีกำลังเข้ามา มันจะเห็นสภาวะแล้ว ที่ผ่านมามันเห็นสภาวะ แต่มันเห็นแบบจิตใจห่อเหี่ยวไปหน่อย มันยังไม่มีแรงที่จะตัดกิเลสเลย นี้ถ้าใจเราเข้มแข็ง ทำในรูปแบบทุกวันๆ ใจจะมีกำลังขึ้นมา พอเห็นสภาวะปุ๊บ บางทีปัญญามันตัดเลย เห็นสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เข้าใจขึ้นมา ฉะนั้นเราเพิ่มพลังของสมาธิขึ้น แล้วการเดินปัญญามันจะราบรื่นขึ้น มิฉะนั้นเราเหมือนจะเห็นๆ แต่มันไม่มีแรงพอ

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 กรกฎาคม 2564

วิธีปฏิบัติที่ช่วยให้จิตใจเข้มแข็งได้มากขึ้น

คำถาม:

ตอนนี้จิตไม่มีกำลัง ฟุ้งซ่าน เพราะว่ามายุ่งกับเรื่องทางโลกเยอะค่ะ จะรู้ได้เฉพาะเวลาที่มีโทสะ แต่เวลามีโมหะก็จะหลงไปยาว จะมีวิธีปฏิบัติที่ช่วยให้จิตใจเข้มแข็งได้มากขึ้นไหมคะ

 

หลวงพ่อ:

ช่วงนี้เป็นช่วงยากลำบากในทางโลก มันต้องปากกัดตีนถีบ ต่อสู้ มันก็เป็นช่วงที่หลวงพ่อเห็นใจพวกเราทุกคน มันเหนื่อยในทางโลก จะให้จิตเข้มแข็งมีกำลัง ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอะไร ทำลำบาก มันตะลุมบอนอยู่กับโลก มันฟุ้งซ่านอยู่กับโลก เอาเท่าที่ได้ ทำเท่าที่ได้ ตอนไหนไม่ใช่เวลาที่จะต้องต่อสู้เพื่ออยู่กับโลก มีเวลาของตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ให้สิ่งซึ่งมีคุณค่ากับชีวิตเราเอง อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจไป จิตมันฟุ้งซ่าน เพราะมันเที่ยวจับอารมณ์โน้นที จับอารมณ์นี้ที อย่างเวลาเรามีเรื่องที่ต้องคิดอย่างนี้ อย่างคิดว่าจะทำมาหากินอะไรดีอะไรอย่างนี้ ลำบาก งานการลำบากอะไรอย่างนี้ จะห้ามมันไม่ให้คิด ห้ามไม่ได้ มันจะคิดก็ไม่ว่ามันหรอก เราก็ค่อยๆ สังเกตไป ตอนไหนไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องงานเรื่องการ มาอยู่กับพุทโธ มาอยู่กับลมหายใจไป เก็บแต้มของเราไปเรื่อยๆ ต่อไปจิตใจเราเข้มแข็งขึ้นมาแล้ว การแก้ปัญหาชีวิตมันจะง่ายขึ้น

หลวงพ่อพุธท่านเคยเล่าให้หลวงพ่อฟัง บอกว่าสมาธินี่มันช่วยแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างดีเลย ฉะนั้นหลวงพ่อพุธจะเป็นพระที่ทันสมัย สอนคนที่อยู่ในเมืองได้ดีมากๆ หลวงพ่อลูกศิษย์ท่านล่ะ ท่านเล่าให้ฟังบอกว่ามันมีสถาปนิกคนหนึ่ง คนจ้างให้ออกแบบอาคารหลังหนึ่งซึ่งมันซับซ้อนมากเลย คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก นั่งคิดเป็นวันๆ เลย คิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไร พอคิดไม่ตก เขาก็นอน ตอนที่ตื่นนอนมานี่ มีสติ รู้สึก เห็นร่างกาย เห็นจิตใจ เห็นร่างกายมันตื่นขึ้นมา จิตมันสงบ มันตั้งมั่น แล้วท่านบอกว่าเขาเห็นแปลนที่จะต้องเขียนมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย ตึกหลายชั้นนี่มันเห็นเป็นภาพๆๆ ออกมา ไม่ได้คิดเลย จิตมันสอนออกมา จิตมันแสดงออกมา ปรากฏว่าเขาทำงานที่ยากลำบากนี้สำเร็จได้อย่างง่ายดายเลยด้วยจิตที่มีสมาธิ

จิตที่มีสมาธิ ถ้าพวกเราไม่มี เราไปสังเกตตอนที่เราตื่นนอน ตอนที่ตื่นนอนยังไม่ได้ทันคิดเรื่องงาน ตรงนั้นล่ะพอจะมีสมาธิอยู่บ้าง ฉะนั้นเวลาตื่นนอนเป็นเวลาสำคัญ เป็นนาทีทองของชีวิตเรา ตื่นนอนขึ้นมา อย่านอนบิดขี้เกียจ ฟุ้งซ่านอะไรไปเรื่อยๆ ตื่นนอนก็ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว รู้สึกกายรู้สึกใจไป จิตมันจะมีสมาธิขึ้นมา เราจะคิดแก้ปัญหาที่ยากๆ ได้ หลวงพ่อก็ใช้วิธีนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เวลาเราคิดอะไรไม่ออก หลวงพ่อไม่ตะบี้ตะบันคิด ขอใช้ศัพท์ไม่สุภาพ มันเห็นภาพดี หลวงพ่อไม่ตะบี้ตะบันคิดเวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่คิดมันหรอก ไปทำอย่างอื่นก่อน ไปอ่านการ์ตูน ไปอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็ทำใจสบายๆ บางทีนั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์อยู่ เรารู้เลยว่าเราจะต้องทำอะไร ตอนไหน มันรู้ขึ้นเองเลย กำลังของสมาธินี่ บางทีเช้าๆ ตื่นนอน ตื่นตอนเช้าขึ้นมา นึกถึงการปฏิบัติ มันรู้เลยว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือวันนี้จะเทศน์อะไร บางทีรู้แต่เช้าว่าวันนี้จะเทศน์อย่างนี้ ไม่ได้มีการเตรียมโผ หรือบางทีเช้าๆ มันไม่เกิดธรรมะ หลวงพ่อก็มานั่งจิบน้ำร้อนน้ำชา เดี๋ยวก็มีธรรมะว่าควรจะแสดงธรรมเรื่องอะไร นี่เป็นเรื่องของสมาธิทั้งหมดเลย

ฉะนั้นเวลาที่จิตเรามีปัญหามาก อย่าไปดิ้นรนว่าทำอย่างไรจะหายๆ คิดไม่ออกแล้วโว้ย ทุบกบาลอีก ธรรมดาก็โง่อยู่แล้ว ยังไปเขกหัวให้มันโง่กว่าเก่าอีก ก็อย่าไปโมโห หนูรู้สึกไหม จิตตอนนี้ดีกว่าตะกี้ รู้สึกไหม จิตตอนนี้มันตื่นขึ้นมา มันโปร่ง มันโล่ง มันเบาขึ้นมาทั้งๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้สอนอะไรเราเท่าไหร่เลย แต่จิตเราเปลี่ยนแล้ว เพราะจิตเรารับธรรมะได้ ไม่ต้องไปคิดค้นคว้า จิตมันฟังธรรมะ ฟังไป จิตมันสงบ จิตมันมีสมาธิขึ้นมา มันจะรู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มันจะรู้ขึ้นมาเอง แล้วตอนนี้เราจะคิดแก้ปัญหาชีวิตได้ดีกว่าคนอื่น อย่างพวกเล่นหุ้นเล่นอะไร แล้วก็ฟุ้งตลอดเวลา ไม่ได้กินหรอก ถ้าข้อมูลไม่แม่น

จะลงทุนจะทำธุรกิจ จะอะไรนี่ จัดการกับใจของเราให้ได้ก่อน ถ้าใจเรามีสมาธิ มันจะไม่มีอคติ ไม่มี bias มันจะมองปัญหาอะไรได้ตรงไปตรงมา มากกว่าพวกที่มี bias อย่างพวกที่โลภมากอย่างนี้ จะลงทุนดีไม่ดีอะไรนี้ โลภมากประเดี๋ยวก็พลาด ถ้าใจมีสมาธิ ไม่โลภ มันรู้เลยว่าตอนไหนควรจะทำอะไร จะลงทุนอะไรตอนไหน ตอนไหนจะถอย ตอนไหนจะก้าวไปข้างหน้า มันจะรู้ของมันเอง มันรู้จังหวะชีวิตของตัวเองได้เลย เพราะฉะนั้นสมาธินี่ฝึกเอาไว้เถอะ ไม่ใช่สมาธิเคลิ้มๆ สมาธิรู้เนื้อรู้ตัวนี่ล่ะ ฝึกเอาไว้ แล้วจะเอามาใช้งานทางโลกได้เยอะแยะเลย อย่างตอนนี้จิตเรามีกำลังขึ้นมาแล้ว เราก็รู้สึกลงไป ถ้าจะเดินในทางธรรมต่อ เราก็ดูลงไป ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา จิตก็ไม่ใช่เรา สั่งให้ดีไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้ นี่ดูมันไป ถ้ายังมีภาระทางโลก จิตมันจะวกไปคิดหาคำตอบทางโลกเอง แล้วมันจะรู้คำตอบแบบง่ายๆ ไม่ค่อยผิดหรอก

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
18 กรกฎาคม 2564