สู้กิเลสด้วยการรู้ทัน

คนที่ตั้งใจสู้ ส่วนหนึ่งยังสู้ไม่ไหว แล้วคนที่ไม่ตั้งใจสู้ อย่างมาบวชเป็นอาชีพอันหนึ่ง ไม่มีอะไรทำ มาบวชคือไม่ได้มุ่งอยากได้พระนิพพาน พวกนี้ไม่คิดสู้ โอกาสแพ้ก็สูง หลวงพ่อก็เคยเจอพระ แรกๆ ก็อยากนิพพาน หลังๆ รู้สึกยากไปก็เลยไม่เอา สะเปะสะปะไปวันๆ หนึ่ง พลาดเข้าวันไหนก็อยู่ไม่ได้ ดูกิเลสของเราเอง กิเลสผุดขึ้นกลางอกเรา ผุดทั้งวัน เหมือนน้ำผุด เคยเห็นน้ำผุดไหม น้ำมันผุดๆๆ ขึ้นมา ไม่ต่างกันเท่าไร มันผุดอยู่ตลอดวัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นว่ากิเลสมันผุดขึ้นมา เราไม่เห็น ก็ครอบงำจิตใจเราได้ กระทบเข้ามาถึงจิตใจ พอจิตใจเราเศร้าหมอง ถูกกิเลสครอบงำ ความคิดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส คำพูดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส การกระทำของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส มันเสียหมด เสียตั้งแต่จิตของเรา พอจิตเราถูกกิเลสครอบงำ คำพูดของเรา การกระทำของเรา ก็พลอยเสียไปหมด ฉะนั้นคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้

วิธีฝึกสติคือการหัดรู้สภาวะ

สติเองก็เป็นอนัตตา สั่งให้เกิดไม่ได้ สติมีการที่จิตเราจำสภาวะได้แม่นเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ฉะนั้นเราจะต้องมาหัดรู้สภาวะ สภาวะมีรูปธรรมมีนามธรรม สภาวะก็คือสิ่งที่ประกอบกันขึ้น เป็นร่างกายจิตใจของเรานี้เอง พยายามเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้มาก รู้สึกให้มาก หัดรู้ให้เห็นถึงตัวสภาวะให้ได้ แล้วสติตัวจริงถึงจะเกิด สติตัวจริงเกิดเมื่อไร สัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดร่วมด้วยเสมอ เพราะฉะนั้นจับหลักให้แม่น หัดดูสภาวะไป ถนัดดูรูปธรรมก็ดูไป ถนัดดูนามธรรมก็ดูไป

วางขันธ์ได้ก็คือวางโลกได้

ถ้าดูจิตได้ ไม่นานเราก็จะเห็นจิตไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ตัวเราเพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา บังคับอะไรไม่ได้ ถ้าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 มันก็อาศัยจิตเกิดขึ้นมา ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา ขันธ์ 5 ก็จะไม่ใช่เรา โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาลก็ไม่ใช่เรา แล้วถ้าวันใดที่ภาวนาจนเห็นความจริงว่าจิตคือตัวทุกข์ ขันธ์ 5 ก็คือทุกข์ โลกก็คือทุกข์ จักรวาลทั้งหมดก็คือทุกข์ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเลย จิตก็จะวางจิต วางจิตได้ก็คือวางขันธ์ได้ วางขันธ์ได้ก็คือวางโลกได้ ฉะนั้นหลุดพ้นที่จิตที่เดียวนี้เอง ก็จะหลุดพ้นจากขันธ์ 5 ทั้งหมดได้

ร่างกายโดนความทุกข์ขย้ำอยู่ตลอดเวลา

ร่างกายเปรียบเหมือนกวางตัวหนึ่ง หรืออีเก้งตัวหนึ่ง ถูกความทุกข์ คือหมาล่าเนื้อฝูงหนึ่งไล่ตามกัดทั้งวันเลย ก็ต้องวิ่งๆๆ หนีไป วิ่งหนีไปจนกระทั่งบาดเจ็บมาก วิ่งไม่ไหว ล้มลงตาย ร่างกายนี้ก็เหมือนกัน ถูกความทุกข์กัดทำร้ายอยู่ตลอดวัน เราก็พยายามแก้ พยายามบำบัดไปเรื่อยๆ นั่งนานมันเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ มันร้อนมาก เป็นทุกข์ พอความร้อนมากไปก็ไปอาบน้ำ เราพยายามแก้ไขเพื่อให้ร่างกายนี้อยู่รอด เหมือนกวางวิ่งหนีหมาล่าเนื้อ ความทุกข์มันไล่ขย้ำอยู่ตลอดเวลา หนีไม่พ้น สุดท้ายก็บาดเจ็บมากขึ้นๆ พออายุเยอะขึ้น บาดแผลเต็มตัวเลย

หน้าตาของเราก็มีบาดแผล มีตีนกา หน้าเหี่ยว หน้าย่น เนื้อหนังอะไรนี้ก็ถูกสูบออกไปจนเหี่ยวๆ ไปหมดทั้งตัว เป็นร่องรอย เป็นความบอบช้ำ ที่โดนหมาของกาลเวลามันไล่ขย้ำเอา ดูไปเรื่อยๆ ร่างกายนี้ไม่มีสาระแก่นสาร เป็นของไม่เที่ยง เป็นของที่ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งหมดแรงหนีก็ตาย เหมือนกวางถูกหมาไล่กัด กัดไปหลายเขี้ยว หมดแรงจะวิ่งก็ล้มลงไป เขาก็เข้ามากินเนื้อเลย ร่างกายเรานี้ก็เหมือนกัน โดนความทุกข์ขย้ำอยู่ตลอดเวลา มีสติรู้ลงมาก็เห็นร่างกาย ไม่ใช่ของวิเศษหรอก ร่างกายนี้มีแต่ก้อนทุกข์ มีแต่ภาระที่ต้องดูแลรักษา

งานพัฒนาจิต

การที่เราทำจิตตสิกขา คือการทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วรู้ทันจิตที่เคลื่อนไป แล้วเราจะได้จิตที่ตั้งมั่นขึ้นมา จิตที่ตั้งมั่นมีทั้งสมาธิที่ถูกต้อง มีทั้งสติที่ถูกต้อง จิตดวงนี้พร้อมที่จะเจริญปัญญาแล้ว บางคนพอมีจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ไม่ไปต่อก็ตั้งอยู่อย่างนั้นล่ะ อันนี้ก็น่าเสียดาย เหมือนเราชาร์จแบตเตอรี่เอาไว้เต็มแล้วเราก็ไม่ได้ใช้ วางทิ้งไว้ให้แบตเตอรี่เสื่อม เพราะฉะนั้นเราทำสมาธิเสร็จแล้ว เราก็ต้องมาเดินปัญญาต่อ นี่คืองานที่สอง งานฝึกจิตให้เกิดปัญญา