วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น

วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น เราก็ทำใจสบายๆ อยู่กับกรรมฐานของเราไป สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่างมัน อยู่กับกรรมฐานไป จนใจเราเชื่อง คล้ายๆ หมดความดิ้นรนแล้ว แล้วต่อมาพอจิตมันไหลไปคิดเราจะเห็น หลุดออกจากฐานแล้วไปเห็น หรือบางทีก็ถลำลงไปเพ่งไปจ้องอารมณ์กรรมฐาน แต่ส่วนใหญ่เวลาจิตมันตั้งมั่นอย่างนี้สิ่งที่มันจะพลาด ก็คือจิตมันแส่ส่าย แล้วไม่เห็นว่ามันกำลังแส่ส่ายแสวงหาว่าจะดูอะไรดี ฉะนั้นถ้าจิตเราเข้าฐานจิตเราตั้งมั่นได้แล้ว จิตมันแส่ส่ายให้รู้ว่าแส่ส่าย ไม่ต้องพยายามทำให้มันนิ่ง

ส่วนใหญ่พอจิตมันส่าย แป๊บเดียวหลงไปที่อื่น หรือไม่ก็ส่ายๆ แล้วก็พยายามบังคับให้นิ่ง ตรงนั้นไม่ถูก พอจิตเราตั้งมั่น จิตเราว่างๆ ขึ้นมา ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไร สงบว่างๆ มันรู้สึกว่าน่ากลัว รู้สึกอยู่ไม่ได้ ต้องหาอะไรเกาะสักอย่างหนึ่ง อันนั้นจิตมันยังอ่อนแอ ถ้าจิตมันแส่ส่ายจะไปหาอารมณ์ที่อยากเกาะที่จะเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ให้รู้ทัน จิตก็จะหยุดการแส่ส่ายแล้วก็ตั้งมั่นขึ้นมาอีก นี่วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น ตัวนี้สำคัญ จิตไม่ตั้งมั่นภาวนาวิปัสสนาไม่ได้ จิตสงบได้แต่สมถะ ถ้ามีจิตตั้งมั่นถึงจะทำวิปัสสนาได้

ตัดทอนพระไตรปิฎกตามใจชอบไม่ได้

ปริยัติสิ่งที่เป็นหลักของเราก็คือพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้มันอาถรรพ์อะไร มันเหมือนอาถรรพ์เหมือนต้องคำสาป คนที่พยายามทำลายพระไตรปิฎกมีเสมอ จริงๆ ในพระไตรปิฎกมีทั้งพุทธวจนมีทั้งคำสอนของพระเถระ พระเถรี คำพูดคำแสดงธรรมของเทวดา ของฤๅษีของอะไร มีเยอะแยะเลย ของเปรตยังมีเลย พวกเปรตมันได้รับความทุกข์ก็พูดเป็นธรรมะขึ้นมา มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง คือหลวงปู่มหาเขียน พระอริยเวที องค์นี้จบเปรียญ 9 ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เก่งทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ท่านบอกเลยว่าท่านท่องพระไตรปิฎกได้ แล้วท่านบอกพระไตรปิฎกทั้งหมดทุกเรื่องเลยสอนเรื่องการปฏิบัติทั้งนั้น คนที่รู้จริงมองปุ๊บบอกตรงนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ อันนี้ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัดทอนไปเฉยๆ

ชอบใช้พุทโธถี่ๆ มากกว่าดูลมหายใจ ยังฟุ้งซ่าน และหลงโลกอยู่มาก ยังเดินปัญญาไม่เป็น พยายามจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่บางทีก็ยังทำไม่ค่อยได้

เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิต โดยที่เราไม่เข้าไปปรุงแต่งจิตเสียเอง เราจะรู้ทันความปรุงแต่งของจิตได้ เมื่อจิตของเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครูบาอาจารย์วัดป่าจะเรียกว่าจิตผู้รู้ หรือจิตประภัสสร พระพุทธเจ้าบอกว่า เดิมนั้นจิตมันประภัสสร คือจิตปกติของเรานั่นล่ะ มันประภัสสร แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสมันจรมา นี้เราพยายามฝึกจนกระทั่งจิตของเราตั้งมั่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมา สว่าง ผ่องใส สบาย เงียบๆ แล้วพอมันปรุงอะไรขึ้นแม้แต่เล็กๆ เราก็จะเห็น ตรงนี้ที่เรารู้ทันความปรุงแต่งได้ เพราะจิตของเรามีกำลังตั้งมั่นขึ้นมา

การเทียบเคียงของการปฏิบัติ ปัญญายังไม่พอ กลัวหลงในทางที่ละเอียด

การภาวนา หยาบหรือละเอียดมีผลเท่ากัน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียด ถ้ารู้ของหยาบได้ เราก็รู้ของหยาบ ของหยาบก็สอนไตรลักษณ์ รู้ได้ละเอียด มันรู้เอง ไม่ได้เจตนารู้ สิ่งที่ละเอียดก็แสดงไตรลักษณ์ แสดงอันเดียวกัน

รีบปฏิบัติเข้า

รีบๆ ปฏิบัติเข้า อย่าขี้เกียจ ตอนนี้พวกเราส่วนหนึ่ง ภาวนาแบบก้าวกระโดดไปเยอะแล้ว พวกนี้เขาไม่สงสัยแล้ว ว่าจิตตื่นเป็นอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร ขันธ์แยกเป็นอย่างไร เห็นไตรลักษณ์เห็นอย่างไร เขาไม่ต้องมาถามหลวงพ่อแล้ว ภาวนาแล้วมันรู้ด้วยตัวเอง เวลาจิตเราตั้งมั่น ขันธ์มันแยกออกไป เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนคนเดิม คนเดิมเราจะรู้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้สึกตัว จิตหลงโลก หลงอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ยังหนุ่มยังสาว เป็นช่วงเวลาที่เราแข็งแรงที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ช่วงเวลานี้ มารีบภาวนาให้ดี เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยเรียนกับท่าน แต่เคยได้ยิน ท่านพูดบอกว่า ท่านมาบวชตั้งแต่หนุ่ม เพราะว่าชีวิตวัยหนุ่ม เป็นวัยที่สดชื่นแข็งแรง คนเราเวลาจะทำบุญ พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เอาไปทำบุญถวายพระ ท่านเลยถวายชีวิตช่วงหนุ่มของท่านนี้ให้พระพุทธเจ้า ออกมาบวชแล้วไม่ยอมสึก ลงมือปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ไม่ยอมเลิก ท่านบอก ท่านถวายของที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา

การภาวนาในรูปแบบ

อดทนนิดหนึ่ง ทำวันหนึ่ง 3 ชั่วโมงจะแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ได้ ตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนกลางวันครึ่งชั่วโมง ตอนก่อนนอนสักชั่วโมงครึ่ง เก็บๆๆ รวมให้ได้สัก 3 ชั่วโมงทำไป วิธีทำก็ทำกรรมฐานที่เราถนัด จิตหลงไปที่อื่น รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน อย่างดูท้อง จิตไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน รู้ทันจิต ทำกรรมฐานไปแล้วรู้ทันจิตไป เรียกว่าอธิจิตตสิกขา สิ่งที่เราจะได้ก็คือสัมมาสมาธิ พอสติระลึกรู้ จิตมันเคลื่อนไปทางไหน สติรู้ทันปั๊บ ความที่ไหลไปมันก็จะดับ จิตก็จะตั้งมั่น พอตั้งมั่นถี่ๆๆๆ มันจะตั้งได้แข็งแรงขึ้น มันจะเหมือนจิตเราตั้งมั่นอยู่ทั้งวันเลย โดยที่ไม่ได้เจตนา จิตที่ตั้งมั่นตัวนี้ เป็นจิตที่มีสติกำกับ รู้เนื้อรู้ตัว ผ่องใส นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ ไม่เซื่องซึม แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซงการรู้อารมณ์ เรามีจิตที่ทรงคุณภาพสูงแบบนี้แล้ว เราไปเดินปัญญาได้ ถ้าจิตของเราถูกต้อง การเจริญปัญญาจะใช้เวลาไม่มากหรอก แต่ถ้าจิตเรายังไม่ถูก บอกว่าเจริญปัญญาๆ 10 ปี 20 ปี ใช้เวลานาน บางทียังไม่ได้เรื่องเลย ฉะนั้นตัวที่แตกหักก็คือจิตเรามีคุณภาพหรือเปล่า ที่เราฝึกกรรมฐานบอกวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อพัฒนาจิตใจของเราให้ตั้งมั่น ให้มีคุณภาพ

อย่าถลุงเวลาให้วอดวายไปเฉยๆ

ต้องภาวนากันแทบเป็นแทบตายเลยกว่าจะเห็น ไม่ใช่นั่งท่องๆ แล้ว โอ้ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจแบบนั้นสู้กิเลสไม่ได้หรอก มันไม่เห็นกระบวนการ หรืออวิชชาเป็นอย่างไร อวิชชามีตั้ง 8 ตัวจะรู้อย่างไรในขณะจิตเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราต้องค่อยๆ ทำไป เบื้องต้นฝึกให้จิตตั้งมั่น ด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา เรารู้ทันได้ถ้าเราฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งทุกวัน ทุกวันต้องทำ แรกๆ หัดใหม่ๆ หลวงพ่อบอกวันละ 15 นาที ตอนนี้เพิ่มแล้ว ถ้ายังมีขาอยู่ ยังเดินได้ ไปเดินให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงเดินทีเดียวไม่ไหว แบ่งก็ได้ เช้าชั่วโมงหนึ่ง กลางคืน 2 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้

ถ้าพวกเรามีเวลาว่างเมื่อไรก็ถลุงมันให้มันวอดวายหายไปเฉยๆ น่าเสียดาย โดยเฉพาะเอาเวลาไปใช้พัฒนากิเลส ตามใจกิเลสไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ ปัญญาของเราไปสิ จิตใจเราก็จะแข็งแรงขึ้น กุศลมันจะแข็งแรงขึ้น แล้วสุดท้ายเราก็ละบาปอกุศลได้ เจริญกุศลถึงพร้อมได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เราก็จะข้ามโลกได้ ข้ามโลกได้เข้าสู่โลกุตตระได้

สู้กิเลสด้วยการรู้ทัน

คนที่ตั้งใจสู้ ส่วนหนึ่งยังสู้ไม่ไหว แล้วคนที่ไม่ตั้งใจสู้ อย่างมาบวชเป็นอาชีพอันหนึ่ง ไม่มีอะไรทำ มาบวชคือไม่ได้มุ่งอยากได้พระนิพพาน พวกนี้ไม่คิดสู้ โอกาสแพ้ก็สูง หลวงพ่อก็เคยเจอพระ แรกๆ ก็อยากนิพพาน หลังๆ รู้สึกยากไปก็เลยไม่เอา สะเปะสะปะไปวันๆ หนึ่ง พลาดเข้าวันไหนก็อยู่ไม่ได้ ดูกิเลสของเราเอง กิเลสผุดขึ้นกลางอกเรา ผุดทั้งวัน เหมือนน้ำผุด เคยเห็นน้ำผุดไหม น้ำมันผุดๆๆ ขึ้นมา ไม่ต่างกันเท่าไร มันผุดอยู่ตลอดวัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นว่ากิเลสมันผุดขึ้นมา เราไม่เห็น ก็ครอบงำจิตใจเราได้ กระทบเข้ามาถึงจิตใจ พอจิตใจเราเศร้าหมอง ถูกกิเลสครอบงำ ความคิดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส คำพูดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส การกระทำของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส มันเสียหมด เสียตั้งแต่จิตของเรา พอจิตเราถูกกิเลสครอบงำ คำพูดของเรา การกระทำของเรา ก็พลอยเสียไปหมด ฉะนั้นคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้

หลุดพ้นด้วยอริยมรรคมีองค์ 8

ไปทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้ที่เราถนัด กรรมฐานทั้งหลายเท่าเทียมกันหมด แต่จับหลักให้แม่น เราไม่ได้ทำเพื่อความสงบ เพื่อความสุข เพื่อความดีใดๆ ทั้งสิ้น เราทำไปเพื่อความรู้ตื่นเบิกบานของจิตขึ้นมา คอยรู้ทันไป แล้วจิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา

พอจิตตั้งมั่นได้ ขันธ์จะแยก ขันธ์แยกได้เราก็จะเห็นไตรลักษณ์ของแต่ละขันธ์ พอเห็นความจริงว่าขันธ์ทั้งหลาย ทั้งกายทั้งใจเราล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมันจะเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ แล้วมันก็จะหลุดพ้น เกิดอริยมรรคอริยผล ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราแก่รอบ

วิธีไปสู่นิพพาน

หลวงพ่อจะพูดภาพกว้างๆ ให้พวกเราเห็น หัวข้อที่จะพูดข้อแรกก็คือเรื่องความรู้สึกตัว หัวข้อที่สอง คือเรื่องของสมถกรรมฐาน หัวข้อที่สาม เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน เรื่องหัวข้อที่สี่ เรื่องอริยมรรค อริยผล หัวข้อที่ห้า คือเรื่องนิพพาน เราจะไปสู่นิพพาน นิพพานเป็นสภาวะที่เราพ้นทุกข์สิ้นเชิง ฉะนั้นจะตอบโจทย์เราว่าเราจะไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่างไร

Page 1 of 10
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10