เจริญแล้วเสื่อมไม่ใช่ปัญหา เป็นสภาวะ
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ
ดีเกิดได้ดีก็ดับ
ชั่วเกิดได้ ชั่วก็ดับเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นดีกับชั่วไม่ใช่สาระสำคัญ
เป็นแค่สภาวะที่เราไปรู้ไปเห็นเข้า
จุดที่สำคัญก็คือ จิตยินดีไหมยินร้ายไหม
ต่อสภาวะแต่ละอันนั้น
รู้ทันไปเรื่อยๆ จิตจะเป็นกลางโดยที่ไม่ได้บังคับ
พอจิตเป็นกลางแล้ว เราก็เห็นสภาวะทำงานต่อไป
จิตเป็นกลางแล้วจะเกิดความเข้าใจขึ้นมา
ถ้าจิตยังยินดียินร้าย จิตจะดิ้นรน จิตจะไม่สักว่ารู้ว่าเห็น
ถ้าจิตไม่ยินดียินร้ายแล้ว จิตจะสักว่ารู้ว่าเห็นสภาวะ
จะเข้าใจไตรลักษณ์ขึ้นมาได้
อ่านธรรมะ
เส้นทางเดินจากปุถุชนไปสู่พระอริยะ
การจะภาวนานะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามกิเลสแต่ละวันไปเรื่อย …
เจริญแล้วเสื่อม
ภาวนารู้สึกวันนี้ดีวันนี้ไม่ดี อย่างนี้ใช้ไม่ได้
เพราะว่าปัญญา คือความเข้าใจไม่เกิด
ถ้าปัญญาเกิดจะเห็นเลย จิตเจริญเราเสื่อม เป็นเรื่องธรรมดา
สิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ เป็นเรื่องธรรมดา
จิตเข้าสู่ความเป็นกลางจะพ้นจากความเจริญและความเสื่อม
หมายถึงว่าความเจริญเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว
ความเสื่อมเกิดขึ้นก็ไม่หวั่นไหว
สักว่ารู้ว่าเห็น
การเตรียมใจภาวนา
ที่ไม่เคยมีศีลก็ให้มีศีล ไม่เคยมีสมาธิก็ให้มันมีบ้าง ไม่เคยเจริญปัญญาที่จะคอยรู้กายรู้ใจก็ให้มาหัดที่จะคอยรู้กายรู้ใจบ้าง คอยรู้สึกอยู่ที่กายคอยรู้สึกอยู่ที่ใจ อย่าไปวาดภาพการปฏิบัติธรรมว่าคือ การนั่งหลับหูหลับตา การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การไปเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงก็คือการมีสติ คนไหนชอบรู้ลมหายใจ ก็ให้มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก มีสติไปเรื่อย
เห็นทุกข์ก็จะเห็นธรรม
เรื่องธรรมดานะ ท่านอายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่ อายุเยอะๆ ไม่สบายนะ
ร่างกายช่วยตัวเองไม่ได้ มีแต่เรื่องเจ็บตัวตลอด
ไม่ใช่ชีวิตเป็นของวิเศษวิโสหรอก
ในส่วนตัวท่าน ท่านสบายของท่านอยู่แล้ว เพราะความดีท่านทำมาเยอะแล้ว
ที่ว้าวุ่นใจคือพวกเราเอง เราไม่มั่นใจในความดีของเราเอง
เราหวังจะพึ่งท่าน ไปๆ มาๆ รักตัวเองเยอะ