อย่าถลุงเวลาให้วอดวายไปเฉยๆ

ต้องภาวนากันแทบเป็นแทบตายเลยกว่าจะเห็น ไม่ใช่นั่งท่องๆ แล้ว โอ้ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจแบบนั้นสู้กิเลสไม่ได้หรอก มันไม่เห็นกระบวนการ หรืออวิชชาเป็นอย่างไร อวิชชามีตั้ง 8 ตัวจะรู้อย่างไรในขณะจิตเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราต้องค่อยๆ ทำไป เบื้องต้นฝึกให้จิตตั้งมั่น ด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา เรารู้ทันได้ถ้าเราฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งทุกวัน ทุกวันต้องทำ แรกๆ หัดใหม่ๆ หลวงพ่อบอกวันละ 15 นาที ตอนนี้เพิ่มแล้ว ถ้ายังมีขาอยู่ ยังเดินได้ ไปเดินให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงเดินทีเดียวไม่ไหว แบ่งก็ได้ เช้าชั่วโมงหนึ่ง กลางคืน 2 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้

ถ้าพวกเรามีเวลาว่างเมื่อไรก็ถลุงมันให้มันวอดวายหายไปเฉยๆ น่าเสียดาย โดยเฉพาะเอาเวลาไปใช้พัฒนากิเลส ตามใจกิเลสไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ ปัญญาของเราไปสิ จิตใจเราก็จะแข็งแรงขึ้น กุศลมันจะแข็งแรงขึ้น แล้วสุดท้ายเราก็ละบาปอกุศลได้ เจริญกุศลถึงพร้อมได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เราก็จะข้ามโลกได้ ข้ามโลกได้เข้าสู่โลกุตตระได้

สู้กิเลสด้วยการรู้ทัน

คนที่ตั้งใจสู้ ส่วนหนึ่งยังสู้ไม่ไหว แล้วคนที่ไม่ตั้งใจสู้ อย่างมาบวชเป็นอาชีพอันหนึ่ง ไม่มีอะไรทำ มาบวชคือไม่ได้มุ่งอยากได้พระนิพพาน พวกนี้ไม่คิดสู้ โอกาสแพ้ก็สูง หลวงพ่อก็เคยเจอพระ แรกๆ ก็อยากนิพพาน หลังๆ รู้สึกยากไปก็เลยไม่เอา สะเปะสะปะไปวันๆ หนึ่ง พลาดเข้าวันไหนก็อยู่ไม่ได้ ดูกิเลสของเราเอง กิเลสผุดขึ้นกลางอกเรา ผุดทั้งวัน เหมือนน้ำผุด เคยเห็นน้ำผุดไหม น้ำมันผุดๆๆ ขึ้นมา ไม่ต่างกันเท่าไร มันผุดอยู่ตลอดวัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นว่ากิเลสมันผุดขึ้นมา เราไม่เห็น ก็ครอบงำจิตใจเราได้ กระทบเข้ามาถึงจิตใจ พอจิตใจเราเศร้าหมอง ถูกกิเลสครอบงำ ความคิดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส คำพูดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส การกระทำของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส มันเสียหมด เสียตั้งแต่จิตของเรา พอจิตเราถูกกิเลสครอบงำ คำพูดของเรา การกระทำของเรา ก็พลอยเสียไปหมด ฉะนั้นคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้

หลักของการดูจิต

จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก การดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส

อยู่กับโลกให้เป็นจะภาวนาง่าย

อยู่กับโลก ต้องรู้จักมัน ต้องเข้าใจมัน ถ้าเราอยู่กับโลก จิตใจเราสงบสุข สบายตามสมควรกับอัตภาพแล้ว การที่เราจะมาถือศีลมาภาวนามันจะไม่มีเครื่องกังวลใจ การประพฤติตัวให้สะอาดหมดจดสำคัญ จะทำให้เรามีความสุข ถ้าเมื่อไรเราย้อนมาดูตัวเองแล้วเราไม่เห็นข้อบกพร่อง ผิดศีลผิดธรรม หรือบางทีมองตัวเองไม่ออก พรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดีเขาก็เห็นว่าเราดีจริง หรือครูบาอาจารย์เห็นว่าเราดีจริง คนอย่างนี้ใจมันสงบสุข ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างสะอาดหมดจด เวลาเราลงมือภาวนาจิตมันจะรวมง่าย หายใจไม่กี่รอบก็จิตรวมแล้ว ถ้าฝึกจนชนิชํานาญ นึกอยากให้จิตรวมก็รวมทันทีเลย แต่ถ้าใจเราเศร้าหมอง มีแต่เรื่องชั่วๆ มีแต่ความหวาดระแวง นั่งให้ตายมันก็ไม่รวมหรอก จิตมันภาวนาไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นฆราวาสอยู่กับโลกอยู่อย่างฉลาด

รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ

ถ้าเรารู้แจ้งแทงตลอดว่าจิตเป็นตัวทุกข์ เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง เราก็ละสมุทัย ละความอยาก เมื่อละความอยากได้ เราก็ละความยึดถือจิตได้ เมื่อเราละความยึดถือจิตได้ ภพคือความดิ้นรนที่จะแสวงหาจิต หรือที่จะปล่อยวางจิต หรือที่จะรักษาจิต มันก็ไม่มี พอเราหมดความยึดถือจิต มันก็ไม่มีการที่จะต้องเที่ยวแสวงหาจิต ไม่มีการรักษาจิต ไม่มีความพยายามจะต้องปล่อยวางจิต เมื่อเราไม่มีความดิ้นรนของจิต คือไม่มีภพ จิตก็จะไม่หยิบฉวยจิตขึ้นมา คือไม่มีชาติ ทันทีที่ไม่มีชาติ ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้น สิ้นชาติก็สิ้นทุกข์กันตรงนั้นล่ะ เพราะชาติคือการหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ใช่ของดีของวิเศษ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจคือตัวทุกข์ ถ้าเราภาวนาจนเราแจ้งตรงนี้ เรียกว่าเราล้างอวิชชาได้แล้ว รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจแล้ว

การดูสภาวธรรม

สภาวธรรมทั้งหลายมีลักษณะ 2 ประการ คือลักษณะเฉพาะตัว ทำให้ตัวมันแตกต่างกับสภาวะอันอื่น ทำให้เราเห็นได้ว่า ตอนนี้ตัวนี้เกิด ตอนนี้ตัวนี้ดับ มันจะเห็นได้ อีกอันหนึ่งคือลักษณะร่วมคือไตรลักษณ์ อันนั้นเป็นปัญญารวบยอดแล้ว เกิดจากการเห็นแต่ละตัวๆ เกิดดับ สุดท้ายจิตมันสรุป จิตสรุปไม่ใช่เราสรุป ถ้าให้เราสรุป เราสรุปกันตอนนี้เลยว่า สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ แล้วเราก็เป็นปุถุชนเหมือนเดิม ต้องให้จิตมันสรุปเอง ถ้าไปคิดนำ มันก็ไม่ได้เรื่องหรอก

รู้ทันความเปลี่ยนแปลงของจิต

ความรู้สึกเปลี่ยนจากการกระทบอารมณ์ แล้วมีการให้ค่า กระทบเฉยๆ ยังไม่เท่าไร กระทบแล้วมันมีการให้ค่า เป็นธรรมชาติก็ต้องมีการตีความ อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี แล้วจิตก็จะปรุงต่อ เพราะฉะนั้นเวลาที่จิตมันจะเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงตามหลังการกระทบอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอารมณ์ เป็นอารมณ์ข้างนอก กระทบแล้วจิตมีความเปลี่ยนแปลง ตีค่า แล้วก็เกิดยินดียินร้าย เกิดพอใจไม่พอใจขึ้นมา แต่ว่าการกระทบอารมณ์มันมีอีกแบบหนึ่ง คือกระทบด้วยใจโดยตรง ไม่ได้กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่กระทบด้วยจิตโดยตรงก็มี อย่างเวลาเรานั่งอยู่ดีๆ เราไปนึกถึงคนที่เราเกลียด พอนึกถึงปุ๊บโทสะขึ้นเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจิตเปลี่ยนแปลง เราก็รู้ทัน มีการกระทบทางใจขึ้นโดยตรง ไม่ผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตก็เกิดการความเปลี่ยนแปลง ให้เรามีสติรู้ทัน ใจมันปรุงต่อ ให้เราตามรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเองไป

อนุปุพพิกถา

กามคุณทั้งหลาย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทั้งหลาย ที่ว่าเราอุตส่าห์ทำบุญทำทาน เราขึ้นสวรรค์มาเพื่อจะได้สิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ถึงวันหนึ่งเทวดาก็ตกสวรรค์ หรือเราเป็นคนดีแท้ๆ เลย บางทีอกุศลให้ผลมา เราก็เจอสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมา ฉะนั้นท่านยังสอนว่ามันมีโทษ สอนให้รู้จักปลีกตัวออกจากสวรรค์บ้าง สวรรค์ก็คือกามคุณอารมณ์ทั้งหลาย ท่านก็สอนบอกสิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน ให้มาพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไป สูงกว่าสวรรค์ขึ้นไปอีก คือการรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ 4 นี่หลักธรรมที่ท่านสอน จะมาสู่จุดนี้ เรียกว่าอนุปุพพิกถา คนแรกที่ได้ฟังอนุปุพพิกถาคือ

สัมมาวายามะ

เราทำต้นทางนี้ให้ดี มีสติอ่านจิตอ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ กุศลเกิดก็รู้ อกุศลเกิดก็รู้ไป ไม่ต้องคาดหวังอะไรหรอก แล้วมันจะรู้ได้เร็วขึ้นๆ เพราะสติเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ มีความเพียรชอบ ทำให้มากเจริญให้มากก็จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์

ฉะนั้นคอยดูจิตดูใจตัวเองที่เป็นกุศลที่เป็นอกุศลไว้ให้มากๆ สติก็จะดี สมาธิก็จะสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วต่อไปพอสมาธิเกิดแล้ว จะเห็นไตรลักษณ์ ลำพังสติไม่มีสมาธิหนุนหลังอยู่ ไม่มีสัมมาสมาธิหนุนหลัง ยังไม่เห็นไตรลักษณ์ สติระลึกกาย เห็นอะไร เห็นกาย สติระลึกรู้เวทนา เห็นอะไร ก็เห็นเวทนา สติระลึกรู้กุศลอกุศล เห็นอะไร เห็นกุศล อกุศล แต่ถ้าจิตมีสัมมาสมาธิตั้งมั่น มันจะเห็นเลยว่ากายที่สติระลึกรู้ ไม่ใช่เรา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา เวทนาที่สติระลึกรู้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลที่จิตระลึกรู้ คือสังขารทั้งหลายไม่ใช่เราๆ ค่อยดูไป พอปัญญามันแก่รอบแล้วต่อไปวิมุตติมันก็เกิดเอง

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าสอนพระปัญจวัคคีย์ ในพระสูตรพูดไม่กี่ประโยคว่า มีสิ่ง 2 สิ่ง มีธรรม 2 อย่าง ที่บรรพชิตคือผู้ปฏิบัติไม่ควรเสพ คือกามสุขัลลิกานุโยค แล้วก็อัตตกิลมถานุโยค ท่านพูดสั้นๆ พอเราเข้าสู่ทางสายกลางได้แล้ว ทำอย่างไร ท่านก็ให้เรียนรู้ สิ่งที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เวลาจะปฏิบัติ ท่านสอนสัมมาทิฏฐิ อันนี้สัมมาทิฏฐิภาคปริยัติ เสร็จแล้วเราก็ลงมือปฏิบัติ ดูแลความคิดของเรา อะไรอยู่เบื้องหลังความคิด คำพูด การกระทำ คอยรู้ไปเรื่อยๆ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็จะดี

Page 1 of 3
1 2 3