แก่นของการปฏิบัติคือจิต

แก่นของการปฏิบัติคือจิตนี้เอง เพราะฉะนั้นทำกรรมฐานอย่างหนึ่งไป สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แต่คอยรู้ทันจิตตนเองไป จิตที่ไม่สงบ ก็คือจิตที่มันไหลไปทางอารมณ์ต่างๆ ไหลไปคิด ไหลไปจมอยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น นั้นไม่สงบจริง แต่ตรงที่เรารู้ว่าจิตเคลื่อน ตรงนั้นล่ะความสงบจะเกิดขึ้นนิดหนึ่ง ชั่วขณะเท่านั้น ทำบ่อยๆ จนกระทั่งความรู้ตัวถี่ยิบขึ้นมาเลย หลวงพ่อสอนวิธีนี้ เพราะพวกเราทำฌานไม่ได้ สะสมสมาธิเป็นขณะๆๆ ไป พอมันมีกำลังมากแล้ว มันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา มันเหมือนจิตที่ทรงอุปจารสมาธิได้ มันทรงตัวเด่นดวงขึ้นมา

จากจุดเล็กๆ เหมือนน้ำหยดใส่ตุ่มทีละหยดๆ น้ำก็เต็มตุ่มขึ้นมา จิตก็มีกำลัง ตั้งมั่น เด่นดวงขึ้นมา ตรงนี้เราเอาไปเดินปัญญาได้แล้ว ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่น อย่าพูดเรื่องเดินปัญญา ทำไม่ได้หรอก จิตยังไหลไปไหลมา หรืออ่อนแอปวกเปียก ไม่ได้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้นเราอย่าละเลยที่หลวงพ่อบอก ทุกวันต้องไปทำกรรมฐาน แล้วคอยรู้ทันจิตตนเอง จิตไหลไปคิด รู้ทัน จิตไหลไปเพ่ง รู้ทัน ในที่สุดเราจะได้จิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมา

แนวรุกแนวรับในการภาวนา

การภาวนา ไม่ทำสมถะก็ทำวิปัสสนา มีศิลปะประจำตัว รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา จิตเราเหนื่อยเกินไปก็ไม่ตะบี้ตะบัน ไปนั่งจะให้สงบ มันไม่สงบ หาอะไรที่ผ่อนคลายให้มันเสียหน่อยหนึ่ง ทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ จะมาทำกรรมฐานต่อก็เหนื่อยกาย เหนื่อยใจหนักเข้าไปอีก เวลานี้ควรทำให้จิตใจผ่อนคลายก็ทำ เวลานี้ควรทำสมถะก็ทำ เวลานี้ควรเจริญปัญญาก็เจริญปัญญา รู้จักแนวรุกแนวรับของเรา

กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

ทำวิปัสสนาพอสมควร พอจิตเริ่มเหนื่อยก็หยุด อย่าตะบี้ตะบันทำวิปัสสนา ก็ต้องหยุดทำสมถะขึ้นมา ทำสมาธิให้จิตมีกำลังขึ้นมาแล้วไปเดินปัญญาต่อ ถ้าเดินอย่างนี้ทำให้มาก เจริญให้มาก ไม่ขี้เกียจไม่ใช่นานๆ ทำที ทำให้ได้ทุกวันๆ ทำให้ได้มากที่สุดที่จะทำได้ เราก็อาจจะได้มรรคได้ผลในชีวิตนี้ ไม่ต้องรอชาติไหนหรอก ถ้าเราทำไม่ถูก ทำถูกแล้วขี้เกียจ ยังไม่ได้หรอกอีกนาน กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

เอามีดทื่อไปฟันต้นไม้

ที่ดูจิตเดี๋ยวก็รู้ เดี๋ยวก็หลง ปัญญามันจะเกิด ถ้าเราไม่มีสมาธิพอ เราเจริญปัญญาไป ครูบาอาจารย์ท่านเปรียบเทียบ เหมือนเรามีมีดทื่อๆ อยู่เล่มหนึ่ง เราเอาไปผ่าฟืน ไปตัดต้นไม้ แป๊กๆๆ ไม่เข้าหรอก เราก็ต้องหยุดลับมีดก่อน การลับมีดก็คือการทำสมาธิ พอจิตเรามีสมาธิ มันเหมือนเรามีมีดคมๆ ฟันฉับเดียวขาดเลย ฉะนั้นถ้าเราเดินปัญญารวดไปเลย เหมือนเอามีดทื่อไปฟันต้นไม้ ไม่มีประโยชน์อะไร เหนื่อยเปล่า เดินปัญญาก็ต้องรู้จักพักบ้าง เดินปัญญาอย่างเดียวมันจะฟุ้งซ่าน

ภาวนาสม่ำเสมอ บางช่วงมีสติอัตโนมัติ แต่บางช่วงฟุ้งซ่านมาก

ขยันภาวนา ชีวิตก็จะดี มีความสุขมากขึ้น แยกขันธ์เป็นแล้ว เราก็ดูแต่ละขันธ์มันแสดงไตรลักษณ์ของมันไป แต่ละขันธ์ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ดูไปเรื่อยๆ พอดูไปสักช่วงหนึ่ง จิตฟุ้งซ่านก็กลับมาทำความสงบ พอสงบพอสมควรแล้ว เราก็ออกไปดูขันธ์มันทำงานต่อ อย่าสงบยาวนานเป็นวันๆ เสียเวลา สงบพอให้ตั้งหลักได้ ไม่ตะลุมบอนกับอารมณ์

ยังฟุ้งอยู่มาก บางครั้งพอเริ่มรู้สึกฟุ้งซ่าน ก็จะเริ่มคิดคำพูดของหลวงพ่อที่ว่า “ให้เห็นตามความเป็นจริง” พอดูไปสักพักความฟุ้งซ่านนั้นก็ค่อยคลายไป

คำถาม:

ปฏิบัติในรูปแบบโดยการนั่งสมาธิมา 2 เดือน ใช้พุทโธเป็นเครื่องอยู่ ถ้าฟุ้งมากจะใช้การสวดมนต์ หรือนับเลข 1 – 100 พร้อมดูลมหายใจ พอใจเริ่มสงบลง ก็จะกลับมาพุทโธพร้อมกับดูลมหายใจ เริ่มเห็นน้ำหนักของจิต เวลาที่มีความคิดหรือมีความรู้สึกเกิดขึ้นมากขึ้น แต่ยังฟุ้งอยู่มาก บางครั้งพอเริ่มรู้สึกฟุ้งซ่าน ก็จะเริ่มคิดคำพูดของหลวงพ่อที่ว่า “ให้เห็นตามความเป็นจริง” พอดูไปสักพักความฟุ้งซ่านนั้นก็ค่อยคลายไป ไม่ทราบว่าที่คิดแบบนี้ผิดหรือไม่คะ

 

หลวงพ่อ:

ไม่ผิดหรอก แต่ต้องฝึกเพิ่มเติมไป สมาธิเรายังไม่แข็งแรง สมาธิมันยังไม่แข็งแรง พยายามฝึกมีเครื่องอยู่ ดีแล้ว หายใจเข้าพุท – ออกโธอะไรก็ทำทุกวันๆ จนกระทั่งมาอยู่ในชีวิตอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้เดินข้ามถนน ไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ทำอะไรที่เสี่ยง เราก็ยังหายใจเข้าพุท – ออกโธได้ อย่างเราจะกินข้าวอะไรอย่างนี้ เราก็คอยรู้สึกๆ ไป เวลากินข้าวเราหายใจเข้า หรือหายใจออก ดูออกไหม เคยรู้ไหม เวลาเรากลืนอาหาร หายใจเข้า หรือหายใจออก โอ้นี่ยังไม่ใช่นักอานาปานสติตัวจริง ถ้านักอานาปานสติตัวจริงจะรู้เลย ตอนกินข้าว ตอนกลืนน้ำอะไรอย่างนี้ ตอนกลืนอาหารหายใจเข้า หรือหายใจออก รู้เอง หรือถ้าเราฝึกรู้สึกกายจนชิน ร่างกายขยับมันรู้เอง มันรู้สึกเอง ไม่ได้เจตนา ฉะนั้นเราไปทำสมาธิเพิ่มขึ้น หายใจเข้าพุทโธไปเรื่อยๆ หายใจเข้าพุท – ออกโธไปเรื่อยๆ จิตเราจะได้มีกำลัง

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

จิตก็มักจะติดการคิด จึงใช้วิธีจิตหลงไปคิดแล้วรู้ๆ ขอหลวงพ่อเมตตา แนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยค่ะ

คำถาม:

ปฏิบัติโดยใช้วิภัชวิธีตามที่หลวงพ่อสอน แต่จิตก็มักจะติดการคิด จึงใช้วิธีจิตหลงไปคิดแล้วรู้ๆ ขอหลวงพ่อเมตตา แนะนำการปฏิบัติที่เหมาะสมด้วยค่ะ

 

หลวงพ่อ:

สมาธิเรายังไม่มี เรายังเจริญปัญญาไมได้จริงหรอก การที่บอกวิภัชวิธี มันเป็นการคิดแยกเอา มันยังไม่ได้เห็นว่ามันแยกกัน ก็เพิ่มกำลังของสมาธิขึ้นเสียก่อน จิตเราฟุ้งซ่านรู้ว่าฟุ้งซ่าน หาเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ จะอยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธอะไรก็เอา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง ทำบ่อยๆ พอทำไป พอจิตมันมีกำลังมันจะเห็นเลย ร่างกายที่หายใจมันก็ส่วนหนึ่ง จิตที่เป็นคนรู้การหายใจก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เวทนาในร่างกายเกิดขึ้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เวทนาในใจก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง สุข ทุกข์ ดี ชั่ว กุศล อกุศล ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง มันจะค่อยๆ แยก มันแยกด้วยการเห็น เพราะจิตมันเป็นคนเห็นแล้วมันจะเห็นขันธ์มันแยกออกไป มันแยกเอง ของโยมใจมันยังฟุ้งเยอะอยู่ ฉะนั้นเพิ่มกำลังของสมาธิก่อน ถ้าสมาธิไม่พอ ใจเราฟุ้งๆ มันเดินปัญญาไม่ได้จริง ฉะนั้นทำสมาธิหายใจเข้าพุท หายใจออกโธไป แล้วค่อยมาส่งการบ้านต่อ ตอนนี้เอาตรงนี้ให้ได้ก่อน

 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม 31 กรกฎาคม 2564

เนิ่นช้าเพราะภาวนาผิด

จับหลักให้แม่นๆ แล้วลงมือทำ จะได้ไม่พลาด ที่ภาวนาแล้วใช้เวลานานมาก เพราะภาวนาผิด ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของกระจอก ถ้าทำถูกแล้วทำพอ เราจะได้ผลในเวลาอันสั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่ลัดสั้นไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทำกันนาน มองไม่เห็นผล ไม่เห็นฝั่ง ทำไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหตุรู้ผล

Page 2 of 3
1 2 3