ธรรมะโดนใจ

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้มีอัจฉริยภาพในการสอนให้โดนใจคนฟัง มีคนจำนวนไม่น้อยชีวิตเปลี่ยนจากการฟังธรรมที่ท่านแสดงเพียงไม่กี่ครั้ง

ลูกศิษย์ผู้เห็นประโยชน์จึงรวบรวมธรรมะโดนใจในหลายๆ วาระ จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อกระตุ้นจิตผู้อ่านให้เดินอยู่ในร่องในรอยตามทางที่พระศาสดาและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเดินไปแล้วด้วยดี

จิตใจโดนกระตุ้นแล้ว ต้องลงมือภาวนาเองด้วย ชีวิตจึงจะเปลี่ยนอย่างแท้จริง

แนะนำวิธีการเดินจงกรม โดยคุณประสาน พุทธกุลสมศิริ

ที่จริง เดินจงกรมนะ เดินสบายๆ เดินแบบเราเคยเดินอย่างไรก็เดินอย่างนั้น เดินด้วยความรู้สึกตัว เวลาเดินจงกรม เดินแบบเวลาเราเดินชอปปิ้ง เดินยังไงนะ เราก็เดินอย่างนั้นล่ะ เราเมื่อยแล้วเราไขว้หลังก็ได้ เราเปลี่ยนท่าบ้าง เอามือมากอดอกบ้างก็ไม่มีปัญหา สำคัญว่าเรามีสติหรือเปล่า

แนะนำวิธีการเดินจงกรม โดยคุณมาลี ปาละวงศ์

เวลาที่เราเดิน ที่หัวจงกรม มือไม่ไขว้หน้า มือไม่ไขว้หลัง แต่ไม่ใช่หมายความว่าถูกสำหรับทุกคน แล้วเหมาะกับทุกคน

เวลาที่เราเดิน คุณเดินช็อปปิงท่าไหน คุณเดินท่านั้น คุณเดินเข้าห้องน้ำท่าไหน เดินท่านั้น เราถึงจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง การเดินจงกรมเป็นกรรมฐานที่เคลื่อนไหว หลวงปู่ดูลย์ท่านเขียนไว้ในหนังสือท่านเลย “สมาธิที่หยั่งลงถึงความสงบแล้วด้วยการเดินจงกรม จะมีกำลังมากกว่านั่งหรือนอน” แล้วเราสามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ

หลายๆ ท่านที่เดินจงกรมแล้ว ลองกลับไปสังเกตว่า เรารู้สึกตัวได้จริงไหม ถ้าการเดินจงกรมของคุณถูกต้อง เวลาที่คุณอยู่ในชีวิตประจำวัน แค่เท้าขยับ จิตมีสติตื่น เราเรียกว่า alert ตื่นขึ้นเลย คุณนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน แค่คุณสะบัดปากกา จิตจะตื่นเลย ถ้าคุณถูกต้อง แต่ถ้าคุณไปสังเกตแล้วมันไม่เกิดอาการเหล่านี้เลย ให้ดูไว้ก่อน เราต้องผิดตรงไหนสักอย่างหนึ่ง

จิตจะมาเห็นกายที่เดิน เราก็รู้ว่าเห็นกาย จิตจะเห็นว่าไหลไปคิด ก็รู้ว่าไหลไปคิด แล้วแต่ว่าตอนนั้นอะไรเด่น จิตตอนนั้นถ้าอะไรเด่น รู้ว่ามันเด่น เราไม่สนใจ เพราะในระหว่างนั้นเป็นเวลาที่เรามารู้ความจริงของกายกับใจ

วิธีที่ผิด ส่วนใหญ่ที่หัวจงกรมกับท้ายจงกรม ก่อนเดิน มือไม่ไขว้หน้า มือไม่ไขว้หลัง คุณวางอย่างที่คุณเดินในชีวิตประจำวัน อย่างเวลาคุณเดินข้ามถนน ก่อนเดิน ทำความรู้สึกตัว

ทำความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร ทุกคนลองหลับตา จะให้ลองรู้ว่ารู้สึกตัวเป็นอย่างไร รู้สึกไหมว่าเย็น ถ้ารู้สึกพยักหน้า พยักหน้าขึ้นลงก็ได้ ส่ายหน้าก็ได้ ให้หลับตาเพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะรู้สึกว่าคุณเห็นด้วยตาเนื้อ ความรู้สึกตัว คือความรู้สึกข้างใน เรารู้จากจิต พยักหน้าขึ้นลงเลยค่ะ เอาสบายๆ ไม่ต้องบังคับว่าต้องเป็นจังหวะ ขวาซ้ายก็ได้ แล้วแต่ชอบแบบไหน ลองดู

ลองยิ้ม แล้วเปิดตา เปิดด้วยความสดใสเพราะเรายิ้ม รู้สึกตัวเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ต้องแน่นๆ ต้องชัดๆ ต้องดีๆ นึกออกไหมนักภาวนา เวลาดูลม รู้สึกต้องชัดๆ รู้สึกว่าต้องดีๆ เอาแค่นี้ ความรู้สึกตัวคือแบบนี้ เรารู้สึกถึงตัวนี้ว่ายืนอยู่ เหมือนที่ในขณะนี้ทุกท่านรู้สึกว่าตัวนี้นั่งอยู่ แค่รู้สึกแค่นั้น เย็น รู้ว่ามันเย็น แค่นี้จบแล้ว จากนั้นคุณเดิน…

Read more

หน้าที่ของชาวพุทธ

พวกเรามีหน้าที่ที่พระพุทธเจ้ามอบหมายให้ทุกคน หน้าที่ประการแรก ทำประโยชน์ตนเอง ไม่ประมาทนะ ทำประโยชน์ตัวเอง ก็คือภาวนาเข้า มีสติ ฝึกให้มีสติขึ้นมา ใครไม่มีสติ ก็ฝึกให้มีสติ ใครไม่รู้จักสมาธิ ใจไม่เคยตั้งมั่น ก็ฝึกให้ใจตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็ตามรู้กายตามรู้ใจตามความเป็นจริง รู้อย่างที่เขาเป็น ตามรู้อย่างนี้เรื่อยๆ จนเกิดปัญญา

อริยสัจเพื่อความพ้นทุกข์

อริยสัจเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นหนังสือที่เน้นอธิบายอริยสัจ ในด้านการนําไปปฏิบัติที่เข้าใจง่าย โดยหลวงพ่อได้เทศนาแสดง ให้เห็นว่าอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ เป็นเรื่องเดียวกัน จะยกข้อไหนมาปฏิบัติ ก็สัมพันธ์กันทั้งหมด แต่ที่พระพุทธเจ้าท่านแยกออกเป็น ๔ ข้อ ก็เพื่อให้เกิดความชัดเจนสําหรับนําไปปฏิบัติให้เข้าถึงใจได้อย่างแจ่มแจ้ง

สําหรับปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นหมวดธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงรู้แจ้งสภาวธรรมจนสําเร็จอนุตตรสัม มาสัมโพธิญาณนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะสรุปเพื่อมาสอนเป็นอริยสัจ ๔ แต่ก็ได้แยกอธิบายออกมาเป็นอีกหัวข้อหนึ่งต่างหาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสําคัญ ของธรรมทั้งสองหมวดนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

วิมุตติมรรค

วิมุตติมรรค หรือเส้นทางแห่งความหลุดพ้น ซึ่งเรียบง่ายรื่นรมย์ และเป็นทางนำให้ประจักษ์ถึงนิพพานซึ่งอยู่ต่อหน้าต่อตานี้เอง เส้นทางสายนี้มีผู้พยายามแสวงหากันมากมายแต่ไม่พบ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และพวกเราจะพบเส้นทางสายนี้ตามพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย หากได้ศึกษาบทเรียน ๓ บทที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ซึ่งเมื่อดำเนินตามเพียงไม่นาน เราจะรู้สึกได้ว่านิพพานอยู่ไม่ไกลเกินหวัง

โรดแม็พ ธรรมปฏิบัติ ทางเดินสู่โลกุตตรธรรม

เมื่อเราฝึก “ให้มีสติ รู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” ให้มากพอแล้ว ถึงจุดหนึ่งสติเราจะอัตโนมัติ อะไรแปลกปลอมขึ้นในกาย นิดเดียวก็รู้โดยที่ไม่ได้เจตนาจะรู้ อะไรแปลกปลอมขึ้นในจิตนิดเดียวก็รู้ โดยที่ไม่ได้เจตนาจะรู้ (ถ้ายังมีเจตนาอยู่ ยังเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำกรรม ทำให้เกิดการสร้างภพ ดิ้นรน ปรุงแต่ง อริยมรรคยังไม่เกิด) นอกจากนี้ ถ้าจิตเคลื่อนไปเราก็รู้ทัน จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

การที่เราคอยเห็นทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงจุดหนึ่งจะเกิดปัญญาอัตโนมัติ ไม่ว่ามองอะไร ไม่ได้เจตนาจะมองเป็นไตรลักษณ มันก็จะมองเป็นไตรลักษณ์ ด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องคิดนำเลย

Page 62 of 64
1 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64